Logo
  • โปรไฟล์มืออาชีพ
  • งาน
  • อาชีพ
    เส้นทางอาชีพ
    การเติบโต
    การศึกษา
    แรงบันดาลใจ
    บุคลิกภาพ
    งานและอุตสาหกรรม
    การค้นหางาน
    ประวัติ & ผลงาน
    เงินเดือน
    ความเป็นอยู่ที่ดี
  • การศึกษา
    หลักสูตร
    โปรแกรม
  • เครื่องมือสร้างเรซูเม่
  • สำหรับผู้ใช้งานองค์กร
  • Jobcadu Logo

    แพลตฟอร์มอาชีพที่ดีที่สุดสำหรับการหางาน, การสรรหาบุคลากร, ค้นหาอาชีพ และค้นพบแหล่งการศึกษา

    10,000+

    หน้าหางาน

    งานตามหมวดหมู่

    การบริหารและสำนักงาน

    การตลาด

    บริการลูกค้า

    เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT)

    บัญชีและการเงิน

    ทรัพยากรบุคคลและการจัดการคน

    การผลิตและห่วงโซ่อุปทาน

    วิศวกรรม

    สำหรับผู้หางาน

    หน้าหางาน

    เครื่องมือสร้างเรซูเม่

    ทรัพยากรด้านการศึกษา

    ทรัพยากรเรซูเม่

    สำหรับผู้ใช้งานองค์กร

    ประกาศงาน

    ราคา

    แหล่งข้อมูล

    เกี่ยวกับเรา

    ข้อกำหนดการใช้งาน

    นโยบายความเป็นส่วนตัว


    © 2025 Jobcadu. สงวนลิขสิทธิ์ทั้งหมด

    ​
    ​
    หมวดหมู่:
    หมวดหมู่ทั้งหมด
    แรงบันดาลใจ
    บุคลิกภาพ
    การเติบโต
    เส้นทางอาชีพ
    ประวัติ & ผลงาน
    ความเป็นอยู่ที่ดี
    การศึกษา
    การค้นหางาน
    งานและอุตสาหกรรม

    315อาชีพ ความรู้เกี่ยวกับอาชีพที่พบ

    Thumbnail for รวม 7 ไอเทมสงกรานต์สำหรับมนุษย์ออฟฟิศ สนุกแบบไม่เสียลุค พร้อมกลับมาทำงานได้ต่อ!

    รวม 7 ไอเทมสงกรานต์สำหรับมนุษย์ออฟฟิศ สนุกแบบไม่เสียลุค พร้อมกลับมาทำงานได้ต่อ!

    สงกรานต์ คือ สงกรานต์คือเทศกาลปีใหม่ไทยที่เต็มไปด้วยความชุ่มฉ่ำ ความสุข และการเริ่มต้นใหม่ เป็นช่วงเวลาที่คนไทยใช้ในการพบปะครอบครัว รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ และคลายร้อนด้วยการเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน แม้จะเป็นมนุษย์ออฟฟิศที่ติดหน้าจอทั้งวัน แต่การออกไปเล่นน้ำในช่วงสงกรานต์ก็มีประโยชน์มากกว่าที่คิด เพราะการหัวเราะและการเล่นสนุกช่วยกระตุ้นสารแห่งความสุขอย่าง โดพามีน (Dopamine) และ เซโรโทนิน (Serotonin) ช่วยลดความเครียดจากงาน และเติมพลังให้กลับมาลุยต่อได้อย่างสดใส แต่จะเล่นน้ำทั้งที เราก็อยากสนุกแบบดูดี ไม่เปียกเละ ไม่เสียลุค! มาดูกันว่า 7 ไอเทมที่มนุษย์ออฟฟิศควรมีติดตัวช่วงสงกรานต์ มีอะไรบ้าง รวม 7 ไอเทมสงกรานต์แบบขอคนไม่เล่น (แต่พร้อมนะ!) 1.เสื้อฮาวายหรือลายดอกเท่ๆ เสื้อสไตล์นี้ไม่เพียงเข้ากับบรรยากาศสงกรานต์ แต่ยังใส่สบาย ไม่ร้อน และดูแฟชั่นเบาๆ ได้ฟีลสายชิลแบบมีคลาส 2.กางเกงขาสั้นแบบสุภาพ เลือกกางเกงผ้าร่มหรือผ้าคอตตอนที่แห้งไว สีสุภาพ ใส่แล้วดูคล่องตัว พร้อมลุยได้โดยไม่หลุดธีมออฟฟิศเกินไป 3.รองเท้าแบบลุยน้ำไม่เสียทรง แนะนำ Crocs, รองเท้าแตะรัดส้น, หรือ Sneaker กันน้ำ เพราะเปียกแล้วแห้งไว ไม่เสียทรง และไม่ทำให้รองเท้าคู่เก่งต้องพังหลังวันหยุด 4.ซองกันน้ำใส่มือถือแบบคล้องคอ ไอเทมเบสิคที่ทุกคนควรมี ไม่ใช่แค่ป้องกันมือถือเปียก แต่ยังสะดวกเวลาเซลฟี่ในบรรยากาศสนุกๆ ด้วย 5.เป้กันน้ำ / กระเป๋า Waterproof ใส่ของจำเป็น เช่น พาวเวอร์แบงค์, เครื่องสำอางเบาๆ หรือของใช้ส่วนตัว ไม่ต้องกลัวน้ำซึม 6.ผ้าขนหนูผืนเล็ก เลือกแบบพับเก็บง่าย พกไว้เช็ดหน้า หรือซับเหงื่อ จะได้ไม่ดูโทรมระหว่างวัน 7.ถุงผ้าสำรอง เผื่อเปลี่ยนเสื้อ หรือใส่เสื้อผ้าเปียกกลับบ้านแบบมีระเบียบ ไม่ต้องกังวลว่าจะเลอะกระเป๋าหลัก Tips เล็กๆ สำหรับมนุษย์ออฟฟิศสายสงกรานต์ เล่นน้ำให้พอได้ซึมซับบรรยากาศ อย่าเล่นนานหรือตัวเปียกนานเกินไปจนเสี่ยงเป็นหวัดหรือป่วยช่วงหยุดยาว ระวังของสำคัญ เช่น บัตรพนักงาน, เอกสารสำคัญ, Access Card ใส่ถุงซิปหรือเก็บแยกไว้ในซองกันน้ำเสมอ หลีกเลี่ยงการเล่นน้ำช่วงกลางวันจัดๆ เพราะอาจเสี่ยงแดดเผา ทำให้ผิวไหม้ หรืออาการจำพวกฮีตสโตรกได้ แนะนำให้เล่นช่วงเย็นหรือพื้นที่มีร่มเงา แหล่งเล่นน้ำสงกรานต์ใกล้ออฟฟิศ 🏙 สยาม (Siam Square Songkran) จัดงาน “SIAM SQUARE SONGKRAN” สงกรานต์แบบวัยรุ่นแฟชั่น เน้นโชว์ ดนตรี และโซนเล่นน้ำกลางเมือง ปีละหลายโซน มีคอนเสิร์ต-กิจกรรมจากศิลปินดัง โฟมปาร์ตี้ และโซนแห้งสำหรับคนไม่อยากเปียก เดินทางง่ายด้วย BTS สยาม สนุกแต่ปลอดภัย เหมาะกับสายถ่ายรูป+เล่นน้ำเบาๆ หลังเลิกงาน 🌈 สีลม (Silom Road) แลนด์มาร์กเล่นน้ำที่คึกคักสุดในกรุงเทพฯ คนแน่นทุกปี บรรยากาศคึกคักสุดๆ มีทั้งสายเต้น สายเปียก และสายแฟ มีเวทีดนตรี ปืนฉีดน้ำจัดเต็ม และจุดบริการน้ำสะอาด เดินทางสะดวกด้วย BTS ศาลาแดง แนะนำให้ใส่เสื้อผ้ามิดชิด พกซองกันน้ำและพกใจให้พร้อม! 🎶 RCA (Route66 x Songkran Party) สายปาร์ตี้ต้องมาที่นี่! มีดนตรี EDM เวทีคอนเสิร์ต และระบบสาดน้ำมันส์สะใจ เหมาะกับคนชอบแดนซ์ยาวๆ ถึงค่ำ สาดน้ำพร้อมดนตรีจากดีเจชื่อดังในคลับ มีหลายเวที/หลายโซนให้เลือก ทั้ง indoor และ outdoor เหมาะกับสายปาร์ตี้หลังเลิกงานหรือคืนวันหยุดยาว 💦 ข้าวสาร (Khao San Songkran) ถนนข้าวสารรวมทั้งชาวไทย-ต่างชาติ สนุกสุดเหวี่ยงตั้งแต่กลางวันยันดึก มีดีเจ บาร์เปิดทั่วแนวถนน บรรยากาศอินเตอร์สุดๆ บรรยากาศสุดชิลปนมันส์ สาดน้ำกันทุกตรอกซอกซอย มีทั้งร้านนั่งชิล ผับ และเวทีดนตรีเล็กๆ สำหรับสายสนุก ต่างชาติคึกคักมาก เหมาะกับสายชิลแบบอินเตอร์! สงกรานต์ไม่ใช่แค่เทศกาลแห่งการสาดน้ำ แต่ยังเป็นช่วงเวลาพักใจ พักกาย และเติมไฟให้ชีวิต หลังจากสนุกเต็มที่แล้ว ก็ถึงเวลาวางแผนอนาคต และถ้ากำลังมองหาโอกาสใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และการทำงานในแบบมนุษย์ออฟฟิศยุคใหม่ ลองมาดูเพิ่มเติมที่ Jobcadu แพลตฟอร์มหางานคุณภาพ ที่รวมแต่โอกาส และทักษะทางการงานดีๆ สุขสันต์วันสงกรานต์ค่ะ

    Apr 11, 2025
    1 min
    Thumbnail for Interpersonal Skill คืออะไร? ทำไมทักษะนี้ถึงช่วยให้เราสามารถประสบความสำเร็จในอาชีพการงานมากขึ้น?

    Interpersonal Skill คืออะไร? ทำไมทักษะนี้ถึงช่วยให้เราสามารถประสบความสำเร็จในอาชีพการงานมากขึ้น?

    เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคนถึงสื่อสารเก่ง เข้ากับคนอื่นได้ง่าย และประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่าคนทั่วไป? คำตอบอยู่ที่ Interpersonal Skill หรือ ทักษะระหว่างบุคคล ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ทั้งในด้านการทำงานและชีวิตส่วนตัว ซึ่ง Jobcadu จะพาทุกคนเจาะลึกทักษะนี้เพื่อนำมาพัฒนาตัวเอง จะมีอะไรบ้างมาดูกันเลย! Interpersonal Skill คืออะไร? Interpersonal Skill หรือ ทักษะระหว่างบุคคล คือความสามารถในการสื่อสารและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นการพูด ฟัง เข้าใจความรู้สึกของคนรอบข้าง หรือการทำงานร่วมกันอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่าง 6 ทักษะย่อยๆ ได้ดังนี้ 1.การฟังอย่างตั้งใจ (Active Listening) ตั้งใจฟังคู่สนทนาโดยที่ไม่ขัดจังหวะหรือพูดสวนขณะที่เพื่อนร่วมงานกำลังพูดอยู่ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราสนใจฟัง และทำความเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูดจริงๆ นอกจากนี้ การมีทักษะการฟังผู้อื่นได้ดี จะช่วยลดความเข้าใจผิด และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นอีกด้วย 2.การทำงานเป็นทีม (Teamwork) สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นให้บรรลุเป้าหมายได้ เข้าใจและเคารพความคิดเห็นของเพื่อนร่วมทีม ไม่ตัดสินใครไปก่อน และเมื่อเวลาที่เจอปัญหาในงาน สามารถช่วยกันหาทางออกกับคนในทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3.ภาวะผู้นำ (Leadership) มีความสามารถในการเป็นผู้นำของทีม ตัดสินใจ และแก้ปัญหาได้อย่างรอบคอบ นอกจากนี้ยังสามารถสร้างบันดาลใจให้ผู้อื่น ช่วยให้ทีมสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถชี้แนะ ดึงศักยภาพและจุดแข็งของคนในทีมเอาออกมาใช้ให้ได้มากที่สุด 4.ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) มีความเข้าใจและรับรู้ถึงความรู้สึกของผู้อื่น จะช่วยให้เราสามารถสื่อสารและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงานได้ยิ่งขึ้น หรือบางครั้งลองชวนคนในทีมคุย ถามถึงปัญหาหรือข้อสงสัยที่เขากำลังติดขัด เพื่อให้เขาเล่าหรือระบายสู่เราฟัง ทำให้เขารู้สึกสบายใจและผ่อนคลายที่จะสนทนากับเรามากขึ้น 5.การแก้ไขความขัดแย้ง (Conflict Resolution) ทักษะนี้สามารถจัดการข้อขัดแย้งได้โดยที่ไม่ใช้อารมณ์ มุ่งเน้นที่การหาทางออกร่วมกันที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย และใช้คำพูดที่ประนีประนอม ไม่แสดงอำนาจโดยการกดดันหรือหยาบคายใส่คนในทีมเพื่อขู่ให้กลัว เพราะนอกจากปัญหาจะไม่ถูกแก้แล้ว เราอาจจะไม่ได้รับความไว้วางใจจากเพื่อนร่วมงานอีกต่อไป รวมถึงอาจก่อให้เกิดสถานการณ์ที่น่าอึดอัดในอนาคต 6.ความสามารถในการเจรจาต่อรอง (Negotiation) ใช้เหตุผลและทักษะการสื่อสารเพื่อหาข้อตกลงร่วมกัน ทำให้ทุกฝ่ายพอใจและลดปัญหาความขัดแย้งในที่ทำงาน แม้จะสนิทกับเพื่อนร่วมงาน แต่บางเรื่องในการทำงานควรมีการเจรจาข้อตกลงกันที่ชัดเจน ไม่ให้เกิดสถานการณ์ที่ถูกเอาเปรียบ ถือเป็นหนึ่งปัจจัยในการรักษาความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนร่วมงานหรือลูกค้าในระยะยาว วิธีพัฒนา Interpersonal Skill ในที่ทำงาน ฝึกการฟังเพื่อจับใจความ: ทุกครั้งที่ได้พูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน พยายามจับใจความสิ่งที่เขาต้องการสื่อ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราได้ฟังที่เขาพูดอยู่จริงๆ เมื่อผู้พูดเห็นว่าเรากำลังตั้งใจฟังในสิ่งที่กำลังพูดอยู่ เราก็จะได้รับความไว้วางใจจากอีกฝ่ายมากขึ้น ฝึกสื่อสารให้ชัดเจนและตรงประเด็น: ใช้คำพูดที่เข้าใจง่าย กระชับ และสุภาพ เพื่อลดความเข้าใจผิดในการรับสารของผู้ฟัง ฝึกเห็นอกเห็นใจเพื่อนร่วมงาน: พยายามเข้าใจความรู้สึกและมุมมองของเพื่อนร่วมงาน เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดี ความไว้วางใจในการทำงาน และเพื่อเสริมความน่าเชื่อถือให้ตัวเองด้วย จัดการความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์: ใช้เหตุผลในการพูดคุย หาทางออกที่เป็นกลาง และหลีกเลี่ยงการใช้อารมณ์ นอกจากนี้ยังเป็นการแสดงออกถึงความเป็นมืออาชีพในการทำงานและการมีวุฒิภาวะทางอารมณ์สูง ทำให้เพื่อนร่วมงานเชื่อถือในตัวเรามากขึ้น กล้าขอและรับฟังฟีดแบค: เปิดใจรับคำแนะนำจากเพื่อนร่วมงาน เพื่อนำไปปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น เพราะบางข้อควรปรับปรุงในตัวเอง ตัวเรามักมองไม่เห็น ต้องอาศัยผู้อื่นช่วยประเมินและแนะนำด้วยเช่นกัน ฝึกความมั่นใจและการแสดงออกอย่างเหมาะสม: กล้าพูดความคิดเห็นของตัวเองอย่างสุภาพและเคารพผู้อื่น เพื่อแสดงจุดยืนของตัวเองโดยที่ไม่ได้ข่มขู่หรือลดทอนคุณค่าของผู้อื่น เรียนรู้และพัฒนาตัวเองเสมอ : เข้าร่วมอบรม อ่านหนังสือ หรือดูวิดีโอเกี่ยวกับทักษะการสื่อสารและการทำงานร่วมกับผู้อื่น เพื่อเติม Input ให้ตัวเองได้แนวคิดหรือความรู้ใหม่ๆในการมาพัฒนาตัวเองสู่เวอร์ชั่นที่ดีขึ้น หากชอบบทความเกี่ยวกับทักษะการพัฒนาตัวเองในด้านต่างๆ รวมถึงค้นหางานที่ใช่และเหมาะกับตัวเอง สามารถเข้ามาศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ Jobcadu แหล่งรวมทักษะ โอกาส และงานคุณภาพต่างๆ ได้ในทุกช่องทาง!

    Mar 31, 2025
    1 min
    Thumbnail for รวม 23 เหตุผลไม่เสี่ยงตุ้บ! เมื่อต้องตอบ HR ว่า 'ทำไมถึงลาออกจากที่ทำงานเก่า?' พร้อมเทคนิคการตอบที่เหมาะสมและไม่ทำให้คุณดูแย่

    รวม 23 เหตุผลไม่เสี่ยงตุ้บ! เมื่อต้องตอบ HR ว่า 'ทำไมถึงลาออกจากที่ทำงานเก่า?' พร้อมเทคนิคการตอบที่เหมาะสมและไม่ทำให้คุณดูแย่

    การถูก HR ถามว่า "ทำไมถึงลาออกจากที่ทำงานเก่า?" ในการสัมภาษณ์อาจทำให้ใครหลายคนที่กำลังมองหางานใหม่ รู้สึกเครียด กังวล และ รู้สึกยากลำบากในการตอบไม่ว่าจะเป็นเหตุผลอย่างไรก็ตามแต่  วันนี้ Jobcadu จึงได้รวบรวม 23 เหตุผลที่สามารถใช้เป็นแนวทางในการตอบได้พร้อมเทคนิคการตอบแบบมืออาชีพ ให้โดนใจผู้สัมภาษณ์ จะมีเหตุผลใดบ้าง มาดูกันเลย! 1.ต้องการโอกาสก้าวหน้าในอาชีพ: ที่เดิมไม่มีโอกาสเติบโตตามที่คาดหวัง 2.ต้องการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ: อยากพัฒนาตัวเองในสายงานที่ท้าทายขึ้น 3.อยากเปลี่ยนสายงาน: สนใจงานที่เหมาะสมกับเป้าหมายระยะยาวของตัวเอง 4.ต้องการรายได้ที่สอดคล้องกับประสบการณ์: เงินเดือนที่เดิมไม่ตอบโจทย์การเติบโต 5.อยากหาสมดุลระหว่างงานและชีวิต (Work-Life Balance): ที่ทำงานเก่าให้ทำงานนอกเวลา ทำให้ไม่สามารถจัดการเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ 6.ปัญหาสุขภาพ: งานที่เดิมมีผลกระทบต่อสุขภาพทางกายและทางใจ เช่น โรคเครียดสะสม หรือการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ 7.ย้ายที่อยู่อาศัย: ไม่สะดวกเดินทางหรือย้ายถิ่นฐาน 8.องค์กรปรับโครงสร้าง: บริษัทมีการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อหน้าที่งาน 9.เลิกจ้าง/ลดพนักงาน: บริษัทปรับลดจำนวนพนักงานหรือปิดแผนก 10.ต้องการหาสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีกว่า: บรรยากาศที่ทำงานไม่เหมาะกับสไตล์ของตนเอง 11.ต้องการทำงานในบริษัทที่มั่นคงกว่า: บริษัทเก่ามีปัญหาทางการเงินหรืออนาคตไม่แน่นอน 12.ขาดโอกาสในการพัฒนาตัวเอง: ไม่มีการอบรมหรือพัฒนาในสายงาน 13.สไตล์การทำงานของทีมไม่เท่ากัน: ทำให้การจัดการงานหรือบริหารงานได้ไม่เหมาะสม 14.ต้องการทำงานที่ท้าทายขึ้น: งานที่เดิมซ้ำซากและไม่มีโอกาสเรียนรู้เพิ่ม 15.หมดสัญญาจ้าง: เป็นงานสัญญาระยะสั้น และไม่มีการต่อสัญญา 16.เปลี่ยนแปลงเป้าหมายชีวิต: มองหาอาชีพที่ตอบโจทย์เป้าหมายชีวิตใหม่ 17.ต้องการอิสระในการทำงานมากขึ้น: อยากทำงานที่มีความยืดหยุ่นกว่า 18.บริษัทมีปัญหาด้านวัฒนธรรมองค์กร: ค่านิยมและวัฒนธรรมไม่ตรงกับแนวทางของตัวเอง 19.ไม่มีความมั่นคงในการทำงาน: มีการเปลี่ยนแปลงบ่อยจนไม่แน่ใจในอนาคต 20.อยากทำงานในบริษัทที่มีชื่อเสียงหรือเป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรม 21.บริษัทไม่มีสวัสดิการที่ครอบคลุมมากพอ: อยากได้สวัสดิการที่ตอบโจทย์มากขึ้น 22.มีโอกาสที่ดีกว่าเข้ามา: ได้รับข้อเสนอที่น่าสนใจมากกว่าจากที่อื่น 23.เปลี่ยนแปลงเส้นทางอาชีพเพื่อความสุขในการทำงาน: งานที่เดิมไม่ตอบโจทย์ความสุขและความพึงพอใจ ข้อควรคำนึงในการตอบคำถามสัมภาษณ์ให้ดูเป็นมืออาชีพ 1.ตอบให้เป็นเชิงบวก: ไม่ตำหนิที่ทำงานเก่า แม้จะมีปัญหาก็ตาม และต้องพูดและอธิบายให้เข้าใจอย่างชัดเจนว่าตนเองต้องการอะไร รวมถึงสิ่งที่ต้องการจะเป็นประโยชน์อย่างไร 2.เน้นการพัฒนาและการเติบโต: แสดงให้เห็นว่าคุณต้องการพัฒนา ไม่ใช่แค่หนีปัญหา เน้นย้ำถึงประสบการณ์และทักษะที่เราได้รับมา แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของตัวเราที่ทำให้เราเหนือกว่า Candidate คนอื่นๆ 3.กระชับและตรงประเด็น: ไม่ต้องลงรายละเอียดมากเกินไป แต่ต้องเป็นความจริง ไม่โกหกหรือพูดเกินจริง และเลี่ยงการแชร์ข้อมูลที่เป็นส่วนตัวมากจนเกินไป 4.ใช้ภาษาสุภาพ: ไม่ใช้คำศัพท์แสลงหรืออุทานไปด้วย ณ ขณะที่พูด และมีหางเสียงทุกครั้งที่พูดกับผู้สัมภาษณ์ เพื่อแสดงถึงความเป็นมืออาชีพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในการตอบคำถาม 'ทำไมถึงลาออกจากที่ทำงานเก่า?' 1.ตำหนิที่ทำงานเก่า หัวหน้า หรือเพื่อนร่วมงาน: การพูดเชิงลบจะทำให้ HR มองว่าเราอาจมีปัญหาในการทำงานกับคนอื่น มีทัศนคติเชิงลบ กลัวจะมีปัญหาในที่ทำงานในอนาคต เลยอาจจะปัดคุณตกจาก candidate ทันทีจากการได้ฟังคำตอบ 2.พูดว่า "เงินเดือนน้อยไป" หรือ "ต้องการเงินเดือนสูงขึ้น" ตรงๆ: ควรใช้คำที่ดูเป็นมืออาชีพ เช่น "ผม/ดิฉันต้องการโอกาสที่เหมาะสมกับประสบการณ์และความสามารถมากขึ้น" เพื่อไม่ให้ HR รู้สึกว่ามุ่งเน้นเพียงแต่เรื่องเงินเท่านั้น 3.บอกว่า "เบื่องาน" หรือ "งานเก่าน่าเบื่อ": ควรใช้คำที่ดูสร้างสรรค์กว่า เช่น "ต้องการงานที่ช่วยให้พัฒนาทักษะใหม่ๆ และท้าทายมากขึ้น" เพราะอาจทำให้ HR รู้สึกว่าคุณไม่มืออาชีพและรู้สึกว่าคุณเป็นคนเบื่อง่ายจนเกินไป กลัวคุณจะเข้ามาทำงานไม่นาน หากงานใหม่ทำให้คุณเบื่ออีกครั้ง เพราะองค์กรไหนๆก็ต้องการพนักงานที่จะเข้ามาทำงานกับองค์กรนั้นๆไปยาวๆ 4.ให้รายละเอียดเชิงลบเกี่ยวกับปัญหาภายในบริษัทเดิม: HR อาจมองว่าเรานำเรื่องภายในมาพูดลับหลัง และอาจทำแบบเดียวกันกับที่ใหม่ ทำให้ HR เกิดความไม่ไว้วางใจและไม่เลือกคุณเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในบริษัท 5.ตอบแบบไม่ชัดเจนหรือไม่มั่นใจ: ควรเตรียมคำตอบให้ชัดเจน เพื่อให้ HR เห็นว่าเรามีเหตุผลที่ดีและมีเป้าหมาย การตอบอย่างครุมเครือหรือลังเล จะทำให้ HR เกิดความสงสัยว่าเราอยากมาทำงานที่นี่จริงไหม 6.พูดถึงปัญหาส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับงาน: ควรแยกเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องงาน เพื่อให้ดูเป็นมืออาชีพ เพื่อให้ HR รู้สึกเชื่อใจคุณในระดับหนึ่งว่า หากได้คุณมาร่วมทีม ไม่ว่าในอนาคตจะเกิดปัญหาใดขึ้นเรื่องงาน คุณจะสามารถแก้ปัญหาในงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่ไม่ปนเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว 7.พูดว่า "ฉันไม่รู้" หรือ "ไม่อยากตอบ": การตอบแบบนี้ทำให้ HR รู้สึกว่าเราไม่มีเป้าหมายชัดเจน และเป็นการเสียมารยาทในการตอบคำถามสัมภาษณ์เป็นอย่างมาก ทุกคนสามารถนำไปเป็นไอเดียในการสัมภาษณ์ได้ และอย่าลืมยื่นที่อื่นไว้ด้วยล่ะ หรือถ้ายังไม่รู้จะหาแหล่งงานที่มีคุณภาพ งานที่ใช่และตรงใจ หรืออยากเรียนรู้เกี่ยวกับคอนเทนต์หางานอีก ก็สามารถเข้ามาดูเพิ่มเติม ได้ที่ Job Portal เรารวมไว้ให้คุณทั้งหมดแล้วไว้ที่นี่

    Mar 31, 2025
    1 min
    Thumbnail for 10 อาชีพเงินเดือนสูงสำหรับสายงานการตลาด

    10 อาชีพเงินเดือนสูงสำหรับสายงานการตลาด

    อาชีพที่ให้ค่าตอบแทนสูงเป็นเป้าหมายของหลาย ๆ คน โดยเฉพาะในสายงานการตลาดที่มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนธุรกิจ ยิ่งในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ธุรกิจจึงต้องพึ่งพานักการตลาดที่มีทักษะเฉพาะทางเพื่อสร้างยอดขายและขยายตลาด อาชีพบางสายสามารถให้ค่าตอบแทนหลักแสนบาทต่อเดือนเลยทีเดียว มาดูกันว่าอาชีพไหนบ้างที่อยู่ในลิสต์นี้ 1. ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด (Chief Marketing Officer-CMO) CMO เป็นผู้บริหารระดับสูงที่รับผิดชอบกลยุทธ์ทางการตลาดขององค์กร ทำหน้าที่กำหนดทิศทาง สร้างแบรนด์ วางแผนกลยุทธ์การตลาด และควบคุมงบประมาณด้านการตลาดทั้งหมดของบริษัท เพื่อให้มั่นใจว่าธุรกิจสามารถแข่งขันได้ในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทักษะที่จำเป็น: กลยุทธ์การตลาด, การบริหารงบประมาณ, การวิเคราะห์ข้อมูล, การสร้างแบรนด์ เรตเงินเดือน: 90,000 - 300,000+ บาท 2. ผู้จัดการฝ่ายการตลาดเชิงประสิทธิภาพ (Performance Marketing Manager) ตำแหน่งนี้เน้นการตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Marketing) โดยเน้นการเพิ่ม ROI (Return on Investment) ผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น Google Ads, Facebook Ads และ SEO เพื่อเพิ่มยอดขายและลดต้นทุนในการทำการตลาด ทักษะที่จำเป็น: การวิเคราะห์ข้อมูล, Google Analytics, การตลาดดิจิทัล, การจัดการโฆษณาออนไลน์ เรตเงินเดือน: 70,000 - 95,000+ บาท 3. ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดดิจิทัล (Digital Marketing Director) ผู้ที่ดำรงตำแหน่งนี้มีหน้าที่กำหนดกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ ดูแลการใช้แพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Social Media, SEO, SEM และ Content Marketing ให้สามารถสร้างการมีส่วนร่วมและเพิ่มยอดขายของธุรกิจ ทักษะที่จำเป็น: การตลาดดิจิทัล การวางแผนกลยุทธ์ การจัดการทีม เรตเงินเดือน: 70,000 - 200,000+ บาท 4. ผู้จัดการแบรนด์ (Brand Manager) Brand Manager มีหน้าที่ดูแลภาพลักษณ์ของแบรนด์ วางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด และบริหารผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของบริษัท พวกเขาต้องวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคและพัฒนาแนวทางการสื่อสารแบรนด์ให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย ทักษะที่จำเป็น: การสร้างแบรนด์ การบริหารผลิตภัณฑ์ การวิจัยตลาด เรตเงินเดือน: 70,000 - 150,000+ บาท 5. นักวิเคราะห์ข้อมูลการตลาด (Data Analyst) นักวิเคราะห์ข้อมูลมีหน้าที่รวบรวม วิเคราะห์ และตีความข้อมูลการตลาดเพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนและตัดสินใจได้อย่างแม่นยำขึ้น โดยใช้เครื่องมือเช่น Google Analytics, SQL และ Power BI ทักษะที่จำเป็น: การวิเคราะห์ข้อมูล, Data Science, เครื่องมือ BI เรตเงินเดือน: 50,000 - 180,000+ บาท 6. ผู้จัดการสื่อโซเชียลมีเดีย (Social Media Manager) Social Media Manager ดูแลและบริหารช่องทางโซเชียลมีเดียของแบรนด์ เช่น Facebook, Instagram, Twitter และ TikTok โดยต้องสร้างคอนเทนต์ให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและใช้กลยุทธ์เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วม (Engagement) ทักษะที่จำเป็น: การตลาดบนโซเชียลมีเดีย, การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค, การสร้างสรรค์คอนเทนต์ เรตเงินเดือน: 50,000 - 150,000+ บาท 7. ผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO (SEO Specialist) SEO Specialist มีหน้าที่เพิ่มอันดับเว็บไซต์ในผลการค้นหาของ Google และเครื่องมือค้นหาอื่น ๆ เพื่อให้เว็บไซต์ได้รับ Traffic แบบ Organic โดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณา พวกเขาต้องใช้เทคนิค On-page และ Off-page SEO รวมถึงวิเคราะห์คีย์เวิร์ดเพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับที่ดีที่สุด ทักษะที่จำเป็น: SEO, Google Analytics, การวิเคราะห์คีย์เวิร์ด เรตเงินเดือน: 40,000 - 180,000+ บาท 8. ผู้จัดการด้านการตลาดเนื้อหา (Content Marketing Manager) Content Marketing Manager มีหน้าที่วางกลยุทธ์และสร้างเนื้อหาที่ดึงดูดใจผู้บริโภค เช่น บทความ วิดีโอ อินโฟกราฟิก หรือพอดแคสต์ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า ทักษะที่จำเป็น: การเขียนคอนเทนต์, Storytelling, กลยุทธ์การตลาด เรตเงินเดือน: 40,000 - 170,000+ บาท 9. ผู้จัดการฝ่ายอีคอมเมิร์ซ (E-commerce Manager) E-commerce Manager ดูแลการขายสินค้าออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Shopee, Lazada และเว็บไซต์ของแบรนด์ โดยต้องบริหารสต็อกสินค้า วางแผนโปรโมชั่น และพัฒนาประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ของลูกค้า ทักษะที่จำเป็น: การบริหารแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ UX/UI การตลาดออนไลน์ เรตเงินเดือน: 50,000 - 200,000+ บาท 10.  ผู้จัดการด้านการตลาดอินฟลูเอนเซอร์เเละ KOL  (Influencer & KOL Marketing Manager) ตำแหน่งนี้รับผิดชอบการวางแผนและจัดการแคมเปญการตลาดที่ใช้ Influencer หรือ KOLs (Key Opinion Leaders) เพื่อโปรโมตสินค้าและบริการ โดยต้องเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่เหมาะสม วัดผลลัพธ์ และปรับปรุงกลยุทธ์การตลาด ทักษะที่จำเป็น: Relationship management, กลยุทธ์การตลาด, การวิเคราะห์ผลลัพธ์ เรตเงินเดือน: 40,000 - 180,000+ บาท งานสายการตลาดเป็นหนึ่งในสายงานที่มีความต้องการสูงและให้ค่าตอบแทนที่ดี โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับการตลาดดิจิทัลและการใช้ข้อมูลในการตัดสินใจ การพัฒนาทักษะและความสามารถในด้านต่าง ๆ จะช่วยให้สามารถก้าวหน้าในอาชีพและได้รับค่าตอบแทนที่สูงขึ้น เเละ​​หากกำลังมองหาแนวทางอาชีพเพิ่มเติม สามารถติดตามคำแนะนำและเคล็ดลับการสมัครงานล่าสุดได้ที่ Career Portal

    Mar 28, 2025
    2 min
    Thumbnail for 10 อาชีพเงินเดือนสูงสำหรับสายวิศวะ

    10 อาชีพเงินเดือนสูงสำหรับสายวิศวะ

    การมีรายได้สูงเป็นหนึ่งในเป้าหมายของหลาย ๆ คน โดยเฉพาะในสายงานวิศวกรรม ซึ่งต้องอาศัยความรู้เฉพาะทางและทักษะที่ซับซ้อน อาชีพบางสายสามารถให้ค่าตอบแทนหลักแสนบาทต่อเดือนได้ หากมีประสบการณ์และความสามารถที่เหมาะสม มาดูกันว่า 10 อาชีพวิศวกรรมที่ให้ค่าตอบแทนสูงมีอะไรบ้าง 1. วิศวกรปิโตรเลียม (Petroleum Engineer) วิศวกรปิโตรเลียมทำหน้าที่ศึกษา ออกแบบ และพัฒนาเทคนิคในการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากแหล่งใต้ดินอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการเพิ่มผลผลิตจากแหล่งพลังงานเดิมให้มากขึ้น พวกเขายังต้องวิเคราะห์ข้อมูลทางธรณีวิทยาและเลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต ทักษะที่จำเป็น: วิศวกรรมปิโตรเลียม, ธรณีวิทยา, การจำลองแหล่งพลังงาน เรตเงินเดือน: 80,000 - 300,000 บาท 2. วิศวกรซอฟต์แวร์ (Software Engineer) วิศวกรซอฟต์แวร์มีหน้าที่ออกแบบ พัฒนา และปรับปรุงระบบซอฟต์แวร์ให้มีประสิทธิภาพและตรงตามความต้องการของผู้ใช้ งานของพวกเขาครอบคลุมตั้งแต่การเขียนโปรแกรม การออกแบบโครงสร้างระบบ ไปจนถึงการแก้ไขข้อบกพร่องของซอฟต์แวร์ที่มีอยู่ ทักษะที่จำเป็น: การเขียนโปรแกรม (Python, Java, C++), การออกแบบระบบ, การจัดการฐานข้อมูล เรตเงินเดือน: 40,000 - 200,000 บาท 3. วิศวกรหุ่นยนต์ (Robotics Engineer) วิศวกรหุ่นยนต์ทำหน้าที่ออกแบบและพัฒนาหุ่นยนต์สำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมและงานวิจัย เช่น หุ่นยนต์ที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม หุ่นยนต์ทางการแพทย์ หรือหุ่นยนต์ช่วยเหลือในงานเฉพาะทาง โดยต้องพัฒนาทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เพื่อให้หุ่นยนต์ทำงานได้อย่างแม่นยำ ทักษะที่จำเป็น: วิศวกรรมเครื่องกล, อิเล็กทรอนิกส์ AI และการควบคุมอัตโนมัติ เรตเงินเดือน: 40,000 - 250,000 บาท 4. วิศวกรปัญญาประดิษฐ์ (AI Engineer) วิศวกรปัญญาประดิษฐ์มีหน้าที่พัฒนาโมเดล AI และ Machine Learning เพื่อนำไปใช้ในระบบอัจฉริยะ เช่น ระบบแนะนำสินค้า ระบบวิเคราะห์ข้อมูล และรถยนต์ไร้คนขับ พวกเขาต้องวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ สร้างอัลกอริธึมที่สามารถเรียนรู้ได้ และปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบ AI อย่างต่อเนื่อง ทักษะที่จำเป็น: การเขียนโปรแกรม, Data Science, อัลกอริธึม AI เรตเงินเดือน: 70,000 - 250,000 บาท 5. วิศวกรความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity Engineer) วิศวกรความปลอดภัยทางไซเบอร์ทำหน้าที่ปกป้องระบบคอมพิวเตอร์ เครือข่าย และข้อมูลจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ เช่น การโจมตีของแฮกเกอร์หรือมัลแวร์ โดยต้องออกแบบระบบความปลอดภัย ตรวจสอบช่องโหว่ และพัฒนาโซลูชันเพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหล ทักษะที่จำเป็น: การเจาะระบบ, Ethical Hacking, ความปลอดภัยเครือข่าย เรตเงินเดือน: 60,000 - 220,000 บาท 6. วิศวกรระบบคลาวด์ (Cloud Engineer) วิศวกรระบบคลาวด์มีหน้าที่ออกแบบ ดูแล และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน Cloud Computing เช่น AWS, Azure และ Google Cloud พวกเขาต้องบริหารทรัพยากรเซิร์ฟเวอร์และเครือข่ายให้รองรับการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ ทักษะที่จำเป็น: DevOps, Cloud Infrastructure เรตเงินเดือน: 50,000 - 200,000 บาท 7. วิศวกรเหมืองแร่ (Mining Engineer) วิศวกรเหมืองแร่ทำหน้าที่ออกแบบ วางแผน และควบคุมการขุดเจาะแร่ให้อยู่ในมาตรฐานความปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการวิเคราะห์คุณภาพแร่และกำหนดวิธีการสกัดแร่ที่มีประสิทธิภาพ ทักษะที่จำเป็น: ธรณีวิทยา, วิศวกรรมเหมืองแร่, การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เรตเงินเดือน: 50,000 - 250,000 บาท 8. วิศวกรอากาศยาน (Aerospace Engineer) วิศวกรอากาศยานมีหน้าที่ออกแบบ พัฒนา และทดสอบเครื่องบิน อวกาศยาน และระบบที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบขับเคลื่อน อากาศพลศาสตร์ และโครงสร้างของเครื่องบิน เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถทำงานได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ทักษะที่จำเป็น: วิศวกรรมเครื่องกล, Aerodynamics, การคำนวณโครงสร้าง เรตเงินเดือน: 50,000 - 300,000 บาท 9. วิศวกรพลังงาน (Energy Engineer) วิศวกรพลังงานทำหน้าที่ออกแบบและพัฒนาโซลูชันด้านพลังงาน เช่น พลังงานหมุนเวียน (โซลาร์เซลล์ พลังงานลม) หรือระบบผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ รวมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทักษะที่จำเป็น: ไฟฟ้า, กลศาสตร์, พลังงานหมุนเวียน เรตเงินเดือน: 65,000 - 180,000 บาท 10. วิศวกรชีวการแพทย์ (Biomedical Engineer) วิศวกรชีวการแพทย์มีหน้าที่ออกแบบและพัฒนาอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น เครื่องช่วยหายใจ แขนขาเทียม และระบบวินิจฉัยโรค เพื่อให้แพทย์สามารถใช้เทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทักษะที่จำเป็น: วิศวกรรมไฟฟ้า, ชีววิทยา, การออกแบบอุปกรณ์การแพทย์ เรตเงินเดือน: 35,000 - 200,000 บาท อาชีพในสายวิศวกรรมยังคงมีค่าตอบแทนสูง โดยเฉพาะอาชีพที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี พลังงาน และอุตสาหกรรมเฉพาะทาง การพัฒนาทักษะและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้เรามีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพและได้รับค่าตอบแทนที่สูงขึ้น เเละ​​หากกำลังมองหาแนวทางอาชีพเพิ่มเติม สามารถติดตามคำแนะนำและเคล็ดลับการสมัครงานล่าสุดได้ที่ Career Portal

    Mar 28, 2025
    2 min
    Thumbnail for รวม 10 อาชีพเงินเดือนสูงสำหรับสายศิลป์และสายภาษา

    รวม 10 อาชีพเงินเดือนสูงสำหรับสายศิลป์และสายภาษา

    ในยุคที่เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว หลายคนอาจมองข้ามความสำคัญของสายศิลป์และสายภาษา แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทักษะเหล่านี้ยังคงเป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาดแรงงาน และมีอาชีพจำนวนไม่น้อยที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความสามารถด้านศิลป์ภาษาได้รับผลตอบแทนที่สูงหากมีทักษะที่เหมาะสมและความสามารถที่โดดเด่น มาดูกันว่ามีอาชีพใดบ้างที่ให้ค่าตอบแทนสูงสำหรับคนที่มีพื้นฐานด้านศิลป์และภาษา 1. นักแปลและล่าม (Translator/Interpreter) นักแปลและล่ามทำหน้าที่แปลเอกสารหรือสื่อต่างๆ จากภาษาหนึ่งเป็นอีกภาษาหนึ่ง หรือแปลภาษาพูดในการประชุมหรือการสนทนา ทักษะที่จำเป็น: ความเชี่ยวชาญในภาษาต้นนั้น ๆ ภาษาเป้าหมาย เเละทักษะการสื่อสารที่ดี เรตเงินเดือน: 30,000 - 100,000 บาท (ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ) 2. นักเขียนคำโฆษณา (Copywriter) Copywriter ทำหน้าที่สร้างสรรค์ข้อความที่น่าสนใจและดึงดูดใจเพื่อใช้ในการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ ทักษะที่จำเป็น: ความคิดสร้างสรรค์, ทักษะการเขียน, ความเข้าใจในหลักการตลาด เรตเงินเดือน: 25,000 - 40,000 บาทขึ้นไป 3. บรรณาธิการ (Editor) บรรณาธิการทำหน้าที่ตรวจสอบและแก้ไขเนื้อหาต่างๆ ให้ถูกต้องตามหลักภาษาและมีความน่าสนใจ ทักษะที่จำเป็น: ความรู้ด้านภาษานั้น ๆ อย่างเชี่ยวชาญ, ความใส่ใจในรายละเอียด, ทักษะการสื่อสารที่ดี เรตเงินเดือน: 25,000 - 70,000 บาทขึ้นไป 4. นักออกแบบกราฟิก (Graphic Designer) นักออกแบบกราฟิกทำหน้าที่ในการสร้างสรรค์งานออกแบบต่างๆ เช่น โลโก้ โปสเตอร์ เว็บไซต์ เพื่อสื่อสารข้อมูลและสร้างความประทับใจ นักออกแบบที่มีเอกลักษณ์และสามารถสร้างสรรค์งานที่ดึงดูดใจตลาดสามารถสร้างรายได้ที่สูงได้ ทักษะที่จำเป็น: ความคิดสร้างสรรค์, ความรู้เกี่ยวกับโปรแกรมออกแบบ, ทักษะการสื่อสารด้วยภาพ เรตเงินเดือน: 20,000 - 60,000 บาทขึ้นไป 5. UX/UI Designer อาชีพนี้เป็นที่ต้องการสูงในยุคดิจิทัล UX/UI Designer มีหน้าที่ออกแบบประสบการณ์และอินเทอร์เฟซผู้ใช้สำหรับเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันเพื่อให้ใช้งานง่ายและดึงดูดใจ ทักษะที่จำเป็นคือการออกแบบกราฟิก การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้ และความสามารถในการใช้ซอฟต์แวร์ออกแบบเช่น Figma หรือ Adobe XD ทักษะที่จำเป็น: UX/UI Design (Figma, Adobe XD) ,User Research & Usability Testing ,Wireframing และ Prototyping เรตเงินเดือน: 30,000 - 80,000 บาทขึ้นไป 6. ผู้กำกับศิลป์ (Art Director) ผู้กำกับศิลป์ทำหน้าที่ดูแลและควบคุมทิศทางด้านศิลปะในการผลิตสื่อต่างๆ เช่น ภาพยนตร์ โฆษณา นิตยสาร ทักษะที่จำเป็น: ความคิดสร้างสรรค์, ทักษะการบริหารจัดการ, ทักษะการสื่อสารที่ดี เรตเงินเดือน: 30,000 - 60,000 บาทขึ้นไป 7. ครีเอทีฟไดเรกเตอร์ (Creative Director) ครีเอทีฟไดเรกเตอร์มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมโฆษณาและสื่อสร้างสรรค์ เป็นผู้กำหนดแนวคิดหลักและควบคุมงานสร้างสรรค์ทั้งหมดของทีม ไม่ว่าจะเป็นแคมเปญโฆษณา แบรนด์ดิ้ง หรือการผลิตเนื้อหาเพื่อสร้างอิทธิพลต่อผู้บริโภค ทักษะที่จำเป็น: การสื่อสาร การคิดเชิงกลยุทธ์ และความสามารถในการนำทีม เรตเงินเดือน: 35,000 - 80,000 บาทขึ้นไป 8.ผู้กำกับภาพยนตร์/โปรดิวเซอร์ (Director/Producer) ผู้กำกับภาพยนตร์และโปรดิวเซอร์เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการสร้างสรรค์ภาพยนตร์และโฆษณา พวกเขาต้องบริหารทีมงาน กำกับการถ่ายทำ และตัดสินใจเกี่ยวกับงานศิลป์และเนื้อหาเพื่อให้ผลงานออกมาสมบูรณ์แบบ ทักษะที่จำเป็น: Storytelling, การจัดการทีม, ความคิดสร้างสรรค์, และการบริหารงบประมาณ เรตเงินเดือน: รายได้ขึ้นอยู่กับโปรเจกต์ โดยอาจเริ่มต้นที่ 100,000 บาท และสูงถึง 300,000 บาท 9. นักเขียนบทภาพยนตร์ (Screenwriter) นักเขียนบทภาพยนตร์มีหน้าที่หลักในการสร้างสรรค์เรื่องราวและบทสนทนาสำหรับภาพยนตร์หรือละครโทรทัศน์ โดยต้องพัฒนาโครงเรื่อง เขียนบทสนทนา สร้างตัวละคร และเขียนบทบรรยาย รวมถึงแก้ไขบทให้สมบูรณ์พร้อมสำหรับการถ่ายทำ ทักษะที่จำเป็น: ความคิดสร้างสรรค์ ทักษะการเขียนบทสนทนาและการเล่าเรื่อง ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น เรตเงินเดือน: ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความสำเร็จของผลงาน 10. อาจารย์หรือติวเตอร์ภาษา (Language Professor/Tutor) อาจารย์หรือติวเตอร์ภาษาต้องมีความรู้เชิงลึกและสามารถถ่ายทอดความรู้ให้กับนักศึกษาได้ดี ทักษะที่จำเป็น: ความรู้ด้านภาษานั้น ๆ อย่างเชี่ยวชาญ, ทักษะการสอน, ทักษะการสื่อสาร เรตเงินเดือน: 20,000 - 60,000 บาทขึ้นไป (หรือมากกว่านั้นสำหรับติวเตอร์อิสระ) อาชีพเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนของสายงานที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความสามารถในสายศิลป์ภาษาได้รับผลตอบแทนที่สูง หากมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาทักษะของตนเองก็สามารถประสบความสำเร็จในสายอาชีพเหล่านี้ได้อย่างแน่นอน เเละ​​หากกำลังมองหาแนวทางอาชีพเพิ่มเติม สามารถติดตามคำแนะนำและเคล็ดลับการสมัครงานล่าสุดได้ที่ Career Portal

    Mar 28, 2025
    1 min
    Thumbnail for รวม 10 อาชีพเงินเดือนสูงที่รับเด็กจบใหม่

    รวม 10 อาชีพเงินเดือนสูงที่รับเด็กจบใหม่

    ในยุคปัจจุบัน การเลือกอาชีพที่มีเงินเดือนสูงเป็นเป้าหมายของใครหลาย ๆ คน โดยเฉพาะเด็กจบใหม่ที่ต้องการเริ่มต้นอาชีพด้วยรายได้ที่มั่นคงและมีโอกาสเติบโตในสายงานที่ตนเองสนใจ อาชีพที่ให้เงินเดือนสูงมักเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี การเงิน และการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งเป็นทักษะที่ตลาดแรงงานต้องการสูง มาดูกันว่า 10 อาชีพที่ให้ค่าตอบแทนสูงและเหมาะสำหรับเด็กจบใหม่มีอะไรบ้าง 1. นักพัฒนาซอฟต์แวร์ (Software Developer) นักพัฒนาซอฟต์แวร์ทำหน้าที่ออกแบบและพัฒนาแอปพลิเคชันหรือโปรแกรมต่าง ๆ ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ พวกเขาต้องมีทักษะในการเขียนโค้ดด้วยภาษาโปรแกรม เช่น Python, Java หรือ JavaScript รวมถึงสามารถวิเคราะห์และแก้ไขข้อผิดพลาดในซอฟต์แวร์ได้ อาชีพนี้มีความต้องการสูงในตลาดแรงงาน และสามารถเติบโตไปเป็น Software Engineer หรือ CTO (Chief Technology Officer) ได้ในอนาคต ทักษะที่จำเป็น: Programming (Python, Java, JavaScript) , Database Management (SQL, NoSQL) , Git และ Version Control เรตเงินเดือน: 30,000 - 80,000 บาท 2. นักการตลาดดิจิทัล (Digital Marketing Specialist) นักการตลาดดิจิทัลมีหน้าที่ในการวางกลยุทธ์และดำเนินการตลาดออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Facebook, Google Ads หรือ SEO พวกเขาต้องสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคและใช้ข้อมูลเชิงสถิติเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา การตลาดดิจิทัลเป็นสายงานที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีโอกาสก้าวหน้าและมีรายได้ที่ดี ทักษะที่จำเป็น: SEO, SEM , Google Analytics และ Facebook Ads Manager , การสร้าง Content และ Copywriting , Data Analysis และ Marketing Strategy เรตเงินเดือน: 25,000 - 60,000 บาท 3. นักวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analyst) นักวิเคราะห์ข้อมูลต้องมีความสามารถในการรวบรวม วิเคราะห์ และแปลผลข้อมูลเพื่อช่วยองค์กรในการตัดสินใจ พวกเขาต้องมีทักษะในการใช้เครื่องมือเช่น SQL, Python หรือ Power BI อาชีพนี้มีค่าตอบแทนสูง เนื่องจากความต้องการใช้งานข้อมูลในธุรกิจมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ทักษะที่จำเป็น: SQL, Python, R ,Data Visualization (Tableau, Power BI) เรตเงินเดือน: 35,000 - 90,000 บาท 4. วิศวกรระบบคลาวด์ (Cloud Engineer) ออกแบบและดูแลระบบ Cloud Computing เช่น AWS, Google Cloud หรือ Azure พวกเขาต้องมีความรู้ด้านเครือข่าย ความปลอดภัยของระบบ และสามารถพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการขยายตัวของธุรกิจได้ ทักษะที่จำเป็น: Cloud Computing (AWS, GCP, Azure) , DevOps & CI/CD Tools , Cybersecurity เรตเงินเดือน: 40,000 - 100,000  บาท 5. ที่ปรึกษาทางธุรกิจ (Business Consultant) นักวิเคราะห์และที่ปรึกษาทางธุรกิจช่วยองค์กรในการวางแผนกลยุทธ์ ปรับปรุงกระบวนการทำงาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ ทักษะที่จำเป็นได้แก่ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงธุรกิจ การสื่อสาร และการนำเสนอข้อมูล ทักษะที่จำเป็น: Business Analysis , Microsoft Office Suite, การเจรจาต่อรองและการสื่อสาร เรตเงินเดือน: 30,000 - 90,000  บาท 6. UX/UI Designer UX/UI Designer ทำหน้าที่ออกแบบอินเทอร์เฟซของเว็บไซต์และแอปพลิเคชันให้ใช้งานง่ายและมีประสบการณ์ที่ดีต่อผู้ใช้ พวกเขาต้องมีความเชี่ยวชาญในเครื่องมือออกแบบ เช่น Figma หรือ Adobe XD และมีความเข้าใจด้านจิตวิทยาผู้ใช้งาน ทักษะที่จำเป็น: UX/UI Design (Figma, Adobe XD) ,User Research & Usability Testing ,Wireframing และ Prototyping เรตเงินเดือน: 30,000 - 80,000  บาท 7. นักวิเคราะห์การเงิน (Financial Analyst) นักวิเคราะห์การเงินมีหน้าที่วิเคราะห์งบการเงินและคาดการณ์แนวโน้มทางธุรกิจ พวกเขาต้องมีทักษะด้านการเงินและการใช้โปรแกรม Microsoft Excel อย่างเชี่ยวชาญ ทักษะที่จำเป็น: การวิเคราะห์งบการเงิน , Financial Modeling & Valuation , ความรู้ด้านตลาดทุนและเศรษฐศาสตร์ เรตเงินเดือน: 35,000 - 85,000  บาท 8. เจ้าหน้าที่พัฒนาธุรกิจ (Business Development Executive) Business Development Executive ทำหน้าที่หาลูกค้าใหม่ เจรจาต่อรอง และวางแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อขยายตลาด นักพัฒนาธุรกิจต้องมีทักษะการขายและการสื่อสารที่ดี ทักษะที่จำเป็น: Sales & Negotiation Skills , CRM Software (Salesforce, HubSpot) ,การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า (Client Relationship Management) เรตเงินเดือน: 25,000 - 70,000 บาท ยังไม่รวมค่าคอมมิชชั่น (ถ้ามี) 9. นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Scientist) นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลต้องใช้ Machine Learning และ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อนำไปใช้ในการตัดสินใจทางธุรกิจ ทักษะที่จำเป็น: Python, Machine Learning, Deep Learning ,Big Data Processing เรตเงินเดือน: 50,000 - 120,000  บาท 10. วิศวกรหุ่นยนต์ (Robotics Engineer) วิศวกรหุ่นยนต์ทำหน้าที่ออกแบบและพัฒนาระบบหุ่นยนต์สำหรับงานอุตสาหกรรม ทักษะที่จำเป็น: Robotics Programming (Python, C++) ,ระบบควบคุมอัตโนมัติ (ROS, Embedded Systems), AI & Computer Vision เรตเงินเดือน: 40,000 - 100,000  บาท อาชีพที่มีเงินเดือนสูงมักต้องการทักษะเฉพาะทางและความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หากเด็กจบใหม่สามารถพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องและเรียนรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ ก็จะมีโอกาสก้าวหน้าในสายงานและได้รับค่าตอบแทนที่สูงขึ้นอย่างแน่นอน เเละ​​หากกำลังมองหาแนวทางอาชีพเพิ่มเติม สามารถติดตามคำแนะนำและเคล็ดลับการสมัครงานล่าสุดได้ที่ Career Portal

    Mar 28, 2025
    2 min
    Thumbnail for รวม 10 อาชีพจ่ายหนัก ที่มีเงินเดือนแตะแสน!

    รวม 10 อาชีพจ่ายหนัก ที่มีเงินเดือนแตะแสน!

    การมีรายได้สูงถือเป็นความฝันของใครหลาย ๆ คน เพราะนอกจากจะช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแล้ว ยังสามารถสร้างความมั่นคงให้กับอนาคตอีกด้วย อย่างไรก็ตาม งานที่ให้เงินเดือนหลักแสนขึ้นไปมักมาพร้อมความรับผิดชอบ ทักษะ และประสบการณ์ที่สูงตามไปด้วย วันนี้เราจะพาทุกคนไปดู 10 อาชีพที่มีเงินเดือนสูงแตะแสน และรายละเอียดเกี่ยวกับแต่ละอาชีพว่าต้องทำอะไร ต้องมีทักษะอะไรบ้าง พร้อมทั้งช่วงเงินเดือนคร่าว ๆ ที่ได้รับ 1. แพทย์เฉพาะทาง แพทย์เฉพาะทางทำหน้าที่วินิจฉัย รักษา และให้คำแนะนำเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น ศัลยแพทย์ แพทย์โรคหัวใจ หรือแพทย์ผิวหนัง เป็นต้น ทักษะที่ต้องมี: ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ความละเอียดรอบคอบ การตัดสินใจที่รวดเร็ว ความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เรตเงินเดือน: 100,000 - 500,000 บาท (ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญและประสบการณ์) 2. วิศวกรปิโตรเลียม วิศวกรปิโตรเลียมมีหน้าที่ในการวางแผน ควบคุม และดูแลกระบวนการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่ามหาศาล ทักษะที่ต้องมี: ความรู้ด้านธรณีวิทยา วิศวกรรมปิโตรเลียม การวิเคราะห์ข้อมูล การบริหารจัดการโครงการ เรตเงินเดือน: 100,000 - 300,000 บาท 3. นักบินพาณิชย์ นักบินพาณิชย์ทำหน้าที่บังคับเครื่องบินโดยสาร ดูแลความปลอดภัยของผู้โดยสารและลูกเรือ รวมถึงการจัดการเที่ยวบินให้เป็นไปตามแผนการบิน ทักษะที่ต้องมี: ทักษะการบิน ความแม่นยำในการคำนวณ การรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน การสื่อสารที่ดี เรตเงินเดือน: 150,000 - 500,000 บาท 4. ผู้บริหารระดับสูง (CEO, CFO, CTO) ผู้บริหารระดับสูงทำหน้าที่กำหนดทิศทางองค์กร วางแผนกลยุทธ์ และตัดสินใจในเรื่องสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จของบริษัท ทักษะที่ต้องมี: ภาวะความเป็นผู้นำ การบริหารองค์กร การวางกลยุทธ์ ทักษะการเจรจาต่อรอง เรตเงินเดือน: 200,000 - 1,000,000 บาท 5. Data Scientist นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลทำหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมาก เพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทักษะที่ต้องมี: การวิเคราะห์ข้อมูล การเขียนโปรแกรม Python/R ความรู้ด้าน Machine Learning เรตเงินเดือน: 100,000 - 300,000 บาท 6. ทนายความด้านธุรกิจและการเงิน ทนายความที่เชี่ยวชาญด้านธุรกิจและการเงิน มีหน้าที่ให้คำปรึกษาด้านกฎหมายเกี่ยวกับสัญญาทางธุรกิจ การควบรวมกิจการ และการลงทุน ทักษะที่ต้องมี: ความรู้ด้านกฎหมายธุรกิจ ความสามารถในการเจรจาต่อรอง การวิเคราะห์และแก้ไขปัญหา เรตเงินเดือน: 100,000 - 400,000 บาท 7. นักวิเคราะห์การเงิน (Financial Analyst) นักวิเคราะห์การเงินมีหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินของบริษัท หรือให้คำแนะนำด้านการลงทุนและการบริหารสินทรัพย์ ทักษะที่ต้องมี: การวิเคราะห์ทางการเงิน ความเชี่ยวชาญด้าน Excel และซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูล การทำงบประมาณ เรตเงินเดือน: 100,000 - 300,000 บาท 8. นักเทรดหุ้น (Stock Trader) นักเทรดหุ้นทำหน้าที่ซื้อขายหุ้น พันธบัตร และสินทรัพย์ทางการเงินอื่น ๆ เพื่อสร้างผลกำไรสูงสุด ทักษะที่ต้องมี: ความรู้ด้านตลาดทุน ทักษะการวิเคราะห์ทางเทคนิค ความสามารถในการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เรตเงินเดือน: 100,000 - 500,000 บาท (ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และผลประกอบการ) 9. ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI และ Machine Learning ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI และ Machine Learning มีหน้าที่พัฒนาและออกแบบระบบอัจฉริยะที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถวิเคราะห์ข้อมูลและตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทักษะที่ต้องมี: ความรู้ด้าน AI, Python, Deep Learning, Data Science เรตเงินเดือน: 120,000 - 400,000 บาท 10. วิศวกรซอฟต์แวร์ (Software Engineer) วิศวกรซอฟต์แวร์พัฒนา ออกแบบ และดูแลระบบซอฟต์แวร์ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทักษะที่ต้องมี: การเขียนโปรแกรม (Java, Python, C++) การพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ การแก้ไขข้อผิดพลาด (Debugging) เรตเงินเดือน: 100,000 - 300,000 บาท นี่เป็นเพียงตัวอย่างของ 10 อาชีพที่ให้เงินเดือนสูงระดับแสนบาทขึ้นไป ซึ่งแต่ละอาชีพล้วนต้องอาศัยทักษะและประสบการณ์ที่เฉพาะทาง หากคุณกำลังมองหาแนวทางในการพัฒนาตัวเองเพื่อก้าวเข้าสู่อาชีพเหล่านี้ ก็สามารถเริ่มต้นจากการศึกษาหาความรู้และฝึกฝนทักษะที่เกี่ยวข้องตั้งแต่วันนี้ เเละ​​หากกำลังมองหาแนวทางอาชีพเพิ่มเติม สามารถติดตามคำแนะนำและเคล็ดลับการสมัครงานล่าสุดได้ที่ Career Portal

    Mar 28, 2025
    1 min
    Thumbnail for Function Cognitive Test คืออะไร? มารู้จักตัวเองให้มากขึ้นผ่านแบบทดสอบกัน

    Function Cognitive Test คืออะไร? มารู้จักตัวเองให้มากขึ้นผ่านแบบทดสอบกัน

    ทำไมต้องรู้จักตนเอง? การเข้าใจตนเองเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญในการพัฒนาตัวเองในด้านต่าง ๆ เช่น การทำงาน ความสัมพันธ์ หรือการใช้ชีวิตประจำวัน การเข้าใจว่าเรามีแนวโน้มคิด วิเคราะห์ และตัดสินใจอย่างไร จะช่วยให้เราสามารถพัฒนาตัวเองได้อย่างตรงจุด ซึ่งการรู้จักตนเองก็สามารถทำได้หลายทาง ไม่ว่าจะเป็นการปรึกษาแพทย์ การทำแบบทดสอบ MBTI, Ennegram Test และอื่น ๆ โดยการทำแบบทดสอบ Function Cognitive Test เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยให้เราเข้าใจตนเองได้ดีขึ้น Cognitive Function Test คืออะไร? Cognitive Function Test คือแบบทดสอบที่อิงกับแนวคิดของ Cognitive Functions ซึ่งเป็นกระบวนการที่สมองใช้ในการประมวลผลข้อมูล การตัดสินใจ และการตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ ซึ่งแนวคิดนี้ถูกพัฒนาขึ้นโดยนักจิตวิทยาชื่อ Carl Jung โดยได้ระบุไว้ว่ามี Cognitive Functions ทั้งหมด 8 ประเภท โดยฟังก์ชันเหล่านี้เป็นตัวกำหนดลักษณะและวิธีคิดของบุคคลต่าง ๆ ซึ่งความแตกต่างของ Cognitive Function ในแต่ละบุคคลส่งผลให้เกิดบุคลิกภาพ 16 แบบที่อยู่ในระบบ MBTI ความแตกต่างระหว่าง Cognitive Functions กับ MBTI ทั่วไป MBTI เป็นแบบทดสอบที่นิยมใช้เพื่อจำแนกบุคลิกภาพออกเป็น 16 ประเภท โดยอาศัยตัวอักษร 4 ตัว เช่น INTJ, ESFP และ ENTP อย่างไรก็ตาม MBTI ใช้โครงสร้างที่ง่ายกว่าและอาจไม่ได้ลงลึกในเชิงการทำงานของสมอง ในขณะที่ Function Cognitive Test มุ่งเน้นไปที่การทำงานของ Cognitive Functions โดยตรง ซึ่งสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับวิธีคิดและการตัดสินใจของแต่ละบุคคลได้ละเอียดมากขึ้น ผลของแบบทดสอบของ Cognitive Functions แบบทดสอบ Cognitive Functions จะมีผลลัพธ์ 8 ฟังก์ชันหลัก ได้แก่ 1.Introverted Thinking (Ti) & Extraverted Thinking (Te) Ti : คนที่ได้ผลลัพธ์นี้จะวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียดและให้ความสำคัญกับโครงสร้างของเหตุผลที่แม่นยำ จะไตร่ตรองข้อมูลก่อนตัดสินใจ โดยพยายามหาคำตอบที่ถูกต้องที่สุด Te : คนที่ได้ผลลัพธ์นี้มีแนวทางคิดที่เป็นระบบและเน้นผลลัพธ์ที่ชัดเจน ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วโดยใช้ข้อมูลที่เป็นรูปธรรม 2.Introverted Feeling (Fi) & Extraverted Feeling (Fe) Fi : คนที่ได้ผลลัพธ์นี้ตัดสินใจโดยอิงตามค่านิยมส่วนตัวและหลักคุณธรรมที่ตนเองยึดถือ ให้ความสำคัญกับความถูกต้องในมุมมองของตนเอง มากกว่าการทำตามมาตรฐานของสังคม Fe : คนที่ได้ผลลัพธ์นี้คำนึงถึงอารมณ์และความรู้สึกของผู้อื่นเป็นหลัก ให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และพยายามทำให้สภาพแวดล้อมรอบตัวกลมกลืนและเป็นที่ยอมรับของสังคม 3.Introverted Sensing (Si) & Extraverted Sensing (Se) Si: คนที่ได้ผลลัพธ์นี้มีแนวโน้มที่จะจดจำรายละเอียดจากอดีตและใช้ประสบการณ์เดิมเป็นแนวทางในการตัดสินใจ ให้ความสำคัญกับโครงสร้างที่คุ้นเคยและความมั่นคงในชีวิต Se : คนที่ได้ผลลัพธ์นี้มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งรอบตัวอย่างรวดเร็ว ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ชื่นชอบความตื่นเต้นและการลงมือทำในทันที 4.Introverted Intuition (Ni) & Extraverted Intuition (Ne) Ni : คนที่ได้ผลลัพธ์นี้สามารถมองเห็นภาพรวมและแนวโน้มในอนาคตได้อย่างแม่นยำ มีความสามารถในการวิเคราะห์เชิงลึกและคาดการณ์ผลลัพธ์ระยะยาวโดยเชื่อมโยงข้อมูลจากหลายแหล่ง Ne : คนที่ได้ผลลัพธ์นี้มีแนวคิดที่เปิดกว้างและชอบสำรวจไอเดียใหม่ ๆ และสามารถเชื่อมโยงแนวคิดต่าง ๆ เข้าด้วยกันได้อย่างสร้างสรรค์ ตัวอย่างพฤติกรรมของแต่ละฟังก์ชัน คนที่มี Ti เด่น อาจชอบตั้งคำถามเกี่ยวกับหลักการและตรรกะของสิ่งต่าง ๆ คนที่มี Fe เด่น อาจพยายามสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงานและดูแลความรู้สึกของเพื่อนร่วมงาน คนที่มี Ni เด่น อาจมีแนวคิดที่ลึกซึ้งและคาดการณ์แนวโน้มของอนาคตได้ดี คนที่มี Se เด่น อาจมีความสามารถในการสังเกตและปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างรวดเร็ว Function Cognitive Test ทำได้ที่ไหน? ปัจจุบันมีแหล่งทดสอบ Cognitive Functions ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เช่น แบบทดสอบภาษาอังกฤษ แบบทดสอบภาษาไทย ตัวอย่างการนำผลทดสอบไปใช้ในชีวิตประจำวัน ผลทดสอบของ Cognitive Functions จะช่วยให้เราสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้หลายด้าน เช่น ด้านการทำงาน คนที่มี Te (Extraverted Thinking) เด่นมักมีความสามารถในการบริหารจัดการและตัดสินใจบนพื้นฐานของเหตุผลและประสิทธิภาพ จึงเหมาะกับอาชีพอย่าง Project Manager หรือ Assistant Manager ในขณะที่คนที่มี Fi (Introverted Feeling) เด่นจะให้ความสำคัญกับคุณค่าภายในและอารมณ์ความรู้สึก เหมาะกับงานด้านศิลปะ การให้คำปรึกษา หรืองานที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรม เช่น นักจิตวิทยาหรือนักออกแบบ ด้านการสื่อสาร คนที่มี Ne (Extraverted Intuition) เด่นจะมีไอเดียสร้างสรรค์และสามารถแลกเปลี่ยนแนวคิดใหม่ ๆ ได้ดี เหมาะกับอาชีพนักการตลาด นักเขียน หรือที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ ส่วนคนที่มี Si (Introverted Sensing) เด่นจะให้ความสำคัญกับข้อมูลที่แม่นยำ นำผลลัพธ์จากประสบการณ์ตนเองนำมาปรับใช้เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพให้ดีที่สุด เหมาะกับอาชีพนักบัญชี นักวิเคราะห์ข้อมูล หรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายเอกสาร นอกจากนี้ การเข้าใจ Cognitive Functions ของตนเองยังช่วยให้เราพัฒนาจุดแข็ง ปรับปรุงจุดอ่อน และเข้าใจผู้อื่นได้ดีขึ้น ทำให้สามารถสื่อสารและทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หากสนใจหางานที่เหมาะกับคุณ สามารถเข้าๆไปสมัครงานได้ที่ Job Portal เลย การทำแบบทดสอบ Function Cognitive Test เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เราเข้าใจตนเองได้ดีขึ้น ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาทั้งด้านการทำงาน การสื่อสาร และการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น หากสนใจสำรวจตัวเองให้ลึกซึ้งขึ้น ลองทำแบบทดสอบดูก็อาจจะทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น และถ้าสนใจคอนเทนต์เพิ่มเติมเกี่ยวกับบุคลิกภาพและการพัฒนาตนเอง สามารถติดตามได้ที่ Career Portal

    Mar 27, 2025
    2 min
    Thumbnail for อยากทำงานที่ได้เงินเดือนหลักแสน?  เช็กเลย! 10 อาชีพรายได้สูงสุดในกรุงเทพฯ ปี 2025

    อยากทำงานที่ได้เงินเดือนหลักแสน? เช็กเลย! 10 อาชีพรายได้สูงสุดในกรุงเทพฯ ปี 2025

    กรุงเทพฯ ยังคงเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศไทยที่เต็มไปด้วยโอกาสทางอาชีพ โดยอ้างอิงจากข้อมูลตลาดและรายงานอุตสาหกรรม นี่คือ 10 อาชีพที่มีรายได้สูงสุดในปี 2025 สำหรับทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ครอบคลุมทั้งระดับเริ่มต้นและระดับอาวุโส 1. ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) – ระดับอาวุโส เงินเดือนเฉลี่ย: ฿250,000 – ฿500,000/เดือน ทักษะสำคัญ: ภาวะผู้นำ, การวางกลยุทธ์, การพัฒนาธุรกิจ 2. นักวาณิชธนกิจ (Investment Banker) – ระดับเริ่มต้นและอาวุโส เงินเดือนเฉลี่ย: ฿80,000 – ฿400,000/เดือน ทักษะสำคัญ: การวิเคราะห์ทางการเงิน, การบริหารความเสี่ยง, การจัดการลูกค้า 3. ผู้อำนวยการฝ่ายไอที / ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี (IT Director / CTO) – ระดับอาวุโส เงินเดือนเฉลี่ย: ฿200,000 – ฿350,000/เดือน ทักษะสำคัญ: การพัฒนาซอฟต์แวร์, ความปลอดภัยทางไซเบอร์, กลยุทธ์ไอที 4. แพทย์เฉพาะทาง (ศัลยแพทย์, วิสัญญีแพทย์) – ระดับอาวุโส เงินเดือนเฉลี่ย: ฿180,000 – ฿300,000/เดือน ทักษะสำคัญ: ความเชี่ยวชาญทางการแพทย์, การดูแลผู้ป่วย, การผ่าตัด 5. นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล / วิศวกร AI (Data Scientist / AI Engineer) – ระดับเริ่มต้นและอาวุโส เงินเดือนเฉลี่ย: ฿60,000 – ฿250,000/เดือน ทักษะสำคัญ: การเรียนรู้ของเครื่อง, การวิเคราะห์ข้อมูล, การเขียนโปรแกรม Python/R 6. ที่ปรึกษากฎหมาย / ทนายความองค์กร (Legal Counsel / Corporate Lawyer) – ระดับอาวุโส เงินเดือนเฉลี่ย: ฿150,000 – ฿280,000/เดือน ทักษะสำคัญ: กฎหมายองค์กร, การเจรจาสัญญา, การปฏิบัติตามกฎระเบียบ 7. ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด (Marketing Director) – ระดับเริ่มต้นและอาวุโส เงินเดือนเฉลี่ย: ฿60,000 – ฿250,000/เดือน ทักษะสำคัญ: การตลาดดิจิทัล, การสร้างแบรนด์, การวิจัยตลาด 8. นักบิน(Airline Pilot) – ระดับอาวุโส เงินเดือนเฉลี่ย: ฿150,000 – ฿300,000/เดือน ทักษะสำคัญ: ความปลอดภัยการบิน, การปฏิบัติการบิน, การนำทาง 9. นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Developer) – ระดับเริ่มต้นและอาวุโส เงินเดือนเฉลี่ย: ฿70,000 – ฿250,000/เดือน ทักษะสำคัญ: การลงทุนอสังหาริมทรัพย์, การวางแผนเมือง, การขาย 10. วิศวกรซอฟต์แวร์อาวุโส / นักพัฒนา Blockchain (Senior Software Engineer / Blockchain Developer) – ระดับเริ่มต้นและอาวุโส เงินเดือนเฉลี่ย: ฿80,000 – ฿220,000/เดือน ทักษะสำคัญ: การพัฒนาระบบแบบ Full-Stack, Smart Contracts, การเข้ารหัสข้อมูล อาชีพที่มีรายได้สูงในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่อยู่ในสาขาการบริหารระดับสูง, การเงิน, เทคโนโลยี และการแพทย์ โอกาสเปิดรับทั้งชาวไทยและต่างชาติ โดยมีตำแหน่งระดับเริ่มต้นที่เข้าถึงได้ในสาขาเทคโนโลยี, การเงิน และการตลาด หากกำลังมองหาแนวทางอาชีพเพิ่มเติม สามารถติดตามคำแนะนำและเคล็ดลับการสมัครงานล่าสุดได้ที่ Career Portal

    Mar 26, 2025
    1 min
    Thumbnail for รวม 6 ประเทศน่าไปเรียน เมื่อมีแพลนเรียนต่อต่างประเทศ

    รวม 6 ประเทศน่าไปเรียน เมื่อมีแพลนเรียนต่อต่างประเทศ

    เชื่อว่าทุกวันนี้ หลายๆคนมีแพลนอยากไปเรียนต่อต่างประเทศ เนื่องจากมีปัจจัยหลายอย่างที่เอื้ออำนวยต่อการไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศมากขึ้น เช่น โซเชียลมีเดีย มีญาติอาศัยที่ต่างประเทศ หรือการคมนาคมที่สะดวกมากขึ้น เป็นต้น แต่ก็อาจจะยังลังเล หรือกำลังหาข้อมูลอยู่ว่าจะเลือกไปเรียนที่ประเทศไหนดี? วันนี้ Jobcadu จะพามาทำความรู้จักกับ 6 ประเทศที่คู่ควรแก่การไปเรียนต่อ จะมีประเทศอะไรบ้าง ไปดูกันเลย! 1.Australia ทำไมต้องไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย? ออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีระบบการศึกษาที่มีคุณภาพติดอันดับที่ 3 ของโลก ในปี 2020 อ้างอิงจากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกจากสถาบันการจัดอันดับต่างๆ นอกจากนี้ยังมีวิชาเปิดสอนที่ครอบคลุมทุกสาขาวิชา มีทั้งระยะสั้นไปจนถึงระดับปริญญา รวมไปถึงยังมีสถาบันเฉพาะด้านอีกด้วย และมีค่าครองชีพต่ำ ถ้าเทียบกับประเทศอื่นๆที่คนมักมาเรียนต่อ คณะที่แนะนำในการไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย Business & Management Engineering & Technology Law Communication & Media Art & Design ตัวอย่างหลักสูตรเรียนต่อที่ออสเตรเลียที่เรามี Business, Finance and Management / The University of Queensland, Brisbane City, Australia (499,957.74 THB) IT and Computer Science / Master of Data Science, The University of Adelaide, Adelaide, South Australia, Australia (1,107,795.07 THB) 2.Canada ทำไมต้องเรียนต่อที่แคนาดา? แคนาดาเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีระดับคุณภาพการศึกษาสูง มีมาตรฐานระดับโลก นักศึกษาต่างชาติที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยของแคนาดา จึงประสบความสำเร็จและก้าวหน้าในหน้าที่การงานจากมาตรฐานการศึกษาที่สูงของประเทศแคนาดา และด้วยความที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมสูง คนในประเทศแคนาดาจึงมีนิสัยเป็นกันเอง เป็นมิตร ให้เกียรติและเคารพผู้อื่น มีอัตราอาชญากรรมและการก่อความรุนแรงอยู่ในระดับต่ำ ถือเป็นประเทศที่มีคุณภาพชีวิตดีประเทศหนึ่งเลย คณะที่แนะนำในการเรียนต่อที่แคนาดา Computer Science and IT Economics Engineering Business Management Medical ตัวอย่างหลักสูตรเรียนต่อที่แคนาดาที่เรามี Natural, Physical and Environmental Sciences / Michael G. DeGroote Health Leadership Academy (HLA), McMaster University, Hamilton, Canada (105,696.73 THB) Master of Computing Science / University of Alberta, Edmonton, Canada (464,960.41 THB) 3.Singapore ทำไมต้องเรียนต่อที่สิงคโปร์? สิงคโปร์เป็นอีกหนึ่งประเทศที่น่าไปเรียน แม้ประชากรและพื้นที่ในประเทศอาจจะไม่ได้ใหญ่ แต่ถือเป็นประเทศชั้นนำที่ขับเคลื่อนสู่อนาคต เด่นเรื่องการพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่ดีติดอันดับต้นๆทั้งของโลกและในแถบเอเชีย และยังอยู่ไม่ไกลจากประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีหลากหลายวัฒนธรรมเชื้อชาติ ทำให้ผู้คนที่นั่นยอมรับความแตกต่างของกันและกัน และเป็นมิตรกับชาวต่างชาติ จึงได้ขึ้นชื่อเรื่องรับประกันความปลอดภัยในการไปอยู่อาศัยหรือไปเรียนต่อ คณะที่แนะนำในการเรียนต่อที่สิงคโปร์ Business Management Chemical & Life Sciences Engineering Design Health Sciences ตัวอย่างหลักสูตรเรียนต่อที่สิงค์โปร์ที่เรามี Natural, Physical and Environmental Sciences / Master of Science in Power Engineering, Nanyang Technological University, Singapore, Singapore (1,418,637.01 THB) Business, Finance and Management / Master of Science in Maritime Studies, Nanyang Technological University, Singapore, Singapore (1,139,492.13 Thai Baht) 4.Thailand ทำไมต้องเรียนต่อที่ประเทศไทย? ในปัจจุบัน ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีชาวต่างชาติเลือกมาเรียนต่อมากขึ้น จะเห็นได้ชัดมากขึ้นในหลายๆมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยภาคอินเตอร์ มีหลากหลายหลักสูตรให้เลือกเรียนได้อย่างอิสระ ซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดได้อย่างหนึ่งว่าประเทศเราถือเป็นประเทศหนึ่งที่มีคุณภาพชีวิตและการศึกษาที่ดีไม่แพ้ชาติอื่นๆเลย ไม่ว่าจะเรื่อง ค่าครองชีพที่ต่ำ อาหารอร่อย และความเป็นมิตรของผู้คนในประเทศ ถือเป็นเอกลักษณ์และควรอนุรักษ์ไว้อย่างยิ่ง ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมควรเลือกเรียนต่อที่ประเทศไทย คณะที่แนะนำในการเรียนต่อที่ประเทศไทย นิเทศศาสตร์ บริหารธุรกิจ วิศวกรรมศาสตร์ ครุศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ ตัวอย่างหลักสูตรเรียนต่อที่ประเทศไทยที่เรามี IT and Computer Science / Master of Arts (M.A.) in Applied Economics (MAAE), Chulalongkorn University, Bangkok, Thailand 5.UK (United Kingdom) ทำไมต้องเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ? ประเทศอังกฤษมีชื่อเสียงระดับโลกในด้านการศึกษา โดยมีมหาวิทยาลัยชื่อดังอย่าง Oxford, Cambridge, และ Imperial College London ที่ติดอันดับโลก ไม่ได้มีแค่คุณภาพสูงในด้านการวิจัยและการเรียนการสอนเท่านั้น แต่ยังมีหลักสูตรที่หลากหลาย ทั้งในสาขาศิลปะ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และอื่น ๆ โดยสามารถเลือกเรียนสาขาที่ตรงกับความสนใจและความถนัดได้อย่างอิสระ นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสที่ดีในการพบปะเพื่อนนักศึกษาจากทั่วโลก โดยจะได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ความคิด และวิธีการดำเนินชีวิตจากหลากหลายประเทศ การมีเพื่อนจากหลายประเทศสามารถช่วยเปิดโลกทัศน์และเพิ่มทักษะการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมที่หลากหลายได้ดียิ่งขึ้น คณะที่แนะนำในการเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ Business & Entrepreneurship Digital Marketing Engineering Law Accounting and Finance ตัวอย่างหลักสูตรเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษที่เรามี Business, Finance and Management / MSc Finance with Data Science, University College London, London, UK (2,036,295.97 THB) IT and Computer Science / Disability, Design and Innovation MSc, University College London, London, UK (1,720,691.71 Thai Baht) 6.USA (United States of America) ทำไมต้องเรียนต่อที่อเมริกา? อเมริกาเป็นที่รู้จักในด้านการศึกษาที่มีคุณภาพสูง และเป็นที่นิยมในหมู่นักเรียนด้วยวิธีการสอนที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ในระดับสากลและเป็นที่ยอมรับกันว่า อเมริกาเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชั้นนำติดอันดับ World Universities Ranking มากมาย นอกจากนี้ ประชาชนในประเทศก็มีหลายสัญชาติ เพราะอเมริกาคือประเทศแห่งเสรีภาพ ทำให้ได้สัมผัสวัฒนธรรมและการใช้ชีวิตอันแตกต่าง การได้พบเจอกับความหลากหลายทางสัญชาตินี้จะสร้างภูมิคุ้มกัน ได้เปิดกว้างความเข้าใจในความต่างทางวัฒนธรรมให้นักศึกษาได้เรียนรู้อีกด้วย คณะที่แนะนำในการเรียนต่อที่ประเทศอเมริกา Engineering Business and Management Computer Science ตัวอย่างหลักสูตรเรียนต่อที่ประเทศอเมริกาที่เรามี Business, Finance and Management / Fellowship for Public Education Leadership, Yale University, New Haven, USA (2,058,329.63 THB) IT and Computer Science / Master of Engineering in Computation and Cognition, Massachusetts Institute of Technology (MIT), Massachusetts, USA (1,988,948.79 THB) หากสนใจบทความเกี่ยวกับการศึกษาต่อ หรือคอร์สเรียนต่อต่างประประเทศรวมถึงรายละเอียดต่างๆ สามารถเข้ามาเยี่ยมชมเพิ่มเติมได้ที่ Education Portal แหล่งรวมความรู้ ทักษะ และโอกาสต่างๆในการงานรวมไว้ที่นี่ทั้งหมดแล้ว อ้างอิง 1.Thebest-edu 2.Hands-on 3.IDP 4.images.app 5.hands-on 6.thaistudyabroad 7.images.app 8.studyuk.in.th 9.Hands-on 10.learningcurve 11.images.app 12.kor-kai 13.images.app 14.bltbangkok 15.images.app 16.Hands-on-us 17.Hands-on

    Mar 6, 2025
    3 min
    Thumbnail for 16 Personality Factor แบบทดสอบบุคลิกภาพ 16PF คืออะไร

    16 Personality Factor แบบทดสอบบุคลิกภาพ 16PF คืออะไร

    ช่วงนี้เห็นว่ามีแบบทดสอบมาให้ทำกันมากมายในเวอร์ชันภาษาไทย ไม่ว่าจะเป็น Archetype Test, Seasons of Love หรือ MBTI วันนี้ Jobcadu จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ 16 Personality Factor (16PF) ซึ่งเป็นแบบทดสอบบุคลิกภาพที่ได้รับการพัฒนาอย่างเป็นระบบและได้รับการยอมรับในทางจิตวิทยา แล้วแบบทดสอบนี้มีที่มาอย่างไร และมีบุคลิกภาพอะไรบ้าง มาดูกัน แบบทดสอบบุคลิกภาพ 16 Personality Factor คืออะไร แบบทดสอบ 16 Personality Factor (16PF) เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดบุคลิกภาพซึ่งพัฒนาโดย Dr. Raymond Cattell นักจิตวิทยาชาวอังกฤษในช่วงปี 1940 จุดประสงค์ของแบบทดสอบนี้คือ การระบุปัจจัยหลัก 16 ประการที่ส่งผลต่อบุคลิกภาพในแต่ละบุคคล และช่วยให้เข้าใจลักษณะนิสัย ความคิด และพฤติกรรมของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งสามารถนำไปใช้ในด้านการพัฒนาตนเอง การแนะแนวอาชีพ และการคัดเลือกบุคลากรได้อีกด้วย บุคลิกภาพ 16 Personality Factor มีอะไรบ้าง แบบทดสอบ 16PF ได้แบ่งบุคลิกภาพออกเป็น 16 ปัจจัยหลัก ซึ่งสามารถแสดงถึงลักษณะนิสัยของแต่ละบุคคลได้ดังนี้: Warmth (อบอุ่น - เย็นชา) → ระดับของความเป็นมิตรและความเข้าอกเข้าใจผู้อื่น Reasoning (ชอบใช้เหตุผล - ใช้สัญชาตญาณ) → ระดับของความสามารถในการวิเคราะห์และใช้เหตุผล Emotional Stability (มั่นคงทางอารมณ์ - อ่อนไหวง่าย) → ความสามารถในการควบคุมอารมณ์และความเครียด Dominance (ชอบควบคุม - ยืดหยุ่น) → ระดับของความเป็นผู้นำหรือความกล้าที่จะควบคุมสถานการณ์ Liveliness (กระตือรือร้น - สุขุม) → ระดับของเอเนอร์จี้และการเข้าสังคม Rule-Consciousness (เคร่งครัดกฎระเบียบ - ยืดหยุ่นกับกฎเกณฑ์) → ความเคร่งครัดต่อกฎระเบียบและความถูกต้อง Social Boldness (กล้าแสดงออก - ขี้อาย) → ระดับความมั่นใจและการเข้าสังคม Sensitivity (อ่อนไหว - มีเหตุผล) → ความสามารถในการรับรู้ เข้าใจอารมณ์ของตนเองและผู้อื่น Vigilance (ระแวดระวัง - ไว้วางใจง่าย) → ระดับของความระมัดระวังต่อสถานการณ์และบุคคลรอบตัว Abstractedness (เพ้อฝัน - อยู่กับความจริง) → ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ Privateness (เป็นส่วนตัว - เปิดเผย) → ระดับของการรักษาความลับและความเป็นส่วนตัว Apprehension (วิตกกังวล - มั่นใจในตนเอง) → ระดับของความมั่นใจและความเครียดที่เกิดขึ้น Openness to Change (ยืดหยุ่น - อนุรักษ์นิยม) → ความเต็มใจในการปรับตัวและยอมรับการเปลี่ยนแปลง Self-Reliance (พึ่งพาตนเอง - พึ่งพาผู้อื่น) → ระดับของพึ่งพาตนเองและการทำสิ่งต่าง Perfectionism (รักความสมบูรณ์แบบ - ยืดหยุ่นและง่าย ๆ ) → ระดับของความละเอียดถี่ถ้วนและต้องการให้ทุกอย่างสมบูรณ์ Tension (เคร่งเครียด - ผ่อนคลาย) → ระดับของความตึงเครียดและความสามารถในการจัดการกับความเครียด แบบทดสอบบุคลิกภาพ 16 Personality Factor เหมาะกับใคร 16PF เหมาะกับทุกคนที่ต้องการทำความเข้าใจตัวเองให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็น บุคคลทั่วไปที่ต้องการทำความเข้าใจตนเองและพัฒนาตนเอง นักเรียน นักศึกษา ที่ต้องการค้นหาแนวทางในการศึกษาและอาชีพที่เหมาะสม ผู้ที่กำลังมองหางาน หรือต้องการพัฒนาตนเองในสายอาชีพ ผู้ที่ต้องการพัฒนาความสัมพันธ์กับผู้อื่น ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ที่ต้องการใช้ในการคัดเลือกบุคลากร แบบทดสอบบุคลิกภาพ 16 Personality Factor ทำที่ไหน สามารถทำได้ที่นี่ แบบทดสอบบุคลิกภาพ 16 Personality Factor- ภาษาอังกฤษ 16PF ต่างจาก MBTI อย่างไร 1. พื้นฐานทางทฤษฎี 16PF: พัฒนาขึ้นโดย Raymond Cattell อ้างอิงจาก ทฤษฎีปัจจัยพื้นฐานทางบุคลิกภาพ (Factor Analysis) โดยอาศัยการวิจัยทางสถิติเพื่อระบุ 16 ปัจจัยบุคลิกภาพหลัก MBTI: พัฒนาจากแนวคิดของ Carl Jung และขยายโดย Isabel Briggs Myers และ Katharine Cook Briggs โดยอาศัยแนวคิดเรื่อง ประเภทบุคลิกภาพ (Psychological Types) ซึ่งแบ่งคนออกเป็น 16 แบบ ตาม 4 มิติหลัก 2. โครงสร้างของแบบทดสอบ 16PF: มี 16 ปัจจัยหลัก และมักใช้ในด้านจิตวิทยาองค์กร การจ้างงาน และการพัฒนาตนเอง MBTI: มี 4 มิติ และ 16 ประเภทบุคลิกภาพ ได้แก่ Extroversion (E) – Introversion (I) Sensing (S) – Intuition (N) Thinking (T) – Feeling (F) Judging (J) – Perceiving (P) 3. วิธีการวัดและผลลัพธ์ 16PF: ใช้วิธีวัดบุคลิกภาพแบบ ต่อเนื่อง (Continuum-based) ผลลัพธ์ไม่ได้แบ่งเป็นประเภท แต่เป็นระดับของแต่ละปัจจัย MBTI: ใช้วิธีแบ่งประเภทบุคลิกภาพแบบ ขั้วตรงข้าม (Dichotomy-based) ซึ่งกำหนดบุคลิกภาพเป็น 16 แบบชัดเจน 4. การใช้งาน 16PF: มักใช้ในการจ้างงาน การบริหารเเละประเมินศักยภาพของบุคคล การพัฒนาตัวเองเเละภาวะผู้นำ และการวิจัยทางจิตวิทยา MBTI: ใช้ในการพัฒนาตัวเอง การทำความเข้าใจนิสัยของคนในทีม และการแนะแนวอาชีพ แบบทดสอบ 16 Personality Factor (16PF) เป็นแบบทดสอบที่ช่วยให้เข้าใจบุคลิกภาพของตัวเองในเชิงลึกผ่าน 16 ปัจจัยหลัก ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาตนเอง การเลือกอาชีพ และการบริหารบุคลากรได้ หากคุณสนใจที่จะทำความเข้าใจตัวเองมากขึ้น ลองทำแบบทดสอบนี้ดู แล้วมาดูกันว่าคุณมีบุคลิกภาพแบบไหน!

    Mar 4, 2025
    2 min
    ...