Logo
  • โปรไฟล์มืออาชีพ
  • งาน
  • อาชีพ
    เส้นทางอาชีพการเติบโตการศึกษาแรงบันดาลใจบุคลิกภาพ
    งานและอุตสาหกรรมการค้นหางานประวัติ & ผลงานเงินเดือนความเป็นอยู่ที่ดี
  • การศึกษา
  • เครื่องมือสร้างเรซูเม่
  • สำหรับผู้ใช้งานองค์กร
  • Jobcadu Logo

    แพลตฟอร์มอาชีพที่ดีที่สุดสำหรับการหางาน, การสรรหาบุคลากร, ค้นหาอาชีพ และค้นพบแหล่งการศึกษา

    30,000+ หน้าหางาน

    งานตามหมวดหมู่

    การขาย

    การตลาด

    บัญชีและการเงิน

    เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT)

    ข้อมูลและการวิเคราะห์

    สำหรับผู้หางาน

    หน้าหางาน

    เครื่องมือสร้างเรซูเม่

    ทรัพยากรด้านการศึกษา

    ทรัพยากรเรซูเม่

    ประกาศงาน

    ประกาศงาน

    แหล่งข้อมูล

    เกี่ยวกับเรา

    ข้อกำหนดการใช้งาน

    นโยบายความเป็นส่วนตัว


    © 2025 Jobcadu. สงวนลิขสิทธิ์ทั้งหมด

    ค้นพบตัวตนและเส้นทางที่ใช่ของคุณผ่านแบบทดสอบ

    เส้นทางของทุกคนไม่เหมือนกัน และการประเมินนี้จะช่วยให้คุณค้นพบจุดแข็ง ความชอบ และศักยภาพด้านอาชีพที่โดดเด่นในแบบของคุณเอง

    Resume
    Resume Builder

    สร้างเรซูเม่อย่างมืออาชีพ

    MBTI
    การประเมิน MBTI

    ค้นหาบุคลิกภาพที่แท้จริงของคุณ

    Career Finder
    การประเมิน Career Finder

    ค้นหาอาชีพที่สอดคล้องกับเป้าหมายของคุณ

    Big Five
    ทดสอบ Big Five

    ประเมินบุคลิกภาพของคุณ

    เส้นทางอาชีพ
    ดูเพิ่มเติม
    Thumbnail for ฝึกงานนิเทศศาสตร์ ต้องรู้อะไรบ้าง? เปิดสาขางานตำแหน่งยอดฮิต พร้อมเคล็ดลับสมัครให้ปัง!

    ฝึกงานนิเทศศาสตร์ ต้องรู้อะไรบ้าง? เปิดสาขางานตำแหน่งยอดฮิต พร้อมเคล็ดลับสมัครให้ปัง!

    การฝึกงานนิเทศศาสตร์ เป็นช่วงเวลาสำคัญของเด็กสายนิเทศฯ ทุกคน เพราะถือเป็นก้าวแรกในการเข้าสู่โลกการทำงานจริง ได้ลองทำงานกับทีมมืออาชีพ ได้รู้ว่าตัวเองถนัดอะไรกันแน่ และยังเป็นโอกาสดีในการสร้างผลงานลงพอร์ตเพื่อใช้สมัครงานในอนาคต ทั้งสำหรับสายสื่อ สายครีเอทีฟ สายการตลาด หรือสายโปรดักชัน บทความนี้จะพาคุณรู้จักงานฝึกงานนิเทศศาสตร์ทั้งหมด ตั้งแต่ประเภทงาน ไปจนถึงเทคนิคสมัครฝึกงานให้ได้จริง ทำไมการฝึกงานนิเทศศาสตร์ถึงสำคัญ? งานสายนิเทศศาสตร์มีความหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นงานสื่อมวลชน ครีเอทีฟ พีอาร์ การตลาด หรือโซเชียลมีเดีย การได้เข้าไปสัมผัสงานจริงตั้งแต่สมัยเรียนช่วยให้คุณเข้าใจ Workflow การทำงานแบบทีม รู้วิธีคิดแบบโปร และได้ลองใช้ทักษะจริงในสถานการณ์จริง นอกจากนี้ หลายบริษัทมักเปิดโอกาสให้เด็กฝึกงานที่ทำงานดี กลับมาทำงานต่อแบบพนักงานประจำหลังเรียนจบ ดังนั้นการฝึกงานที่ใช่ อาจเป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางอาชีพที่ใช่ของคุณเช่นกัน เรียนนิเทศศาสตร์ ฝึกงานที่ไหนดี? รวมสายงานยอดนิยม 1) ฝึกงานสายครีเอทีฟ (Creative) งานที่ทำ: คิดไอเดีย, เขียนสคริปต์โฆษณา, ทำคอนเทนต์, Brainstorm แคมเปญ ที่แนะนำ: เอเจนซี่โฆษณา, โปรดักชันเฮาส์, บริษัทคอนเทนต์ เหมาะกับ: คนคิดไอเดียเก่ง ชอบงานสร้างสรรค์ 2) ฝึกงานสายสื่อมวลชน (Mass Media) งานที่ทำ: ผู้สื่อข่าว, ทีมข่าว, ทีมรายการทีวี, ทีมวิทยุ, เขียนข่าว ที่แนะนำ: สำนักข่าว, ช่องทีวี, สถานีวิทยุ เหมาะกับ: คนที่ชอบลงพื้นที่จริง กล้าพูด กล้าถาม และรักการเล่าเรื่องแบบด่วน–แม่น–กระชับ 3) ฝึกงานสายการตลาด–โซเชียลมีเดีย (Marketing / Content) งานที่ทำ: ทำคอนเทนต์, วิเคราะห์ Insight, วางแผนโพสต์, ทำรีพอร์ต KPI ที่แนะนำ: บริษัทเอกชน, Startup, Media Agency, แบรนด์สินค้า เหมาะกับ: คนชอบโซเชียล ชอบวางแผน และอยากเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค 4) ฝึกงานสายประชาสัมพันธ์ (PR & Communication) งานที่ทำ: เขียนข่าวประชาสัมพันธ์, ติดต่อสื่อ, จัดงาน Press Event, ประสานงาน ที่แนะนำ: บริษัท PR Agency, องค์กรขนาดใหญ่, หน่วยงานรัฐ/เอกชน เหมาะกับ: คนที่ชอบสื่อสาร ชอบงานเชิงสัมพันธ์ และงานที่ต้องพูดคุยประสานงานเยอะ 5) ฝึกงานสายโปรดักชัน (Production) งานที่ทำ: ถ่ายทำวิดีโอ, ตัดต่อ, ทำ Motion Graphic ทักษะที่ใช้: กล้องพื้นฐาน, Premiere Pro / Final Cut / After Effects ที่แนะนำ: โปรดักชันเฮาส์, สตูดิโอถ่ายทำ, งานถ่ายคอนเทนต์ในบริษัท เหมาะกับ: คนชอบงานเบื้องหลังและงานลงมือทำจริง Checklist สมัครฝึกงานนิเทศศาสตร์ต้องมีอะไรบ้าง? 1) Portfolio (สำคัญที่สุด) สิ่งที่ควรมี ได้แก่ ตัวอย่างงานวิดีโอ งานเขียน: บทความ / สคริปต์ งานกราฟิก / Artwork โปรเจกต์ในมหาวิทยาลัย Tip: จัดพอร์ตให้ดูโปร ใช้หน้าแรกบอกตัวตน–สกิล–ผลงานเด่น และเลือกชิ้นงานเฉพาะที่เกี่ยวกับสายที่สมัคร 2) Resume + ประสบการณ์ในมหาวิทยาลัย โปรเจกต์รายวิชา งานชมรม งานอาสา Soft Skills ที่นายจ้างชอบ: Communication, Creative Thinking, Teamwork, Problem Solving 3) ทักษะที่นายจ้างคาดหวังสายนิเทศฯ ตัดต่อวิดีโอพื้นฐาน เข้าใจโซเชียลมีเดีย (Facebook, TikTok, Instagram, YouTube) เขียนสื่อสารได้ดี ใช้กล้องได้ (ถ้ามีจะได้เปรียบ) เคล็ดลับสมัครฝึกงานนิเทศศาสตร์ให้ได้จริง สมัครล่วงหน้าอย่างน้อย 1–3 เดือน ปรับพอร์ตให้ตรงกับสายที่สมัคร (Creative / PR / Content / Production) เขียนอีเมลสมัครงานให้กระชับและเป็นมืออาชีพ ส่งตัวอย่างงานจริง แม้ไม่ต้องสมบูรณ์แบบ แต่ต้อง “เป็นงานของเรา” ทำตามคำแนะนำใน JD ทุกข้อ (ไฟล์ไหนต้องแนบก็แนบ) ช่วงฝึกงานต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง? ทำความรู้จัก Workflow ของทีม กล้าถาม–กล้าลองทำ ไม่ต้องกลัวผิด เก็บชิ้นงานลงพอร์ตเรื่อย ๆ โฟกัสการเรียนรู้มากกว่า Workload สื่อสารกับพี่เลี้ยงให้ชัดเจนเมื่อมีปัญหา นิเทศศาสตร์เป็นสาขาที่มีงานหลากหลายมาก ตั้งแต่สื่อ ครีเอทีฟ การตลาด ไปจนถึงโปรดักชัน การเลือกฝึกงานให้ตรงสายจะช่วยให้คุณมองเห็นเส้นทางอาชีพของตัวเองได้ชัดเจนขึ้น และถ้าคุณมีพอร์ตที่ดี โดนใจ และสะท้อนทักษะจริง ก็เท่ากับว่าได้เปรียบคนอื่นไปกว่าครึ่ง ดูตำแหน่งฝึกงานล่าสุด พร้อมคำแนะนำการทำพอร์ตและเรซูเม่ได้ที่ Jobcadu แพลตฟอร์มพัฒนาเส้นทางอาชีพสำหรับคนรุ่นใหม่

    Dec 2, 2025
    Thumbnail for งานการตลาด หรืองาน Marketing คืออะไร? ทำไมถึงเป็นหนึ่งในสายงานที่เป็นที่ต้องการ

    งานการตลาด หรืองาน Marketing คืออะไร? ทำไมถึงเป็นหนึ่งในสายงานที่เป็นที่ต้องการ

    งานการตลาดหรือ Marketing เป็นงานวางแผนกลยุทธ์และการสื่อสารให้กับลูกค้า โดยมีจุดประสงค์คือ การทำให้สินค้าหรือแบรนด์เป็นที่จดจำ สร้างการรับรู้และกระตุ้นยอดขาย ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การโฆษณา การสร้างแบรนด์ การจัดกิจกรรม และการใช้ข้อมูลลูกค้าในการตัดสินใจ ความสำคัญของงาน Marketing ช่วยให้ลูกค้าเข้าใจแบรนด์และผลิตภัณฑ์ สร้างการจดจำและความภักดีในแบรนด์ (Brand Loyalty) เป็นเครื่องมือสำคัญในการแข่งขันในยุคดิจิทัล ประเภทของ Marketing Traditional Marketing ตัวอย่าง - ทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ และกิจกรรมออฟไลน์ >> เจาะลึกเกี่ยวกับ Traditional Marketing ได้ที่นี่ Traditional Marketing คืออะไร Digital Marketing ตัวอย่าง - ช่องทางออนไลน์ เช่น Google Ads, Facebook, SEO >> มารู้จักกับ Digital Marketing เพิ่มเติมที่นี่เลย Inbound Marketing ตัวอย่าง - ดึงลูกค้าเข้าหาแบรนด์ผ่าน Content Outbound Marketing ตัวอย่าง -  เข้าหาลูกค้าโดยตรง เช่น Cold Call หรือ Email Blast สายงาน Marketing ยอดนิยม 1. Digital Marketing ครอบคลุม SEO, SEM, Display Ads, และ Email Marketing เหมาะกับคนที่ชอบวิเคราะห์และวัดผลได้จริง 2. Content Marketing เน้นสร้างบทความ วิดีโอ หรือ Podcast ที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายเพื่อสร้าง Engagement 3. Social Media Marketing ดูแลการสื่อสารใน Facebook, TikTok, Instagram ให้มีประสิทธิภาพและตรงกลุ่ม 4. Brand Marketing รับผิดชอบการสร้างภาพลักษณ์ให้แบรนด์มีจุดยืนชัดเจนและแตกต่าง 5. Product Marketing เน้นทำความเข้าใจตัวสินค้า วาง Positioning และสนับสนุนทีม Sales 6. Performance Marketing เน้นวัดผลจากทุกบาทที่ใช้โฆษณา เช่น Cost per Click, Conversion Rate 7. Market Research วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า คู่แข่ง และแนวโน้มตลาด เพื่อช่วยให้ทีมวางกลยุทธ์ได้แม่นยำ 8. Public Relations (PR) สร้างความสัมพันธ์กับสื่อมวลชนและสาธารณชนเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร หากใครที่กำลังหางาน Marketing หรืองานการตลาด ทาง Jobcadu ก็มีงานการตลาดไว้ให้เพียบเลย >> หางานการตลาด/Marketing ทักษะที่จำเป็นสำหรับนัก Marketing Hard Skills SEO/SEM: รู้จักการจัดอันดับและวางโฆษณาบน Google Data Analysis: วิเคราะห์ข้อมูลผู้ใช้ผ่าน GA4, Looker Studio Marketing Automation: ใช้เครื่องมืออย่าง Mailchimp, HubSpot Content Creation: เขียนบทความ วิดีโอ และสื่อโซเชียล Graphic Design: ใช้ Adobe, Canva, Figma สร้างสื่อที่ดึงดูด Soft Skills Creativity: คิดแคมเปญแปลกใหม่ Communication: นำเสนอไอเดียและทำงานข้ามทีม Problem-solving: แก้ปัญหาด้าน Performance และการสื่อสาร Adaptability: ปรับตัวกับ Algorithm และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนตลอดเวลา Strategic Thinking: วางแผนให้สอดคล้องกับเป้าหมายธุรกิจ การตลาดต้องจบอะไรมา? เรียนอะไรบ้าง? ถึงแม้สาขาที่เกี่ยวข้องโดยตรงจะเป็น: การตลาด นิเทศศาสตร์ บริหารธุรกิจ เศรษฐศาสตร์ Sale กับ Marketing ต่างกันยังไง แม้ว่าทั้ง Sale (การขาย) และ Marketing (การตลาด) จะมีเป้าหมายร่วมกันคือ เพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจ แต่ทั้งสองอย่างนี้มีบทบาทและหน้าที่ต่างกันชัดเจน: 1. Marketing = สร้างความต้องการ การตลาดคือการ วางแผน สื่อสาร และสร้างความต้องการในสินค้า/บริการ โดยเน้นการทำให้ลูกค้า “รู้จัก ชอบ และเชื่อใจ” แบรนด์ก่อนที่เขาจะตัดสินใจซื้อ ตัวอย่าง: การทำโฆษณา การสร้างคอนเทนต์ การวางกลยุทธ์ราคา การทำ SEO การโปรโมตบนโซเชียล ฯลฯ ล้วนเป็นงานของการตลาด 2. Sale = ปิดการขาย การขายคือขั้นตอนของการ เจรจา ตอบคำถาม และโน้มน้าวให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อทันที โดยมักจะเกิดหลังจากลูกค้ารู้จักสินค้าแล้ว ตัวอย่าง: เซลล์โทรหาลูกค้า ตอบแชท ติดตามลูกค้า ส่งใบเสนอราคา หรือเจรจาปิดดีล อุตสาหกรรมที่ต้องการนัก Marketing E-commerce: มีความต้องการสูงทั้ง Digital และ Data Marketing Tech Company: Startup และ SaaS ต้องการนักการตลาดที่เข้าใจ Data FMCG: เน้น Brand Marketing และ Campaign ขนาดใหญ่ Marketing Agency: ต้องการทั้งสาย Content, Performance และ Social Startup: ต้องการ Marketer ที่ทำได้รอบด้าน (T-shaped Marketer) การพัฒนาตนเองในการเข้าสู่สายงาน Marketing แหล่งเรียนรู้และใบรับรองที่แนะนำ: Google HubSpot Academy Coursera Jobcadu Online Course Insight: ผู้สมัครที่มี Certification จาก Google / Meta มีโอกาสได้งานมากกว่าคนไม่มีใบรับรองถึง 3 เท่า (LinkedIn) เคล็ดลับการหางาน Marketing เรซูเม่ที่เน้นผลงาน เช่น CTR, ROAS, Engagement Rate พอร์ตโฟลิโอที่รวมตัวอย่างแคมเปญจริง ไม่ว่าจะเป็น Ads ที่เคยรัน หรือ Blog ที่เคยเขียน เตรียมสัมภาษณ์ให้มั่นใจ ฝึกตอบคำถามด้านกลยุทธ์ เช่น "จะ Allocate budget อย่างไรในช่วงขาลง" อัปเดต LinkedIn พร้อม Portfolio Online และ Active ใน Community เช่น Facebook Group สายการตลาด จากที่อ่านมาทั้งหมดแล้ว เห็นได้่ว่าสายงานการตลาดเป็นหนึ่งกลไกสำคัญในการดำเนินทุกธุรกิจเลยที่ไม่แพ้งานอื่น ๆ เลย หากใครคนไหนที่กำลังหางานอยู่ ทางเราก็มีพื้นที่หางานสำหรับสายงานต่าง ๆ ด้่วย มาหางานได้ที่นี่เลย >> หางาน

    Aug 11, 2025
    Thumbnail for วิธีเลือกงานที่เหมาะสมและค้นหาอาชีพที่ใช่สำหรับคุณ

    วิธีเลือกงานที่เหมาะสมและค้นหาอาชีพที่ใช่สำหรับคุณ

    การเลือกเส้นทางอาชีพที่เหมาะสมเป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดที่เราสามารถทำได้ เพื่อความพึงพอใจทั้งในด้านชีวิตส่วนตัวและด้านอาชีพ บทความนี้จะช่วยให้เราได้สะท้อนตัวตนถึงความชอบ จุดแข็ง และเป้าหมาย เพื่อให้มีข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจในชีวิต ที่สอดคล้องกับความฝันและความต้องการของเรา 1.ค้นหาว่าสิ่งที่เราชอบและไม่ชอบคืออะไร ลองตั้งคำถามเพื่อหาสิ่งที่ตัวเองชอบ เช่น เราชอบทำงานที่เกี่ยวข้องกับตัวเลข คำพูด หรือกราฟิกหรือไม่? ชอบทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีระเบียบ หรือทำงานในที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงและมีการพบปะพูดคุยกับผู้คนมากกว่า? การเลือกงานที่ตรงกับความชอบของเราเป็นสิ่งสำคัญ ควรหลีกเลี่ยงงานที่มีเนื้องานที่เราไม่ชอบทำเเม้จะได้เงินเดือนสูง เพราะถ้าเราาไม่มีความสุขหรือความพึงพอใจในงานนั้นๆ เราก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จในระยะยาวได้ ในขณะเดียวกัน งานที่มีรายได้น้อยอาจนำมาซึ่งความสุข หากตรงกับความสนใจและค่านิยมของเรา ตัวอย่าง: หากไม่ชอบทำงานที่เกี่ยวกับตัวเลข ควรหลีกเลี่ยงงานด้านบัญชี และลองสำรวจงานในด้านการตลาดหรือการออกแบบที่เน้นความคิดสร้างสรรค์แทน 2.ทำความเข้าใจกับบุคลิกของตัวเอง ให้สำรวจว่าตัวเองเป็นคนที่เป็น introvert หรือ extrovert? ชอบวิเคราะห์หรือชอบความสร้างสรรค์? การทำแบบทดสอบบุคลิกภาพเช่น MBTI หรือ CliftonStrengths จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มบุคคลิกภาพที่เข้ากับเรา เช่น หากเราเป็น extrovert ที่ชอบการติดต่อสื่อสารกับคนอื่น อาชีพในด้านการขายอาจเหมาะกับเรา การเลือกงานให้ตรงกับบุคลิกจะช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จและความพึงพอใจในงาน ตัวอย่าง: หากเราเป็น introvert ที่ชอบทำงานคนเดียว อาจเหมาะกับตำแหน่งนักพัฒนาซอฟต์แวร์หรือนักวิจัย ในขณะที่ extrovert อาจจะเก่งในด้านการประชาสัมพันธ์หรือการวางแผนกิจกรรม 3.ใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของตัวเอง เราเก่งอะไร ลองมองย้อนกลับไปยังความสำเร็จที่ผ่านมา รับฟังคำติชมจากผู้อื่น และดูว่าเราประสบความสำเร็จในด้านใด ไม่ว่าจะเป็นการเป็นผู้นำ ความสามารถในการจัดการ หรือความสามารถในการทำงานภายใต้ความกดดัน งานที่ใช้จุดแข็งเหล่านี้จะช่วยให้เราโดดเด่นและประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น ตัวอย่าง: หากคุณได้รับคำชมเรื่องความสามารถในการจัดการ คุณอาจจะเหมาะกับตำแหน่งผู้จัดการโครงการที่ต้องการความละเอียดรอบคอบ 4.กำหนดเป้าหมายเรื่องเงินเดือน การได้รับรางวัลทางการเงินนั้นสำคัญ แต่ต้องพิจารณาถึงเป้าหมายทางการเงินระยะสั้นและระยะยาวควบคู่ไปกับความสำคัญในด้านอื่นๆของชีวิต การทำวิจัยในเส้นทางอาชีพที่ตรงกับความคาดหวังด้านรายได้และโอกาสในการเติบโตในอนาคตจะช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น หากบางอาชีพหรืออุตสาหกรรมไม่ตรงกับความต้องการในเรื่องเงินเดือน เราอาจต้องลองพิจารณาหาตัวเลือกอื่นๆ ตัวอย่าง: หากตั้งเป้าหมายที่จะมีรายได้สูงในวงการเทคโนโลยี เราอาจต้องพิจารณาอาชีพด้านนักวิทยาศาสตร์เชิงข้อมูล หรือ วิศวกรที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี ที่ได้รับค่าตอบแทนสูง 5.ประเมินข้อแลกเปลี่ยนที่เเลกกับการเสียสละ งานที่มีเงินเดือนสูงมักมีต้องมีข้อแลกเปลี่ยน เช่น เวลาทำงานที่ยาวนาน เกิดความเครียดสูง หรือการเสียสมดุลในชีวิตจากการทำงาน เราต้องตัดสินใจว่าพร้อมที่จะเสียสละอะไรเพื่อแลกกับเงินเดือนที่สูง ในบางกรณี อาชีพบางประเภทอาจจะมีการทำงานในเวลาสั้นลงแต่สมดุลชีวิตดีขึ้น ตัวอย่าง: งานในด้านการธนาคารเพื่อการลงทุนอาจมีเงินเดือนสูงแต่ต้องทำงานมากถึง 80 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ขณะที่งานในด้านการศึกษาอาจให้สมดุลชีวิตการทำงานที่ดีกว่า 6.คิดถึงการเป็นผู้ประกอบการ เราเคยคิดที่จะเป็นผู้ประกอบการหรือไม่? หากคำตอบคือใช่ ควรเปรียบเทียบความมั่นคงจากเงินเดือนกับความท้าทายในการดำเนินธุรกิจของตัวเอง การเป็นผู้ประกอบการสามารถมอบอิสระและความพึงพอใจ แต่ก็มีความเสี่ยงและความไม่แน่นอน การเปรียบเทียบทางเลือกในการทำงานกับเส้นทางการเป็นผู้ประกอบการจะช่วยให้เห็นความชัดเจนในเป้าหมายระยะยาว ตัวอย่าง: หากต้องการความเป็นอิสระและมีวิสัยทัศน์ที่แข็งแกร่ง การเริ่มต้นธุรกิจในด้านการตลาดดิจิทัลอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าการทำงานในตำแหน่งการตลาดในบริษัทใหญ่ 7.กำหนดเป้าหมายของตัวเอง เราอยากบรรลุอะไรในเส้นทางอาชีพ? การตั้งเป้าหมายแบบ SMART (Specific, Measurable, Achievable, Relevant, Time-based) ช่วยให้การหางานของเรามีทิศทางที่ชัดเจนมากขึ้น เเนะนำให้ตั้งเป้าหมายเล็กๆในแต่ละวันเพื่อปรับการกระทำของเราให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ระยะยาว ตัวอย่าง: เป้าหมายอย่าง "การเป็นผู้นำทีมภายในสามปี" จะช่วยให้เรามีทิศทางที่ชัดเจนและสามารถวัดผลได้ 8.ค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรหรือตำแหน่งงานที่อยากทำ การค้นคว้าาตำแหน่งงาน บริษัท และอุตสาหกรรมที่เราสนใจเป็นสิ่งสำคัญ ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติในการทำงาน วัฒนธรรมองค์กร และโอกาสในการเติบโตจากแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น LinkedIn, Glassdoor และเว็บไซต์ของบริษัท การใช้เวลาศึกษาอย่างละเอียดจะช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น ตัวอย่าง: ใช้ LinkedIn เพื่อเชื่อมต่อกับบุคลากรมืออาชีพในตำแหน่งที่สนใจและถามถึงเส้นทางอาชีพและอุปสรรคที่พวกเขาเจอ 9.ตัดสินใจและเดินหน้าต่อไป ถึงแม้ว่าจะทำการค้นคว้าอย่างละเอียดแล้ว ความไม่แน่นอนก็ยังคงมีอยู่ หากยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับทางอาชีพ ลองตัดสินใจอย่างดีที่สุดและลองเริ่มต้นทำงานในสายงานนั้นๆ ชีวิตคือการเดินทาง และประสบการณ์ทุกขั้นตอนจะช่วยให้เราเติบโต การทดลองทำงานในทางเลือกต่างๆจะทำให้เราได้เรียนรู้ ปรับเปลี่ยน และตัดสินใจได้ดีขึ้น ตัวอย่าง: หากยังไม่แน่ใจระหว่างการทำงานในด้านการตลาดหรือการขาย ให้ลองทำงานในตำแหน่งเริ่มต้นในสาขาที่สนใจก่อน เพื่อสำรวจว่ามันเหมาะกับเราหรือไม่ 10.ทดลองในโลกความเป็นจริง ติดต่อผู้คนในตำแหน่งที่เราสนใจ ถามพวกเขาเกี่ยวกับงานประจำวัน ความท้าทาย และสิ่งที่พวกเขาชอบหรือไม่ชอบเกี่ยวกับงานเหล่านั้น การพูดคุยเหล่านี้จะช่วยให้ข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจเกี่ยวกับอาชีพของเรา ตัวอย่าง: ลองไปดูงานหรือเข้าร่วมงานอีเว้นท์ เพื่อไปสัมผัสประสบการณ์จริงจากคนที่ทำงานในตำแหน่งที่เราสนใจ การหางานและทางอาชีพที่เหมาะสม เป็นการตัดสินใจที่เป็นเรื่องเฉพาะบุคคลมากๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำความเข้าใจเกี่ยวกับความชอบ จุดแข็ง และเป้าหมายของตัวเอง และพร้อมที่จะเรียนรู้และปรับตัว จะเป็นตัวช่วยให้สามารถเดินทางไปสู่เส้นทางอาชีพที่เติมเต็มความฝันของตนเองได้อย่างมั่นใจ สามารถเข้ามาศึกษาเกี่ยวกับข้อมูลหรือวิธีการในการพัฒนาตัวเองเพิ่มเติม ได้ที่ Jobcadu แพลตฟอร์มของเราจะช่วยคุณสำรวจตัวเลือกอาชีพที่เหมาะสม เชื่อมโยงคุณกับข้อมูลในอุตสาหกรรมที่คุณสนใจ และทำให้การตัดสินใจของคุณเป็นไปได้อย่างมั่นใจในทุกๆก้าวที่คุณเดิน และจะพาคุณไปสู่การหางานที่มีความหมายและเติมเต็มชีวิตของคุณ

    Feb 6, 2025
    Thumbnail for รักหมา รักแมว เท่านั้นไม่พอ รวม 10 อาชีพที่เหมาะสำหรับคนรักสัตว์

    รักหมา รักแมว เท่านั้นไม่พอ รวม 10 อาชีพที่เหมาะสำหรับคนรักสัตว์

    สำหรับใคร ๆ ที่เป็นทาสสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นหมา แมว หรือว่าสัตว์อื่น ๆ สิ่งเหล่านี้ก็สามารถเป็นแรงผลักดันที่จะทำให้เราประกอบอาชีพนี้ได้อย่างยาวนาน แต่บางทีหลายคนอาจจะคิดไม่ออกว่ามีอาชีพอะไรบ้าง สัตว์แพทย์อย่างเดียวเท่านั้นหรือเปล่า วันนี้เราจะพามารู้จักกับสายอาชีพอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับสัตว์หรือทำงานใกล้ชิดกัน รวม 10 อาชีพที่เหมาะสำหรับคนรักสัตว์ 1 . สัตวแพทย์ (Veterinarian) สัตวแพทย์ คืออาชีพแรกที่หลายคนนึกถึงเมื่อพูดถึงการทำงานกับสัตว์ เพราะเป็นอาชีพที่ต้องมีการศึกษาทางการแพทย์อย่างลึกซึ้งและทำการรักษาสัตว์เลี้ยงทั้งในแง่ของการป้องกันโรค การรักษา และการผ่าตัด สำหรับในไทย สัตวแพทย์ยังคงมีความต้องการสูง โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่ที่มีคลินิกสัตว์และโรงพยาบาลสัตว์จำนวนมาก ปัจจัยที่ทำให้สัตวแพทย์ได้รับความนิยมในไทย: การเลี้ยงสัตว์ในเมืองไทยเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ มีการเลี้ยงสัตว์เพื่อความบันเทิงและการคุ้มครองมากขึ้น เช่น สุนัขพันธุ์พิเศษ คลินิกสัตว์และโรงพยาบาลสัตว์เริ่มขยายตัวอย่างรวดเร็วในประเทศไทย 2.เจ้าหน้าที่เทคนิคการสัตวแพทย์ (Veterinary Technician) เจ้าหน้าที่เทคนิคการสัตวแพทย์หรือ Veterinary Technician เป็นอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการช่วยสัตวแพทย์ในการรักษาสัตว์ โดยจะช่วยในขั้นตอนต่าง ๆ เช่น การตรวจวินิจฉัยเกี่ยวกับโรค การให้การรักษาเบื้องต้น และการทำความสะอาดสถานที่ทำงานในคลินิกและต่าง ๆ 3. ผู้ดูแลสัตว์ (Pet Caregiver) อาชีพนี้เหมาะสำหรับคนที่รักการดูแลสัตว์ในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เจ้าของสัตว์ไม่สามารถดูแลเองได้ เช่น การ พาเดินเล่น หรือ อาบน้ำ ให้กับสัตว์เลี้ยง รวมถึงสัตว์เลี้ยงป่วยที่เจ้าของไม่มีเวลาดูแล โดยคนที่ประกอบอาชีพนี้ก็จะมาทำหน้าที่ตรงนี้นั่นเอง 4. นักสัตววิทยา (Zoologist) อาชีพนี้เป็นอาชีพที่มาจากนักวิทยาศาสตร์ที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับสัตว์โดยเฉพาะ ซึ่งเกป็นอาชีพที่ทุกสวนสัตว์ต้องมีเลยก็ว่าได้ 5. นักเพาะพันธุ์สัตว์ (Animal Breeder) นักเพาะพันธุ์สัตว์ก็มีหลายสาย เช่น สัตว์น้ำ สัตว์ป่า สัตว์เลื้อยคลาน และอื่น ๆ ซึ่งคนเหล่านี้ก็จะทำงานในศูนย์วิจัยต่าง ๆ รวมถึงตามชนบทที่การเข้าถึงเรื่องปศุสัตว์ยังไม่ดีอีกด้วย 6. ผู้ดูแลสวนสัตว์ (Zookeeper) สวนสัตว์ เป็นสถานที่ที่หลายคนอยากไปเยี่ยมชม และหากคุณเป็นคนที่รักการทำงานกับสัตว์ในสภาพแวดล้อมธรรมชาติ อาชีพ ผู้ดูแลสวนสัตว์ หรือ เจ้าหน้าที่สวนสัตว์ คือทางเลือกที่ดี ซึ่งก็อาจจะไม่ต้องจบสายตรงก็ได้ แต่บางที่ก็พิจารณาจากแพชชั่น หรือความรู้ เพราะต้องดูแลสัตว์ในสวนสัตว์และทำให้พวกมันมีความสุขในที่อยู่อาศัย อย่างพี่เลี้ยงหมูเด้ง เป็นต้น 7. เปิดโรงแรมสัตว์เลี้ยง (Pet Hotel Manager) การเปิด โรงแรมสัตว์เลี้ยง เพื่อดูแลสัตว์ต่าง ๆ ขณะที่เจ้าของไม่อยู่ ไม่ว่าจะเป็น หมา แมว หนู หรือสัตว์ต่าง ๆ เป็นอาชีพที่กำลังได้รับความนิยม โดยมีการดูแลสัตว์อย่างมืออาชีพ และยังช่วยให้เจ้าของสัตว์มั่นใจในความปลอดภัยของสัตว์เลี้ยง 8. ช่างตัดขนสัตว์ (Pet Groomer) ช่างตัดขนสัตว์ เป็นอาชีพที่คุณจะต้องดูแลสัตว์เลี้ยงให้ดูดีและสะอาด ด้วยการตัดขน อาบน้ำ และดูแลสุขภาพผิวหนังของสัตว์เลี้ยง และยังได้ทำงานร่วมกับน้อง ๆ อีกด้วย 9. พนักงานขาย เมื่ออุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงเติบโตขึ้น ธุรกิจอาหาร ของเล่น และอุปกรณ์สัตว์ก็ขยายตัวตามไป ทำให้ตำแหน่งพนักงานขายสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงเป็นที่ต้องการสูง อาชีพนี้เหมาะสำหรับคนรักสัตว์ เพราะต้องมีความรู้เกี่ยวกับสัตว์แต่ละชนิด แนะนำผลิตภัณฑ์ได้อย่างเหมาะสม และมีทักษะการสื่อสารและบริการลูกค้าที่ดี 10. พนักงานผลิต / ควบคุมคุณภาพ / โรงงาน อุตสาหกรรมอาหารสัตว์เป็นธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ตำแหน่งงานด้านการผลิต ควบคุมคุณภาพ และโรงงานเป็นที่ต้องการสูงในตลาดแรงงาน หน้าที่ของกลุ่มอาชีพเหล่านี้ครอบคลุมตั้งแต่การตรวจสอบสต๊อกวัตถุดิบ ดูแลความสะอาดของเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิต ตรวจสอบคุณภาพอาหารสัตว์ให้เป็นไปตามมาตรฐาน รวมถึงวิเคราะห์และจัดทำรายงานเพื่อพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เห็นได้ว่าเทรนด์การเลี้ยงสัตว์ค่อนข้างมาแรงมาก ๆ พอเทรนด์มาแรงมาก ๆ อาชีพก็ถูกแตกออกเป็ยยิบย่อยอีกมากมาย หากใครที่รักสัตว์มาก ๆ การประกอบอาชีพเหล่านี้ก็น่าสนใจและเป็นแรงบันดาลใจให้คนหลาย ๆ คนอีกด้วย

    Jan 31, 2025
    Thumbnail for โอน้อยออกใครโสดตกนรก อาชีพผู้เข้าแข่งขันในรายการ Single’s Inferno 4 ส่วนใหญ่เป็นสายศิลป์?

    โอน้อยออกใครโสดตกนรก อาชีพผู้เข้าแข่งขันในรายการ Single’s Inferno 4 ส่วนใหญ่เป็นสายศิลป์?

    Single’s Inferno 4 หรือ โอน้อยออก ใครโสดตกนรก กลับมาแล้วในปี 2025! รายการเรียลลิตี้โชว์หาคู่จากเกาหลีที่หลายคนรอคอย โดยในซีซั่นนี้ มีทั้งหมด 12 ตอน ออกอากาศทุก วันอังคาร เวลา 15:00 น. บน Netflix นอกจากเรื่องรักดราม่าสุดเข้มข้นและโมเมนต์ฟินจิกหมอน หนึ่งในไฮไลต์ที่หลายคนให้ความสนใจคือ อาชีพของผู้เข้าแข่งขัน มาดูกันว่าแต่ละคนทำงานในสายงานอะไรบ้าง! [บทความนี้มีสปอยอาชีพของผู้เข้าแข่งขัน] ตารางออกอากาศของ Single’s Inferno 4 (2025) Single’s Inferno 4 มาวันไหนบ้าง? รายการออกอากาศ ทุกวันอังคาร เวลา 15.00 น. แต่ละสัปดาห์มี 2 ตอน ยกเว้นสัปดาห์แรกที่มี 4 ตอน! ตอนสุดท้าย (EP 12) ออกอากาศวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2025 รู้จักอาชีพของผู้เข้าแข่งขัน Single’s Inferno 4 ประเภทนางแบบ โมเดลและอาชีพบนสื่อ Lee Si-an (ลี ชีอัน) – อดีตนักกีฬาว่ายน้ำ, นางแบบ และเคยเข้าร่วมรายการ Produce 48 ติดตาม IG อีชีอัน : youseeany Kim A-rin (คิม อาริน) – นางแบบและยูทูบเบอร์ ติดตาม IG คิม อาริน : arinkimarin Kim Hye-jin (คิม ฮเยจิน) – นางงาม Miss Korea Jin 2020 ติดตาม IG คิม ฮเยจิน : 07_27___ Jang Theo (จาง แทโอ หรือ Theo) – นักแสดง ติดตาม IG จาง แทโอ : tachyonproject Yuk Jun-seo (ยุก จุนซอ) – อดีตทหาร UDT, นักแสดงและศิลปินวาดรูป ติดตาม IG ยุก จุนซอ : 6dory Kim Min-seol (คิม มินซอล) – ผู้ประกาศข่าวกีฬา ติดตาม IG คิม มินซอล : kimminseoll Chung You-jin (จอง ยูจิน) – นักเต้นร่วมสมัยและนักศึกษาที่ Ewha Womans University ติดตาม IG จอง ยูจิน : youjini1225 Kim Tae-hwan (คิม แทฮวาน) – ดีเจ, โมเดล และเจ้าของคลับ ติดตาม IG คิม แทฮวาน : kimtaehwan.kimmtae Bae Ji-yeon (แพ จียอน) – ดีไซเนอร์ด้านพื้นที่ (Spatial Designer) และอินฟลูเอนเซอร์สายฟิตเนส ติดตาม IG แพ จียอน : bxxyon Kook Dong-ho (กุก ดงโฮ) – นักบัญชีและสอบบัญชีรับอนุญาต (CPA) ติดตาม IG กุก ดงโฮ : donghokook Kim Jeong-su (คิม จองซู) – เจ้าของร้านกาแฟ ติดตาม IG คิม จองซู : justsoo_it An Jong-hoon (อัน จองฮุน) – เจ้าของร้านอาหาร ติดตาม IG อัน จองฮุน : jh_128_ Park Hae-lin (พัค แฮลิน) – นักศึกษาสาขาภาพยนตร์ที่มหาวิทยาลัยเซจง ติดตาม IG พัค แฮลิน : qkrgofls สรุป: ทำไม Single’s Inferno 4 ถึงน่าติดตาม? ตามหาความรักภายใน 10 วัน, เกมเชิงจิตวิทยา หรือเพื่อชื่อเสียง? อาชีพที่หลากหลาย แปลกใหม่ หรือจำเจ? บุคลิกและลักษณะนิสัยของผู้เข้าแข่งขันในแต่ละอาชีพ ดราม่าเข้มข้น และเซอร์ไพรส์ที่คาดไม่ถึง คุณอยากมีอาชีพแบบไหน? ค้นหาเส้นทางอาชีพที่เหมาะกับคุณผ่าน Jobcadu! 🚀

    Jan 30, 2025
    Thumbnail for 7 อุตสาหกรรมและอาชีพในไทยที่น่าจับตามองในปี 2025

    7 อุตสาหกรรมและอาชีพในไทยที่น่าจับตามองในปี 2025

    ผ่านมาเพียงไม่กี่วันในปี 2025 โลกแห่งธุรกิจก็เริ่มส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้ง! Deepseek บริษัทเทคโนโลยีจากเอเชียสามารถพัฒนาโมเดล AI ที่เทียบชั้นกับผู้เล่นรายใหญ่อย่าง OpenAI ได้ ด้วยทรัพยากรที่น้อยกว่า อันเป็นตัวอย่างชัดเจนว่าในโลกอนาคต บริษัทจากในประเทศฝั่งตะวันออกโดยเฉพาะจีนสามารถเร่งการพัฒนาและแข่งขันได้อย่างเข้มข้น ขณะเดียวกัน ปัญหาโลกร้อนอย่างไฟป่าที่ลอสแองเจลิส หรือความต้องการทางด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของรัฐ ทำให้เห็นว่าโอกาสสำหรับการเปลี่ยนแปลงและพัฒนากำลังรอผู้ที่พร้อมจะลงมือ ถ้าคุณอยากเล่นเกมและหางานในยุคนี้ สิ่งสำคัญคือการมองหา "อุตสาหกรรมที่มีอนาคต" และมีความยืดหยุ่นทางด้านทักษะ ซึ่งจะช่วยให้สามารถหางานที่เติมเต็มทั้งความมั่นคงทางอาชีพ และความหมายในชีวิต นี่คือ 7 อุตสาหกรรมที่ต้องจับตามองในปี 2025! เตรียมตัวให้พร้อม 1. Artificial Intelligence (AI) และ Machine Learning (ML) คุณจะเป็นผู้ใช้งานหรือเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่พัฒนา AI ให้กับบริษัทและผู้บริโภค AI และ ML กำลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในทุกภาคส่วน ตั้งแต่ Healthcare, Finance ไปจนถึง Logistics บริษัทต่างๆ ทั่วโลกลงทุนกับเทคโนโลยีนี้เพื่อช่วยให้ผลิตภัณฑ์ดีขึ้น รวดเร็วขึ้น และตอบโจทย์ผู้บริโภค ตัวอย่างงานใน AI/ML AI Engineer: ผู้พัฒนาอัลกอริธึมที่ช่วยแก้ปัญหาซับซ้อน Data Scientist: นักคิดเบื้องหลังข้อมูลที่กลายมาเป็นกลยุทธ์สำคัญ AI Product Manager: คนที่ช่วยสร้างความเชื่อมโยงระหว่างเทคโนโลยีและความต้องการของผู้ใช้ ทำไมถึงน่าสนใจ? AI เป็น"เครื่องมือ" และพลังที่ช่วยเราพัฒนาผลิตภัณฑ์ ลดต้นทุนทางด้านเวลา และสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ 2. Clean Energy และ Sustainability ทรัมป์ไม่สนใจปัญหาโลกร้อน ยังสนับสนุนพลังงานเก่า แต่จีนคือผู้นำทางด้านพลังงานสะอาด การเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานสะอาดไม่ใช่แค่ "เทรนด์" แต่มันคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับอนาคตอย่างน้อยก็สำหรับประเทศอย่างจีน ตัวอย่างงานใน Clean Energy Sustainability Analyst: วิเคราะห์ว่าองค์กรของคุณใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ Renewable Energy Technician: ผู้เชี่ยวชาญด้านแผงโซลาร์และกังหันลม Climate Change Consultant: นักวางแผนเชิงกลยุทธ์ที่ช่วยให้ธุรกิจยั่งยืน ทำไมถึงน่าสนใจ? พลังงานสะอาดคือรากฐานของอนาคต 3. Healthcare Technology ประชากรผู้สูงอายุและความต้องการในการดูแลรักษา เมื่อโลกและประเทศไทยต้องรับมือกับจำนวนประชากรผู้สูงอายุและค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของรัฐที่สูงขึ้น เทคโนโลยีและบุคลากรจึงมีความจำเป็นเพื่อรับมือปัญหาในรูปแบบใหม่ ตัวอย่างงานใหม่ ๆ ใน Healthcare Tech Telehealth Specialist: ผู้ช่วยเชื่อมต่อแพทย์และผู้ป่วยผ่านเทคโนโลยี Biotech Data Analyst: นักวิจัยที่ช่วยสร้างยารักษาโรคที่แม่นยำ Health AI Engineer: นักพัฒนา AI เพื่อการวินิจฉัยที่รวดเร็ว ตัวอย่างงานใน Healthcare ที่ยังเป็นที่ต้องการจำนวนมาก Nurse พยาบาล ผู้ดูแลผู้สูงอายุ ทำไมถึงน่าสนใจ? ในประเทศที่กำลังเผชิญกับปัญหาสังคมสูงวัย การพัฒนาระบบที่ที่ช่วยให้คนหลายล้านคนเข้าถึงการรักษาเป็นสิ่งที่จำเป็น 4. Cybersecurity โลกดิจิทัลที่ปลอดภัยคือภารกิจขององค์กร เมื่อภัยคุกคามทางไซเบอร์เพิ่มขึ้น งานด้าน Cybersecurity จึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกธุรกิจและรัฐบาล เราได้เห็นธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศนโยบายใหม่ที่ธนาคารต้องรับผิดชอบความเสียหายจากการถูกหลอกลวงจาก Call Center ข้อมูลส่วนตัวและเบอร์โทรซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องถูกปกป้องอย่างเข้มงวด ขณะเดียวกันมูลค่าความเสียหายจากการถูกแฮ็คของบริษัทก็มีแนวโน้มสูงขึ้นเนื่องจากข้อมูลธุรกิจเริ่มไปอยู่บน Cloud มากขึ้น ตัวอย่างงานใน Cybersecurity Cybersecurity Analyst: ป้องกันและรับมือกับการโจมตีทางไซเบอร์ Ethical Hacker: ทดสอบระบบเพื่อหาช่องโหว่ Cloud Security Specialist: ผู้ดูแลความปลอดภัยของข้อมูลในระบบคลาวด์ ทำไมถึงน่าสนใจ? ด้วยมูลค่าความเสียหายจากการโจมตีทางไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้น อุตสาหกรรมนี้จึงมีความต้องการในตลาด ใบประกาศนียบัตรทางด้านความปลอดภัยไซเบอร์ถูกจัดว่าเป็นหนึ่งใน Certificate ที่มีคุณค่าสูงที่สุดในปีนี้ 5. Advanced Manufacturing และ Robotics ในไทยอาจยังไม่มีข้อมูลหรือเจองานและบริษัทที่เชี่ยวชาญในด้านนี้ อนาคตของโรงงานอัจฉริยะและหุ่นยนต์ เทคโนโลยีอย่าง 3D Printing และหุ่นยนต์ได้เริ่มขึ้นแล้ว เหมือนที่โรงงานของ Tesla เริ่มมีหุ่น Humanoid ช่วยทำงาน ตัวอย่างงานใน Advanced Manufacturing Robotics Engineer: พัฒนาหุ่นยนต์สำหรับโรงงาน 3D Printing Specialist: ใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างสินค้าใหม่ๆ 6. Human-Centered Careers (อาชีพสาย Soft Skills) สิ่งที่ยังมีแต่มนุษย์ที่มอบให้กันได้ ในยุค AI บางอย่างไม่อาจถูกแทนที่ เช่น ความคิดสร้างสรรค์และการเข้าใจอารมณ์ ตัวอย่างงานในสาย Soft Skills Customer Success Manager: สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า Mental Health Counselor: สนับสนุนสุขภาพจิตของผู้คน Event Manager: วางแผนงานสำคัญเพื่อสร้างความประทับใจ Content Creator: ผู้ผลิตคอนเท้นต์ที่สร้างความเพลิดเพลินบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ทำไมถึงน่าสนใจ? อาชีพเหล่านี้ช่วยให้คุณเชื่อมโยงและสร้างผลเชิงบวกให้กับผู้คน 7. Government Tech เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นจากความต้องการในการปฏิรูปภาครัฐบนพื้นฐานของเทคโนโลยี เช่น e-Government และ Smart Cities บทสรุป: เลือกเส้นทางที่ใช่ในปี 2025 อุตสาหกรรมเหล่านี้ คุณมีโอกาสเป็นผู้บุกเบิกและมีส่วนร่วม สำรวจตัวเลือกเหล่านี้ร่วมกับ Jobcadu และเริ่มต้นสร้างอนาคตของคุณได้แล้ววันนี้!

    Jan 29, 2025
    Thumbnail for ชอบภาษา ทำอาชีพอะไรดี? มัดรวม 10 อาชีพสำหรับคนรักภาษา

    ชอบภาษา ทำอาชีพอะไรดี? มัดรวม 10 อาชีพสำหรับคนรักภาษา

    หากคุณเป็นคนที่ชอบเรียนภาษาแต่ไม่รู้จะประกอบอาชีพอะไรดี ต้องบอกเลยว่าโลกของอาชีพที่เกี่ยวข้องกับภาษานั้นมีมากมายกว่าที่คิด ไม่ได้มีแค่อาชีพนักแปลหรือล่ามเท่านั้น วันนี้ Jobcadu จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ 10 อาชีพที่ต้องใช้ทักษะด้านภาษา พร้อมทั้งข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับอาชีพนั้น ๆ รวมถึงฐานเงินเดือน และทักษะที่จำเป็นสำหรับคนที่รักภาษาเพื่อนำไปประกอบอาชีพ ซึ่งจะมีอาชีพอะไรบ้าง ไปดูกัน 10 อาชีพ สำหรับคนรักภาษา 1. นักแปลภาษา คือผู้ที่มีหน้าที่แปลงข้อความหรือเนื้อหาจากภาษาหนึ่งไปสู่อีกภาษาหนึ่ง โดยต้องคำนึงถึงความถูกต้องของข้อมูลและความลื่นไหลของภาษา งานแปลครอบคลุมทั้งเอกสาร หนังสือ นิยาย หรือบทความวิชาการต่าง ๆ เงินเดือนเฉลี่ย: ประมาณ 35,000 บาท (ขึ้นอยู่กับภาษาและประสบการณ์ เช่น ภาษาญี่ปุ่นหรือเยอรมันมักได้ค่าตอบแทนสูงกว่า รวมถึงจำนวนของงานเเปลที่รับ) อาชีพที่เกี่ยวข้อง: นักแปลหนังสือ, นักแปลนิยาย, นักแปลเอกสาร, หรือนักแปลซับไตเติ้ลในภาพยนตร์และซีรีส์ 2. ล่าม เป็นผู้ถ่ายทอดการสื่อสารแบบเรียลไทม์ระหว่างบุคคลหรือกลุ่มคนที่พูดต่างภาษากัน งานนี้ต้องการทักษะด้านการฟัง พูด และการปรับตัวอย่างรวดเร็ว เงินเดือนเฉลี่ย: ประมาณ 50,000 บาท อาชีพที่เกี่ยวข้อง: ล่ามประจำบริษัท, ล่ามงานประชุม, ล่ามศาล 3.แอร์โฮสเตส/สจ๊วต เป็นอาชีพที่ต้องใช้ภาษาในการสื่อสารกับผู้โดยสารจากทั่วโลก แอร์โฮสเตสและสจ๊วต จึงเป็นอีกหนึ่งอาชีพยอดฮิตของคนรักภาษาเเละรักงานบริการ เงินเดือนเฉลี่ย: 40,000 – 80,000 บาท (ขึ้นอยู่กับสายการบิน) อาชีพที่เกี่ยวข้อง: ฝ่ายบริการลูกค้าในสายการบิน 4. ครูสอนภาษา/ติวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ ญี่ปุ่น หรือภาษาอื่น ๆ คืออาชีพที่มอบความรู้ให้กับผู้เรียน และเป็นที่ต้องการในทุกช่วงเวลา เงินเดือนเฉลี่ย: 20,000 – 40,000 บาท หรือสูงกว่าสำหรับครูที่ทำงานในโรงเรียนนานาชาติ อาชีพที่เกี่ยวข้อง: ครูสอนพิเศษ, ครูสอนออนไลน์, ผู้ช่วยครูชาวต่างชาติ 5. ไกด์นำเที่ยว/มัคคุเทศก์ เป็นอาชีพที่ต้องอาศัยทักษะภาษาและการสื่อสารเพื่อแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวแก่ชาวต่างชาติ เงินเดือนเฉลี่ย: รายได้ขึ้นอยู่กับทัวร์และทิป (เฉลี่ยอยู่ที่ 30,000 – 50,000 บาทต่อเดือน) อาชีพที่เกี่ยวข้อง: ผู้จัดการทัวร์, พนักงานต้อนรับโรงแรม 6. นักเขียน/บรรณาธิการภาษา สำหรับคนที่รักการเขียน การทำงานเป็น นักเขียนหรือบรรณาธิการภาษา ช่วยให้คุณได้ใช้ทักษะภาษาสร้างสรรค์ผลงานที่หลากหลาย รวมถึงสามารถค้นหาข้อมูล ค้นคว้าได้หลายภาษา เงินเดือนเฉลี่ย: เริ่มต้น 20,000 – 40,000 บาท อาชีพที่เกี่ยวข้อง: Content writer, นักพิสูจน์อักษร 7. นักการตลาดดิจิทัล (Digital Marketer) การตลาดออนไลน์ต้องการ นักการตลาดดิจิทัล ที่มีความสามารถด้านวิเคราะห์พฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งหากทำงานในบริษัทต่างชาติ หรือต้องติดต่อสื่อสารกับลูกค้าที่เป็นต่างชาติ ความสามารถในการใช้ภาษาก็เป็นทักษะสำคัญที่อาชีพนี้ต้องมี เงินเดือนเฉลี่ย: เริ่มต้น 20,000 บาท อาชีพที่เกี่ยวข้อง: คอนเทนต์มาร์เก็ตติ้ง 8. เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริการลูกค้า (Customer Service) อาชีพนี้ต้องการการใช้ภาษาเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าจากหลากหลายประเทศ เงินเดือนเฉลี่ย: ประมาณ 20,000 – 50,000 บาท อาชีพที่เกี่ยวข้อง: Call Center ฝ่ายดูแลลูกค้า 9. ผู้พัฒนาคอร์สเรียนภาษาออนไลน์ หากคุณชอบสอนและมีความคิดสร้างสรรค์ การพัฒนาคอร์สเรียนภาษาออนไลน์ อาจเป็นอาชีพที่เหมาะสำหรับคุณ เงินเดือนเฉลี่ย: รายได้ขึ้นอยู่กับยอดขายคอร์ส (เฉลี่ย 30,000 บาทขึ้นไป) อาชีพที่เกี่ยวข้อง: YouTuber สายการศึกษา หรือ Tiktoker สร้างคอนเทนต์ภาษา (รายได้ขึ้นอยู่กับยอด Engagement หรือรายได้จากสปอนเซอร์) 10. ผู้ประสานงานต่างประเทศ (International Coordinator) ต้องการทักษะด้านภาษาในการติดต่อและเจรจาธุรกิจระหว่างองค์กรจากประเทศต่าง ๆ เงินเดือนเฉลี่ย: 40,000 – 60,000 บาท อาชีพที่เกี่ยวข้อง: ผู้จัดการฝ่ายส่งออก อยากประกอบอาชีพสายภาษา ต้องจบสายภาษาหรือเรียนต่อต่างประเทศไหม? ไม่จำเป็นต้องจบสายภาษาโดยตรงหรือต่างประเทศเสมอไป แต่คุณควรมีทักษะภาษาในระดับที่เพียงพอต่อการใช้งาน รวมถึงการอ่านเงื่อนไขของบริษัทอย่างละเอียดว่าคุณสมบัติของเราเพียงพอต่อการทำงานที่บริษัทนั้นๆหรือไม่ หรือหากสนใจอยากเรียนต่อต่างประเทศ ก็สามารถเข้าไปดูเพิ่มเติมได้ที่ Master Portal ทักษะภาษาเพิ่มเติมที่ควรมี ลงคอร์สเรียนภาษาเพิ่มเติม เช่น English Speaking Complete by Udemy, Chinese for Beginners by Coursela หรือคอร์สอื่นๆที่น่าสนใจ สามารถเข้าไปดูเพิ่มเติมได้เลยที่ Education Portal ฝึกภาษาเพิ่มเติมหลาย ๆ ภาษา เช่น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น หรือ เยอรมัน พัฒนาทักษะการเขียนและการพูดผ่านการอ่านหนังสือ ดูหนังต่างประเทศ ดูคลิปยูทูบเพิ่มเติม ใช้เเพลตฟอร์มฝึกภาษา เช่น Duolingo, BCC Learning English, TED Talks หรือฝึกสนทนากับเจ้าของภาษา หากคุณกำลังมองหาโอกาสในสายอาชีพที่เกี่ยวข้องกับภาษา สามารถเข้าไปสมัครงานได้ที่ Job Portal ซึ่งมีงานที่เกี่ยวข้องกับภาษาที่หลากหลายรออยู่

    Jan 28, 2025
    Thumbnail for 9 เคล็ด(ไม่)ลับในการหาคนที่กำลังมองหางาน

    9 เคล็ด(ไม่)ลับในการหาคนที่กำลังมองหางาน

    ในยุคที่การแข่งขันในแวดวง HR อย่างดุเดือด การต้องหาพนักงานที่เหมาะสักคนจึงเป็นเรื่องยาก เพราะ การมีพนักงานที่ใช่ ที่สามารถทำงานร่วมกับองค์กรได้เป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในการหาคนสมัครงานแล้ว แต่ในขณะเดียวกัน การหาคนที่เหมาะสมกับตำแหน่งงานกลับเป็นเรื่องท้าทาย โดยเฉพาะในตลาดแรงงานที่มีทั้งความต้องการแรงงานสูงและการขาดแคลนทักษะเฉพาะทาง หลายองค์กรต้องใช้เวลานานในกระบวนการสรรหาบุคลากร แต่ได้ผู้สมัครที่ไม่ตรงความต้องการ ส่งผลต่อเป้าหมายขององค์กร และอาจกระทบต่อเป้าหมายระยะยาวของบริษัท หากเรามีกลยุทธ์ในการเข้าถึงคนที่กำลังมองหางานได้อย่างถูกวิธี จะช่วยประหยัดเวลา เพิ่มคุณภาพของผู้สมัคร และสร้างความมั่นใจในทีมงานที่เหมาะสมกับองค์กรได้ ความสำคัญของการหาคนที่กำลังมองหางาน การค้นหาสมัครที่กำลังมองหางานช่วยเพิ่มความได้เปรียบในกระบวนการจ้างงานในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็น: ลดระยะเวลาการจ้างงาน: การพบผู้สมัครที่เหมาะสมตั้งแต่ต้นช่วยให้เราไม่ต้องเสียเวลาไปกับการกรองคนที่ไม่ตรงกับตำแหน่ง เข้ามาแล้วก็ออก เปิดการมองเห็นของตำแหน่งงาน: เมื่อเราขยายการค้นหาไปยังช่องทางที่หลากหลาย จะช่วยให้ตำแหน่งงานของเราได้รับความสนใจมากขึ้น คนเห็นเยอะขึ้น และมีโอกาสที่คนจะสมัครเยอะขึ้น เพิ่มโอกาสในการได้คนเก่ง: ยิ่งเราขยายฐานของผู้สมัคร ยิ่งมีโอกาสได้ผู้ที่มีศักยภาพสูงและเหมาะสมกับตำแหน่ง 9 วิธีหาคนที่กำลังมองหางาน 1. ใช้คีย์เวิร์ดในการหาคนทำงาน แพลตฟอร์มที่คนหางานหรือคนทำงานใช้กันอย่าง เช่น LinkedIn เป็นช่องทางที่เหมาะสำหรับค้นหาผู้สมัครที่กำลังเปิดรับโอกาสใหม่ เราสามารถใช้คีย์เวิร์ดเพื่อเรียกคนหรือดึงดูดคงามสนใจ เช่น “Open to work” หรือ “เปิดรับสมัคร” เพื่อค้นหาโปรไฟล์ของผู้สมัครในสายงานที่ต้องการ นอกจากนี้ยังสามารถส่งข้อความโดยตรงเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับผู้สมัครได้ทันที เพื่อที่ทำความรู้จักผู้สมัครให้อยากมาทำงานกับเรา 2. ดีลตรงกับมหาวิทยาลัย สำหรับตำแหน่งเด็กจบใหม่ หรือรับคนที่ไม่มีประสบการณ์ การประสานงานกับมหาวิทยาลัยหรืออาจารย์ก็เป็นโอกาสที่ดีในการเจอกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีไฟ มีความตั้งใจ เราอาจจัดกิจกรรมแนะแนวอาชีพหรือแจกเอกสารข้อมูลเกี่ยวกับโอกาสในองค์กร เพื่อสร้างความประทับใจให้กับผู้สมัครตั้งแต่ต้น 3. จัดกิจกรรมจ้างงานแบบกลุ่ม (Hiring Event) การจัด Job Fair หรือ Hiring Event เป็นโอกาสในการพบปะผู้สมัครหลายคนในครั้งเดียว เราสามารถพูดคุย สัมภาษณ์เบื้องต้น และประเมินความเหมาะสมของผู้สมัครได้ในทันที 4. ทำงานร่วมกับบริษัทจัดหางาน (Recruiter) หากว่าเรากำลังมองหาผู้สมัครที่มีคุณสมบัติพิเศษหรือตำแหน่งที่ยากจะเติมเต็ม การใช้บริการของบริษัทจัดหางานจะช่วยประหยัดเวลาและเพิ่มความแม่นยำในกระบวนการสรรหา อีกทั้งยังไม่ต้องลงไปคุยกับผู้สมัครเอง รอสัมภาษณ์ได้เลย 5. Refer จากพนักงานในองค์กร การใช้ Referral Program หรือให้พนักงานแนะนำเพื่อนหรือคนรู้จักที่เหมาะสมเข้ามาสมัครงาน ช่วยลดความเสี่ยงในการได้คนที่ไม่ตรงกับวัฒนธรรมองค์กร ทั้งยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในทีมงาน นอกจากนั้นก็ยังช่วยคัดกรองความเสี่ยงที่คนที่จะเข้ามาแล้วออกก่อน เพราะไม่มีเพื่อน 6. ใช้เครือข่ายในกลุ่มอุตสาหกรรม (Trade Groups) การเข้าร่วมสมาคมวิชาชีพหรือชุมชนในสายงานเฉพาะช่วยให้เราเข้าถึงคนที่มีทักษะและประสบการณ์ตรงกับที่องค์กรต้องการ เช่น กลุ่มคนที่ทำงานสาย Data เหมือนกัน ก็จะช่วยให้หาคนในสายงานนั้นง่ายยิ่งขึ้น 7. สรรหาผ่านโซเชียลมีเดีย การใช้ Facebook, Instagram หรือ Twitter ในการโพสต์ตำแหน่งงานไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มการเข้าถึงผู้สมัครที่มีความสนใจ แต่ยังช่วยสร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชนออนไลน์ที่ติดตามบริษัทของเรา นอกจากนั้นตาม Facebook group ก็เป็นหนึ่งในช่องทางการหาผู้สมัครได้อย่างมากมาย เช่น กลุ่มหางานการตลาด กลุ่มหางานวิศวะ และอื่น ๆ 8. เพิ่มหน้า “Careers” ในเว็บไซต์ การมีหน้า “Careers” ในเว็บไซต์ของบริษัทช่วยให้ผู้ที่สนใจสามารถตรวจสอบตำแหน่งงานที่เปิดรับ รวมถึงเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรมองค์กร เป้าหมาย และวิสัยทัศน์ของเรา 9. โพสต์ประกาศงานในช่องทางเฉพาะกลุ่ม การใช้แพลตฟอร์มหางานเฉพาะทาง เช่น Jobcadu ช่วยให้เราเข้าถึงกลุ่มผู้สมัครที่มีคุณสมบัติเฉพาะ ทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสในการค้นหาคนที่เหมาะสมกับตำแหน่ง เคล็ดลับเพิ่มเติมสำหรับการสรรหาบุคลากร ศึกษาตลาดแรงงาน: การรู้ว่าคนในสายงานของเรากำลังมองหาอะไร เช่น ค่าตอบแทน สวัสดิการ หรือโอกาสเติบโต จะช่วยให้เราสร้างข้อเสนอที่น่าสนใจ ปรับปรุงข้อความประกาศงาน: ใช้ข้อความที่สื่อถึงจุดเด่นขององค์กรและเน้นถึงประโยชน์ที่ผู้สมัครจะได้รับ สร้างภาพลักษณ์นายจ้างที่น่าดึงดูด: การพัฒนาแบรนด์ขององค์กรให้เป็นที่รู้จักในฐานะนายจ้างที่ดี จะช่วยดึงดูดผู้สมัครที่มีศักยภาพ การสรรหาคนที่ใช่ในยุคปัจจุบันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ด้วยการปรับใช้ 10 วิธีที่กล่าวมา เราสามารถเพิ่มโอกาสในการได้ผู้สมัครที่เหมาะสม และลดระยะเวลาในกระบวนการจ้างงาน หากต้องการแพลตฟอร์มหางานที่ช่วยให้ทุกขั้นตอนสะดวกและมีประสิทธิภาพ Jobcadu คือตัวเลือกที่ตอบโจทย์ที่สุด เรามีฐานข้อมูลผู้สมัครที่หลากหลายและฟีเจอร์ช่วยคัดกรองอย่างมืออาชีพ มาร่วมสร้างทีมที่แข็งแกร่งและพาองค์กรของเราเติบโตไปอีกขั้นกับ Jobcadu!

    Dec 16, 2024
    Thumbnail for มาทำความรู้จักอาชีพวิศวกรเคมีกัน! (Chemical Engineer at Thaioil)

    มาทำความรู้จักอาชีพวิศวกรเคมีกัน! (Chemical Engineer at Thaioil)

    สำรวจบทบาทของวิศวกรเคมีที่ทำงานในไทยออยล์ บริษัทปิโตรเคมีชั้นนำของประเทศไทย พร้อมทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับการทำงาน ชีวิตประจำวัน และโอกาสในอาชีพที่บริษัทไทยออยล์ 1.ภาพรวมของไทยออยล์และหน่วย LABIX • ไทยออยล์: บริษัทปิโตรเคมีขนาดใหญ่ที่เชี่ยวชาญในด้านการกลั่นน้ำมันและผลิตสารเคมีที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น ผงซักฟอกและน้ำมันหล่อลื่น • หน่วย LABIX: หน่วยย่อยที่เน้นผลิตสารตั้งต้นที่ใช้ในผงซักฟอก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการขยายธุรกิจของไทยออยล์ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี 2.วันทำงานของวิศวกรเคมี • กิจวัตรประจำวัน: วิศวกรเริ่มต้นวันด้วยการตรวจสอบพารามิเตอร์ต่าง ๆ ในห้องควบคุมและตรวจเช็คกระบวนการผลิต • ห้องควบคุม: ห้องที่ติดตั้งจอมอนิเตอร์จำนวนมากซึ่งวิศวกรอย่างคุณแก็ปใช้ในการติดตามการผลิตและปรับปรุงกระบวนการตามข้อมูลที่ได้รับ • ความท้าทาย: วิศวกรอาจต้องปรับการทำงานตามสภาพแวดล้อม เช่น อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงเนื่องจากสภาพอากาศ 3.บทบาทและหน้าที่ของผู้ปฏิบัติงานต่าง ๆ • วิศวกรเคมี: บริหารจัดการและควบคุมการผลิตสารเคมีต่าง ๆ เช่น สารตั้งต้นสำหรับผงซักฟอก • ผู้ปฏิบัติงานภายนอก: ช่างเทคนิคที่มักมีพื้นฐานจากสถาบันอาชีวะ คอยดูแลอุปกรณ์และกระบวนการในสถานที่ผลิต 4.ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการผลิตสารเคมี • กระบวนการ: อธิบายกระบวนการ เช่น การกลั่น และการผลิตวัตถุดิบพื้นฐานสำหรับน้ำมันหล่อลื่นและผงซักฟอก • การบำรุงรักษาและความปลอดภัย: วิศวกรบางครั้งต้องปีนขึ้นโครงสร้างสูงถึง 80 เมตรเพื่อตรวจสอบอุปกรณ์ และมาตรการความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากวัสดุที่จัดการมีความไวไฟสูง 5.การศึกษาและเส้นทางการฝึกอบรมสำหรับวิศวกร • พื้นฐานการศึกษา: โดยทั่วไปจำเป็นต้องมีพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะวิชาเคมีและคณิตศาสตร์ และต้องจบปริญญาตรีวิศวกรรมเคมี หลักสูตรในมหาวิทยาลัย: • ปีที่ 1: วิชาทั่วไป (ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา) • ปีที่ 2: วิชาวิศวกรรมขั้นต้น • ปีที่ 3: วิชาเฉพาะทาง เช่น กลศาสตร์ของไหล และการถ่ายเทความร้อน • ปีที่ 4: โครงการปิดหลักสูตรที่รวมทักษะทั้งหมดที่ได้เรียนมา 6.โอกาสในอาชีพและความต้องการแรงงาน • บทบาทหลากหลาย: ผู้จบการศึกษาสามารถเข้าสู่อาชีพที่หลากหลายมากกว่าการเป็นวิศวกรเคมี เช่น การพัฒนาธุรกิจหรือเศรษฐศาสตร์การกลั่น • การเติบโต: ไทยออยล์มีการรับสมัครวิศวกรใหม่อย่างสม่ำเสมอและสนับสนุนการพัฒนาอาชีพ โดยมีความต้องการเพิ่มขึ้นจากโครงการขนาดใหญ่ที่ดำเนินอยู่ 7.สวัสดิการและโปรแกรมดูแลพนักงานที่ไทยออยล์ • สุขภาพและความปลอดภัย: สวัสดิการด้านการแพทย์ที่ครอบคลุม100% รวมถึงการรับรักษาในโรงพยาบาลเอกชน • โปรแกรมส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดี: มีโปรแกรมสนับสนุนด้านสุขภาพกาย จิตใจ และการเงินสำหรับพนักงาน • การพัฒนาอาชีพ: ไทยออยล์สนับสนุนการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และมีทุนการศึกษาสำหรับการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น ____________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________ Explore the role of a chemical engineer working at Thai Oil, a leading petrochemical company in Thailand. Learn about their work, daily life, and career opportunities at Thai Oil. 1.Thaioil and LABIX Overview • Thaioil: A large petrochemical company specializing in refining oil and creating chemicals used in products like detergents and lubricants. • LABIX Division: Focuses on producing materials used in detergents, highlighting Thaioil’s diversification in the petrochemical industry. 2.A Day in the Life of a Chemical Engineer • Routine: Engineers start the day by inspecting various parameters in the control room and checking the production process. • Control Room: Equipped with numerous monitors, this is where engineers like Mr. Gap oversee production flows and make adjustments based on data. • Challenges: Engineers may need to adjust operations in response to external factors, such as changes in temperature due to weather. 3.Roles and Responsibilities of Different Operators • Chemical Engineers: Manage and oversee the production of chemical components like detergent precursors. • Outside Operators: Technicians, often with vocational backgrounds, who monitor and manage on-ground equipment and processes at the plant. 4.Chemical Production Insights • Processes: Gap explains processes like distillation and the production of base materials for lubricants and detergents. • Maintenance and Safety: Engineers sometimes need to climb structures up to 80 meters to inspect equipment, and safety measures are critical due to the flammable nature of materials handled. 5.Education and Training Pathways for Engineers • Academic Background: Typically requires a strong foundation in sciences, especially chemistry and math, and a bachelor’s degree in Chemical Engineering. University Curriculum: • First Year: General subjects (physics, chemistry, biology). • Second Year: Introductory engineering courses. • Third Year: Specialized courses in fluid mechanics and heat transfer. • Fourth Year: Capstone projects that integrate all skills learned. 6.Career Opportunities and Job Demand • Diverse Roles: Graduates can pursue roles beyond chemical engineering, such as business development or refinery economics. • Growth: Thaioil regularly recruits engineers and offers career development, with a projected increase in demand due to ongoing projects. 7.Employee Benefits and Welfare Programs at Thaioil • Health and Safety: Comprehensive medical benefits, including private hospital coverage. • Well-being Initiatives: Programs supporting physical, mental, and financial health for employees. • Career Development: Thaioil encourages continuous growth and offers scholarships for advanced studies.

    Nov 22, 2024
    Thumbnail for เส้นทางสู่อาชีพ Financial Analyst: สมัครงานอย่างไรเมื่อไม่มีประสบการณ์? (How to Land a Financial Analyst Job with No Experience?)

    เส้นทางสู่อาชีพ Financial Analyst: สมัครงานอย่างไรเมื่อไม่มีประสบการณ์? (How to Land a Financial Analyst Job with No Experience?)

    การเริ่มต้นการทำงานในสายการเงินอาจจะรู้สึกว่ายาก โดยเฉพาะเมื่อทุกงานที่ดูเหมือนจะต้องการประสบการณ์ที่เรายังไม่มี แต่ไม่ต้องห่วงกังวล ยังมีวิธีที่จะทำให้ไปถึงเป้าหมายได้! ไกด์ไลน์นี้จะพาไปทีละขั้นตอนเพื่อให้เรากลายเป็นผู้สมัครที่โดดเด่นและได้งานนักวิเคราะห์การเงิน แม้จะยังเป็นมือใหม่ในสายงานนี้ ตั้งแต่การใช้คอนเนคชัน การพัฒนาทักษะ ไปจนถึงการเตรียมตัวสำหรับสัมภาษณ์ ที่จะทำให้เราเรียนรู้วิธีที่จะแสดงให้เห็นว่าเราพร้อมแล้วสำหรับงานนี้ มาดูไปพร้อมกันว่าเราจะเริ่มต้นสายงานการเงินได้ยังไง แม้ว่าจะไม่มีประสบการณ์เลย 1.เข้าใจความท้าทายเมื่อไม่มีประสบการณ์ หลายคนเจอปัญหาว่าจะเข้าทำงานเป็นนักวิเคราะห์การเงินโดยไม่มีประสบการณ์ได้ยังไง ซึ่งงานที่ต้องการประสบการณ์มันเหมือนจะไม่เปิดโอกาสให้มือใหม่ วิดีโอนี้มีคำแนะนำในการรับมือกับปัญหานี้ 2.ใช้คอนเนคชัน คอนเนคชันส่วนตัว: ลองคุยกับเพื่อน ครอบครัว หรือคนรู้จักที่อยู่ในวงการการเงินหรือธุรกิจ บอกเป้าหมายการทำงานของเรา เผื่ออาจได้ข้อมูลหรือคำแนะนำดี ๆ ขยายเครือข่าย: ลองคุยกับคนที่เราไม่ได้คุยบ่อยๆ เพราะโอกาสดี ๆ อาจมาจากคนที่เราไม่คาดคิด การพูดคุยกับคนที่ทำงานในสายการเงินหรือธุรกิจอาจช่วยให้เข้าใจงานนี้มากขึ้น 3.กลยุทธ์ในการหางาน เว็บไซต์ของบริษัทโดยตรง: ลิสต์รายชื่อบริษัทในสายการเงินไว้อย่างน้อย 50 บริษัท เข้าไปดูหน้า Careers ของแต่ละบริษัทแล้วสมัครเลย โดยเฉพาะบริษัทขนาดเล็กที่คนสมัครน้อยกว่า มองในระยะยาว: เริ่มจากบริษัทเล็ก ๆ ก่อนเพื่อเก็บประสบการณ์ เป็นการเตรียมตัวไปต่อในบริษัทใหญ่ในอนาคต 4.ใช้ LinkedIn ในการหางาน ประกาศรับสมัครงาน: หลายบริษัทโพสต์ตำแหน่งงานบน LinkedIn ลองสมัคร โดยเฉพาะบริษัทเล็กที่อาจมีคู่แข่งน้อยกว่า ติดต่อโดยตรง: ค้นหานักวิเคราะห์ในบริษัทที่อยากทำงานด้วยแล้วทักไปถามข้อมูล เช่น เส้นทางอาชีพและความท้าทายของเขา เพื่อให้เห็นภาพงานนี้ชัดเจนขึ้นและเตรียมพร้อมก่อนสัมภาษณ์ 5.เข้าใจบทบาทและเตรียมตัวสัมภาษณ์ หน้าที่ของงาน: รู้ว่าหน้าที่ของนักวิเคราะห์การเงินทำอะไรบ้างในแต่ละวัน จะช่วยเราเวลาสัมภาษณ์ เพราะการรู้รายละเอียดงานแสดงว่าเราเตรียมตัวมาดี ความรู้ในอุตสาหกรรม: รู้ทันแนวโน้มและความท้าทายในสายงาน เช่น ในการเงินควรอัปเดตเรื่องกฎระเบียบใหม่ ๆ เพื่อให้สัมภาษณ์มีมุมมองในเชิงกว้างมากขึ้น 6.เพิ่มพูนความรู้ทางเทคนิค คำถามด้านเทคนิค: เตรียมตัวเรื่องพื้นฐานการเงิน เช่น โมเดลการประเมินมูลค่า (เช่น DCF) แม้จะไม่มีประสบการณ์ตรงก็เตรียมได้ คอร์สเรียนออนไลน์: คอร์สออนไลน์ (เช่น Coursera) ช่วยให้เรามีพื้นฐานเรื่องการเงิน การลงทุน ซึ่งแสดงถึงความตั้งใจในการเรียนรู้ 7.แสดงทักษะที่ใช้ได้หลากหลาย ดึงทักษะจากประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง: หากเคยทำงานที่ต้องใช้ทักษะละเอียดรอบคอบ การจัดการข้อมูล หรือการแก้ปัญหาอย่างมีเหตุผล ให้เน้นในสัมภาษณ์ เช่น ถ้าต้องละเอียดรอบคอบอาจยกตัวอย่างความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้ 8.แสดงการเตรียมตัวที่ลึกซึ้งและคิดวิเคราะห์ ความรู้เกี่ยวกับตลาด: ถ้าเข้าใจแนวโน้มใหญ่ ๆ ที่ส่งผลต่อธุรกิจ นำมาพูดในสัมภาษณ์ด้วยเพื่อแสดงว่าเรามีความคิดเชิงวิเคราะห์ การคิดอย่างเป็นระบบ: ผู้จ้างมักชอบคนที่อธิบายกระบวนการคิดได้ชัดเจน เพราะมันแสดงถึงความคิดวิเคราะห์ 9.ทำให้ตัวเองโดดเด่นขึ้น ความรู้ทางเทคนิคจากคอร์ส: การเรียนคอร์สการเงินที่มีโครงสร้างสามารถเพิ่มทักษะและแสดงความมุ่งมั่นของเรา สร้างแบรนด์ตัวเองใน LinkedIn: นอกจากการสมัครงาน การโพสต์ความคิดเห็นหรือข้อมูลที่เกี่ยวกับแนวโน้มในสายงานการเงินก็จะทำให้เราเป็นที่สนใจและแสดงถึงความรู้ในสายงานนี้ _________________________________________________________________________________________________________________________________________________ Starting a career in finance can feel tough—especially when every job seems to require experience you don’t have yet. But don’t worry; there are ways to make it happen! This guide will walk you through simple steps to get noticed and land your first financial analyst job, even if you’re new to the field. From using your network to building the right skills and preparing for interviews, you’ll learn how to stand out and prove you’re ready for the role. Let’s jump in and explore how you can kick-start your finance career, no experience required. 1.Understanding the Challenge of No Experience Many find it hard to break into financial analyst roles without relevant work experience, creating a cycle where roles requiring experience are inaccessible to newcomers. The video addresses this “catch-22” and suggests strategies to navigate it. 2.Utilize Your Network Personal Connections: The speaker recommends reaching out to friends, family, and acquaintances in the finance or corporate sectors. Informing them of your career goals increases your chances of finding indirect leads or even mentorship. Extended Networking: It’s beneficial to connect with people you may not speak to regularly, as opportunities often come from unexpected places. Conversations with those in financial or commercial roles can provide insights into daily responsibilities and expectations. 3.Targeted Job Search Strategies Direct Company Websites: Create a list of top firms in the finance sector, ideally 50 or more. Visit each company’s career page to apply directly, especially to smaller firms that attract fewer applicants and are more accessible to those without experience. Long-Term Approach: Working at a smaller firm is valuable for gaining initial experience, which can serve as a stepping stone for larger roles in the future. 4.Leveraging LinkedIn for Job Search Job Postings: Many companies, large and small, post job openings on LinkedIn. The speaker suggests using the platform to apply, particularly to smaller firms where competition might be lower. Direct Outreach: Search for current analysts or senior analysts in desired companies and reach out. Ask for insights into their role, career path, and challenges rather than direct job leads, which can offer you a realistic view of the position and make you better prepared for interviews. 5.Gaining Role Insight and Preparing for Interviews Job Responsibilities: Understanding what a financial analyst does day-to-day helps when communicating with hiring managers. During an interview, knowing the job details signals that you’ve done your research and are aware of role expectations. Industry Knowledge: Be informed about the industry trends and challenges of the firm you’re applying to. For example, in finance, staying updated on regulatory changes is crucial. Discussing these insights during interviews shows you’re tuned into the larger market landscape. 6.Improving Technical Competence Technical Questions: Familiarize yourself with finance basics like valuation models (e.g., discounted cash flow), commonly expected of financial analysts. You can prepare for these even without direct work experience. Online Learning Resources: Online courses (like those on Coursera) offer accessible ways to build a foundation in financial markets, investment theory, and finance basics. Taking such courses demonstrates a proactive approach to learning and adds credibility in interviews. 7.Highlighting Transferable Skills Drawing on Related Experience: If you’ve held a role requiring skills like attention to detail, data handling, or logical problem-solving, emphasize these in interviews. For example, if attention to detail was crucial in your past work, explain the potential consequences of mistakes to underscore your professional responsibility. 8.Showing In-Depth Preparation and Critical Thinking Market Awareness: If you understand how broader trends, like consumer behavior shifts, impact a business, bring it up in interviews. Discussing specific scenarios and offering logical reasoning behind your perspective can impress interviewers. Logical Approach: Employers often appreciate candidates who can walk them through a structured thought process, even if they’re making predictions rather than sharing concrete experience. This demonstrates your analytical mindset, which is a valued trait in financial analysis. 9.Taking Extra Steps to Stand Out Technical Knowledge via Courses: Beyond free resources, structured finance courses can further sharpen your skills. These also show that you’re committed to learning about the field. Personal Branding on LinkedIn: Besides applying for jobs, posting insights or opinions on industry trends on LinkedIn can enhance your visibility and showcase your understanding of the field.

    Nov 19, 2024
    Thumbnail for พนักงานรัฐวิสาหกิจคืออะไร ทำไมหลาย ๆ คนเชียร์อยากให้เป็น Jobcadu มีคำตอบ

    พนักงานรัฐวิสาหกิจคืออะไร ทำไมหลาย ๆ คนเชียร์อยากให้เป็น Jobcadu มีคำตอบ

    พนักงานรัฐวิสาหกิจ (State-Owned Enterprise Employee) หรือพนักงานที่ทำงานในองค์กรที่มีรัฐเป็นเจ้าของหรือควบคุม บทบาทสำคัญของพนักงานรัฐวิสาหกิจคือการให้บริการและสนับสนุนสังคมในด้านต่างๆ เช่น การขนส่ง การสาธารณสุข พลังงาน และการเงิน โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อประโยชน์สาธารณะ ไม่ได้เน้นกำไรเหมือนกับบริษัทเอกชน นอกจากนั้นวันนี้เราจะพามาไขข้อสงสัยเกี่ยวกับรายได้ โบนัส รวมถึงความมั่นคงของงานนี้กัน พนักงานรัฐวิสาหกิจ คืออาชีพอะไร? พนักงานรัฐวิสาหกิจ คือ บุคลากรที่ปฏิบัติงานในองค์กรของรัฐหรือที่รัฐมีส่วนเป็นเจ้าของอย่างน้อย 51% หรือรัฐผสมเอกชนนั่นเอง ซึ่งองค์กรเหล่านี้จัดตั้งขึ้นเพื่อให้บริการที่สำคัญแก่ประชาชน ซึ่งพนักงานกลุ่มนี้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนโยบายของรัฐและการให้บริการสาธารณะที่มีคุณภาพ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศในหลากหลายด้าน โดยมีหลายองค์กรที่เราคุ้นเคย ก็คือ การไฟฟ้า การประปา ธนาคารต่าง ๆ นั่นเอง โดยองค์กรเหล่านี้จะรับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนที่มาจากงบประมาณแผ่นดิน ตัวอย่างองค์กรรัฐวิสาหกิจในประเทศไทย ในประเทศไทย รัฐวิสาหกิจแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามหน้าที่เป็นหลัก โดยแต่ละประเภทมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย ซึ่งประกอบด้วย: การขนส่ง: เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย การท่าอากาศยานไทย ที่ให้บริการด้านการขนส่งเพื่อเชื่อมโยงทุกพื้นที่ในประเทศ พลังงาน: เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการประปานครหลวง ที่ให้บริการด้านสาธารณูปโภคเพื่อความสะดวกและความปลอดภัยของประชาชน การเงิน: เช่น ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย ที่ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายและปลอดภัย สาธารณสุข: เช่น องค์การเภสัชกรรม ที่ช่วยผลิตและจำหน่ายยาราคาถูกและมีคุณภาพ ความสำคัญขององค์กรรัฐวิสาหกิจ องค์กรรัฐวิสาหกิจ (State-Owned Enterprises: SOEs) เป็นหน่วยงานทางเศรษฐกิจที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาประเทศในหลายมิติ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของชาติ รัฐวิสาหกิจไม่เพียงแต่ทำหน้าที่ในฐานะผู้ให้บริการสาธารณะที่สำคัญ แต่ยังเป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการดำเนินนโยบายเพื่อประโยชน์ส่วนรวมอย่างมีประสิทธิภาพ 1. บทบาททางเศรษฐกิจ องค์กรรัฐวิสาหกิจมีส่วนสำคัญในระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภาคส่วนที่ต้องการการลงทุนสูงหรือมีความเสี่ยง เช่น โครงสร้างพื้นฐาน การพลังงาน และการคมนาคม การดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจช่วยสร้างเสถียรภาพและกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจผ่านการลงทุนในโครงการสำคัญ นอกจากนี้ รัฐวิสาหกิจยังเป็นแหล่งรายได้ของรัฐบาลผ่านการจ่ายเงินปันผลและภาษี 2. การให้บริการสาธารณะ องค์กรรัฐวิสาหกิจมุ่งเน้นการให้บริการสาธารณะที่ครอบคลุมและเป็นธรรม เช่น การจัดการไฟฟ้า น้ำประปา การขนส่งมวลชน และการสื่อสารโทรคมนาคม การให้บริการเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมถึงการสร้างโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรและบริการที่จำเป็น 3. การสนับสนุนการพัฒนาสังคม รัฐวิสาหกิจเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญของรัฐบาลในการขับเคลื่อนนโยบายสังคม เช่น การสร้างงาน การลดความเหลื่อมล้ำ และการพัฒนาชุมชนในพื้นที่ห่างไกล ตัวอย่างเช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีบทบาทในการขยายระบบไฟฟ้าให้ครอบคลุมพื้นที่ชนบท เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น 4. การสร้างความมั่นคงของชาติ ในด้านความมั่นคง รัฐวิสาหกิจมีบทบาทสำคัญในการจัดการทรัพยากรที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของประเทศ เช่น การจัดหาพลังงาน การป้องกันภัยพิบัติ และการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติในระยะยาว 5. การสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืน องค์กรรัฐวิสาหกิจสามารถเป็นตัวอย่างที่ดีในการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยนำแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนมาปรับใช้ในกระบวนการทำงาน เช่น การลงทุนในพลังงานหมุนเวียน การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการส่งเสริมการบริโภคที่ยั่งยืน บทบาทของรัฐวิสาหกิจแบบสั้น ๆ เพื่อดำเนินกิจการที่ต้องใช้ความร่วมมือของรัฐ เพื่อหารายได้แก่รัฐโดยใช้เอกชนเป็นส่วนร่วม เพื่อดำเนินกิจการที่มีความสำคัญ ที่คอยอุดรอยโหว่ของรัฐที่ยังไม่ครอบคลุม เพื่อประกอบกิจการที่เป็นเครื่องมือสนองนโยบายเพื่อช่วยเหลือในการครองชีพหรือส่งเสริมอาชีพของประชาชนเป็นส่วนใหญ่ เพื่อประกอบกิจการเพื่อสาธารณประโยชน์ เพื่อป้องกันการผูกขาดของบริการสาธารณูปโภค เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ มั่นคงไหม เงินเดือนเท่าไหร่? เงินเดือนและความมั่นคงของพนักงานรัฐวิสาหกิจ: พนักงานรัฐวิสาหกิจมักได้รับเงินเดือนที่ดี (สูงกว่างานข้าราชการโดยเฉลี่ย) และมีเสถียรภาพกว่าบริษัทเอกชนในบางตำแหน่ง ถึงแม้ว่าอัตราเริ่มต้นอาจไม่สูงเท่าบางอาชีพในภาคเอกชน แต่พนักงานรัฐวิสาหกิจมีโอกาสได้รับการขึ้นเงินเดือนตามระยะเวลา และสามารถคาดหวังถึงการเลื่อนขั้นงานที่มั่นคงได้ "ชีวิตการทำงานตั้งแต่ 22 ปี เริ่มต้น ข้าราชการเงินเดือน 15,000 บาท รัฐวิสาหกิจ 18,000 บาท อายุ 30 ปี ข้าราชการจะได้เงินเดือน 28,000 บาท รัฐวิสาหกิจจะได้เงินเดือน 36,330 บาท+โบนัส 5 เดือน อายุ 40 ปี ข้าราชการ =45,000 บาท ประจำตำแหน่ง 10,000 บาท=55,000 บาท รัฐวิสาหกิจจะได้เงินเดือน 62,900 บาท+โบนัส 5 เดือน" อ้างอิง เงินเดือนส่วนใหญ่สูงกว่าข้าราชการในจำนวนปีการทำงานที่เท่ากันโดยเฉลี่ย มีโบนัสบ้างเหมือนเอกชน แต่การขึ้นเงินเดือนอาจไม่สูงเท่าการทำงานในบริษัท รวมถึงการย้ายงานอาจทำได้ยากกว่า ไม่มีเงินบำนาญ เนื่องจากมีระบบประกันสังคม และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สวัสดิการ: พนักงานรัฐวิสาหกิจมักได้รับสวัสดิการที่ดีเยี่ยม เช่น บำเหน็จบำนาญ การประกันสุขภาพ สวัสดิการสำหรับครอบครัว และอื่น ๆ ที่ช่วยเสริมความมั่นคงในระยะยาว ทั้งนี้ยังมีสิทธิประโยชน์ในการกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำที่รัฐจัดไว้ให้อีกด้วย ทำให้พนักงานรัฐวิสาหกิจมีฐานะการเงินที่มั่นคงยิ่งขึ้น สวัสดิการที่พนักงานรัฐวิสาหกิจได้รับประกอบด้วย: ประกันสุขภาพ และการรักษาพยาบาล บำเหน็จบำนาญ หรือกองทุนเกษียณอายุที่ช่วยให้มีรายได้หลังเกษียณ สิทธิในการลาพักร้อน ที่เพียงพอต่อการฟื้นฟูสุขภาพและทำกิจกรรมส่วนตัว สวัสดิการเพื่อครอบครัว เช่น การศึกษาสำหรับบุตรและเงินช่วยเหลือครอบครัว ดอกเบี้ยกู้ยืมต่ำ ซึ่งช่วยให้พนักงานมีการเงินที่มั่นคงในระยะยาว เห็นได้ว่าสวัสดิการส่วนใหญ่อาจสูสีกับข้าราชการ โดยเฉพาะสวัสดิการค่าการรักษาพยาบาลขณะเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งก็อยู่กับตำแหน่งอีกด้วย พนักงานรัฐวิสาหกิจมีบำเหน็จหรือบำนาญไหม เงินบำนาญที่แต่ละคนได้รับนั้นไม่เท่ากัน เนื่องจากขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ประเภทของงานที่ทำ ระยะเวลาในการทำงาน และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายบำนาญของแต่ละหน่วยงาน ข้าราชการมักมีเงินบำนาญที่แน่นอนและมั่นคงกว่า เนื่องจากมีระบบบำนาญของรัฐรองรับ ส่วนพนักงานบริษัทเอกชนหรือแรงงานทั่วไปจะได้รับเงินบำนาญจากกองทุนประกันสังคม ซึ่งจำนวนเงินจะขึ้นอยู่กับเงินเดือนและระยะเวลาที่ส่งเงินสมทบเข้ากองทุน ทำให้เงินบำนาญที่ได้รับในแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกันไปตามเงื่อนไขที่กำหนด ข้าราชการ vs พนักงานรัฐวิสาหกิจ vs พนักงานบริษัทเอกชน: ข้าราชการ: ข้าราชการมีความมั่นคงสูง เนื่องจากได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายและมีสิทธิ์เกษียณอายุพร้อมบำเหน็จบำนาญ ขณะที่พนักงานรัฐวิสาหกิจมีความมั่นคงปานกลาง แต่ได้รับสวัสดิการดีและสามารถรักษาความสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวได้ พนักงานรัฐวิสาหกิจ: พนักงานรัฐวิสาหกิจทำงานในองค์กรที่รัฐถือหุ้น จึงมีความยืดหยุ่นและอิสระในการดำเนินงานมากกว่าข้าราชการ ขณะที่ข้าราชการปฏิบัติงานในหน่วยงานรัฐโดยตรงและมักมีกฎระเบียบที่เข้มงวดกว่า พนักงานบริษัทเอกชน: บริษัทเอกชนมุ่งเน้นผลกำไรและความเติบโตขององค์กร ทำให้มีโอกาสเติบโตในสายอาชีพสูงกว่า ขณะที่พนักงานรัฐวิสาหกิจมีความมั่นคงสูงกว่าและได้รับสวัสดิการที่ดี แต่มีโอกาสเติบโตน้อยกว่าบริษัทเอกชน หลังจากที่อ่านจบแล้ว รู้สึกว่าพนักงานรัฐวิสาหกิจคือผู้ที่ทำงานในองค์กรของรัฐโดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนสังคมมากกว่าการแสวงหากำไร การทำงานในรัฐวิสาหกิจมีความมั่นคงและมีสวัสดิการที่ดี ทำให้เป็นอาชีพที่หลายคนมองหาโดยเฉพาะในยุคที่การทำงานในบริษัทเอกชนอาจมีความเสี่ยงสูง กดดัน และไม่มั่นคง แต่อย่างไรก็ตามเราก็สามารถหางานที่เหมาะกับเราได้ง่าย ๆ ที่ Jobcadu

    Nov 11, 2024
    Thumbnail for  อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) คืออาชีพอะไร ทำไมมาแรงในกลุ่ม Gen Z

    อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) คืออาชีพอะไร ทำไมมาแรงในกลุ่ม Gen Z

    Influencer คือ อินฟลูเอนเซอร์ เป็นคนที่มีอิทธิพลในโลกออนไลน์ ที่สามารถชี้แนะ แนะนำ ให้บุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งตัดสินใจทำบางสิ่ง เช่น ซื้อสินค้า อ่านบทความ ด้วยเหตุผลอะไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง ความรู้ ตำแหน่งงาน โดยส่วนมาก Influencer จะมีอิทธิพลบน Social Media เช่น Facebook Lemon8 Youtube X Tiktok และ Instagram โดยอินฟลูเอนเซอร์นั้นจะมีฐานผู้ติดตามและเป็นที่รู้จักจำนวนมาก โดยอินฟลูเอนเซอร์จะทำให้ฐานผู้ติดตามคล้อยตามด้วยการสร้างสรรค์คอนเทนต์เพื่อโน้มน้าวใจหรือดึงดูดใจให้คล้อยตาม โดยทั่วไป อินฟลูเอนเซอร์แต่ละคนจะเป็นที่รู้จักในเรื่องที่ถูกเฉพาะเจาะจงลงไป หรือที่เรียกว่า Niche Target ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มแฟชั่น การท่องเที่ยว เกม ความงาม การทำอาหาร ฟิตเนส หรือความสนใจอื่นๆ โดยอินฟลูเอนเซอร์จะสร้างเนื้อหาในรูปแบบต่าง ๆ สำหรับกลุ่ม Target ของเขาที่สนใจในเรื่องนั้น ๆ Influencer ทำหน้าที่อะไร หน้าที่หลัก ๆ ของอินฟลูเอนเซอร์นั้นคือการเพิ่มการรับรู้ของแบรนด์นั้น ๆ โดยแบ่งเส้นทางของการแทรกซึมสินค้าหรือบริการให้เข้าไปในใจของลูกค้าดังนี้ ต้องรู้จักกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ เพราะอินฟลูเอนเซอร์คือคนที่สื่อสารระหว่างแบรนด์กับลูกค้า จึงต้องทำความเข้าใจอันดับแรกว่าคนที่จะซื้อสินค้าคือใคร กลุ่มไหน Generation ไหน อายุเท่าไหร่ และคนกลุ่มนั้นกำลังสนใจอะไร เพื่อวางแผนการสร้างคอนเทนต์เพื่อตอบโจทย์และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างดีเยี่ยม ทำความรู้จักกับสินค้า การทำความรู้จักสินค้าไม่เพียงแค่รู้ว่าสินค้าชื่ออะไร เอาไว้ทำอะไร แต่สามารถวิเคราะห์ถึงคุณค่าของแบรนด์ด้วยการค้นหาอย่างพิถีพิถันและลึกซึ้ง เพื่อดึงจุดเด่นที่คู่แข่งไม่มีและนำไปสื่อสารให้ตรงใจกับลูกค้าและแข่งกับคู่แข่งได้ เป็นสะพานระหว่างสินค้าและแบรนด์ อย่างที่ทุกคนรู้กันว่าอินฟลูเอ็นเซอร์นั้นมีฐานผู้ติดตามจำนวนหนึ่ง เพราะฉะนั้นอินฟลูเอนเเซอร์ก็สามารถสร้าง Awareness ให้กับแบรนด์ได้อย่างง่ายดาย เพราะมีฐานผู้ติดตามที่สนใจในเรื่องนั้น ๆ อยู่แล้ว ผ่านการสร้างคอนเทนต์ในรูปแบบต่าง ๆ สร้างคอนเทนต์เพื่อโปรโมตสินค้า หนึ่งหน้าที่ที่เป็นหัวใจสำคัญของการสร้าง Awareness คือการสร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ ให้โดนใจกับกลุ่มลูกค้าในสไตล์ของแต่ละคน เช่น วิดิโอ บทความ podcast story หรือ Post โดยแต่ละรูปแบบของคอนเทนต์ก็ต้องนำเสนออย่างถูกรูปแบบ เพื่อให้คอนเทนต์นั้นมีประสิทธิภาพมากที่สุด เป็นตัวแทนของสินค้านั้น ๆ - พอคอนเทนต์โดนใจ ลูกค้าก็จดจำเราคู่กับสินค้านั้น ๆ เพราะฉะนั้นต้องรักษาและส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้ เหมือนกับที่เราจำได้ว่าดาราคนนี้เป็น Brand Ambrassador ของสินค้าชิ้นนี้ Influencer, Content Creator และ Youtuber แตกต่างกันอย่างไร ทุกวันนี้คำว่า Influencer, Content Creator และ Youtuber มักถูกใช้สลับกันไปมาในปัจจุบัน แต่จริงๆ แล้วแต่ละคำมีความหมายและขอบเขตที่แตกต่างกัน นั่นก็คือ Influencer : คือคนที่มีความสามารถในการโน้มน้าวหรือส่งผลกระทบต่อความคิดเห็นหรือพฤติกรรมของผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ติดตามของตนเองบนโซเชียลมีเดีย Content Creator : คือที่ผลิตเนื้อหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอ บทความ ภาพ หรืออื่นๆ เพื่อเผยแพร่ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น โซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชัน ผู้สร้างสรรค์เนื้อหาอาจมีเป้าหมายเพื่อสร้างความบันเทิง สร้างแรงบันดาลใจ ให้ความรู้ หรือเพื่อโปรโมทสินค้าและบริการ Youtuber: หมายถึงผู้ที่สร้างและเผยแพร่วิดีโอผ่านแพลตฟอร์ม YouTube โดยเฉพาะ ผู้สร้างวิดีโอเหล่านี้อาจมีเนื้อหาหลากหลาย เช่น เกม รีวิว สอนทำอาหาร เที่ยว หรือพูดคุยทั่วไป Influencer มีกี่ประเภท Mega-Influencers (ผู้ติดตาม 1,000,000 คนขึ้นไป) อินฟลูเอนเซอร์กลุ่มนี้เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงและฐานแฟนคลับจำนวนมาก เช่น ดารา นักร้อง นักกีฬา ซึ่งมีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียมากกว่า 1 ล้านคน พวกเขามักมีความสามารถในการสร้างสรรค์คอนเทนต์อย่างมืออาชีพ อีกทั้งยังมีไลฟ์สไตล์ที่ชัดเจนและโดดเด่น Macro-Influencers / Key Opinion Leaders (ผู้ติดตาม 100,000 – 1,000,000 คน) อินฟลูเอนเซอร์ประเภทนี้จะมีศักยภาพในการสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเข้าถึงได้ง่ายกว่า Mega Influencers เหมาะสำหรับแบรนด์ที่มีงบประมาณสูง หรือแบรนด์ขนาดกลางที่ต้องการเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้มากยิ่งขึ้น Micro-Influencers (ผู้ติดตาม 10,000 – 100,000 คน) อินฟลูเอนเซอร์กลุ่มนี้มักเป็นผู้ที่มีความสนใจเฉพาะด้านหรือมีความรู้เฉพาะทาง ทำให้มีผู้ติดตามที่สนใจในเรื่องเดียวกัน อินฟลูเอนเซอร์ประเภทนี้จะมีความสามารถในการสร้างความผูกพันเข้ากับผู้ติดตาม เพราะมีการนำเสนอคอนเทนต์อย่างเป็นกันเอง เหมาะสำหรับแบรนด์ขนาดกลางที่มีฐานลูกค้าอยู่แล้วและต้องการสร้างความมีส่วนร่วม (Engagement) ในงบประมาณที่พอดี Nano-Influencers (ผู้ติดตาม 1,000 – 10,000 คน) เป็นคนทั่วไปที่มีชื่อเสียงเฉพาะกลุ่มในหมู่เพื่อนหรือคนรู้จัก พวกเขาสามารถเข้าถึงผู้ติดตามได้อย่างใกล้ชิด ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นการบอกต่อเพื่อน ๆ มากกว่าการโฆษณา ทำให้กลุ่มนี้มีความน่าเชื่อถือและความจริงใจมาก เหมาะสำหรับแบรนด์ที่มีงบประมาณจำกัด และต้องการเจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะเจาะจงผ่านการบอกต่อ Influencer ได้เงินยังไง การเป็น Influencer มีโอกาสในการสร้างรายได้จากหลายแหล่ง หลายรูปแบบ และจากหลากหลายแพลตฟอร์ม ทั้งนี้รายได้ของ Influencer สามารถมาจากหลากหลายวิธี ดังนี้: 1. การรับสปอนเซอร์และโฆษณา รายได้หลักของ Influencer มาจากการรับสปอนเซอร์จากแบรนด์ต่าง ๆ ที่ต้องการโปรโมตสินค้าและบริการให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านตัว Influencer โดยแบรนด์จะจ่ายเงินเพื่อให้ Influencer โฆษณาสินค้าหรือบริการ ซึ่งอาจจะเป็นในรูปแบบของโพสต์ภาพ วิดีโอ หรือสตอรี่บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Instagram, TikTok หรือ YouTube ค่าตอบแทนจะขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ติดตามและการใช้เวลาของผู้ติดตามบนเนื้อหานั้น ๆ 2. การทำ Affiliate Marketing Influencer สามารถสร้างรายได้ผ่านระบบ Affiliate โดยการแนะนำสินค้าหรือบริการพร้อมลิงก์ Affiliate ซึ่งจะได้รับค่าคอมมิชชันเมื่อมีคนกดลิงก์แล้วสั่งซื้อสินค้า หลายแพลตฟอร์ม เช่น Shopee, Lazada และ Amazon มีระบบ Affiliate ให้ Influencer ใช้หารายได้ได้ง่าย และบางครั้งจะได้รับค่าคอมมิชชันต่าง ๆ อีกด้วย 3. การขายสินค้าและบริการของตนเอง Influencer หลายคนสร้างรายได้ด้วยการเปิดร้านค้าออนไลน์หรือขายสินค้าที่พวกเขาผลิตเอง โดยอาศัยชื่อเสียงและฐานแฟนคลับที่ติดตามอยู่ ซึ่งอาจเป็นสินค้าที่ตรงกับกลุ่มผู้ติดตาม เช่น เสื้อผ้า เครื่องสำอาง อาหารเสริม หรือแม้แต่บริการให้คำปรึกษาเฉพาะด้าน ทั้งนี้แพลตฟอร์มอย่าง Instagram และ Facebook ก็มีระบบการขายสินค้าให้ใช้ได้ง่าย ทำอย่างไรถึงจะได้เป็น Influencer การเป็น Influencer ในยุคดิจิทัลนี้สามารถเป็นได้ทั้งงานอดิเรกและอาชีพหลัก และยังเป็นช่องทางในการสร้างชื่อเสียงและรายได้ที่น่าสนใจ ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่าทำอย่างไรถึงจะสามารถก้าวเข้าสู่วงการ Influencer ได้สำเร็จ มาดูกันว่าต้องทำยังไงบ้าง 1. เลือกความสนใจและกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน การเลือกหัวข้อที่ตนเองสนใจและเชี่ยวชาญเป็นสิ่งแรกที่สำคัญมาก จะสามารถสร้างเนื้อหาที่เป็นเอกลักษณ์ในสไตล์ของตนเองได้ เช่น การทำอาหาร การแต่งหน้า แฟชั่น ท่องเที่ยว หรือแม้แต่เรื่องการเงิน การศึกษา การเป็นที่ปรึกษาในการเลือกอาชีพ โดยเลือกจากสิ่งที่ชอบและมีความรู้ แล้วกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนว่าอยากจะเข้าถึงใคร เช่น กลุ่มวัยรุ่น คนทำงาน หรือครอบครัว เป็นต้น 2. พัฒนาสไตล์และเสียงของตนเอง การมีสไตล์เฉพาะตัวและการสื่อสารที่แตกต่างจากคนอื่นจะช่วยให้ผู้คนจดจำเราได้ง่าย ควรหาวิธีการนำเสนอที่ตรงกับตัวตนและไม่เหมือนใคร เช่น ใช้ภาษาที่เป็นธรรมชาติ หรือมีวิธีเล่าเรื่องที่สนุกสนาน นอกจากนี้ควรให้ความสำคัญกับโทนสี การจัดองค์ประกอบภาพ และการใช้ฟอนต์ที่เป็นเอกลักษณ์ เพื่อสร้างเอกลักษณ์ให้กับแบรนด์ของเราเอง 3. การสื่อสารกับผู้ติดตามอย่างใกล้ชิด การตอบกลับคอมเมนต์ การตอบข้อความโดยตรง หรือการทำกิจกรรมแบบ Interactive เช่น Q&A บน Instagram Story จะทำให้ผู้ติดตามรู้สึกใกล้ชิดและมีความสัมพันธ์กับช่องของเรามากขึ้น ซึ่งการมีส่วนร่วมกับผู้ติดตามเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้พวกเขารู้สึกผูกพันและกลับมาชมคอนเทนต์อย่างต่อเนื่อง 4. ทำงานร่วมกับ Influencer หรือแบรนด์อื่น ๆ การทำงานร่วมกับ Influencer คนอื่นหรือแบรนด์ที่เกี่ยวข้องจะช่วยเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มคนใหม่ ๆ การทำ Collaboration ไม่เพียงช่วยให้ได้วิธีการทำงานจาก Influencer ที่มีประสบการณ์ แต่ยังเพิ่มโอกาสให้ผู้ติดตามเห็นเราในบริบทใหม่ ๆ และอาจช่วยให้เราได้รับการติดตามมากขึ้น เพราะได้ฐานแฟนคลับที่มากขึ้นนั่นเอง 5. สม่ำเสมอและอดทน การเป็น Influencer ที่ประสบความสำเร็จต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอ ไม่ใช่เพียงแค่สร้างคอนเทนต์ครั้งเดียวแล้วจะมีผู้ติดตามมากมายในทันที ต้องผลิตเนื้อหาต่อเนื่องและปรับปรุงพัฒนาตัวเองเสมอ อีกทั้งต้องอดทนกับคำวิจารณ์และอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นระหว่างทาง การสร้างความเชื่อถือในกลุ่มผู้ติดตามต้องใช้เวลาและความทุ่มเทมากเลยทีเดียว เป็นอย่างไรกันบ้างกับวิธีการเป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่ประสบความสำเร็จ สำหรับคนไหนที่กำลังมองหางานคุณภาพ จากบริษัทชั้นนำในไทยและต่างประเทศ อย่าลืมฝากเรซูเม่ไว้ที่ Jobcadu ล่ะ เพราะเรารวบรวมบริษัทชั้นนำที่ใช่สำหรับคุณมาไว้ให้หมดแล้ว แต่อย่าลืมว่านอกจากนั้น Content Creator ก็ามารถใต่เต้าไปเป็นอินฟลูเอนเซอร์ได้นะ หางานสายคอนเทนต์ได้ที่นี่เลย > คลิ้ก

    Nov 9, 2024
    Thumbnail for  9 อาชีพมาแรงใน 2025 เป็นที่ต้องการในอนาคตสุด ๆ จะมีอาชีพ อะไรบ้างมาดู | Jobcadu

    9 อาชีพมาแรงใน 2025 เป็นที่ต้องการในอนาคตสุด ๆ จะมีอาชีพ อะไรบ้างมาดู | Jobcadu

    ใคร ๆ ก็อยากทำอาชีพในฝัน แต่บางอาชีพอาจมีตำแหน่งไม่เพียงพอหรือมีล้นเกินไปในแต่ละแวดวงอุตสาหกรรม เพราะการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของความต้องการในทักษะด้านอาชีพในอนาคต บทความนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ 9 อาชีพที่มาแรงและเป็นที่ต้องการในอนาคต ซึ่งไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงานในปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคตอีกด้วย จะมีอาชีพอะไรบ้าง มาดูกัน 9 อาชีพมาแรงที่เป็นที่ต้องการในอนาคต 1. พยาบาล (Nurse) พยาบาลเป็นอาชีพที่มีบทบาทสำคัญในการให้บริการทางการแพทย์ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพในชุมชน ซึ่งมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะในบางพื้นที่การเข้าถึงแพทย์และสาธารณสุขยังคงมีข้อจำกัด นี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้อนาคตอาชีพพยาบาลยังเป็นที่จำเป็น 2. Data Scientist (นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล) ในยุคที่ข้อมูลมีความสำคัญมากขึ้นทุกวัน การทำงานในสายงาน Data Scientist กำลังได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลมีบทบาทในการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่เป็นประโยชน์สำหรับการตัดสินใจของในธุรกิจหรือองค์กร ด้วยการใช้ทักษะทางเทคนิคและการวิเคราะห์ 3. Security Analyst (นักวิเคราะห์ข้อมูลความปลอดภัย) การรักษาความปลอดภัยของข้อมูลหรือ Data ในยุคดิจิทัลเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง นักวิเคราะห์ความปลอดภัยสารสนเทศมีหน้าที่ในการตรวจสอบระบบและป้องกันภัยคุกคามต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากแฮกเกอร์และภัยคุกคามออนไลน์อื่น ๆ เพื่อเป็นการป้องกันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อาชีพนี้จึงเป็นอาชีพที่มาแรงเช่นกัน 4. นักวิจัยคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ (Computer and Information Research Scientists) การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ก่อให้เกิดความต้องการในด้านการวิจัยและพัฒนา นักวิจัยคอมพิวเตอร์และสารสนเทศจะทำงานในการสร้างเทคโนโลยีใหม่ ๆ และพัฒนาวิธีการใหม่ ๆ ในการจัดการข้อมูลและแก้ไขปัญหาทางด้านคอมพิวเตอร์ 5. นักคณิตศาสตร์ประกันภัย (Actuary) นักคณิตศาสตร์ประกันภัยหรือ Actuary จะวิเคราะห์ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนเพื่อช่วยในการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับประกันภัยและการเงิน โดยการใช้คณิตศาสตร์ สถิติ และการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ 6. ผู้ตรวจสอบบัญชี (Audit) ผู้ตรวจสอบการเงินมีหน้าที่ในการตรวจสอบและตรวจสอบบัญชีขององค์กรต่าง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการทุจริตหรือการละเมิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเงิน โดยเฉพาะในช่วงที่ธุรกิจต่าง ๆ มีความซับซ้อนมากขึ้น นักตรวจสอบการเงินจึงเป็นตำแหน่งที่จำเป็นสำหรับองค์กร และยิ่งองค์กรใหญ่ ๆ ก็ต้องมีเยอะเช่นกัน (เงินเดือนเยอะด้วยนะ) 7. Veterinarian (สัตวแพทย์) สัตวแพทย์มีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพของสัตว์ โดยเฉพาะในโลกที่มีการเลี้ยงสัตว์และการเกษตรที่เติบโตขึ้น ความต้องการสัตวแพทย์จึงยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะในพื้นที่ชนบทหรือเมือง รวมถึงเทรนด์สมัยนี้คนรักในการเลี้ยงสัตว์มากขึ้น หากเติบโตไปสายอื่น ๆ เช่น สัตว์ Exotic ก็จะได้เงินดีเช่นกัน 8. นักแก้ไขการพูด (Speech-Language pathologist) นักบำบัดการพูดและการสื่อสารทำหน้าที่ช่วยเหลือ วินิจฉัยความผิดปกติของการสื่อความหมายทางภาษาและการพูด ของคนที่มีปัญหาในการพูด การฟัง หรือการสื่อสารบำบัดรักษา เพื่อแก้ไขและฟื้นฟูสมรรถภาพความผิดปกติ ซึ่งอาชีพนี้ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก แต่ก็มีตำแหน่งนี้จริง ๆ นะและกำลังเป็นที่ต้องการในหลาย ๆ ประเทศ 9. Software Developer (นักพัฒนาซอฟต์แวร์) นักพัฒนาซอฟต์แวร์เป็นหนึ่งในอาชีพที่มีความต้องการสูงที่สุดในโลกดิจิทัล ตั้งแต่การพัฒนาแอปพลิเคชันมือถือ เว็บไซต์ ไปจนถึงซอฟต์แวร์สำหรับธุรกิจต่าง ๆ การเติบโตในอาชีพนี้ยังคงมีแนวโน้มที่ดีและยังเป็นหนึ่งอาชีพในวงการไอทีที่เป็นที่ต้องการมาก ๆ อีกด้วย การเติบโตของอาชีพเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะเป็นโอกาสสำหรับการสร้างรายได้ที่มั่นคง แต่ยังสะท้อนถึงแนวโน้มการพัฒนาในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี การดูแลสุขภาพ หรือการบริหารจัดการทางการเงิน ในอนาคตอาชีพเหล่านี้จะยังคงเป็นที่ต้องการและมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศได้อย่างต่อเนื่อง สำหรับคนไหนที่กำลังมองหางานคุณภาพ จากบริษัทชั้นนำในไทยและต่างประเทศ อย่าลืมฝากเรซูเม่ไว้ที่ Jobcadu ล่ะ เพราะเรารวบรวมบริษัทชั้นนำที่ใช่สำหรับคุณมาไว้ให้หมดแล้ว

    Nov 6, 2024
    Thumbnail for แรงงานไทยจะโดน AI แย่งงานไหมในทางเศรษฐศาสตร์

    แรงงานไทยจะโดน AI แย่งงานไหมในทางเศรษฐศาสตร์

    AI แย่งงาน: คาดการณ์ผลกระทบของ AI ต่ออาชีพต่าง ๆ และการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานในไทย ในการบรรยายของ อาจารย์ดร. สมทิพย์ จากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวถึงผลกระทบจาก AI ต่ออาชีพต่าง ๆ โดยใช้ทฤษฎี Autor, Levy, และ Murnane (ALM Hypothesis) และ Skill-Biased Technological Change (SBTC) มาวิเคราะห์ถึงความเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงานว่ามีอาชีพใดบ้างที่จะเสี่ยงโดน AI แย่งงาน และสิ่งที่มนุษย์สามารถทำได้ดีกว่า AI โดยเฉพาะในตลาดแรงงานของไทย ทฤษฎี ALM Hypothesis: การแบ่งประเภทของงานและผลกระทบจาก AI ทฤษฎี ALM Hypothesis ได้แบ่งงานออกเป็น 4 ประเภทตามความเป็นกิจวัตร (Routine) และการใช้ความคิด (Cognitive) โดยมีการคาดการณ์ว่าตำแหน่งงานใดบ้างที่มีความเสี่ยงที่จะถูก AI แย่งงาน หรือ หุ่นยนต์แย่งงาน และตำแหน่งงานใดที่ยังคงต้องพึ่งพามนุษย์ 1. งานที่ใช้การประมวลผลทางความคิดและเป็นกิจวัตร (Cognitive Routine Jobs) ตัวอย่าง: เจ้าหน้าที่ป้อนข้อมูล, พนักงานบัญชีพื้นฐาน, พนักงานตรวจสอบเอกสาร ผลกระทบจาก AI: งานเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะถูกแทนที่โดย AI เนื่องจากทำซ้ำและใช้กฎเกณฑ์ชัดเจน เช่น การป้อนข้อมูลและการจัดการบัญชี ซึ่ง AI สามารถทำได้แม่นยำและรวดเร็วกว่า อาชีพที่จะโดน AI แย่งงาน: พนักงานในสายงานนี้ เช่น พนักงานบัญชีระดับล่าง พนักงานเอกสารในองค์กรขนาดใหญ่ จะเสี่ยงโดน AI แทนที่อย่างมากในอนาคต ใครเสี่ยงที่สุด: พนักงานในตำแหน่งเหล่านี้ที่ทำงานซ้ำๆ ตามขั้นตอนจะถูกแทนที่ได้ง่ายที่สุด เช่น พนักงานบัญชีระดับล่าง และฝ่ายเอกสารในองค์กรขนาดใหญ่ 2. งานที่ใช้การประมวลผลทางความคิดแต่ไม่เป็นกิจวัตร (Cognitive Non-Routine Jobs) ตัวอย่าง: นักพัฒนาซอฟต์แวร์, วิศวกร, แพทย์, นักวิจัย ผลกระทบจาก AI: AI สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานที่ซับซ้อน เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลหรือช่วยแพทย์ในด้านวินิจฉัย แต่ยังไม่สามารถแทนที่การตัดสินใจของมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ เนื่องจากงานเหล่านี้ต้องใช้การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและความคิดสร้างสรรค์ ความเสี่ยงจาก AI: แม้ว่างานเหล่านี้จะยังต้องการมนุษย์ แต่ตำแหน่งเริ่มต้น เช่น Entry-Level หรือ Junior Level ก็มีโอกาสที่ AI จะเข้ามาเสริมการทำงานในระดับพื้นฐานได้ 3. งานที่ใช้การประมวลผลทางความคิดและเป็นกิจวัตร (Non-Cognitive Routine Jobs) ตัวอย่าง: คนงานในสายการผลิต, พนักงานเก็บเงิน, พนักงานเสิร์ฟ ผลกระทบจาก AI: งานที่ทำซ้ำได้ เช่น การทำงานในสายการผลิตและงานบริการ มีโอกาสสูงที่จะถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ เช่น หุ่นยนต์ในโรงงานผลิตรถยนต์ อาชีพที่ AI จะมาแทน: พนักงานในโรงงานอุตสาหกรรมและภาคบริการ เช่น พนักงานเก็บเงินและคนงานโรงงานมีความเสี่ยงสูงที่จะถูก AI ทํา งานแทนคน 4. งานที่ไม่ใช้การประมวลผลทางความคิดและไม่เป็นกิจวัตร (Non-Cognitive Non-Routine Jobs) ตัวอย่าง: ผู้ดูแลผู้สูงอายุ, พนักงานบริการในโรงแรม, ช่างซ่อมรถ ผลกระทบจาก AI: งานเหล่านี้ต้องการการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและทักษะทางกายภาพที่ AI ยังไม่สามารถแทนที่ได้ เช่น การดูแลผู้สูงอายุหรือการบริการลูกค้าในโรงแรม ซึ่งต้องอาศัยการสื่อสารและความเห็นอกเห็นใจที่ AI ยังทำไม่ได้ งานเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะถูกแทนที่น้อยกว่า เนื่องจาก AI ยังไม่สามารถแทนที่การมีปฏิสัมพันธ์ทางกายภาพหรือความคล่องตัวทางสังคมได้ เช่น การดูแลสุขภาพและการบริการ สรุปผลกระทบที่คาดการณ์จากทฤษฎี ALM: งานที่จะถูก AI แย่งหรือทดแทน งานที่ใช้ความคิดและเป็นกิจวัตร: เสี่ยงต่อการถูกแทนที่โดย AI เนื่องจากความสามารถในการทำงานตามกฎเกณฑ์ เช่น พนักงานบัญชี, เจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดซื้อ งานที่ใช้ความคิดแต่ไม่เป็นกิจวัตร: AI เข้ามาช่วยเพิ่มศักยภาพ แต่ไม่สามารถแทนที่ทั้งหมด เช่น แพทย์, นักพัฒนาซอฟต์แวร์ งานที่ไม่ใช้ความคิดและเป็นกิจวัตร: เสี่ยงต่อการถูกแทนที่มากที่สุดในภาคการผลิตและบริการ เช่น คนงานในสายการผลิต, พนักงานเสิร์ฟ งานที่ไม่ใช้ความคิดและไม่เป็นกิจวัตร: ความต้องการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและการใช้ทักษะทางกายภาพทำให้ AI เข้ามาแทนที่ยาก เช่น ผู้ดูแลผู้สูงอายุ, ช่างซ่อมรถ โมเดล Skill-Biased Technological Change (SBTC): การเปลี่ยนแปลงที่ขึ้นกับทักษะ นอกเหนือจากทฤษฎี ALM Hypothesis ยังมีแนวคิดเรื่อง Skill-Biased Technological Change (SBTC) ที่โฟกัสไปที่การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีโดยใช้ทักษะเป็นปัจจัยหลักในการวิเคราะห์ตลาดแรงงาน โดย AI และเทคโนโลยีจะให้ประโยชน์กับคนที่มีทักษะสูง แต่ทำให้คนที่มีทักษะต่ำเสี่ยงต่อการถูกแย่งงานจาก AI 1. งานทักษะสูง: ตำแหน่งที่ต้องใช้ทักษะด้านการวิเคราะห์ข้อมูลและการพัฒนา AI เช่น วิศวกร AI นักพัฒนาซอฟต์แวร์ ยังคงต้องการทักษะเฉพาะทางที่ AI แทนที่ยาก 2. งานทักษะต่ำ: งานที่ต้องใช้แรงงานซ้ำ ๆ เช่น งานในสายการผลิตและการบริการจะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติได้ง่าย เช่น งานในภาคเกษตรกรรมและโรงงานอุตสาหกรรม 3. งานทักษะระดับกลาง: งานในสายธุรการและงานเสมียนมีความเสี่ยงสูงในการถูกแทนที่ด้วย AI เนื่องจาก AI สามารถทำงานเหล่านี้ได้รวดเร็วกว่า ในประเทศไทย อาจารย์สมทิพย์ระบุว่าแรงงานทักษะระดับกลางและทักษะต่ำในภาคการผลิตมีโอกาสสูงที่จะถูกทดแทน ขณะที่แรงงานทักษะสูงในด้านเทคโนโลยีจะยังคงมีความต้องการสูงขึ้น ในประเทศเจริญแล้วเกิด Market polarization คือ การที่ตลาดแรงงานเริ่มแบ่งแยกเป็นสองกลุ่มหลัก ได้แก่ งานทักษะสูงที่มีความต้องการสูงขึ้น และงานทักษะต่ำที่ยังคงมีความต้องการ แต่ตำแหน่งงานทักษะระดับกลางกลับมีแนวโน้มลดลง อันเป็นผลมาจากการที่เทคโนโลยีอย่าง AI สามารถทำงานที่เป็นกิจวัตรและใช้ความคิดขั้นพื้นฐานได้ดีขึ้น ทำให้งานที่ต้องการทักษะปานกลางมีความต้องการลดลงและเสี่ยงต่อการถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ ในผลกระทบเชิงนี้นั้นมักเกิดขึ้นกับประเทศที่ตลาดงานเติบโตแล้ว ขณะประเทศที่กำลังพัฒนายังไม่เจอผลกระทบแบบนี้มากนัก สำหรับในไทยจากการศึกษาสถิติของ สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ อาจารย์สมทิพย์กล่าวว่า ตลาดไทยยังไม่เป็นแบบนั้น และยังคงต้องการแรงงานระดับสูงกับกลาง ขณะที่ความท้าทายตกไปอยู่ที่แรงงานทักษะระดับต่ำ ผลกระทบของ AI ต่อการย้ายตำแหน่งงานในประเทศไทย งานระดับทักษะระดับกลางบางส่วน และแรงงานทักษะระดับต่ำในภาคการผลิตที่ต้องทำซ้ำมีโอกาสถูกทดแทนมากที่สุด ผู้จบปริญญาบางส่วนลงมาทำงานในส่วนของงานที่ใช้ทักษะระดับต่ำหรือไม่สามารถขึ้นไปอยู่ในแรงงานใช้ทักษะระดับสูงได้ ขณะเดียวกันประเทศไทยก็มีแรงงานทักษะระดับต่ำจากประเทศเพื่อนบ้านจำนวนมากเข้ามาแข่งขันด้วยค่าแรงที่น่าดึงดูดกว่าในมุมมองนายจ้าง คิดเป็นเกือบ 8% ของภาคแรงงานทั้งหมด จึงเป็นภาคส่วนที่น่าเป็นห่วง โอกาสใหม่ในยุค AI แม้ AI จะทำให้บางตำแหน่งงานถูกแทนที่ แต่ก็สร้างโอกาสใหม่ๆ เช่น ในสาขาเทคโนโลยี พลังงานหมุนเวียน และการค้าออนไลน์ในประเทศไทย อีกทั้งยังมีความต้องการแรงงานในสาขาที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา AI เทคโนโลยีสมัยใหม่และการสร้างนวัตกรรม ดังเช่นที่เริ่มมีการเปิด Data Center ในไทย ทำให้เกิดความต้องการในตำแหน่งงาน เช่น นักวิเคราะห์ข้อมูล วิศวกร AI และผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์ ในอนาคตจึงขึ้นอยู่กับผู้ประกอบการไทยว่าจะสร้างบริษัทที่สร้างการจ้างงานให้คนไทยได้มากน้อยเพียงใด บน Supply Chain รูปแบบใหม่ ๆ ความต้องการแรงงานในไทยมักขึ้นอยู่กับตัวเลขการลงทุนโดยตรงของบริษัทข้ามชาติ การค้าและส่งออกกับต่างประเทศ กลยุทธ์การพัฒนาทักษะแรงงานไทย ประเทศไทยต้องปรับปรุงระบบการศึกษาและการฝึกอบรม เพื่อบูรณาการทักษะ AI และทักษะดิจิทัลเข้าไปในหลักสูตรการศึกษาและส่งเสริมโปรแกรมการฝึกทักษะใหม่ ๆ (Upskilling และ Reskilling) สำหรับแรงงานที่อาจเสี่ยงต่อการถูกแทนที่โดย AI การเรียนรู้ตลอดชีวิตและการพัฒนาทักษะด้านอารมณ์ (Soft Skills) จะมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างแรงงานที่พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง แนวทางสำคัญในการเตรียมตัวสู่ยุค AI การปฏิรูปการศึกษา: บูรณาการทักษะ AI และดิจิทัลตั้งแต่ระดับต้น ส่งเสริมการเรียนสาย STEM มากขึ้น โปรแกรมการพัฒนาทักษะใหม่ (Upskilling และ Reskilling): เพื่อให้แรงงานปรับตัวและพัฒนาทักษะให้เหมาะกับตลาดที่ใช้เทคโนโลยี การพัฒนาทักษะทางด้านอารมณ์และสังคม (Soft Skills): เช่น ความคิดสร้างสรรค์และการแก้ปัญหาซับซ้อน ที่ AI ไม่สามารถแทนที่ได้ง่าย ข้อคิดสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการเตรียมพร้อมในยุค AI อาชีพที่ AI จะมาแทน: ควรพิจารณาว่างานของคุณเป็นงานที่ใช้ความคิดหรือไม่ และต้องทำซ้ำบ่อย ๆ หรือไม่ เนื่องจากงานที่ใช้กิจวัตรซ้ำ ๆ มีโอกาสโดน AI แย่งงานได้สูง AI ฉลาดกว่ามนุษย์หรือไม่: แม้ AI จะมีประสิทธิภาพในการประมวลผลข้อมูล แต่ก็ยังขาดความสามารถในการตัดสินใจและความคิดสร้างสรรค์ที่มนุษย์มี มนุษย์ดีกว่า AI ยังไง: ในงานที่ต้องการความเห็นอกเห็นใจ การแก้ปัญหาที่ซับซ้อน และการสร้างสรรค์ มนุษย์ยังคงมีบทบาทสำคัญที่ AI ทดแทนได้ยาก ในท้ายที่สุด AI เป็นทั้งโอกาสและความท้าทายต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานในประเทศไทย โดยการเตรียมความพร้อมผ่านการพัฒนาทักษะ การปฏิรูปการศึกษา และการพัฒนา Soft Skills เราได้แต่หวังว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้แรงงานไทยสามารถรับมือกับความท้าทายจากเทคโนโลยี AI และก้าวทันการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงาน

    Oct 21, 2024
    Thumbnail for ทุกสิ่งที่คุณต้องรู้ ก่อนเป็น Software Developer

    ทุกสิ่งที่คุณต้องรู้ ก่อนเป็น Software Developer

    รวมเส้นทาง Checklist สู่การเป็น Software Developer ในปี 2023 - 2024 นี้!!! ถ้าอยากเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ ควรเริ่มจากการเรียนรู้พื้นฐานของการเขียนโปรแกรม โดยพื้นฐานที่สำคัญคือ “Problem Solving” หรือการแก้ปัญหา ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นในทุกการพัฒนาโปรแกรม การเขียนโปรแกรมจะต้องเลือกภาษาโปรแกรมที่เหมาะสม เช่น C, Java, Python ซึ่งการใช้ภาษานี้เพื่อแก้โจทย์ต่างๆ จะช่วยฝึกทักษะการคิดอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ ควรเข้าใจเรื่องของ “Data Structure” และ “Algorithm” ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการทำให้โปรแกรมมีประสิทธิภาพ การจัดการข้อมูลในรูปแบบต่างๆ เช่น การใช้โครงสร้างข้อมูลแบบ Stack หรือ Queue จะช่วยให้สามารถเลือกวิธีการที่เหมาะสมกับงานที่ทำได้ เมื่อมีพื้นฐานในการเขียนโปรแกรมแล้ว ควรต่อยอดไปเรียนรู้เรื่องของ “Web Development” โดยมีสองส่วนหลักคือ Frontend และ Backend สำหรับ Frontend ควรรู้ HTML, CSS, และ JavaScript ซึ่งเป็นเครื่องมือหลักในการออกแบบและตกแต่งเว็บ ส่วน Backend จะเกี่ยวข้องกับการจัดการตรรกะของระบบและการจัดเก็บข้อมูล ซึ่งอาจใช้เครื่องมือเช่น Spring Boot หรือ Python Framework ต่อจากนั้นควรเรียนรู้เกี่ยวกับ “Database” เพื่อจัดการข้อมูล รวมถึงการทำงานกับ “API Development” ซึ่งจำเป็นสำหรับการสื่อสารระหว่างระบบ และการทำงานกับ Cloud เพื่อรองรับการทำงานในยุคปัจจุบัน โดยควรเข้าใจการทำงานของ Cloud Provider และกระบวนการ CI/CD ที่ช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างอัตโนมัติ สรุปคือ ควรเริ่มจากพื้นฐานการแก้ปัญหาและการเขียนโปรแกรม พัฒนาทักษะการจัดการข้อมูล และต่อยอดไปสู่การทำงานด้านเว็บ โมบาย และ Cloud เพื่อเตรียมตัวเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ครบเครื่อง

    Oct 18, 2024
    Thumbnail for เทรดเดอร์ขั้นเทพ: รู้ลึกรู้จริง เทรด 100 ครั้ง ชนะ 101 ครั้ง

    เทรดเดอร์ขั้นเทพ: รู้ลึกรู้จริง เทรด 100 ครั้ง ชนะ 101 ครั้ง

    ครูไก่ กนิษฐา รอดดำ เป็นเทรดเดอร์หญิงคนหนึ่งที่สร้างชื่อเสียงด้วยการปั้นนักเทรดระดับประเทศจำนวนมาก ความน่ารัก อารมณ์ดี และพลังบวกของเธอทำให้ทั้งนักลงทุนและลูกศิษย์ต่างรักและเคารพในตัวเธอ แม้ว่าเธอจะเคยผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก ขาดทุนไปถึงหลายสิบล้าน แต่เธอก็สามารถพลิกสถานการณ์กลับมาได้อย่างน่าทึ่ง ด้วยเทคนิคการเทรดที่แม้แต่นักลงทุนรายย่อยธรรมดาก็สามารถนำไปปรับใช้ได้จริง หนึ่งในหัวข้อสำคัญที่ครูไก่เน้นมากคือการวางแผนการเงินควบคู่ไปกับการรู้จักตัวเอง เธอมองว่าเทรดเดอร์หลายคนมักจะโฟกัสแค่เรื่องการซื้อขายโดยไม่คำนึงถึงภาพรวมของการจัดการเงินในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่อาจทำให้พลาดโอกาสสำคัญไปได้ เธอย้ำว่า “การบริหารเงิน” เป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยแยกเทรดเดอร์มืออาชีพออกจากมือสมัครเล่น นี่คือสิ่งที่ทำให้ครูไก่โดดเด่นและแตกต่างจากคนอื่น ครูไก่ยังเปิดเผยว่าเธอมาจากครอบครัวที่ทำธุรกิจยางพารา ซึ่งในช่วงแรกของการเทรดนั้น เธอขาดทุนอย่างหนักจากการเทรดยาง จนทำให้ครอบครัวเผชิญกับปัญหาทางการเงินอย่างมาก แต่วิกฤตนั้นกลายเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้เธอตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารจัดการเงิน โดยเฉพาะในช่วงที่ราคายางมีความผันผวน เธอเล่าว่าหากไม่มีการวางแผนจัดการเงินที่ดีและไม่ใช้วิธีการอย่างการกำหนดจุด stop loss ความเสียหายอาจมากกว่าที่เกิดขึ้น หลังจากนั้น เธอตัดสินใจที่จะไม่พึ่งพาการคาดเดาอีกต่อไป และหันมาเรียนรู้การเทรดอย่างจริงจัง เธอเริ่มศึกษาทฤษฎีและเทคนิคการเทรดจากผู้เชี่ยวชาญ โดยนำความรู้เหล่านั้นมาปรับใช้ในการเทรดของตัวเอง จากนั้นไม่นาน เธอก็สามารถฟื้นตัวจากการขาดทุนและกลับมาทำกำไรได้ภายในเวลาเพียง 2 ปี โดยอาศัยการวิเคราะห์กราฟ การศึกษาข้อมูล และการวางแผนอย่างรอบคอบ หนึ่งในเครื่องมือที่ครูไก่ใช้ในการพัฒนาทักษะของเธอคือการทำ backtest โดยการใช้โปรแกรมอย่าง Meta Stock และ Excel เพื่อทดสอบกลยุทธ์ต่าง ๆ และวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาวิธีการที่ดีที่สุดในการเทรด นอกจากนี้เธอยังพัฒนาเครื่องมือแจ้งเตือนราคาซื้อขายเพื่อช่วยให้เธอสามารถปรับกลยุทธ์การเทรดได้ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ในช่วงแรก ครูไก่ต้องใช้เวลาอย่างมากในการศึกษาหลายรูปแบบ ซึ่งทำให้เธอต้องทำงานทั้งกลางวันและกลางคืน จนสุขภาพเริ่มแย่ลง เธอจึงต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานใหม่ โดยหันมาเทรดในช่วงเวลาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดการทำงานตอนกลางคืนเพื่อดูแลสุขภาพ ท้ายที่สุด ครูไก่สามารถทำกำไรมหาศาลจากการเทรดในฟิวเจอร์และหุ้นยาง ด้วยการวางกลยุทธ์ที่รอบคอบและการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างดี เธอพิสูจน์ให้เห็นว่าแม้จะเจอปัญหาทางการเงินหนักแค่ไหน ถ้าเราเรียนรู้ ปรับตัว และมีแผนที่ดี ก็สามารถกลับมาประสบความสำเร็จได้

    Oct 17, 2024
    1/16
    การศึกษา
    ดูเพิ่มเติม
    Thumbnail for รวม 6 ประเทศน่าไปเรียน เมื่อมีแพลนเรียนต่อต่างประเทศ

    รวม 6 ประเทศน่าไปเรียน เมื่อมีแพลนเรียนต่อต่างประเทศ

    เชื่อว่าทุกวันนี้ หลายๆคนมีแพลนอยากไปเรียนต่อต่างประเทศ เนื่องจากมีปัจจัยหลายอย่างที่เอื้ออำนวยต่อการไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศมากขึ้น เช่น โซเชียลมีเดีย มีญาติอาศัยที่ต่างประเทศ หรือการคมนาคมที่สะดวกมากขึ้น เป็นต้น แต่ก็อาจจะยังลังเล หรือกำลังหาข้อมูลอยู่ว่าจะเลือกไปเรียนที่ประเทศไหนดี? วันนี้ Jobcadu จะพามาทำความรู้จักกับ 6 ประเทศที่คู่ควรแก่การไปเรียนต่อ จะมีประเทศอะไรบ้าง ไปดูกันเลย! 1.Australia ทำไมต้องไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย? ออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีระบบการศึกษาที่มีคุณภาพติดอันดับที่ 3 ของโลก ในปี 2020 อ้างอิงจากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกจากสถาบันการจัดอันดับต่างๆ นอกจากนี้ยังมีวิชาเปิดสอนที่ครอบคลุมทุกสาขาวิชา มีทั้งระยะสั้นไปจนถึงระดับปริญญา รวมไปถึงยังมีสถาบันเฉพาะด้านอีกด้วย และมีค่าครองชีพต่ำ ถ้าเทียบกับประเทศอื่นๆที่คนมักมาเรียนต่อ คณะที่แนะนำในการไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย Business & Management Engineering & Technology Law Communication & Media Art & Design ตัวอย่างหลักสูตรเรียนต่อที่ออสเตรเลียที่เรามี Business, Finance and Management / The University of Queensland, Brisbane City, Australia (499,957.74 THB) IT and Computer Science / Master of Data Science, The University of Adelaide, Adelaide, South Australia, Australia (1,107,795.07 THB) 2.Canada ทำไมต้องเรียนต่อที่แคนาดา? แคนาดาเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีระดับคุณภาพการศึกษาสูง มีมาตรฐานระดับโลก นักศึกษาต่างชาติที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยของแคนาดา จึงประสบความสำเร็จและก้าวหน้าในหน้าที่การงานจากมาตรฐานการศึกษาที่สูงของประเทศแคนาดา และด้วยความที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมสูง คนในประเทศแคนาดาจึงมีนิสัยเป็นกันเอง เป็นมิตร ให้เกียรติและเคารพผู้อื่น มีอัตราอาชญากรรมและการก่อความรุนแรงอยู่ในระดับต่ำ ถือเป็นประเทศที่มีคุณภาพชีวิตดีประเทศหนึ่งเลย คณะที่แนะนำในการเรียนต่อที่แคนาดา Computer Science and IT Economics Engineering Business Management Medical ตัวอย่างหลักสูตรเรียนต่อที่แคนาดาที่เรามี Natural, Physical and Environmental Sciences / Michael G. DeGroote Health Leadership Academy (HLA), McMaster University, Hamilton, Canada (105,696.73 THB) Master of Computing Science / University of Alberta, Edmonton, Canada (464,960.41 THB) 3.Singapore ทำไมต้องเรียนต่อที่สิงคโปร์? สิงคโปร์เป็นอีกหนึ่งประเทศที่น่าไปเรียน แม้ประชากรและพื้นที่ในประเทศอาจจะไม่ได้ใหญ่ แต่ถือเป็นประเทศชั้นนำที่ขับเคลื่อนสู่อนาคต เด่นเรื่องการพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่ดีติดอันดับต้นๆทั้งของโลกและในแถบเอเชีย และยังอยู่ไม่ไกลจากประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีหลากหลายวัฒนธรรมเชื้อชาติ ทำให้ผู้คนที่นั่นยอมรับความแตกต่างของกันและกัน และเป็นมิตรกับชาวต่างชาติ จึงได้ขึ้นชื่อเรื่องรับประกันความปลอดภัยในการไปอยู่อาศัยหรือไปเรียนต่อ คณะที่แนะนำในการเรียนต่อที่สิงคโปร์ Business Management Chemical & Life Sciences Engineering Design Health Sciences ตัวอย่างหลักสูตรเรียนต่อที่สิงค์โปร์ที่เรามี Natural, Physical and Environmental Sciences / Master of Science in Power Engineering, Nanyang Technological University, Singapore, Singapore (1,418,637.01 THB) Business, Finance and Management / Master of Science in Maritime Studies, Nanyang Technological University, Singapore, Singapore (1,139,492.13 Thai Baht) 4.Thailand ทำไมต้องเรียนต่อที่ประเทศไทย? ในปัจจุบัน ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีชาวต่างชาติเลือกมาเรียนต่อมากขึ้น จะเห็นได้ชัดมากขึ้นในหลายๆมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยภาคอินเตอร์ มีหลากหลายหลักสูตรให้เลือกเรียนได้อย่างอิสระ ซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดได้อย่างหนึ่งว่าประเทศเราถือเป็นประเทศหนึ่งที่มีคุณภาพชีวิตและการศึกษาที่ดีไม่แพ้ชาติอื่นๆเลย ไม่ว่าจะเรื่อง ค่าครองชีพที่ต่ำ อาหารอร่อย และความเป็นมิตรของผู้คนในประเทศ ถือเป็นเอกลักษณ์และควรอนุรักษ์ไว้อย่างยิ่ง ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมควรเลือกเรียนต่อที่ประเทศไทย คณะที่แนะนำในการเรียนต่อที่ประเทศไทย นิเทศศาสตร์ บริหารธุรกิจ วิศวกรรมศาสตร์ ครุศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ ตัวอย่างหลักสูตรเรียนต่อที่ประเทศไทยที่เรามี IT and Computer Science / Master of Arts (M.A.) in Applied Economics (MAAE), Chulalongkorn University, Bangkok, Thailand 5.UK (United Kingdom) ทำไมต้องเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ? ประเทศอังกฤษมีชื่อเสียงระดับโลกในด้านการศึกษา โดยมีมหาวิทยาลัยชื่อดังอย่าง Oxford, Cambridge, และ Imperial College London ที่ติดอันดับโลก ไม่ได้มีแค่คุณภาพสูงในด้านการวิจัยและการเรียนการสอนเท่านั้น แต่ยังมีหลักสูตรที่หลากหลาย ทั้งในสาขาศิลปะ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และอื่น ๆ โดยสามารถเลือกเรียนสาขาที่ตรงกับความสนใจและความถนัดได้อย่างอิสระ นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสที่ดีในการพบปะเพื่อนนักศึกษาจากทั่วโลก โดยจะได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ความคิด และวิธีการดำเนินชีวิตจากหลากหลายประเทศ การมีเพื่อนจากหลายประเทศสามารถช่วยเปิดโลกทัศน์และเพิ่มทักษะการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมที่หลากหลายได้ดียิ่งขึ้น คณะที่แนะนำในการเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ Business & Entrepreneurship Digital Marketing Engineering Law Accounting and Finance ตัวอย่างหลักสูตรเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษที่เรามี Business, Finance and Management / MSc Finance with Data Science, University College London, London, UK (2,036,295.97 THB) IT and Computer Science / Disability, Design and Innovation MSc, University College London, London, UK (1,720,691.71 Thai Baht) 6.USA (United States of America) ทำไมต้องเรียนต่อที่อเมริกา? อเมริกาเป็นที่รู้จักในด้านการศึกษาที่มีคุณภาพสูง และเป็นที่นิยมในหมู่นักเรียนด้วยวิธีการสอนที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ในระดับสากลและเป็นที่ยอมรับกันว่า อเมริกาเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชั้นนำติดอันดับ World Universities Ranking มากมาย นอกจากนี้ ประชาชนในประเทศก็มีหลายสัญชาติ เพราะอเมริกาคือประเทศแห่งเสรีภาพ ทำให้ได้สัมผัสวัฒนธรรมและการใช้ชีวิตอันแตกต่าง การได้พบเจอกับความหลากหลายทางสัญชาตินี้จะสร้างภูมิคุ้มกัน ได้เปิดกว้างความเข้าใจในความต่างทางวัฒนธรรมให้นักศึกษาได้เรียนรู้อีกด้วย คณะที่แนะนำในการเรียนต่อที่ประเทศอเมริกา Engineering Business and Management Computer Science ตัวอย่างหลักสูตรเรียนต่อที่ประเทศอเมริกาที่เรามี Business, Finance and Management / Fellowship for Public Education Leadership, Yale University, New Haven, USA (2,058,329.63 THB) IT and Computer Science / Master of Engineering in Computation and Cognition, Massachusetts Institute of Technology (MIT), Massachusetts, USA (1,988,948.79 THB) หากสนใจบทความเกี่ยวกับการศึกษาต่อ หรือคอร์สเรียนต่อต่างประประเทศรวมถึงรายละเอียดต่างๆ สามารถเข้ามาเยี่ยมชมเพิ่มเติมได้ที่ Education Portal แหล่งรวมความรู้ ทักษะ และโอกาสต่างๆในการงานรวมไว้ที่นี่ทั้งหมดแล้ว อ้างอิง 1.Thebest-edu 2.Hands-on 3.IDP 4.images.app 5.hands-on 6.thaistudyabroad 7.images.app 8.studyuk.in.th 9.Hands-on 10.learningcurve 11.images.app 12.kor-kai 13.images.app 14.bltbangkok 15.images.app 16.Hands-on-us 17.Hands-on

    Mar 6, 2025
    Thumbnail for เทคนิคการเขียน CV/Resume สำหรับเรียนต่อต่างประเทศ (ในไทยก็ได้นะ)

    เทคนิคการเขียน CV/Resume สำหรับเรียนต่อต่างประเทศ (ในไทยก็ได้นะ)

    ในการสมัครเรียนต่อต่างประเทศ นอกจากจะต้องเตรียมคะแนนสอบต่าง ๆ เช่น TOEFL, IELTS, GMAT หรือ GRE แล้ว ยังมีเอกสารสำคัญอื่น ๆ ที่ใช้ประกอบการสมัคร ไม่ว่าจะเป็น Statement of Purpose (SOP), ใบรับรองผลการศึกษา (Transcripts), จดหมายรับรองจากอาจารย์ (Letter of Recommendation) และ CV หรือ Resume ซึ่งถือเป็นเอกสารที่ช่วยแสดงถึงความสามารถ ประสบการณ์ และความสำเร็จทางวิชาการของผู้สมัคร เพื่อให้มหาวิทยาลัยหรือคณะกรรมการรับสมัครเข้าใจว่าผู้สมัครเหมาะสมกับหลักสูตรนี้หรือไม่ การมี CV ที่ดีไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เรามีความได้เปรียบเหนือผู้สมัครคนอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติทางวิชาการใกล้เคียงกัน CV/Resume สำหรับเรียนต่อต่างประเทศคืออะไร CV (Curriculum Vitae) หรือ Resume เปรียบเสมือนโปรไฟล์ที่จะเป็นหน้าเป็นตาให้กรรมการได้เห็น ซึ่งจะเน้นไปที่ประวัติการศึกษา, งานวิจัย, ประสบการณ์การทำงาน, และ ทักษะที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาที่เราต้องการศึกษาต่อ ซึ่งแตกต่างจาก Resume ที่ใช้สมัครงานซึ่งมักเน้นไปที่ประสบการณ์ทำงานเป็นหลัก การเขียน CV สำหรับเรียนต่อควรมีโครงสร้างที่ชัดเจน กระชับ และตรงประเด็น เพื่อให้คณะกรรมการรับสมัครสามารถประเมินคุณสมบัติของเราได้อย่างรวดเร็ว เเละช่วยสะท้อนวิสัยทัศน์และเป้าหมายทางการศึกษาของเราในอนาคตอีกด้วย สิ่งพื้นฐานที่ต้องมีใน CV/Resume สำหรับเรียนต่อ 1. ข้อมูลส่วนตัว (Personal Information) ชื่อ-นามสกุล อีเมล เบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่ (ถ้าจำเป็น) ลิงก์ไปยังโปรไฟล์ของเรา เช่น LinkedIn หรือเว็บไซต์ส่วนตัว 2. ประวัติการศึกษา (Education Background) วุฒิการศึกษาทั้งหมด เรียงจากล่าสุดไปหาเก่าที่สุด ชื่อสถาบันการศึกษา, คณะ, สาขาวิชา ปีที่จบการศึกษา (หรือคาดว่าจะจบ) เกรดเฉลี่ย (GPA) และเกียรตินิยม (ถ้ามี) อาจใส่วิชาเรียนที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรที่สมัคร หัวข้อวิทยานิพนธ์หรือโครงงานสำคัญ รางวัลหรือทุนการศึกษาที่เคยได้รับ 3. ความสนใจด้านงานวิจัย (Research Interests) ระบุหัวข้องานวิจัยที่สนใจและสอดคล้องกับหลักสูตรที่สมัคร อธิบายสั้นๆ ถึงเหตุผลที่สนใจในหัวข้อนั้นๆ 4. ประสบการณ์การทำงาน (Work Experience) ประสบการณ์การทำงานที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาที่สมัคร ชื่อองค์กร, ตำแหน่ง, ระยะเวลาการทำงาน ระบุรายละเอียดของงานที่ทำ และทักษะที่ได้รับจากประสบการณ์นั้น 5. โครงการวิจัยหรือผลงานทางวิชาการ (Academic Projects and Research Publications) หากเคยมีส่วนร่วมในงานวิจัย ให้ระบุชื่อโครงการ, หัวข้อ, บทบาทของเรา และผลลัพธ์ของงานนั้น เทคนิคหรือเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ผลงานตีพิมพ์ (ถ้ามี) 6. ทักษะ (Skills) ทักษะทางวิชาการและเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชา ความสามารถด้านภาษา (ระบุระดับความเชี่ยวชาญ เช่น TOEFL 100, IELTS 7.5) ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ โปรแกรม หรือซอฟต์แวร์เฉพาะทาง ทักษะการวิเคราะห์ข้อมูลหรือเครื่องมือทางสถิติ ทักษะอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรที่สมัคร 7. กิจกรรมเสริมหลักสูตร (Extracurricular Activities & Leadership Experience) การเข้าร่วมกิจกรรมทางวิชาการ หรือการเป็นผู้นำองค์กรนักศึกษาที่แสดงถึงความสามารถในการทำงานเป็นทีม การสื่อสาร และความเป็นผู้นำ กิจกรรมชมรม กิจกรรมจิตอาสา หรือการช่วยเหลือชุมชนต่างๆ การเข้าร่วมการประชุม สัมมนา หรือการฝึกอบรม 8.รางวัล (Awards) รางวัลที่เคยได้รับ ใบประกาศนียบัตรจากหลักสูตรหรือกิจกรรมต่างๆ 9. จดหมายรับรอง (References) ชื่อและข้อมูลติดต่อของอาจารย์หรือหัวหน้างานที่สามารถให้คำรับรองได้ ควรขออนุญาตก่อนที่จะระบุชื่อบุคคลในส่วนนี้ ความยาวของ CV/Resume สำหรับเรียนต่อ CV แบบละเอียด: ควรมีความยาวประมาณ 2-3 หน้า สำหรับใช้สมัครเรียนในระดับปริญญาโทหรือเอก Resume แบบย่อ: ควรมีความยาว ไม่เกิน 1 หน้า ใช้สำหรับแนบไปกับจดหมายขอจดหมายรับรอง หรือการสมัครทุนบางประเภท ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการเขียน CV/Resume เขียนผิดพลาดทางไวยากรณ์และตัวสะกด: ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีคำผิด และหากเป็นภาษาอังกฤษ ควรให้ผู้อื่นช่วยตรวจทาน ลำดับเวลาไม่ถูกต้อง: ควรเรียงข้อมูลตามลำดับจากล่าสุดไปย้อนหลัง เพื่อให้อ่านง่าย ใส่ข้อมูลที่ไม่จำเป็น: ไม่ควรใส่ข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสมัครเรียน เช่น งานพาร์ทไทม์ที่ไม่เกี่ยวข้อง ใช้เทมเพลตที่อ่านยาก: ควรใช้รูปแบบที่เป็นมืออาชีพ อ่านง่าย และมีโครงสร้างชัดเจน การเขียน CV/Resume สำหรับเรียนต่อต่างประเทศควรเน้นความกระชับ ชัดเจน และสื่อสารข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและงานวิจัยให้มากที่สุด การเตรียมเอกสารล่วงหน้าและตรวจสอบความถูกต้องก่อนส่งสามารถช่วยเพิ่มโอกาสให้เราได้รับการคัดเลือกเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยที่ต้องการ ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน การใช้เครื่องมือออนไลน์เพื่อสร้าง CV ที่มีรูปแบบมืออาชีพและน่าดึงดูดสามารถช่วยให้เราประหยัดเวลาและสร้างเอกสารที่มีคุณภาพสูง ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับการพิจารณาจากสถาบันการศึกษาชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศอีกด้วย หากต้องการสร้าง Resume/CV อย่างมืออาชีพ สามารถใช้ Resume Builder บน Jobcadu ที่ช่วยให้เราออกแบบเรซูเม่ที่น่าสนใจและโดดเด่นด้วย AI และเทมเพลตที่ออกแบบอย่างมืออาชีพกว่า 40 แบบ อ้างอิง

    Feb 24, 2025
    Thumbnail for เรียนต่ออะไรดี? รวม 10 สาขาน่าเรียน ไม่ตกงาน ทั้งในไทยและต่างประเทศ

    เรียนต่ออะไรดี? รวม 10 สาขาน่าเรียน ไม่ตกงาน ทั้งในไทยและต่างประเทศ

    ทำไมต้องเรียนต่อ? ในยุคที่ตลาดแรงงานมีการแข่งขันสูงขึ้นเรื่อย ๆ การเรียนต่อเป็นทางเลือกที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการทำงานและยกระดับอาชีพของเรา ไม่ว่าจะเป็นการเรียนต่อในระดับปริญญาตรีหรือปริญญาโท การศึกษาต่อสามารถช่วยให้เราได้รับทักษะเฉพาะทางและสร้างความได้เปรียบในการทำงาน นอกจากนี้ การเรียนต่อต่างประเทศยังเปิดโอกาสให้เราได้สัมผัสวัฒนธรรมใหม่ ๆ สร้างคอนเนคชั่นในอุตสาหกรรมและพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่น ๆ อีกด้วย เรียนต่อต่างประเทศ เรียนตรีหรือโทดี? ปริญญาตรี: เหมาะสำหรับนักเรียนที่ต้องการเปิดโอกาสให้ตัวเองได้เรียนรู้ทักษะพื้นฐานของสาขาวิชาต่าง ๆ และสร้างพื้นฐานที่มั่นคงสำหรับอาชีพในอนาคต ปริญญาโท: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มพูนความเชี่ยวชาญในสาขาเฉพาะทาง และมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาความรู้เชิงลึก รวมถึงเปิดโอกาสในสายอาชีพที่มีตำแหน่งสูงขึ้นหรือเงินเดือนที่ดีกว่า 10 สาขาน่าเรียนทั้งในไทยและต่างประเทศ 1. Data Science & Artificial Intelligence (AI) มหาวิทยาลัยแนะนำ: Stanford University (สหรัฐอเมริกา), University of Oxford (สหราชอาณาจักร), National University of Singapore (สิงคโปร์) ค่าเทอมโดยประมาณ: 20,000 - 50,000 USD ต่อปี ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: Data Scientist, Machine Learning Engineer, AI Researcher เงินเดือนเฉลี่ย: 70,000 - 150,000 USD ต่อปี 2. Cybersecurity มหาวิทยาลัยแนะนำ: Carnegie Mellon University (สหรัฐอเมริกา), ETH Zurich (สวิตเซอร์แลนด์) ค่าเทอมโดยประมาณ: 25,000 - 45,000 USD ต่อปี ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: Cybersecurity Analyst, Ethical Hacker, Security Consultant เงินเดือนเฉลี่ย: 80,000 - 140,000 USD ต่อปี 3. Biomedical Engineering มหาวิทยาลัยแนะนำ: Johns Hopkins University (สหรัฐอเมริกา), Imperial College London (สหราชอาณาจักร) ค่าเทอมโดยประมาณ: 30,000 - 55,000 USD ต่อปี ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: Biomedical Engineer, Medical Device Developer เงินเดือนเฉลี่ย: 60,000 - 120,000 USD ต่อปี 4. Digital Marketing มหาวิทยาลัยแนะนำ: University of Melbourne (ออสเตรเลีย), ESSEC Business School (ฝรั่งเศส) ค่าเทอมโดยประมาณ: 20,000 - 40,000 USD ต่อปี ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: Digital Marketing Manager, SEO Specialist, Social Media/ Digital Strategist เงินเดือนเฉลี่ย: 50,000 - 100,000 USD ต่อปี 5. Sustainable Energy Engineering มหาวิทยาลัยแนะนำ: Technical University of Denmark (เดนมาร์ก), TU Delft (เนเธอร์แลนด์) ค่าเทอมโดยประมาณ: 15,000 - 35,000 USD ต่อปี ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: Renewable Energy Consultant, Environmental Engineer เงินเดือนเฉลี่ย: 70,000 - 130,000 USD ต่อปี 6. Business Administration (MBA) มหาวิทยาลัยแนะนำ: Harvard Business School (สหรัฐอเมริกา), Stanford Graduate School of Business ค่าเทอมโดยประมาณ: 50,000 - 80,000 USD ต่อปี อาชีพที่สามารถประกอบได้: Business Consultant, Investment Banker, CEO เงินเดือนเฉลี่ย: 100,000 - 200,000 USD ต่อปี 7. Computer Science มหาวิทยาลัยแนะนำ: Massachusetts Institute of Technology (MIT) (สหรัฐอเมริกา), University of Cambridge (สหราชอาณาจักร) ค่าเทอมโดยประมาณ: 30,000 - 60,000 USD ต่อปี ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: Software Engineer, Systems Architect เงินเดือนเฉลี่ย: 80,000 - 150,000 USD ต่อปี 8. Architecture มหาวิทยาลัยแนะนำ: University of California, Berkeley (สหรัฐอเมริกา), ETH Zurich (สวิตเซอร์แลนด์) ค่าเทอมโดยประมาณ: 25,000 - 50,000 USD ต่อปี ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: Architect, Urban Planner เงินเดือนเฉลี่ย: 50,000 - 120,000 USD ต่อปี 9. International Relations มหาวิทยาลัยแนะนำ: London School of Economics (สหราชอาณาจักร), Sciences Po (ฝรั่งเศส) ค่าเทอมโดยประมาณ: 20,000 - 45,000 USD ต่อปี ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: Diplomat, Policy Analyst เงินเดือนเฉลี่ย: 60,000 - 110,000 USD ต่อปี 10. Environmental Science มหาวิทยาลัยแนะนำ: University of British Columbia (แคนาดา), Australian National University (ออสเตรเลีย) ค่าเทอมโดยประมาณ: 20,000 - 40,000 USD ต่อปี ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: Environmental Consultant, Sustainability Manager เงินเดือนเฉลี่ย: 55,000 - 100,000 USD ต่อปี เรียนต่อต่างประเทศต้องใช้อะไรบ้าง? 1.วุฒิการศึกษาที่เกี่ยวข้อง: เช่น ใบปริญญาตรีสำหรับเรียนต่อโท หรือวุฒิมัธยมศึกษาสำหรับปริญญาตรี 2.ผลสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ: เช่น IELTS, TOEFL หรือภาษาท้องถิ่นของประเทศที่ต้องการไปเรียน 3.จดหมายแนะนำ (Letter of Recommendation): จากอาจารย์หรือผู้ที่เคยทำงานร่วมกัน 4.Statement of Purpose (SOP) หรือ Personal Statement: บรรยายเหตุผลที่ต้องการเรียนต่อในสาขานั้น ๆ 5.Portfolio (ถ้ามี): สำหรับสายงานที่เกี่ยวข้องกับศิลปะ สถาปัตยกรรม หรือสาขาที่ต้องใช้ผลงานประกอบการสมัคร 6.ผลสอบมาตรฐานอื่น ๆ (ถ้าจำเป็น): เช่น GMAT, GRE สำหรับหลักสูตรธุรกิจหรือวิทยาศาสตร์บางสาขา 7.เอกสารทางการเงิน: หลักฐานแสดงความสามารถทางการเงิน เช่น หนังสือรับรองบัญชีธนาคาร เพื่อขอวีซ่านักเรียน 8.วีซ่านักเรียน: ต้องตรวจสอบข้อกำหนดของแต่ละประเทศ 9.ประกันสุขภาพนักเรียนต่างชาติ: บางมหาวิทยาลัยกำหนดให้ต้องมีประกันสุขภาพ เรียนต่อต่างประเทศต้องใช้เงินเท่าไหร่? ค่าใช้จ่ายในการเรียนต่อต่างประเทศขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ประเทศที่เลือก มหาวิทยาลัย สาขาวิชา และค่าครองชีพในเมืองที่อยู่ โดยค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ได้แก่: 1. ค่าเล่าเรียน สหรัฐอเมริกา: $20,000 - $80,000 ต่อปี (ประมาณ 590,000-2,690,000 บาท) สหราชอาณาจักร: £10,000 - £40,000 ต่อปี (ประมาณ 420,000-1,700,000 บาท) ออสเตรเลีย: AUD 20,000 - AUD 50,000 ต่อปี (ประมาณ 420,000-1,070,000 บาท) แคนาดา: CAD 15,000 - CAD 40,000 ต่อปี (ประมาณ 355,000- 949,000 บาท) ยุโรป (เช่น เยอรมนี, ฝรั่งเศส, เนเธอร์แลนด์): บางประเทศมีค่าเล่าเรียนต่ำหรือไม่มีเลย (ขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัย) 2. ค่าครองชีพ สหรัฐอเมริกา: $1,000 - $2,500 ต่อเดือน (ประมาณ 33,000-84,000 บาท) สหราชอาณาจักร: £800 - £2,000 ต่อเดือน (ประมาณ 34,000-85,000 บาท) ออสเตรเลีย: AUD 1,200 - AUD 2,500 ต่อเดือน (ประมาณ 25,000-53,000 บาท) แคนาดา: CAD 1,000 - CAD 2,500 ต่อเดือน (ประมาณ 23,000-59,000 บาท) ยุโรป: €600 - €1,500 ต่อเดือน (ประมาณ 21,000-52,000 บาท) 3. ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ค่าหนังสือและอุปกรณ์การเรียน: $500 - $2,000 ต่อปี ค่าประกันสุขภาพ: $500 - $2,000 ต่อปี ค่าเดินทาง (ตั๋วเครื่องบินไปกลับ): $800 - $2,500 ขึ้นอยู่กับระยะทาง รวมค่าใช้จ่ายต่อปี: โดยเฉลี่ยแล้ว นักศึกษาต่างชาติอาจต้องใช้เงินประมาณ $30,000 - $100,000 ต่อปี ขึ้นอยู่กับประเทศและมหาวิทยาลัยที่เลือก ทุนการศึกษาในการเรียนต่อต่างประเทศ หากต้องการลดภาระค่าใช้จ่าย สามารถสมัครทุนการศึกษาจากแหล่งต่าง ๆ เช่น: ทุนรัฐบาล เช่น Fulbright (สหรัฐอเมริกา), Chevening (สหราชอาณาจักร), DAAD (เยอรมนี) ทุนมหาวิทยาลัย เช่น Gates Cambridge Scholarship, Australia Awards ทุนจากองค์กรเอกชนและมูลนิธิต่าง ๆ การวางแผนค่าใช้จ่ายและมองหาทุนการศึกษาเป็นวิธีที่ช่วยให้การเรียนต่อต่างประเทศเป็นไปได้ง่ายขึ้น อย่าลืมศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วนก่อนตัดสินใจ 10 สาขาน่าเรียนต่อในไทย 1. บริหารธุรกิจและการบัญชี รายละเอียดหลักสูตร: มุ่งเน้นการเรียนรู้ด้านการจัดการธุรกิจ การเงิน การตลาด และการบัญชี เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการทำงานในองค์กรต่าง ๆ ตัวอย่างมหาวิทยาลัย: คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ค่าเล่าเรียน: ประมาณ 17,000 บาท/เทอม ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: นักบัญชี (Accountant) – เงินเดือนเริ่มต้น 18,000 - 25,000 บาท/เดือน นักวิเคราะห์ทางการเงิน (Financial Analyst) – เงินเดือนเริ่มต้น 25,000 - 35,000 บาท/เดือน ที่ปรึกษาทางธุรกิจ (Business Consultant) – เงินเดือนเริ่มต้น 30,000 - 50,000 บาท/เดือน ผู้จัดการฝ่ายการตลาด (Marketing Manager) – เงินเดือนเริ่มต้น 25,000 - 45,000 บาท/เดือน ผู้บริหาร (Business Executive) – รายได้เริ่มต้น 30,000 - 70,000 บาท/เดือน 2. วิศวกรรมศาสตร์ รายละเอียดหลักสูตร: ศึกษาเกี่ยวกับการออกแบบ พัฒนา และบำรุงรักษาระบบและโครงสร้างต่าง ๆ ในหลากหลายสาขา เช่น วิศวกรรมไฟฟ้า วิศวกรรมเครื่องกล และวิศวกรรมโยธา ตัวอย่างมหาวิทยาลัย: คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ค่าเล่าเรียน: ประมาณ 18,200 บาท/เทอม ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: วิศวกรไฟฟ้า (Electrical Engineer) – เงินเดือนเริ่มต้น 25,000 - 35,000 บาท/เดือน วิศวกรเครื่องกล (Mechanical Engineer) – เงินเดือนเริ่มต้น 30,000 - 45,000 บาท/เดือน วิศวกรโยธา (Civil Engineer) – เงินเดือนเริ่มต้น 28,000 - 40,000 บาท/เดือน ผู้จัดการโครงการ (Project Manager) – เงินเดือนเริ่มต้น 50,000 - 100,000 บาท/เดือน 3. นิติศาสตร์ รายละเอียดหลักสูตร: มุ่งเน้นการศึกษาเกี่ยวกับกฎหมายและระบบกฎหมาย เพื่อเตรียมความพร้อมในการเป็นนักกฎหมาย ตัวอย่างมหาวิทยาลัย: คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ค่าเล่าเรียน: ประมาณ 24,000 บาท (ในภาคการศึกษาแรกหลังรวมค่าธรรมเนียมอื่นๆ) ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: ทนายความ (Lawyer) – เงินเดือนเริ่มต้น 25,000 - 40,000 บาท/เดือน ที่ปรึกษากฎหมาย (Legal Advisor) – เงินเดือนเริ่มต้น 50,000 - 70,000 บาท/เดือน ผู้พิพากษา (Judge) – เงินเดือนเริ่มต้น 50,000 - 100,000 บาท/เดือน อัยการ (Prosecutor) – เงินเดือนเริ่มต้น 40,000 - 70,000 บาท/เดือน 4. แพทยศาสตร์ รายละเอียดหลักสูตร: ศึกษาเกี่ยวกับการแพทย์และการรักษาโรค เพื่อเตรียมความพร้อมในการเป็นแพทย์ ตัวอย่างมหาวิทยาลัย: คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ค่าเล่าเรียน: ภาคการศึกษาละ 30,000 บาท ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: แพทย์ (Medical Doctor) – เงินเดือนเริ่มต้น 30,000 - 50,000 บาท/เดือน ศัลยแพทย์ (Surgeon) – เงินเดือนเริ่มต้น 60,000 - 120,000 บาท/เดือน แพทย์เฉพาะทาง (Specialist Doctor) – เงินเดือนเริ่มต้น 100,000 บาท/เดือน แพทย์ในโรงพยาบาลเอกชน (Private Hospital Doctor) – รายได้สูงกว่า 200,000 บาท/เดือน 5. วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ รายละเอียดหลักสูตร: มุ่งเน้นการศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาซอฟต์แวร์ ระบบคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ ตัวอย่างมหาวิทยาลัย: คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ค่าเล่าเรียน: หลักสูตรปกติ12,000 บาท/เทอม , โครงการพิเศษ 30,000 บาท/เทอม ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: นักพัฒนาซอฟต์แวร์ (Software Developer) – เงินเดือนเริ่มต้น 30,000 - 50,000 บาท/เดือน วิศวกรระบบ (Systems Engineer) – เงินเดือนเริ่มต้น 40,000 - 70,000 บาท/เดือน นักวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analyst) – เงินเดือนเริ่มต้น 25,000 - 50,000 บาท/เดือน ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI (AI Specialist) – เงินเดือนเริ่มต้น 60,000 - 100,000 บาท/เดือน 6. นิเทศศาสตร์ รายละเอียดหลักสูตร: ศึกษาเกี่ยวกับการสื่อสารมวลชน การประชาสัมพันธ์ และสื่อสารการตลาด ตัวอย่างมหาวิทยาลัย: คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ค่าเล่าเรียน: ประมาณ 21,000 บาท/เทอม ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: นักข่าว (Journalist) – เงินเดือนเริ่มต้น 15,000 - 30,000 บาท/เดือน นักประชาสัมพันธ์ (PR Specialist) – เงินเดือนเริ่มต้น 20,000 - 50,000 บาท/เดือน ผู้จัดการการตลาด (Marketing Manager) – เงินเดือนเริ่มต้น 50,000 - 100,000 บาท/เดือน คอนเทนต์ครีเอเตอร์ (Content Creator) – เงินเดือนเริ่มต้น 18,000 - 40,000 บาท/เดือน 7. เศรษฐศาสตร์ รายละเอียดหลักสูตร: มุ่งเน้นการศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ การวิเคราะห์เศรษฐกิจ และนโยบายเศรษฐกิจ ตัวอย่างมหาวิทยาลัย: คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ค่าเล่าเรียน: ประมาณ 28,400 บาท/เทอม ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: นักเศรษฐศาสตร์ (Economist) – เงินเดือนเริ่มต้น 30,000 - 50,000 บาท/เดือน นักวิเคราะห์เศรษฐกิจ (Economic Analyst) – เงินเดือนเริ่มต้น 40,000 - 80,000 บาท/เดือน ผู้บริหารธนาคาร (Bank Executive) – เงินเดือนเริ่มต้น 100,000 บาท/เดือน 8. ศึกษาศาสตร์ รายละเอียดหลักสูตร: ศึกษาเกี่ยวกับการสอนและการบริหารการศึกษา เพื่อเตรียมความพร้อมในการเป็นครูหรือผู้บริหารการศึกษา ตัวอย่างมหาวิทยาลัย: คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ค่าเล่าเรียน: ประมาณ 20,000 บาท/เทอม ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: ครู (Teacher) – เงินเดือนเริ่มต้น 20,000 - 35,000 บาท/เดือน ผู้บริหารโรงเรียน (School Administrator) – เงินเดือนเริ่มต้น 40,000 - 70,000 บาท/เดือน ที่ปรึกษาด้านการศึกษา (Education Consultant) – เงินเดือนเริ่มต้น 30,000 - 60,000 บาท/เดือน 9. ภาษาต่างประเทศ รายละเอียดหลักสูตร: มุ่งเน้นการเรียนรู้และฝึกฝนทักษะภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน หรือภาษาญี่ปุ่น ตัวอย่างมหาวิทยาลัย: คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ค่าเล่าเรียน: ประมาณ 15,000 บาท/เทอม ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: ล่าม (Interpreter) – เงินเดือนเริ่มต้น 20,000 - 35,000 บาท/เดือน นักแปล (Translator) – เงินเดือนเริ่มต้น 20,000 - 35,000 บาท/เดือน ผู้สอนภาษาต่างประเทศ (Foreign Language Teacher) – เงินเดือนเริ่มต้น 20,000 - 50,000 บาท/เดือน 10. เทคโนโลยีสารสนเทศ รายละเอียดหลักสูตร: ศึกษาเกี่ยวกับการจัดการและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในองค์กร ตัวอย่างมหาวิทยาลัย: สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น ค่าเล่าเรียน: เฉลี่ยค่าเทอมแต่ละคณะ ประมาณ 45,000 - 50,000 บาท/เทอม ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: นักพัฒนาซอฟต์แวร์ (Software Developer) - เงินเดือนเริ่มต้น: 30,000 - 50,000 บาท/เดือน นักวิเคราะห์ระบบ (Systems Analyst) - เงินเดือนเริ่มต้น: 35,000 - 55,000 บาท/เดือน นักวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analyst) - เงินเดือนเริ่มต้น: 25,000 - 45,000 บาท/เดือน ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity Specialist) - เงินเดือนเริ่มต้น: 50,000 - 80,000 บาท/เดือน ผู้เชี่ยวชาญด้านคลาวด์ (Cloud Specialist) - เงินเดือนเริ่มต้น: 45,000 - 70,000 บาท/เดือน ผู้จัดการโครงการเทคโนโลยี (IT Project Manager) - เงินเดือนเริ่มต้น: 50,000 - 100,000 บาท/เดือน นอกจากนี้ในประเทศไทยยังมีมหาวิทยาลัยหลายแห่งที่เปิดสอนหลักสูตรนานาชาติที่มีคุณภาพไม่แพ้กับการเรียนที่ต่างประเทศเลย เช่น 1. มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (Assumption University - ABAC) คณะบริหารธุรกิจและเศรษฐศาสตร์ (MSME): เป็นคณะที่ใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย มุ่งเน้นการพัฒนานักศึกษาให้เป็นผู้ประกอบการที่มีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่งกับศิษย์เก่าและภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ เกณฑ์การรับสมัคร: นักศึกษาสามารถสมัครเข้าเรียนได้โดยไม่จำเป็นต้องมีผลคะแนนภาษาอังกฤษหรือคณิตศาสตร์ เนื่องจากมหาวิทยาลัยมีการจัดสอบวัดระดับภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์เอง อย่างไรก็ตาม หากมีผลคะแนน TOEFL (iBT) ≥ 60 หรือ IELTS (Academic) ≥ 5.0 จะได้รับการยกเว้นบางวิชา ค่าเล่าเรียน: ประมาณ 70,000 บาท/เทอม 2. วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล (Mahidol University International College - MUIC) สาขาวิชาบริหารธุรกิจ: มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะด้านการจัดการธุรกิจในระดับสากล สาขาวิชาวิทยาศาสตร์: เน้นการเรียนการสอนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาวิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์: เตรียมความพร้อมให้นักศึกษาในด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ เกณฑ์การรับสมัคร: ต้องมีผลคะแนนภาษาอังกฤษ เช่น IELTS ≥ 6.0 (โดย Writing ≥ 6.0) หรือ TOEFL (iBT) ≥ 69 (โดย Writing ≥ 22) ค่าเล่าเรียน: ประมาณ 200,000 - 300,000 บาท/เทอม 3. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Chulalongkorn University) คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ (International Program in Design and Architecture - INDA): หลักสูตรนานาชาติที่มุ่งเน้นการออกแบบและสถาปัตยกรรม คณะบริหารธุรกิจ (Bachelor of Business Administration - BBA): หลักสูตรนานาชาติที่เน้นการจัดการธุรกิจในระดับสากล คณะวิศวกรรมศาสตร์ (International School of Engineering - ISE): หลักสูตรนานาชาติที่มุ่งเน้นด้านวิศวกรรมศาสตร์ ค่าเล่าเรียน: คณะ INDA ประมาณ 417,750 บาทต่อปี, คณะ BBA ประมาณ 251,250 บาทต่อปี, คณะ ISE ประมาณ 219,000 บาทต่อปี 4. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (Thammasat University) คณะบริหารธุรกิจ (Bachelor of Business Administration - BBA): หลักสูตรนานาชาติที่มุ่งเน้นการจัดการธุรกิจในระดับสากล คณะวิศวกรรมศาสตร์ (Thammasat English Programme of Engineering - TEPE): หลักสูตรนานาชาติที่เน้นด้านวิศวกรรมศาสตร์ เกณฑ์การรับสมัคร: ต้องมีผลคะแนนภาษาอังกฤษ เช่น TOEFL (iBT) ≥ 80 หรือ IELTS (Academic) ≥ 6.0 และคะแนน SAT (Math) ≥ 600 ค่าเล่าเรียน: ประมาณ 90,000 - 101,000 บาท/เทอม 5. สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (King Mongkut's Institute of Technology Ladkrabang - KMITL) คณะวิศวกรรมศาสตร์ (International College): หลักสูตรนานาชาติที่มุ่งเน้นด้านวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ (School of Architecture, Art, and Design): หลักสูตรนานาชาติที่เน้นการออกแบบและสถาปัตยกรรม เกณฑ์การรับสมัคร: ต้องมีผลคะแนนภาษาอังกฤษ เช่น TOEFL (iBT) ≥ 61 หรือ IELTS (Academic) ≥ 5.0 ค่าเล่าเรียน: ประมาณ 92,500 -100,000 บาท/เทอม การเรียนต่อไม่ใช่แค่โอกาสในการเพิ่มพูนความรู้ แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการสร้างเส้นทางอาชีพและพัฒนาตัวเองในระดับสากล ไม่ว่าจะเลือกเรียนต่อในไทยหรือต่างประเทศ การวางแผนล่วงหน้าและเลือกสาขาที่เหมาะสมกับความสนใจและตลาดแรงงานเป็นสิ่งสำคัญ สำหรับผู้ที่สนใจเรียนต่อต่างประเทศ ควรพิจารณาปัจจัยสำคัญ เช่น ค่าใช้จ่าย เอกสารที่ต้องใช้ และโอกาสทางอาชีพหลังเรียนจบ หากใครกำลังมองหาแนวทางในการเรียนต่อทั้งในไทยเเละต่างประเทศหรืออัปสกิลเพื่อต่อยอดอาชีพ สามารถเข้าไปดูเพิ่มเติมได้ที่ Education Portal

    Feb 24, 2025
    Thumbnail for ฝึกภาษาอังกฤษอย่างไรให้เก่ง ครบทุกมิติ(ฟัง พูด อ่าน เขียน) ด้วยเทคนิค 6 ข้อ ก้าวสู่การเติบโตในโลกการทำงาน

    ฝึกภาษาอังกฤษอย่างไรให้เก่ง ครบทุกมิติ(ฟัง พูด อ่าน เขียน) ด้วยเทคนิค 6 ข้อ ก้าวสู่การเติบโตในโลกการทำงาน

    ในการทำงาน การสื่อสารกับผู้อื่นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลภายนอกหรือภายใน ซึ่งเราจะได้เปรียบเป็นอย่างมากถ้าเรามีทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ แต่บางคนก็อาจจะไม่มั่นใจหรือยังไม่เก่งพอ วันนี้ jobcadu จะมาเสนอเทคนิคทั้งหมด 6 ข้อ เป็นการชี้แนวทางสำหรับผู้ที่กำลังอยากเริ่มต้นพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษให้เก่งและพัฒนาขึ้นครบทุกมิติในการสื่อสาร และสามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันรวมไปถึงเติบโตในสังคมการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำไมต้องฝึกภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษสำคัญอย่างไร? การเรียนภาษาอังกฤษในสมัยนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป จะเห็นได้ว่า ไม่ใช่แค่ผู้ใหญ่วัยทำงานที่ให้ความสนใจกับการเรียนภาษาอังกฤษ แต่มีเด็กวัยเรียนหรือนักศึกษาในปัจจุบันจำนวนไม่น้อยหันมาให้ความสนใจกับการเรียนภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาศักยภาพของตัวเองกันมากขึ้น เนื่องจากในยุคปัจจุบัน คนส่วนใหญ่เริ่มตระหนักว่า หนึ่งในความก้าวหน้าในอาชีพหรือสายการเรียนในอนาคต หรือแม้กระทั่งการเพิ่มฐานเงินเดือนของตนเอง นั่นคือทักษะภาษาอังกฤษ รวมทั้งสามารถต่อยอดไปถึงการไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ เพราะภาษาอังกฤษถือเป็นหนึ่งภาษาที่ช่วยให้เราสื่อสารกับผู้คนที่มาจากเชื้อชาติและวัฒนธรรมที่แตกต่างได้ เห็นได้ว่า ภาษาอังกฤษเหมาะกับทุกวัย ถึงแม้จะยังไม่ได้นำไปใช้ในวันนี้ แต่การฝึกทักษะนี้ไว้ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอก็ย่อมเป็นผลประโยชน์ที่ดีต่อตัวท่านเองในสายงานในอนาคตที่ตั้งใจจะไปถึง โดยเฉพาะบุคคลวัยทำงาน, นักศึกษาที่วางแผนเรียนต่อต่างประเทศ และผู้ที่ต้องการเพิ่มทักษะภาษาอังกฤษเพื่อไปใช้ในผลประโชน์ต่าง ๆ เช่น เพื่อใช้เป็นคะแนนในการยื่นเพื่อศึกษาต่อในสายงานที่ลงลึกมากขึ้น และหากสนใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับการพัฒนาตนเองสู่สายงานที่ต้องการสามารถเข้ามาเพื่อรับข้อมูลข่าวสารได้ที่ Career Portal เทคนิค 6 ข้อที่จะช่วยฝึกภาษาอังกฤษให้เก่งทั้งฟัง พูด อ่าน เขียน ข้อที่ 1 : กำหนดเป้าหมายในการฝึกภาษาที่ชัดเจน การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนว่าเราอยากจะเรียนภาษาอังกฤษอย่างจริงจังในครั้งนี้ไปเพื่ออะไร? เราอยากได้อะไรจากการเรียนภาษาอังกฤษ? เป็นนิมิตหมายอันดีในการเริ่มต้นที่จุดสตาร์ท เพื่อเป็นการกำหนดทิศทาง และระยะเวลาให้เรามีกำลังใจในการมีวินัยฝึกฝน ไม่หลงทางหรือท้อจนล้มเลิกไประหว่างทาง และควรกำหนดเดดไลน์ในการฝึกฝนให้ชัดเจนเพื่อให้เราฝึกภาษาได้อย่างมีจุดมุ่งหมาย ข้อที่ 2 : อ่านและจดศัพท์ภาษาอังกฤษใหม่ ๆ อยู่เสมอ การตั้งใจเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ ไปพร้อมกับการจดให้เห็นผ่านตาอยู่เสมอ เป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างก้าวกระโดดเลยทีเดียว เนื่องจากการมีคลังคำศัพท์ในหัวที่มากขึ้น ย่อมทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจในบางรูปประโยคและบริบทได้ดียิ่งขึ้นตามไปด้วย รวมถึงเป็นตัวซัพพอร์ตในการฝึกพัฒนาการพูดได้คล่องแคล่วและเติมรูปประโยคได้สละสลวยมากยิ่งขึ้นอีกด้วย ข้อที่ 3 : ฟังเพลง ฟังพอดแคสต์ และ ดูหนังภาษาอังกฤษ ต้องยอมรับว่าอีกหนึ่งทักษะที่ช่วยให้การฝึกภาษาอังกฤษให้พัฒนามากขึ้น คือการฟัง หลายคนเก่งขึ้นจากทักษะการฟังที่ดีเยี่ยม นอกจากนี้ การฟังภาษาอังกฤษจากต้นฉบับ ทำให้เราไม่ต้องคอยสงสัยในตัวเองว่าที่เรากำลังฝึกสื่อสารอยู่มันถูกต้องหรือยัง และการฟังทำให้เราเข้าใจว่าธรรมชาติของต้นฉบับเขาสื่อสารกันในสำเนียงแบบไหน ใช้รูปประโยคแบบใดในแต่ละบริบท เช่น บริบทที่ใช้ในการสื่อสารเป็นเพลง บริบทที่ใช้พูดในพอดแคสต์หรืองานทอล์คโชว์ต่าง หรือบริบทที่ใช้สื่อการในหนังของตัวละคร ทุกอย่างล้วนใช้จากทักษะการฟังและการจดจำได้ที่มากพอ และจะยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นถ้าได้เห็นเป็นภาพเหตุการณ์ควบคู่ไปด้วยจากการดูหนังหรือรายการต่าง ๆ ของต่างประเทศ ข้อที่ 4 : นำภาษาอังกฤษไปใช้จริงทุกครั้งที่มีโอกาส การเรียนรู้เพียงอย่างเดียวย่อมไม่ทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดเท่ากับการนำสิ่งที่เรียนรู้มาทั้งหมดไปปรับใช้จริง เมื่อฝึกภาษาอังกฤษมาได้สักระยะหนึ่ง ควรเริ่มนำไปใช้ในชีวิตประจำวันบ้าง เช่น ลองนำไปใช้สื่อสารกับเพื่อน อาจารย์ คนในที่ทำงาน หรือนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เราอาจบังเอิญได้ไปพบเจอในบางโอกาส การลองก้าวข้ามคอมฟอร์ตโซนจะช่วยให้เราพัฒนาได้ไกลและรวดเร็วอย่างมีนัยสำคัญเลยทีเดียว ข้อที่ 5 : หาคู่สื่อสารที่เป็นชาวต่างชาติในชีวิตประจำวัน สภาพแวดล้อมเป็นสิ่งที่สำคัญมาก การที่เรามุ่งมั่นตั้งใจฝึกภาษาอังกฤษมาก ๆ แต่ไม่มีใครที่เราสามารถสื่อสารและขอคำแนะนำจากผู้ที่เป็นต้นแบบภาษา (Native Speaker)ได้เลย ย่อมเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ดังนั้น เพื่อประสิทธิภาพที่สูงสุดในการเรียนรู้ เราควรพาตัวเองเข้าไปอยู่ในสังคมที่ใช้การสื่อสารภาษาอังกฤษอย่างเป็นปกติ หรือหาเพื่อนที่เป็นเจ้าของภาษาเพื่อสื่อสารด้วยในชีวิตประจำวันอย่างสม่ำเสมอ รับประกันได้ว่า ทักษะภาษาอังกฤษของเราจะพัฒนาขึ้นได้อย่างก้าวกระโดดแน่นอน ข้อที่ 6 : หาคอร์สเรียนออนไลน์เพิ่มเติม สำหรับผู้ที่ต้องการนำไปใช้สอบเพื่อยื่นคะแนนต่าง ๆ หรือรีบนำไปใช้จริงในระยะเวลาอันสั้น ควรตัดสินใจจัดงบเพื่อหาเรียนคอร์สภาษาอังกฤษเพิ่มเติมเพื่อความแม่นยำในการเรียนภาษา และคำแนะนำจากผู้สอนที่เป็นเหมือนทางลัดให้เราไม่ต้องฝึกฝนนาน ๆ หรือผิดพลาดบ่อย ๆ ซึ่งในแต่ละคอร์สก็จะมีความเข้มข้น ราคา และระยะเวลาในการเรียนที่แตกต่างกันไป การเลือกคอร์สจึงขึ้นอยู่กับเป้าหมายและความต้องการส่วนตัวของแต่คน สรุปได้ว่า ยิ่งหากเรามีทักษะทางภาษาอังกฤษ เราย่อมได้เปรียบในสังคมการทำงานกว่าผู้ที่ไม่มีทักษะทั้งในเรื่องสภาพแวดล้อมและทางการเงิน เนื่องจากโลกในปัจจุบันสามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างอิสระเสรีมากขึ้น รวมทั้งในแง่ขององค์กร ซึ่งมีหลายองค์กรในประเทศที่มองหาลู่ทางในการไปเติบโตในต่างประเทศ และองค์กรคุณภาพจากต่างประเทศที่ต้องการหาลู่ทางและร่วมงานกับหน่วยงานในประเทศไทย ดังนั้น บริษัทชั้นนำต่าง ๆ จึงมองหาพนักงานที่สามารถติดต่อสื่อสารกับชาวต่างชาติได้เพื่อผลประโยชน์ขององค์กรและประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันสูงสุด นอกจากนี้ หากเก่งภาษาอังกฤษแล้ว อย่าลืมหางานที่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ ได้ที่ www.jobcadu.com แหล่งที่รวบรวมตำแหน่งงานคุณภาพที่ได้ใช้ภาษาจากบริษัทชั้นนำมากมาย

    Jan 30, 2025
    Thumbnail for 5 แพลตฟอร์ม/เว็บไซต์ไว้ฝึกภาษาอังกฤษให้ปัง ให้เป๊ะ ได้ทั้ง พูด อ่าน เขียน

    5 แพลตฟอร์ม/เว็บไซต์ไว้ฝึกภาษาอังกฤษให้ปัง ให้เป๊ะ ได้ทั้ง พูด อ่าน เขียน

    อยากเก่งภาษาอังกฤษ ไม่ต้องเสียเงินแพงก็เก่งได้ เพราะยุคนี้เทคโนโลยีพัฒนาไปไกล มีแพลตฟอร์มและเว็บไซต์มากมายที่เปิดสอนภาษาอังกฤษที่มีทั้งเวอร์ชันฟรีและเสียเงิน แต่ได้ผลลัพธ์เกินคาด ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฟัง พูด อ่าน หรือเขียน วันนี้เราได้นำ 5 แพลตฟอร์มที่จะช่วยให้คุณเก่งภาษาอังกฤษได้ง่าย ๆ ผ่านโลกออนไลน์กัน 5 แพลตฟอร์ม/เว็บไซต์ไว้ฝึกภาษาอังกฤษ 1.Jobcadu’s Education Portal : ตัวช่วยที่ครบเครื่อง หากคุณกำลังมองหาคอร์สเรียนที่สามารถนำไปพัฒนาต่อในสายอาชีพหรือเรียนเพื่อพัฒนาตัวเองในด้านต่าง ๆ Online Course ของเรามีคอร์สออนไลน์จากสถาบันชั้นนำมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Udemy Coursera และอื่น ๆ อีกมากมาย 2. แอปและแพลตฟอร์มเรียนภาษาออนไลน์ Duolingo: แอปพลิเคชันเรียนภาษาผ่านเกม ใช้งานง่าย สนุก และเหมาะสำหรับทุกระดับ BBC Learning English: รวมบทเรียนฟรี วิดีโอ และพอดแคสต์ที่เหมาะสำหรับการพัฒนาภาษาในชีวิตประจำวันและการทำงาน TED Talks: ฝึกทักษะการฟังผ่านหัวข้อที่น่าสนใจและได้ความรู้มากมาย Quizlet: เรียนคำศัพท์อย่างมีประสิทธิภาพผ่าน Flashcard และเกมแบบโต้ตอบ Busuu: แอปที่ให้คุณเรียนรู้ภาษาอังกฤษผ่านบทเรียนที่หลากหลาย และมีฟังก์ชันที่ช่วยพัฒนาการออกเสียงให้ถูกต้องได้อีกด้วย Memrise: แอปนี้เน้นการจดจำคำศัพท์ผ่านภาพและเสียงที่น่าสนใจ ช่วยให้คุณจำคำศัพท์ได้นานขึ้น Randall's ESL Cyber Listening Lab: ครอบคลุมหัวข้อต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ทำให้คุณได้ฝึกฟังภาษาอังกฤษในสถานการณ์จริง เเละมีบทเรียนให้เลือกหลายระดับ ตั้งแต่ระดับเริ่มต้นจนถึงระดับสูง 3. ช่อง YouTube สอนภาษาอังกฤษ แพลตฟอร์มที่รวมคอร์สเรียนเนื้อหาฟรีมากมาย ทั้งคอร์สสอนภาษา บทสนทนา และเทคนิคการเรียนภาษาอังกฤษ แนะนำช่องดี ๆ เช่น English Addict with Mr Duncan, BBC Learning English, EnglishbyChris, ครูพี่เเอน, ครูหวาน: English On Air เเละอีกมากมาย 4. พอดแคสต์ หรือเพลงและภาพยนตร์ภาษาอังกฤษ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อยแต่ต้องการฝึกทักษะการฟังและการออกเสียงภาษาอังกฤษ โดยเรียนรู้ผ่านการฟังพอดแคสต์ เช่น All Ears English, Ted Talks Daily, BCC 6 Minutes English, หรือคำนี้ดี ซึ่งการฟังพอดเเคสต์นั้นจะช่วยให้เราฝึกการฟังและสำเนียงได้ทุกที่ทุกเวลา นอกจากนี้ฟังเพลงภาษาอังกฤษและดูภาพยนตร์โดยมี Sub-Title ภาษาอังกฤษ จะช่วยให้คุณคุ้นเคยกับสำเนียงและการใช้ภาษาในชีวิตจริง อาจจะเริ่มจากการฟังเพลงของนักร้องที่ชอบ หรือการดูหนังของนักเเสดงคนโปรด จะช่วยให้เรามีเเรงบันดาลใจในการฝึกภาษาอังกฤษมากขึ้น 5. ฝึกภาษาจากแอปหรือกลุ่มคนต่างชาติ ในโซเซียลมีเดียจะมีกลุ่มที่มีชาวต่างชาติที่อยากฝึกภาษาไทยมากมาย หรือหาเพื่อนต่างชาติมาฝึกพูดคุยด้วยกัน จะช่วยให้คุณได้ฝึกใช้ภาษาอังกฤษในสถานการณ์จริงกับเจ้าของภาษารวมถึงแอปต่าง ๆ ที่ทำให้เราได้ฝึกกับเจ้าของภาษาได้ออนไลน์ เช่น HelloTalk, Tandem หรือ HiNative เคล็ดลับเพิ่มเติมที่จะช่วยให้ฝึกภาษาอังกฤษได้เก่งขึ้น ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน: กำหนดเป้าหมายในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เช่น อยากพูดคุยกับชาวต่างชาติได้คล่องแคล่ว หรืออยากสอบ IELTS ให้ได้คะแนนตามที่ต้องการ ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ: พยายามฝึกภาษาอังกฤษทุกวัน แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ ก็ตาม หาเพื่อนร่วมเรียน: การเรียนรู้ร่วมกับเพื่อนจะช่วยให้คุณมีแรงบันดาลใจและสามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ อย่ากลัวที่จะผิดพลาด: การผิดพลาดเป็นเรื่องปกติ การกล้าพูดและกล้าทำผิดจะช่วยให้คุณพัฒนาภาษาอังกฤษได้เร็วขึ้น การพัฒนาภาษาอังกฤษเป็นสิ่งสำคัญในยุคที่ภาษาเป็นกุญแจสำคัญในโลกการทำงาน แต่ถ้าคุณอยากไปไกลกว่าแค่การใช้ภาษา ลองสำรวจคอร์สเรียนอื่น ๆ ที่สามารถเติมเต็มทักษะในสายอาชีพของคุณได้ และอย่าลืมแวะดู Online Course ที่ Education Portal

    Jan 30, 2025
    Thumbnail for GMAT ข้อสอบวัดระดับที่กำลังได้รับความนิยมในไทยและต่างประเทศในสถานการณ์ปัจจุบัน

    GMAT ข้อสอบวัดระดับที่กำลังได้รับความนิยมในไทยและต่างประเทศในสถานการณ์ปัจจุบัน

    เมื่อพูดถึงยุคสมัยปัจจุบัน ที่การไปศึกษาต่อหรือไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ทำให้มีหลายครอบครัว หรือผู้อ่าน เริ่มมองหาสถาบันศึกษาต่อในระดับปริญญาโท หรือปริญญาทั้งในประเทศหรือต่างประเทศ ไม่เพียงเท่านั้น แต่ละสถาบันมีเงื่อนไขในการรับเข้าศึกษาที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นค่าเทอม, ค่าใช้จ่ายในการเรียน รวมไปถึงผลคะแนนที่ต้องใช้ในการยื่นเพื่อผ่านเกณฑ์รับเข้าสมัคร ซึ่งวันนี้เราจะมากล่าวถึงข้อสอบวัดระดับในการศึกษาต่อ ซึ่งมีผลบังคับใช้ในการศึกษาต่อทั้งในไทยและต่างประเทศในปัจจุบันค่อนข้างเป็นที่แพร่หลายมากขึ้น ซึ่งนั่นคือ GMAT GMAT คืออะไร GMAT (อ่านว่า จี-แมท) ย่อมาจาก Graduate Management Admission Test คือ ข้อสอบวัดสามารถของผู้สนใจเข้าศึกษาต่อปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจ ประเทศสหรัฐอเมริกา และ คะแนนดังกล่าวยังสามารถใช้ยื่นเข้า MBA ทุกมหาวิทยาลัยในไทย เช่น MBA CU , MBA TU , NIDA , SASIA , MBA KU สาเหตุที่ GMAT ถือเป็นคะแนนที่จำเป็นต้องสอบเพื่อยื่นเข้า เพราะกว่า 7,000 สถาบันการศึกษาในต่างประเทศ ให้ความเชื่อมั่นในเกณฑ์การวัดผลของ GMAT ที่วัดความพร้อมของผู้สมัครถึงศักยภาพในการเรียนด้านบริหารธุรกิจและความสามารถในการจัดการปัญหาซับซ้อนได้ทั้งเชิงตรรกะ คำนวณ วิเคราะห์และตีความอย่างเข้าใจ ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญในการใช้ในธุรกิจ และเรียน MBA ซึ่งต้องยอมรับตามตรงว่า ข้อสอบค่อนข้างยาก เพราะมีอัตราการสอบเข้าต่อปีเป็นจำนวนมาก และข้อสอบ GMAT มีหลายพาร์ต ซึ่งผู้เข้าสอบมีเวลาสอบทั้งหมดถึงประมาณ 3 ชั่วโมง การแบ่งเวลาทำข้อสอบแต่ละพาร์ทจึงเป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝนและวางแผนให้ดี ดังนั้นการเตรียมตัวให้พร้อมจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ GMAT มีกี่พาร์ต ออกสอบอะไรบ้าง อัพเดทล่าสุด ข้อสอบ GMAT มีด้วยกันทั้งหมด 64 ข้อ ภายในเวลา 2 ชั่วโมง 15 นาที , แบ่งเป็น 3 พาร์ท ได้แก่ Part 1 : Quantitative Reasoning: วัดความสามารถคณิตศาสตร์และเหตุผลเชิงปริมาณ จำนวน 21 ข้อ, 45 นาที Part 2 : Verbal Reasoning: วัดทักษะการอ่าน การทำความเข้าใจ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงภาษา จำนวน 23 ข้อ, 45 นาที Part 3 : Data Insights: วัดความสามารถในการวิเคราะห์ตีความข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น กราฟ ตาราง และข้อมูลหลายแหล่ง จำนวน 20 ข้อ, 45 นาที GMAT เสียค่าสอบเท่าไหร่ จัดสอบที่ไหน ค่าสอบ (อัพเดทล่าสุด) : แบบ On-site: 275 USD หรือ 9,482.82 บาท, แบบ Online: 300 USD หรือ 10,347.00 บาท / สอบได้คนละ 5 ครั้งต่อปีเท่านั้น และรอผลคะแนนสอบภายใน 2 สัปดาห์หลังสอบ สถานที่สอบ: ผู้สอบสามารถเลือกได้ 2 แบบระหว่าง สอบแบบ Online หรือ On-site โดย อัพเดทล่าสุด ปี2025 ในประเทศไทย สำหรับการสอบแบบ On-site มีสถานที่เปิดสอบ 2 จังหวัดด้วยกันคือ 1.จังหวัดกรุงเทพมหานคร Pearson Professional Centers : ชั้น 10 ห้อง 1010 อาคาร Bangkok Business (ตึก BB / Emirates) เลขที่ 54 ถนน สุขุมวิท 21 (อโศก) กรุงเทพฯ Paradigm Education 2. จังหวัดเชียงใหม่ A&A Neo Technology: 248/55-56 ถนน มณีนพรัตน์ ตำบล ศรีภูมิ อำเภอ เมือง จังหวัด เชียงใหม่ ตัวอย่างข้อสอบ GMAT 1.(Quantitative Part) If r and s are positive integers such that (2^r)(4^s) = 16, then 2r + s =? (A) 2 (B) 3 (C) 4 (D) 5 (E) 6 [ข้อนี้ตอบ (D) 5 เพราะมีกรณีเดียวที่ทำให้ (2^r)(4^s) = 16 โดยที่ r และ s เป็น positive integers นั่งคือ r=2 และ s=1 (โดยที่ 0 ไม่ใช่ positive integer)] 2. (Verbal Part) Since the deregulation of airlines, delays at the nation's increasingly busy airports have increased by 25 percent. To combat this problem, more of the takeoff and landing slots at the busiest airports must be allocated to commercial airlines. Which of the following, if true, casts the most doubt on the effectiveness of the solution proposed above? (A) The major causes of delays at the nation's busiest airports are bad weather and overtaxed air traffic control equipment. (B) Since airline deregulation began, the number of airplanes in operation has increased by 25 percent. (C) Over 60 percent of the takeoff and landing slots at the nation's busiest airports are reserved for commercial airlines. (D) After a small mid western airport doubled its allocation of takeoff and landing slots, the number of delays that were reported decreased by 50 percent. (E) Since deregulation the average length of delay at the nation's busiest airports has doubled. ตอบ (A) คะแนนเฉลี่ยยื่น GMAT และแนะนำมหาลัยที่สามารถใช้ยื่นได้ โดยทั่วไปแล้วหลักสูตร MBA ชั้นนำกำหนดให้มีคะแนน GMAT ระหว่าง 550 ถึง 730 คะแนน มหาลัยที่ใช้คะแนน GMAT เช่น Harvard, Stanford และ Wharton มีคะแนน GMAT เฉลี่ยที่กำหนดไว้ที่ประมาณ 730-735 คะแนน ข้อแตกต่างของ GMAT กับ GRE จุดประสงค์ที่ใช้: GMAT (Graduate Management Admission Test) เน้นใช้สำหรับการสมัครเข้าเรียนในหลักสูตรบริหารธุรกิจ (MBA) หรือหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับการจัดการ GRE (Graduate Record Examination) ใช้สำหรับสมัครเรียนในหลักสูตรบัณฑิตศึกษาหลากหลายสาขา รวมทั้ง MBA, ปริญญาโท และ ปริญญาเอก ซึ่งคะแนนสอบ GRE มีความยืดหยุ่นกว่า GMAT ราคา (In general update 2025): GMAT : $275 หรือ 9,482.82 บาท GRE : $220 หรือ 7,585.60 บาท โครงสร้างของข้อสอบ (อัพเดท 2025): GMAT (คะแนนรวมทั้งหมด 205-805 คะแนน) มีทั้งหมด 3 ส่วน ระยะเวลา 2 ชั่วโมง 15 นาที ประกอบด้วย Quantitative Reasoning วัดความสามารถคณิตศาสตร์และเหตุผลเชิงปริมาณ Verbal Reasoning วัดทักษะการอ่าน การทำความเข้าใจ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงภาษา Data Insights วัดความสามารถในการวิเคราะห์ตีความข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เช่น กราฟ ตาราง และข้อมูลหลายแหล่ง GRE (คะแนนรวมทั้งหมด 260-340 คะแนน) มีทั้งหมด 4 ส่วน ระยะเวลา 3 ชั่วโมง 45นาที ประกอบด้วย Analytical Writing ทดสอบการเขียนเชิงวิเคราะห์ Verbal Reasoning ทดสอบภาษาอังกฤษ Quantitative ทดสอบคณิตศาสตร์ Experimental/research section เขียนบทความ ความยาก: GMAT ยากกว่า GRE เนื่องจาก GMAT มีความเฉพาะเจาะจงมากกว่าทางสาขาธุรกิจ(MBA) และการจัดการ หากกำลังมองหามหาลัยในการเรียนต่อ MBA หรือคณะ หลักสูตรอื่น ๆ เพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ Education Portal

    Jan 21, 2025
    Thumbnail for อยากไปเรียนต่อ/ทำงานที่ออสเตรเลีย  ต้องทำยังไงบ้าง เรามีคำตอบ

    อยากไปเรียนต่อ/ทำงานที่ออสเตรเลีย ต้องทำยังไงบ้าง เรามีคำตอบ

    การไปเรียนต่อที่ออสเตรเลียเป็นความฝันของใครหลายคน ด้วยคุณภาพการศึกษาที่เป็นที่ยอมรับในระดับโลก สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยเเละน่าอยู่ วัฒนธรรมที่หลากหลาย และโอกาสทางการงานที่เปิดกว้าง อย่างไรก็ตาม การวางแผนและเตรียมตัวอย่างรอบคอบเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลือกหลักสูตรจนถึงการวางเเผนในการใช้ชีวิต ทาง Jobcadu เลยอยากมาเเชร์ข้อมูลในการเตรียมตัวไปเรียนหรือไปทำงานที่ออสเตรเลียที่คาดว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ยังไม่รู้จะเริ่มเตรียมตัวอย่างไร 1. การเลือกมหาวิทยาลัยและหลักสูตรในออสเตรเลีย มหาวิทยาลัยชั้นนำในออสเตรเลีย ในออสเตรเลียมีมหาวิทยาลัยให้เลือกมากมาย ที่ทั้งดี มีคุณภาพ และติดอันดับโลกหลายแห่ง ซึ่งแตละมหาวิทยาลัยก็มีจุดเด่นเฉพาะตัว โดยมีตัวอย่างมหาวิทยาลัยดังนี้ ออสเตรเลียมีมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับโลกหลายแห่ง ซึ่งล้วนมีจุดเด่นเฉพาะตัว เช่น University of Melbourne: หนึ่งในมหาวิทยาลัยชั้นนำที่เก่าแก่ที่สุดในออสเตรเลีย มีชื่อเสียงในด้านการแพทย์ กฎหมาย ธุรกิจ และศิลปศาสตร์ หลักสูตรเน้นการวิจัยและพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ Australian National University (ANU): ตั้งอยู่ที่ Canberra มีความโดดเด่นด้านการวิจัยและการศึกษารัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ University of Sydney: มหาวิทยาลัยที่มีความหลากหลายในด้านวิชาการ มีชื่อเสียงด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ สถาปัตยกรรม และศิลปะการแสดง University of New South Wales (UNSW): เป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีและวิศวกรรมศาสตร์ โดยเฉพาะสาขาพลังงานทดแทนและวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ 2. ค่าเล่าเรียนและระยะเวลาในการเรียนในออสเตรเลีย ระดับปริญญาตรีในออสเตรเลีย ค่าเล่าเรียน: ประมาณ 20,000 – 45,000 AUD ต่อปี (ประมาณ 424,800 - 955,800 บาท) ขึ้นอยู่กับสาขาและมหาวิทยาลัย ระยะเวลา: ปกติ 3-4 ปี บางสาขา เช่น แพทยศาสตร์ อาจใช้เวลา 5-6 ปี ระดับปริญญาโทในออสเตรเลีย ค่าเล่าเรียน: ประมาณ 22,000 – 50,000 AUD ต่อปี (ประมาณ 472,300 - 1,073,000 บาท) โดยหลักสูตร MBA และวิทยาศาสตร์อาจมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า ระยะเวลา: 1-2 ปี โดยขึ้นอยู่กับประเภทของหลักสูตร เช่น หลักสูตรเน้นวิจัยหรือการเรียนการสอน เเนะนำมหาวิทยาลัยเเละหลักสูตรที่น่าสนใจสำหรับเรียนต่อปริญญาโทในออสเตรเลีย 1. The University of Melbourne หลักสูตรเด่น: Master of Business Administration : หลักสูตร MBA ของที่นี่ติดอันดับท็อป 3 ในเอเชียแปซิฟิก ค่าเล่าเรียน 112,500 AUD (ประมาณ 2,415,300 บาท) ระยะเวลา: 2 ปี 2. The University of New South Wales (UNSW Sydney) หลักสูตรเด่น: Master of Commerce ค่าเล่าเรียน 101,000 AUD (ประมาณ 2,168,100 บาท) ระยะเวลา: 1 ปี 7 เดือน 3. The University of Sydney หลักสูตรเด่น: Master of Management ค่าเล่าเรียน: 47,500 AUD (ประมาณ 1,019,600 บาท) ระยะเวลา: 1 ปี 3 เดือน 4.Australian National University (ANU) หลักสูตรเด่น: หลักสูตรปริญญาโทด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (Master of International Relations) ค่าเล่าเรียน: 53,700 AUD (ประมาณ 1,152,700 บาท) ระยะเวลา: 2 ปี 5. Monash University หลักสูตรเด่น: Master of Business Analytics ค่าเล่าเรียน: 37,100 AUD (ประมาณ 796,400 บาท) ระยะเวลา: 1.5-2 ปี หลักสูตรของทั้งท็อป 5 มหาวิทยาลัยนี้ เป็นเพียงหลักสูตรที่น่าสนใจ มีชื่อเสียง มีคนลงเรียนต่อปีในจำนวนมาก เเต่หากเพื่อนๆสนใจในหลักสูตรหรือสาขาวิชาอื่น สามารถเข้าไปดูได้ในเว็บไซต์ของเเต่ละมหาวิทยาลัยได้เลย 3.ทุนการศึกษาในการเรียนต่อที่ออสเตรเลีย สำหรับคนที่กำลังมองหาทุนการศึกษา ออสเตรเลียมีทุนการศึกษาหลากหลายรูปแบบ เช่น: 1.Australia Awards Scholarships: ทุนจากรัฐบาลออสเตรเลียที่ครอบคลุมค่าเล่าเรียนและค่าครองชีพ 2.Destination Australia Scholarship: เป็นทุนที่สนับสนุนให้ทั้งนักเรียนออสเตรเลียเเละนักเรียนต่างชาติไปศึกษานอกเขตเมืองใหญ่ของออสเตรเลียหรือมหาวิทยาลัยท้องถิ่นของออสเตรเลีย 3.ทุนมหาวิทยาลัย: หลายมหาวิทยาลัยมีทุนลดค่าเล่าเรียนหรือทุนสำหรับนักศึกษาต่างชาติที่มีผลการเรียนดี เช่น Vice Chancellor’s International Scholarships: มอบโดยมหาวิทยาลัยชั้นนำ เช่น University of Melbourne, University of Canberra, Western Sydney University เเละอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งครอบคลุมค่าเรียน 50% หรือเต็มจำนวน Charles Darwin University โดยมีมูลค่าทุนการศึกษา 30% ตลอดหลักสูตร Australian National University: ANU Chancellor’s International Scholarship (South East Asia) มอบทุนส่วนลด 25% – 50% ของค่าเรียน (จำนวน 200 ทุน) 4. ค่าใช้จ่ายที่ต้องเตรียมในการเรียนต่อที่ออสเตรเลีย 1.ค่าครองชีพโดยเฉลี่ย ออสเตรเลียเป็นประเทศที่ค่าครองชีพค่อนข้างสูง ดังนั้นการวางแผนด้านการเงินเป็นสิ่งจำเป็น ที่พัก: นักศึกษาสามารถเลือกพักในหอพักมหาวิทยาลัย (ประมาณ 1,200 – 2,500 AUD หรือ 25,000- 53,000 บาทต่อเดือน) หรือหาที่พักเช่าเองในเมืองใหญ่ เช่น ซิดนีย์และเมลเบิร์น อาหารและของใช้ส่วนตัว: ค่าใช้จ่ายประมาณ 300 – 1000 AUD ต่อเดือน (เเล้วเเต่บุคคล) ขนส่งสาธารณะ: ค่าเดินทางอยู่ที่ประมาณ 150 – 300 AUD ต่อเดือน โดยบางรัฐมีส่วนลดสำหรับนักศึกษา 2.ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด ประกันสุขภาพนักศึกษา (OSHC-Overseas Student Health Cover): เป็นข้อบังคับสำหรับนักศึกษาต่างชาติ โดยมีค่าใช้จ่ายประมาณ 500 – 700 AUD ต่อปี ค่าหนังสือและอุปกรณ์การเรียน: 500 – 1,000 AUD ต่อปี 5. ผลสอบและเอกสารที่ต้องเตรียมก่อนจะไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย 1.ผลสอบที่จำเป็น IELTS: คะแนนขั้นต่ำ 6.0-7.0 ขึ้นอยู่กับหลักสูตร TOEFL: คะแนนขั้นต่ำ 79-100 GMAT/GRE: สำหรับหลักสูตรปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจหรือวิทยาศาสตร์ 2.เอกสารที่ต้องจัดเตรียม ใบรับรองผลการศึกษา (Transcript) พร้อมคำแปลภาษาอังกฤษ Statement of Purpose (SOP) หรือจดหมายแนะนำตัวที่อธิบายเหตุผลและเป้าหมายในการเรียน Letter of Recommendation (LOR): จดหมายรับรองจากอาจารย์ที่ปรึกษา สำเนาหนังสือเดินทางและวีซ่า เอกสารทางการเงิน เช่น ใบรับรองจากธนาคารเพื่อยืนยันความสามารถในการชำระค่าเล่าเรียน 6. ข้อดีของการจบการศึกษาจากออสเตรเลีย 1.โอกาสการทำงานในไทย นักศึกษาที่จบจากออสเตรเลียได้รับการยอมรับในตลาดแรงงานไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต้องการทักษะเฉพาะ เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ การแพทย์ และพลังงาน 2.โอกาสการทำงานในออสเตรเลีย นักศึกษาต่างชาติสามารถขอวีซ่าทำงานหลังเรียนจบ (Temporary Graduate Visa) ซึ่งช่วยให้สามารถหาประสบการณ์การทำงานในสายอาชีพของตนได้ หากมีประสบการณ์และคุณสมบัติตรงตามที่กำหนด นักศึกษายังมีโอกาสยื่นขอพำนักถาวร (Permanent Residency) ซึ่งเป็นเส้นทางสู่การเป็นพลเมืองออสเตรเลีย 3.ประสบการณ์ระหว่างประเทศ การเรียนในออสเตรเลียช่วยพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษและความสามารถในการปรับตัวในสภาพแวดล้อมที่หลากหลายทางวัฒนธรรม การมีเครือข่ายเพื่อนจากทั่วโลกช่วยสร้างโอกาสในการทำงานและพัฒนาธุรกิจในอนาคต 7.การขอวีซ่า การเดินทางสู่ออสเตรเลียจำเป็นต้องมีวีซ่า ซึ่งแต่ละประเภทมีจุดประสงค์และเงื่อนไขที่แตกต่างกัน มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับวีซ่าที่คนไทยสามารถขอได้ วิธีการเตรียมตัว และขั้นตอนการยื่นขอวีซ่ากัน ประเภทของวีซ่าที่คนไทยสามารถขอได้ วีซ่าชั่วคราว (Non-Immigrant Visa) 1. วีซ่านักเรียน (Student Visa - ประเภท 500) สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาในออสเตรเลีย ระยะเวลาพำนัก: ขึ้นอยู่กับระยะเวลาของหลักสูตร ค่าใช้จ่าย: ประมาณ AUD 650 เอกสารที่ต้องเตรียม: หนังสือเดินทาง, จดหมายตอบรับจากสถาบันการศึกษา (Confirmation of Enrolment: CoE), หลักฐานการเงิน (เช่น ค่าใช้จ่ายรายปีและค่าเล่าเรียน), ประกันสุขภาพสำหรับนักเรียน (Overseas Student Health Cover: OSHC) 2. วีซ่าทำงานและท่องเที่ยว (Work and Holiday Visa - ประเภท 462) สำหรับผู้ที่มีอายุ 18-30 ปี ต้องการทำงานระยะสั้นและท่องเที่ยว โดยเปิดรับสมัครปีละครั้งและยื่นสมัครทางออนไลน์เท่านั้น ระยะเวลาพำนัก: สูงสุด 12 เดือน ค่าใช้จ่าย: ประมาณ AUD 510 เงื่อนไขพิเศษ: มีหลักฐานแสดงทักษะภาษาอังกฤษ (คนส่วนใหญ่นิยมใช้ IELTS หรือ TOEFL), IELTS ประเภทใดก็ได้ คะแนนไม่ต่ำกว่า 4.5 ในทุกทักษะ มีอายุไม่เกิน 1 ปี, TOEFL iBT มีอายุไม่เกิน 1 ปี คะแนนover all ไม่ต่ำกว่า 32, PTE Academic คะแนน over all ไม่ต่ำกว่า 30, Cambridge English: CAE คะแนน over all ไม่ต่ำกว่า 147, ต้องมีเงินสำรองอย่างน้อย AUD 5,000 วิธีการเตรียมตัวก่อนยื่นขอวีซ่า 1. ศึกษาข้อมูลและเลือกประเภทวีซ่า: เข้าไปยังเว็บไซต์ของกระทรวงกิจการภายในประเทศออสเตรเลีย (Department of Home Affairs) เพื่อดูรายละเอียดของวีซ่าที่เหมาะสมกับคุณ 2. เตรียมเอกสารให้ครบถ้วน: ตรวจสอบรายการเอกสารที่จำเป็นและจัดเตรียมให้ครบ เช่น หนังสือเดินทาง หรือ หลักฐานทางการเงิน 3. ยื่นคำร้องออนไลน์ สมัครผ่านระบบออนไลน์ของออสเตรเลีย (ImmiAccount) อัปโหลดเอกสารและชำระค่าธรรมเนียม เข้ารับการตรวจสุขภาพ (ถ้าจำเป็น) ผู้ยื่นบางประเภทต้องเข้ารับการตรวจสุขภาพตามข้อกำหนดของออสเตรเลีย 4. รอผลการพิจารณา: ระยะเวลาการพิจารณาขึ้นอยู่กับประเภทของวีซ่า เช่น วีซ่าท่องเที่ยวอาจใช้เวลา 15-30 วันทำการ การเรียนต่อในออสเตรเลียเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าทั้งในด้านการศึกษาและการพัฒนาตนเอง ด้วยมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง หลักสูตรที่ครอบคลุม และโอกาสในการทำงานการเตรียมตัวที่ดีจะช่วยให้คุณก้าวไปถึงเป้าหมายและเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในอนาคต การเดินทางสู่ออสเตรเลียสำหรับคนไทยนั้นไม่ยากหากมีการเตรียมตัวอย่างเหมาะสม การเลือกประเภทวีซ่าที่เหมาะสมกับจุดประสงค์ของการเดินทางและการเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด และหากใครกำลังมองหลักสูตรต่าง ๆ จากสถาบันชั้นนำต่างประเทศทั้งประเทศออสเตรเลียเเละอื่นๆสามารถเข้ามาดูได้ที่ Education Portal

    Jan 21, 2025
    Thumbnail for คู่มือเรียนต่อ MBA | MBA คืออะไร สำคัญอย่างไร ค่าเรียนเเพงไหม?

    คู่มือเรียนต่อ MBA | MBA คืออะไร สำคัญอย่างไร ค่าเรียนเเพงไหม?

    MBA หรือ Master of Business Administration เป็นระดับการศึกษาที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกออกแบบมาเพื่อพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับอาชีพด้านธุรกิจและการจัดการ นอกเหนือจากวงการธุรกิจแล้ว MBAยังสามารถเตรียมความพร้อมให้กับเราในบทบาทผู้นำในภาคส่วนต่างๆ เช่น การบริหารธุรกิจ การศึกษา และเทคโนโลยี สำหรับคนไทยเเล้ว การเรียนต่อ MBA ไม่ใช่เพียงแค่การได้ใบปริญญา แต่ยังเป็นโอกาสในการได้รับประสบการณ์ที่มากขึ้น ได้สร้างคอนเนคชั่น และเพิ่มโอกาสในการทำงาน ส่งเสริมการคิดเชิงกลยุทธ์ สามารถเป็นผู้นำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทักษะในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในระดับสากล ทาง Jobcadu เลยอยากมาเเชร์ประโยชน์ของการเรียนต่อ MBA เเละเเนะนำหลักสูตรที่น่าสนใจ เผื่อเป็นแนวทางให้กับคนที่มีแพลนจะเรียนต่อปริญญาโทในหลักสูตร MBA เคล็ดลับในการเข้าศึกษาต่อหลักสูตร MBA 1.วางแผนการเรียนต่อ MBA ล่วงหน้า เลือกหลักสูตรที่เหมาะสม: ตัดสินใจว่าคุณต้องการเรียน MBA แบบเต็มเวลา พาร์ทไทม์ ออนไลน์ หรือสำหรับผู้บริหาร ตามเป้าหมายอาชีพและไลฟ์สไตล์ของคุณ 2.เตรียมตัวสำหรับการสอบเข้า MBA หลักสูตร MBA ส่วนใหญ่กำหนดให้มีคะแนนสอบมาตรฐาน เช่น GMAT หรือ GRE มุ่งเป้าไปที่คะแนนที่แข่งขันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับหลักสูตรชั้นนำของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ สำหรับหลักสูตรต่างประเทศ การสอบวัดความสามารถทางภาษาอังกฤษ เช่น IELTS หรือ TOEFL เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับหลักสูตรต่างประเทศ เพื่อนำไปใช้ยื่นสมัครสอบหรือเข้าเรียนต่อ 3.เตรียมตัวในการสมัคร MBA ให้พร้อม เรซูเม่: โชว์ทักษะและประสบการณ์ที่โดดเด่น บทความเเนะนำตัว (SOP): เขียนเรียงความที่น่าสนใจโดยอธิบายเป้าหมายของคุณและเหตุผลที่คุณเหมาะสมกับหลักสูตร จดหมายรับรอง: ขอคำรับรองจากหัวหน้างานหรืออาจารย์ที่ปรึกษาที่สามารถรับรองทักษะและลักษณะนิสัยของคุณ 4.เตรียมความพร้อมในด้านการเงิน หลักสูตร MBA อาจมีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้นการวางแผนงบประมาณเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากลองทุนดูว่ามหาลัยไหนที่เราสนใจมีทุนการศึกษาให้หรืออาจจะเป็นการขอการสนับสนุนจากครอบครัว 5 อันดับหลักสูตร MBA ชั้นนำในเอเชีย 1.NUS Business School – National University of Singapore (NUS) ค่าเล่าเรียน: 87,000 SGD (ประมาณ 2,203,000 บาท) ระยะเวลา: 17 เดือน จุดเด่น: ได้รับการจัดอันดับเป็นหนึ่งในหลักสูตร MBA ชั้นนำของเอเชีย หลักสูตร MBA ของ NUS มอบประสบการณ์การเรียนรู้แบบไดนามิกและหลากหลายโดยเน้นการพัฒนาทัศนคติทางธุรกิจระดับโลก 2.Tsinghua University, School of Economics and Management: Tsinghua Global MBA Program ค่าเล่าเรียน: 198,000 RMB (ประมาณ 939,000 บาท) ระยะเวลา: 2 ปี จุดเด่น: หลักสูตร MBA ของมหาวิทยาลัยซิงหัวโดดเด่นด้วยการผสมผสานการเรียนรู้เชิงทฤษฎีที่เข้มข้นกับประสบการณ์จริงในด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีและการประกอบธุรกิจ 3.Nanyang Business School, Singapore ค่าเล่าเรียน: 75,000 SGD (ประมาณ 1,899,100 บาท) ระยะเวลา: 1 ปี จุดเด่น: หลักสูตร MBA ของ Nanyang Business School เน้นการพัฒนาผู้เรียนให้เป็นนักคิดเชิงนวัตกรรมที่มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนด้วยวิธีการที่สร้างสรรค์ 4.China Europe International Business School (CEIBS) ค่าเล่าเรียน: 488,000 RMB (ประมาณ 2,314,400 บาท) ระยะเวลา: 12-16 เดือน จุดเด่น: CEIBS มอบประสบการณ์การเรียนรู้ MBA เพื่อพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำระดับโลก ผสมผสานการเรียนรู้เชิงทฤษฎีที่เข้มข้นกับความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 5. SMU (Lee Kong Chian School of Business) , Singapore ค่าเล่าเรียน: 81,750 SGD (ประมาณ 2,070,000 บาท) ระยะเวลา: 15-20 เดือน จุดเด่น: หลักสูตร MBA ของ SMU มุ่งพัฒนาผู้นำธุรกิจที่มีความรอบรู้และสามารถปรับตัวได้อย่างคล่องตัวด้วยหลักสูตรที่เข้มข้นและเน้นการมีส่วนร่วมแนวทางการเป็นผู้นำ SMU ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมนวัตกรรมและความสามารถในการปรับตัวเพื่อเตรียมความพร้อมให้นักศึกษาประสบความสำเร็จในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน หลักสูตรเน้นการเรียนรู้แบบโต้ตอบเพื่อให้นักศึกษาได้รับความรู้เชิงลึกและประสบการณ์จริง บอกต่อ 5 หลักสูตร MBA ที่น่าสนใจในประเทศไทย 1. สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์เเห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Sasin School of Management, Chulalongkorn University) ค่าเล่าเรียน: ประมาณ 1,600,000 บาท ระยะเวลาหลักสูตร: 12 เดือน จุดเด่น: หลักสูตร MBA ของศศินทร์ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติด้วยการเน้นย้ำเรื่องการเป็นผู้ประกอบการและการ พัฒนาความเป็นผู้นำ หลักสูตรนี้มอบการผสมผสานระหว่างความเข้มข้นทางวิชาการและความเข้าใจในธุรกิจเชิงปฏิบัติ เตรียมความพร้อมให้นักศึกษาก้าวสู่การเป็นผู้นำในสภาพแวดล้อมธุรกิจระดับโลก 2. มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ - M.B.A. Fast Track (Assumption University) ค่าเล่าเรียน: ประมาณ 500,000 บาท ระยะเวลาหลักสูตร: 1.5 - 2 ปี จุดเด่น: หลักสูตร Fast Track MBA ของอัสสัมชัญมุ่งเน้นเฉพาะด้านการตลาด การเงิน และการจัดการทั่วไป หลักสูตรนี้ออกแบบมาสำหรับมืออาชีพที่ต้องการเร่งความก้าวหน้าในอาชีพด้วยตารางเรียนที่ยืดหยุ่นและหลักสูตรที่เน้นการประยุกต์ใช้งานจริง เหมาะสำหรับผู้ที่ทำงานไปด้วย 3. Thammasart Business School: MBA ค่าเล่าเรียน: ประมาณ 361,420 บาท ระยะเวลาหลักสูตร: 2 ปี จุดเด่น: หลักสูตร MBA ของธรรมศาสตร์ได้รับการยกย่องในด้านหลักสูตรที่เข้มข้น ผสมผสานความเป็นเลิศทางวิชาการกับการเน้นย้ำเรื่องความเป็นผู้นำที่มีจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม หลักสูตรนี้เสริมสร้างทักษะและความรู้ให้นักศึกษาสามารถจัดการกับความท้าทายทางธุรกิจที่ซับซ้อน พร้อมทั้งปลูกฝังความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและรับผิดชอบต่อสังคม 4. สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) - International MBA (National Institute of Development Administration) ค่าเล่าเรียน: ประมาณ 358,400 บาท ระยะเวลาหลักสูตร: 22 เดือน จุดเด่น: หลักสูตร International MBA ของ NIDA มุ่งเน้นการบริหารรัฐกิจและการจัดการการพัฒนา หลักสูตรนี้เหมาะสำหรับมืออาชีพที่ต้องการสร้างผลกระทบในภาครัฐและเอกชนด้วยการเน้นย้ำเรื่องความเป็นผู้นำและการคิดเชิงกลยุทธ์ 5. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี: หลักสูตร MBA ภาษาอังกฤษ (Chulalongkorn University – Chulalongkorn Business School) ค่าเล่าเรียน: ประมาณ 498,500 บาท ระยะเวลาหลักสูตร: 2 ปี จุดเด่น: หลักสูตร MBA ภาคภาษาอังกฤษของจุฬาฯ เน้นการประยุกต์ใช้งานจริงและเตรียมความพร้อมให้นักศึกษาสำหรับบทบาทผู้นำในโลกที่เชื่อมโยงกันมากขึ้นเรื่อยๆ ควรทำงานต่างประเทศหรือกลับมาทำงานในประเทศไทยหลังจบ MBA? ข้อดีของการทำงานต่างประเทศ เงินเดือนสูงกว่า: อุตสาหกรรมบางประเภทในประเทศ เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง หรือสหรัฐอเมริกา มีฐานเงินเดือนที่ค่อนข้างสูง ได้รับประสบการณ์ที่หลากหลาย: ได้รับประสบการณ์ในตลาดต่างประเทศ โอกาสในการสร้างเครือข่าย: เพิ่มโอกาสในการสร้างคอนเนคชันกับผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายอุตสาหกรรม ข้อดีของการกลับมาทำงานในประเทศไทย ตำแหน่งผู้นำ: บริษัทไทยและบริษัทข้ามชาติหลายแห่งในประเทศไทยให้ความสำคัญกับผู้สมัครที่มีประสบการณ์สูงและจบหลักสูตร MBA ค่าครองชีพต่ำกว่า: เมื่อเทียบกับเมืองใหญ่ระดับโลก โอกาสในการเริ่มต้นธุรกิจ: ใช้ MBA ของคุณในการเปิดธุรกิจของคุณเองในประเทศไทย เส้นทางอาชีพหลังจบ MBA อาชีพยอดนิยม การเงิน (Finance): ธุรกิจการลงทุน การให้คำปรึกษาทางการเงิน วาณิชธนกร (Investment banker) และบทบาทด้านการเงินขององค์กร การตลาด (Marketing): การจัดการแบรนด์ การตลาดดิจิทัล หรือการวิจัยตลาด ฝ่ายหัวหน้าผลิตภัณฑ์ (Product) : ผู้ดูแลผลิตภัณฑ์ ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ Product Manager การให้คำปรึกษา (Consultant): บทบาทที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ การดำเนินงาน หรือการจัดการ ผู้ประกอบการ (Entrepreneur): เริ่มต้นธุรกิจของคุณเองหรือเข้าร่วมกับสตาร์ทอัพ ตำแหน่งผู้นำ (Leader and Management): ตำแหน่ง เช่น CEO, COO หรือกรรมการผู้จัดการ เงินเดือนเฉลี่ย ในประเทศไทย: ผู้สำเร็จการศึกษา MBA สามารถคาดหวังเงินเดือนเริ่มต้นระหว่าง 50,000-150,000 บาทต่อเดือน ขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรม ต่างประเทศ: เงินเดือนสามารถอยู่ระหว่าง 150,000-500,000 บาทต่อเดือนในประเทศ เช่นสิงคโปร์ ฮ่องกง หรือสหรัฐอเมริกา MBA เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจเเละคุ้มค่าที่จะเรียน เหมาะสำหรับคนที่ต้องการพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำไปจนถึงการเปิดโอกาสสู่งานที่มีรายได้ดี อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจเรียนต่อ MBA ควรสอดคล้องกับเป้าหมายอาชีพ สถานการณ์ทางการเงินและเป้าหมายในระยะยาว ไม่ว่าคุณจะเลือกทำงานต่างประเทศหรือกลับมาทำงานในประเทศไทย การจบ MBA ก็สามารถสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับอาชีพของเราได้ และหากใครกำลังมองหาหลักสูตร MBA หรือหลักสูตรต่าง ๆ จากสถาบันชั้นนำต่างประเทศสามารถเข้ามาดูได้ที่ Education Portal

    Jan 14, 2025
    Thumbnail for Coursera ราคาเท่าไหร่ ทำไมคนถึงนิยมลงเรียนคอร์สที่นี่

    Coursera ราคาเท่าไหร่ ทำไมคนถึงนิยมลงเรียนคอร์สที่นี่

    Coursera คืออะไร Coursera เป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ระดับโลกที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2012 โดยมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้คนทั่วโลกเข้าถึงการศึกษาคุณภาพสูงได้อย่างง่ายดาย ซึ่งในปัจจุบัน Coursera ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยและองค์กรชั้นนำกว่า 200 แห่งทั่วโลก เช่น มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยมิชิแกน และบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ เช่น Google และ IBM เพื่อนำเสนอคอร์สเรียนที่หลากหลาย นอกจากนั้นยังมี่คอร์สที่ครอบคลุมหลากหลายสาขาวิชา เช่น วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ธุรกิจ การตลาด และ Data Scientist ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนคอร์สที่ตรงกับความสนใจและเป้าหมายจองตัวเองได้เลย Coursera ราคาเท่าไหร่ Coursera มีรูปแบบการชำระเงินที่หลากหลาย เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้เรียน Single learning program : คอร์สนี้จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 49 - 79 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน(ประมาณ 1,600 บาท ถึง 2,700 บาท ) โดยจะเรียนได้แค่หัวข้อเดียวหรือทักษะเดียวในคอร์สนั้น ๆ พร้อมใบประกาศนียบัตร ถ้าจะเรียนเพิ่มต้องจ่ายเพิ่ม Coursera Plus Monthly : คอร์สนี้จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 59 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน(ประมาณ 1,800 บาท) โดยจะเข้าถึงคอร์สเรียนทั้งหมดได้ จากบริษัทและมหาลัยชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น Google, Meta และรับใบประกาศนียบัตรได้ไม่จำกัด Coursera Plus Annual : คอร์สนี้จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 399 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ประมาณ 14,000 บาท) เหมาะสำหรับคนที่จะลงเรียนระยะยาว หรือเรียนตอนไหนก็ได้ในปีนั้น ๆ Coursera คุ้มไหม มีฟรีไหม Coursera มีตัวเลือกการเรียนรู้ฟรีและมีค่าใช้จ่าย เรียนฟรี (Audit): ผู้เรียนสามารถเข้าถึงเนื้อหาคอร์สได้ฟรี แต่ไม่สามารถทำแบบทดสอบหรือรับใบรับรองได้ คอร์สฟรีพร้อมใบรับรอง: บางคอร์สมีการให้ทุนการศึกษา (Financial Aid) ซึ่งผู้เรียนสามารถสมัครเพื่อรับการเรียนฟรีพร้อมใบรับรอง การลงทุนใน Coursera ถือว่าคุ้มค่ามาก ๆ เนื่องจากผู้เรียนสามารถเข้าถึงคอร์สคุณภาพสูงจากมหาวิทยาลัยและองค์กรชั้นนำทั่วโลก โดยจ่ายแบบบุฟเฟต์ (อยู่ที่ความขยันเรียนแล้วล่ะ) Coursera สมัครยังไง การสมัครสมาชิกและเริ่มเรียนบน Coursera มีขั้นตอนดังนี้: สมัครสมาชิก: เข้าสู่เว็บไซต์ Coursera และคลิกที่ "Join for Free" เพื่อสร้างบัญชีผู้ใช้ เลือกคอร์ส: ใช้ฟังก์ชันค้นหาเพื่อค้นหาคอร์สที่ตรงกับความสนใจ สมัครเรียน: เมื่อเลือกคอร์สที่ต้องการ คลิกที่ "Enroll" และเลือกวิธีการเรียน (ฟรีหรือมีค่าใช้จ่าย) ชำระเงิน (ถ้ามี): หากเลือกคอร์สที่มีค่าใช้จ่าย ให้ดำเนินการชำระเงินตามขั้นตอนที่กำหนด เริ่มเรียน: หลังจากสมัครเรียนแล้ว สามารถเริ่มเรียนรู้ผ่านวิดีโอ บทความ และแบบฝึกหัดต่าง ๆ Coursera เป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ที่มีคอร์สหลากหลายจากมหาวิทยาลัยและองค์กรชั้นนำทั่วโลก ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนฟรีหรือสมัครสมาชิกเพื่อเข้าถึงคอร์สทั้งหมด การลงทุนใน Coursera ถือว่าคุ้มค่า เนื่องจากผู้เรียนสามารถพัฒนาทักษะและความรู้ที่จำเป็นสำหรับการเติบโตในสายอาชีพ สำหรับใครที่กำลังมองหาแหล่งพัฒนาทักษะอาชีพเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ Education Portal ที่เป็นแหล่งรวมคอร์สเรียนที่น่าสนใจ เพื่อเสริมทักษะและความสามารถ เพิ่มโอกาสในการได้งานในฝันอีกด้วย

    Dec 2, 2024
    Thumbnail for ComSci VS วิศวคอมพิวเตอร์: เรียนอะไร ต่างกันอย่างไร? (Computer Science vs. Computer Engineering: What Do They Study, and How Are They Different?)

    ComSci VS วิศวคอมพิวเตอร์: เรียนอะไร ต่างกันอย่างไร? (Computer Science vs. Computer Engineering: What Do They Study, and How Are They Different?)

    ทุกวันนี้โลกของเทคโนโลยีได้ก้าวไกลอย่างรวดเร็ว ทำให้หลายๆ คนสนใจศึกษาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีมากขึ้น แต่การตัดสินใจเลือกเรียนสาขาที่ใช่ อาจไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อทั้ง “วิศวกรรมคอมพิวเตอร์” และ “วิทยาการคอมพิวเตอร์” ดูเหมือนจะมีความคล้ายคลึงกันในแง่ของการศึกษาและทักษะที่ได้ แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญอยู่ ที่เราต้องเข้าใจเพื่อหาทางที่เหมาะสมกับตัวเอง วิดีโอนี้จะพูดถึงความแตกต่างทางวิชาและการเรียนรู้ในแต่ละสาขา รวมถึงคำแนะนำจากนักศึกษา เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่สนใจในโลกของคอมพิวเตอร์ 1.หลักสูตรปีแรก: การเรียนวิชาพื้นฐาน • วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ (Computer Engineering) ปีแรกนักเรียนในสายวิศวะจะได้เรียนพื้นฐานในด้านวิศวกรรมทั่วไปที่รวมถึงการวาดแบบ (Engineering Drawing) ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับวิศวกร ในบางคณะอาจมีการเรียนการเขียนโค้ดพื้นฐานเพิ่มเติม โดยจะเริ่มต้นที่การเขียนโปรแกรมขั้นพื้นฐาน • วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ (Computer Science) นักศึกษาสายวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จะเรียนพื้นฐานวิทยาศาสตร์กว้างๆ ครอบคลุมทั้งฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา และคณิตศาสตร์ ที่จำเป็นสำหรับการวิเคราะห์เชิงทฤษฎี พร้อมกับเสริมทักษะทางการคิดวิเคราะห์เชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Thinking) ความแตกต่าง: สายวิศวกรรมเน้นทักษะการออกแบบเชิงวิศวกรรมและพื้นฐานการเขียนโค้ด ส่วนวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์เน้นการวิเคราะห์ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งส่งผลต่อแนวทางในการเรียนต่อในปีถัดไป 2.การเน้นที่เนื้อหาด้านซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ • วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ เมื่อเข้าสู่ปีที่สอง นักศึกษาจะเริ่มเน้นไปที่ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่เชื่อมโยงกับฮาร์ดแวร์ ซึ่งรวมถึงการเรียนรู้การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ชิ้นส่วนเล็กๆ เช่น Logic Gates ไปจนถึงการออกแบบสถาปัตยกรรมระบบ (System Architecture) • วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ปีที่สองของสายวิทย์คอมพ์จะเน้นที่ซอฟต์แวร์เป็นหลัก เช่น การเขียนโปรแกรมและแนวคิดเกี่ยวกับการจัดการข้อมูล (Data Structures) รวมถึงการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในสถานการณ์ต่างๆ เช่น Business Case ความแตกต่าง: วิศวกรรมคอมพิวเตอร์จะเจาะลึกทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ โดยให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกันของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ส่วนวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์มุ่งเน้นที่การพัฒนาซอฟต์แวร์และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคอมพิวเตอร์เป็นหลัก 3.ความแตกต่างในวิชาคณิตศาสตร์ • วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มีวิชาคณิตศาสตร์ที่ครอบคลุมในเรื่องของตรรกศาสตร์ (Logic) และคณิตศาสตร์เชิงวิศวกรรม โดยเน้นที่การใช้คณิตศาสตร์ในด้านการออกแบบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ รวมถึงการคำนวณที่ซับซ้อน เช่น การคำนวณเชิงเส้น (Linear Algebra) • วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ มุ่งเน้นการใช้คณิตศาสตร์เพื่อการคำนวณข้อมูลและอัลกอริทึม โดยมีวิชาคณิตศาสตร์ที่เน้นในด้านการใช้เหตุผลตรรกะ รวมถึงการคำนวณที่เน้นการใช้ตัวเลขและการประมวลผลข้อมูล ความแตกต่าง: วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ใช้คณิตศาสตร์ในการออกแบบและคำนวณที่เกี่ยวข้องกับฮาร์ดแวร์ ส่วนวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์เน้นไปที่การใช้คณิตศาสตร์เพื่อประมวลผลข้อมูลและอัลกอริทึมที่เกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์ 4.วิชาเฉพาะทางและเน้นที่ความถนัด • วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ วิชาที่นักศึกษาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ชอบ เช่น วิชาที่เกี่ยวกับการออกแบบระบบ (System Architecture) และการทำงานของระบบปฏิบัติการ (Operating Systems) เนื่องจากได้เรียนรู้การทำงานของระบบตั้งแต่รากฐานจนถึงการเขียนโปรแกรมควบคุมฮาร์ดแวร์ต่างๆ • วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ วิชาที่นักศึกษาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ชอบ เช่น การเรียนด้าน AI และการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing) ที่ใช้ทักษะทางซอฟต์แวร์ในการสร้างโมเดลการเรียนรู้และการใช้งานโปรแกรมที่มีความฉลาด ความแตกต่าง: วิศวกรรมคอมพิวเตอร์จะเน้นวิชาที่เกี่ยวกับการทำงานของระบบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ประสานงานกัน ส่วนวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จะเน้นวิชาที่เกี่ยวกับการวิเคราะห์ข้อมูลและการพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูล สรุปภาพรวมความแตกต่าง • วิศวกรรมคอมพิวเตอร์: เน้นไปที่ฮาร์ดแวร์และการออกแบบระบบที่เชื่อมโยงกับซอฟต์แวร์ เพื่อให้เข้าใจการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างละเอียด เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจในระบบที่ต้องประสานงานกันระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ • วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์: มุ่งเน้นด้านซอฟต์แวร์และการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นหลัก โดยมีความรู้พื้นฐานด้านคณิตศาสตร์และการวิเคราะห์เชิงวิทยาศาสตร์ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะการเขียนโปรแกรมและทำงานด้านซอฟต์แวร์ ________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________ Today, technology is advancing quickly, and many people are interested in studying computers and technology. However, choosing the right field, like “Computer Engineering” or “Computer Science,” isn’t as simple as it might seem. While both areas may look similar in terms of what you study and the skills you learn, they have important differences. This article will help you understand these differences to find the best path for you, with insights from students to guide those interested in the computer field. 1.First-Year Basics • Computer Engineering: In the first year, engineering students study general engineering basics, such as engineering drawing, essential for engineers. Some courses might include basic coding as an introduction to programming. • Computer Science: Computer science students cover broad science basics, including physics, chemistry, biology, and math, which are essential for theoretical analysis and scientific thinking. Difference: Computer Engineering focuses on engineering skills and basic coding, while Computer Science emphasizes scientific analysis, influencing future studies in each field. 2.Focus on Software and Hardware • Computer Engineering: By the second year, students focus on both hardware and software related to hardware, learning about computer systems from small parts like logic gates to system architecture design. • Computer Science: In the second year, computer science students focus mainly on software, such as programming and data structures, and how computers are used in various situations, like business. Difference: Computer Engineering delves into both software and hardware, emphasizing how they work together, while Computer Science focuses more on software development and data analysis. 3.Math in Each Field • Computer Engineering: Covers math topics like logic and engineering mathematics, using math for designing hardware and software, including complex calculations such as linear algebra. • Computer Science: Uses math for data calculations and algorithms, with courses focused on logic and data processing. Difference: Computer Engineering uses math for hardware design and calculations, while Computer Science focuses on using math for data processing and software-related algorithms. 4.Specialized Courses and Interests • Computer Engineering: Popular courses include system architecture and operating systems, where students learn to work with systems from the basics to programming hardware control. • Computer Science: Students enjoy courses like AI and natural language processing, using software skills to create intelligent models and applications. Difference: Computer Engineering focuses on systems that combine hardware and software, while Computer Science emphasizes data analysis and software development. Summary • Computer Engineering: Focuses on hardware and system design that integrates with software, ideal for those interested in how hardware and software work together. • Computer Science: Emphasizes software and data analysis, with a foundation in math and scientific analysis, ideal for those interested in programming and software development.

    Nov 22, 2024
    Thumbnail for 12 คอร์สฟรีจาก Udemy ที่คุณไม่ควรพลาด | เรียนออนไลน์

    12 คอร์สฟรีจาก Udemy ที่คุณไม่ควรพลาด | เรียนออนไลน์

    ในยุคที่การเรียนออนไลน์ ได้กลายเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะและเพิ่มความรู้ในสายอาชีพหรือความสนใจส่วนตัว หนึ่งในแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์ความต้องการการพัฒนาทักษะสายดิจิตัล สายเทค สายการตลาด และสายอื่น ๆ ได้ดีในช่วง 3-5 ปีหลังคือ Udemy ซึ่งมี คอร์สฟรี มากมายที่ครอบคลุมหลากหลายหัวข้อ ไม่ว่าจะเป็น Python, SEO, Excel, การออกแบบ และอื่น ๆ อีกทั้งบางคอร์สยังมาพร้อม Certification ที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับเรซูเม่ของคุณ Why Choose Free Udemy Courses? ปรกติคอร์สบน Udemy มีราคาที่แตกต่างกันไป อยู่ในช่วง 700 - 2,000 บาท แต่การเรียนคอร์สฟรี ข้อดีคือคุณจะได้ทดลองฟังสำเนียง สไตล์ของผู้สอนชาวต่างชาติ คำแปลภาษา การใช้งานบนแพลตฟอร์ม จุดแข็งของ Udemy คอร์สที่หลากหลาย: มีหัวข้อให้เลือกมากมาย ตั้งแต่ทักษะทางเทคนิคไปจนถึงการพัฒนาตนเอง ตอบโจทย์ทักษะที่ใช้งานได้จริงในตลาด หลายคอร์สเรียนประกอบไปด้วยโจทย์และ case study ให้ทดลองทำ ทำให้ผู้เรียนได้ทดลองทำสิ่งที่ได้เรียน การเรียนที่ยืดหยุ่น: สามารถเรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา ตามความสะดวก บางคอร์สมี Certification: ช่วยเสริมโปรไฟล์ในสายงานของคุณ เนื้อหาที่ออกแบบโดยผู้เชี่ยวชาญผ่านการตลาด: คอร์ส Udemy ส่วนใหญ่มาจากผู้สอนที่ต้องแข่งขันทางด้านเนื้อหา สไตล์การสอนและราคา ดังนั้นรีวิวที่คุณเห็นบนแพลตฟอร์มค่อนข้างการันตีว่า คอร์สนั้นได้รับการยอมรับ หากอยากซื้อคอร์ส แนะนำให้รอ Udemy จัดโปรโมชั่นลดราคา เพื่อเลือกซื้อคอร์สที่สนใจ โดยราคาอาจลดลงมาได้มากถึงช่วง 200-300 บาท _______________________________________________________________ Top 12 Free Udemy Courses คอร์สพื้นฐานสำหรับทักษะต่าง ๆ ในมูลค่าสุดคุ้ม ราคา 0 บาท 1. Learn PYTHON Programming Language in 12 Days เนื้อหาที่สอน: เรียนรู้ Python ตั้งแต่พื้นฐานจนถึงโปรเจกต์จริงผ่านแบบฝึกหัดเชิงโต้ตอบ ลิงก์คอร์ส: Learn PYTHON Programming Language in 12 Days 2. Canva Essentials with Ronny and Diana เนื้อหาที่สอน: เรียนรู้การใช้งาน Canva สำหรับงานออกแบบเบื้องต้น อัปเดตเนื้อหาสำหรับปี 2024 ลิงก์คอร์ส: Canva Essentials with Ronny and Diana 3. Introduction to Databases and SQL Querying เนื้อหาที่สอน: พื้นฐานของการจัดการฐานข้อมูลและการเขียน SQL Query ลิงก์คอร์ส: Introduction to Databases and SQL Querying 4. Git and GitHub Crash Course: Creating a Repository from Scratch เนื้อหาที่สอน: วิธีใช้งาน Git และ GitHub พร้อมการสร้างและจัดการ Repository ลิงก์คอร์ส: Git and GitHub Crash Course 5. Secret Sauce of Great Writing เนื้อหาที่สอน: เทคนิคการเขียนอย่างมืออาชีพเพื่อสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจ แก้ไข* คอร์สนี้ไม่ฟรี ลิงก์คอร์ส: Secret Sauce of Great Writing 6. English Launch: Learn English for Free – Upgrade All Areas เนื้อหาที่สอน: พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษในทุกด้าน เช่น การพูด ฟัง อ่าน และเขียน ลิงก์คอร์ส: English Launch 7. Useful Excel for Beginners เนื้อหาที่สอน: เรียนรู้ฟังก์ชันพื้นฐานใน Excel เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลิงก์คอร์ส: Useful Excel for Beginners 8. Ten Excel Features Every Analyst Should Know เนื้อหาที่สอน: ฟีเจอร์ Excel ที่สำคัญสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล ลิงก์คอร์ส: Ten Excel Features Every Analyst Should Know 9. WordPress Tutorial for Beginners (2024) – How To Get Started เนื้อหาที่สอน: เรียนรู้การสร้างเว็บไซต์ด้วย WordPress แบบเบื้องต้น ลิงก์คอร์ส: WordPress Tutorial for Beginners 10. SEO Tutorial for Beginners เนื้อหาที่สอน: พื้นฐานการทำ SEO เพื่อเพิ่มการมองเห็นเว็บไซต์ ลิงก์คอร์ส: SEO Tutorial for Beginners 11. Breath Secrets 7-Day Challenge เนื้อหาที่สอน: เทคนิคการฝึกหายใจเพื่อเสริมสร้างสุขภาพจิตและร่างกาย ลิงก์คอร์ส: Breath Secrets 7-Day Challenge 12. English Grammar One เนื้อหาที่สอน: เสริมสร้างพื้นฐานไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ลิงก์คอร์ส: English Grammar One ข้อพึงคำนึง คอร์สฟรี เป็นเหมือนจุดเริ่มต้น อย่างไรผู้ขายบน Udemy ก็ต้องการขายคอร์สหลัก ดังนั้นจึงมีการกั๊กข้อมูล เนื้อหาบ้าง ภาษาและสำเนียง ผู้เรียนที่ไม่คล่องภาษาอังกฤษอาจต้องปรับตัว อ่านคำแปล หาตัวช่วย ระวังหลักสูตรเก่า ต้องดูปีที่จัดทำ การอัปเดทและการรีวิว ไม่ว่าคุณจะกำลังมองหาโอกาสพัฒนาตนเองหรือเพิ่มทักษะในสายงานที่คุณสนใจ คอร์สจาก Udemy เป็นหนึ่งในทางเลือกที่ตอบโจทย์ 🌟 หรือกำลังมองหาแหล่งคอร์สเรียนเพื่อพัฒนาทักษะอาชีพเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ Education Portal ที่เป็นแหล่งรวมคอร์สเรียนที่น่าสนใจ เพื่อเสริมทักษะและความสามารถ เพิ่มโอกาสในการได้งานในฝันอีกด้วย ติดตาม Jobcadu วันนี้ เพื่อเข้าถึงคอร์สฟรี คอร์สดี และเปลี่ยนความรู้เป็นโอกาสในอนาคตของคุณ!

    Nov 22, 2024
    Thumbnail for 20 คอร์สเรียนออนไลน์ที่ดีที่สุดบน Thai MOOC | เรียนออนไลน์ฟรี

    20 คอร์สเรียนออนไลน์ที่ดีที่สุดบน Thai MOOC | เรียนออนไลน์ฟรี

    ในยุคดิจิทัลนี้ การเรียนออนไลน์ กลายเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับการพัฒนาความรู้และทักษะใหม่ ๆ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ (ฟรี) และถ้าพูดถึงแพลตฟอร์ม เรียนออนไลน์ฟรี ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย คงหนีไม่พ้น Thai MOOC บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ 20 คอร์สออนไลน์ที่ดีที่สุดบน Thai MOOC คัดโดยทีมงาน Jobcadu ที่ช่วยเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ ๆ ในชีวิตการทำงานและการเรียนรู้ของคุณ Thai MOOC คืออะไร? Thai MOOC (Thailand Massive Open Online Course) คือแพลตฟอร์มการเรียนรู้ เรียนออนไลน์ฟรี ที่รวบรวมคอร์สคุณภาพจากมหาวิทยาลัยและสถาบันชั้นนำในประเทศไทยภายใต้โครงการมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทยของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จุดเด่นของ Thai MOOC คือการเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเรียนได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือทำอาชีพอะไร โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย (ฟรี) 20 Best Free Online Courses on Thai MOOC คอร์สธุรกิจ (Business) 1. อาชีพยุคใหม่ ทำอะไรแล้วปัง 📚 ผู้พัฒนาหลักสูตร : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ⏳ ระยะเวลาการเรียน : 54 นาที 💡 เคยสงสัยไหม? ในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้ง Digital Disruption และ New Normal 🌍 เราควรเลือกเดินเส้นทางอาชีพแบบไหนถึงจะเหมาะกับตัวเองและตอบโจทย์ตลาด? 🎯 คอร์สนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ เทรนด์อาชีพสุดฮอต และ อาชีพใหม่ ๆ ที่กำลังมาแรง 🚀 พร้อมแนะแนวทางค้นหาอาชีพที่ "ใช่" สำหรับคุณ! 💼 คลิกที่นี่ 👉 เริ่มเรียนฟรี *ลิงก์นี้จะนำคุณไปยังหน้าของตลาดหลักทรัพย์ __________________________________________________________________ 2. การวางแผนกลยุทธ์ Strategic Planning 📚 ผู้พัฒนาหลักสูตร: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ⏳ ระยะเวลาการเรียน: 6 ชั่วโมง 💡 คุณอยากรู้วิธีวางแผนกลยุทธ์เพื่อความสำเร็จในองค์กรของคุณหรือไม่? การ จัดการเชิงกลยุทธ์ คือหัวใจสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน 🌍 คอร์สนี้จะช่วยคุณเข้าใจความหมายและความสำคัญของการวางแผนเชิงกลยุทธ์ พร้อมทั้งเจาะลึกการวิเคราะห์สถานการณ์ภายในและภายนอกองค์กร รวมถึงการกำหนดกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ 🎯 คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับ: การวิเคราะห์สถานการณ์องค์กรและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติด้วยเครื่องมือ เช่น McKinsey’s 7S Framework และ Balanced Scorecard เทคนิคการจัดทำแผนปฏิบัติการที่มีประสิทธิภาพ 🚀 💼 คอร์สนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งและนำไปใช้ได้จริงในองค์กร คลิกที่นี่ 👉 เริ่มเรียนฟรี ลิงก์นี้จะนำคุณไปยังหน้าของ Thai MOOC __________________________________________________________________ 3. สตาร์ทอัพ มุ่งสู่ฝัน | Startup: Pushing your Dream 📚 ผู้พัฒนาหลักสูตร: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ⏳ ระยะเวลาการเรียน: 3 ชั่วโมง 💡 คุณมีความฝันอยากสร้างธุรกิจสตาร์ทอัพของตัวเองไหม? ในยุคที่ Startup เป็นแรงผลักดันสำคัญของเศรษฐกิจ 🌟 คอร์สนี้จะช่วยให้คุณเริ่มต้นเดินตามความฝัน พร้อมเรียนรู้วิธีพัฒนาไอเดียทางธุรกิจให้เติบโต 🚀 🎯 สิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้: พื้นฐานการทำ Startup: รู้จักโมเดลธุรกิจ และตัวอย่างสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จทั้งในไทยและต่างประเทศ เทคนิคเริ่มต้นอย่างมืออาชีพ: วิธีวิเคราะห์ตลาด การหาไอเดีย และการเลือกกลุ่มเป้าหมาย 🎯 การปรับตัวเพื่อดึงดูดนักลงทุน: เรียนรู้วิธีสร้างแผนธุรกิจที่น่าสนใจและการวางแผนการเติบโต แนวทางพัฒนาและต่อยอดธุรกิจ: เทคนิคการสร้างผลงานและนำเสนอเพื่อความสำเร็จ 💼 คอร์สนี้เหมาะสำหรับผู้ที่อยากเริ่มต้นธุรกิจสตาร์ทอัพและก้าวไปสู่ความสำเร็จอย่างมั่นคง คลิกที่นี่ 👉 เริ่มเรียนฟรี ลิงก์นี้จะนำคุณไปยังหน้าของ Thai MOOC __________________________________________________________________ 4. การคิดแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ | Creative Problem Solving 📚 ผู้พัฒนาหลักสูตร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ⏳ ระยะเวลาการเรียน: 4 ชั่วโมง 💡 เคยเจอปัญหาที่แก้ไม่ตกหรือไม่? ในโลกที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน 🌍 การแก้ปัญหาแบบเดิมอาจไม่เพียงพออีกต่อไป คอร์สนี้จะช่วยให้คุณพัฒนาทักษะ Creative Problem Solving เพื่อหาทางออกที่สร้างสรรค์และเหมาะสมสำหรับทั้งตนเองและองค์กร 🎯 🎯 สิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้: หลักการและกระบวนการคิดแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์: เข้าใจแนวคิดสำคัญที่ช่วยพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส เครื่องมือสำหรับการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์: เทคนิคและกระบวนการที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในองค์กร การวัดผลและประเมินความคิดสร้างสรรค์: วิธีการตรวจสอบและพัฒนาการแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง แนวทางการประยุกต์ใช้ในองค์กร: สร้างความเปลี่ยนแปลงในองค์กรผ่านกระบวนการคิดที่ทันสมัย 🚀 💼 คอร์สนี้เหมาะสำหรับบุคลากรทุกระดับที่ต้องการพัฒนาทักษะการคิดแก้ปัญหา เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่แตกต่างและมีคุณค่า คลิกที่นี่ 👉 เริ่มเรียนฟรี ลิงก์นี้จะนำคุณไปยังหน้าของ Thai MOOC __________________________________________________________________ 5. Entrepreneurial Mindset 📚 ผู้พัฒนาหลักสูตร: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ⏳ ระยะเวลาการเรียน: 41 นาที 💡 คุณมีแนวคิดแบบผู้ประกอบการ (Entrepreneurial Mindset) หรือยัง? ในยุค Digital Disruption 🌍 ทุกการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นรวดเร็ว การปรับตัวอย่างมีประสิทธิภาพและการมี Growth Mindset เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในฐานะผู้ประกอบการ 🎯 🎯 สิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้: ความสำคัญของยุค Digital Disruption: เข้าใจผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีต่อการทำธุรกิจ แนวคิด Growth Mindset: พัฒนามุมมองที่พร้อมปรับตัว เรียนรู้ และเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทักษะของผู้ประกอบการ (Entrepreneurial Skills): เรียนรู้ทักษะสำคัญ พร้อมวิธีประเมินตนเองและพัฒนาทักษะเหล่านั้นผ่านตัวอย่างและกรณีศึกษา 🚀 💼 หลักสูตรนี้เหมาะสำหรับ: นิสิต นักศึกษา และอาจารย์ที่ต้องการเพิ่มพูนความรู้ด้านการเป็นผู้ประกอบการ ผู้สนใจเริ่มต้นธุรกิจหรือก้าวสู่การเป็นสตาร์ทอัพ คลิกที่นี่ 👉 เริ่มเรียนฟรี ลิงก์นี้จะนำคุณไปยังหน้าของตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทย __________________________________________________________________ 6. Design Thinking 📚 ผู้พัฒนาหลักสูตร: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ⏳ ระยะเวลาการเรียน: 1 ชั่วโมง 💡 อยากพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์และมีประสิทธิภาพหรือไม่? Design Thinking คือทักษะสำคัญที่ช่วยให้คุณเข้าใจปัญหา สร้างสรรค์ไอเดีย และพัฒนานวัตกรรมให้ประสบความสำเร็จ 🌟 คอร์สนี้จะพาคุณเรียนรู้กระบวนการ 5 ขั้นตอน ได้แก่ Empathize, Define, Idea, Prototype, และ Test พร้อมเทคนิคที่นำไปใช้ได้จริง 🎯 🎯 สิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้: ทำความรู้จัก Design Thinking: เข้าใจภาพรวมของกระบวนการและความสำคัญในการพัฒนานวัตกรรม Empathize & Define: เทคนิคการเข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริงและกำหนดปัญหาได้อย่างตรงจุด Idea Creation: วิธีการสร้างไอเดียที่หลากหลายและสร้างสรรค์ Prototype & Test: นำไอเดียไปทดสอบและปรับปรุงซ้ำ เพื่อพัฒนานวัตกรรมที่เหมาะสม 🚀 การประยุกต์ใช้ Design Thinking: นำกระบวนการคิดเชิงออกแบบไปปรับใช้กับการทำงานและชีวิตประจำวัน 💼 คอร์สนี้เหมาะสำหรับ: ผู้ที่สนใจพัฒนาทักษะด้านการคิดเชิงนวัตกรรม ผู้ที่ต้องการเรียนรู้เทคนิคในการแก้ปัญหาและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงความต้องการ คลิกที่นี่ 👉 เริ่มเรียนฟรี ลิงก์นี้จะนำคุณไปยังหน้าของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย __________________________________________________________________ คอร์สการตลาด (Marketing) 7. กลยุทธ์การตลาดเชิงเนื้อหาในสื่อสังคมเพื่อการจัดการแบรนด์ออนไลน์ 📚 ผู้พัฒนาหลักสูตร: สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ NIDA ⏳ ระยะเวลาการเรียน: 7 ชั่วโมง (วีดิทัศน์ 4 ชั่วโมง 50 นาที) 💡 อยากสร้างกลยุทธ์เนื้อหาสุดปังเพื่อจัดการแบรนด์ออนไลน์ของคุณไหม? การสร้างเนื้อหาใน Social Media ไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงาม แต่เป็นหัวใจสำคัญของการจัดการชื่อเสียงแบรนด์ 🌟 คอร์สนี้จะพาคุณเรียนรู้ตั้งแต่การจัดการชื่อเสียงแบรนด์ การสร้างการมีส่วนร่วมของผู้บริโภค ไปจนถึงการจัดการ Online Influencers 🎯 🎯 สิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้: Online Brand Reputation Management: วิธีการสร้างชื่อเสียงแบรนด์ในเชิงบวกและจัดการปัญหาด้านลบในสื่อออนไลน์ Consumer Engagement: เทคนิคดึงดูดและเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคต่อแบรนด์ของคุณ Online Influencer Management: แนวทางในการเลือกและจัดการผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดออนไลน์ กลยุทธ์เนื้อหาแบบครบวงจร: สร้างกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่เหมาะสม และประเมินประสิทธิภาพอย่างมืออาชีพ 🚀 💼 คอร์สนี้เหมาะสำหรับ: นักการตลาดออนไลน์ที่ต้องการยกระดับกลยุทธ์การตลาดของแบรนด์ ผู้ที่สนใจเรียนรู้การจัดการแบรนด์บน Social Media เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่ง คลิกที่นี่ 👉 เริ่มเรียนฟรี ลิงก์นี้จะนำคุณไปยังหน้าของ Thai MOOC __________________________________________________________________ 8. Data + AI for Communication: การใช้ Data + AI เพื่อเสริมพลังการสื่อสารการตลาด 📚 ผู้พัฒนาหลักสูตร: สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ⏳ ระยะเวลาการเรียน: 15 ชั่วโมง 💡 Data + AI: คู่มือเสริมพลังการสื่อสารการตลาดในยุคดิจิทัล ในยุคที่ Data และ AI เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ 🌐 คอร์สนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจวิธีการนำข้อมูลและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาปรับใช้ในกลยุทธ์การตลาด 🎯 ตั้งแต่การโฆษณา การสร้างเนื้อหา ไปจนถึงการพัฒนาประสบการณ์ที่เหนือชั้นสำหรับผู้บริโภค 🎯 สิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้: สถานการณ์และโอกาสของ Data + AI: เข้าใจแนวโน้มสำคัญและโอกาสการนำ Data และ AI มาใช้ในการสื่อสารการตลาด การประยุกต์ใช้ Data และ AI ในกลยุทธ์การตลาด: เทคนิคการใช้ข้อมูลเพื่อวางแผนการตลาด การโฆษณา และการสร้างประสบการณ์ผู้บริโภค กรณีศึกษาเชิงลึก: การวิเคราะห์วิธีการใช้ Data + AI เพื่อสร้างความสำเร็จในธุรกิจ 🚀 💼 เหมาะสำหรับ: นักการตลาดที่ต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการวางแผนกลยุทธ์ ผู้ที่สนใจเทคโนโลยี Data และ AI ในการพัฒนาธุรกิจ คลิกที่นี่ 👉 เริ่มเรียนฟรี ลิงก์นี้จะนำคุณไปยังหน้าของ Thai MOOC __________________________________________________________________ 9. เทคนิคการเป็น Influencer อย่างมืออาชีพ | Technique to Professional Influencer 📚 ผู้พัฒนาหลักสูตร: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ⏳ ระยะเวลาการเรียน: 7 ชั่วโมง (วีดิทัศน์ 4 ชั่วโมง 33 นาที) 💡 อยากเป็น Influencer ที่ประสบความสำเร็จหรือไม่? ในยุคที่ Social Media กลายเป็นช่องทางหลักในการสร้างรายได้ 🌟 คอร์สนี้เหมาะสำหรับผู้ที่อยากสร้างตัวตนและเนื้อหาบนแพลตฟอร์มออนไลน์ 🎯 เรียนรู้ตั้งแต่การสร้างตัวตนให้โดดเด่น การพัฒนาเนื้อหาที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย ไปจนถึงการใช้เครื่องมือและเทคนิคพิเศษเพื่อสร้างรายได้จากการเป็น Influencer 🎯 สิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้: การสร้างตัวตนในฐานะ Influencer: เข้าใจความหมาย ความสำคัญ และวิธีสร้างตัวตนที่มีเอกลักษณ์ เทคนิคการสร้างคอนเทนต์ที่น่าสนใจ: เรียนรู้การนำความรู้ ความชื่นชอบ และความเชี่ยวชาญมาสร้างเนื้อหาที่ตรงเป้าหมาย การใช้เครื่องมือสร้างคอนเทนต์: เทคนิคการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์เพื่อเพิ่มความน่าสนใจของคอนเทนต์ การจัดการไลฟ์สดแบบมืออาชีพ: สร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการถ่ายทอดสดบนแพลตฟอร์มออนไลน์ การสร้างฐานผู้ติดตาม: เรียนรู้วิธีทำให้แพลตฟอร์มของคุณเติบโตและมีผู้ติดตามมากมาย 🚀 💼 หลักสูตรนี้เหมาะสำหรับ: ผู้ที่สนใจเริ่มต้นอาชีพ Influencer ผู้ที่ต้องการพัฒนาเนื้อหาบน Social Media เพื่อสร้างรายได้ คลิกที่นี่ 👉 เริ่มเรียนฟรี ลิงก์นี้จะนำคุณไปยังหน้าของ Thai MOOC __________________________________________________________________ 10. เส้นทางสู่ Influencer | Success to Influencer 📚 ผู้พัฒนาหลักสูตร: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ⏳ ระยะเวลาการเรียน: 3 ชั่วโมง 15 นาที 💡 อยากเป็นดาว TikTok หรือ Influencer ที่สร้างผลกระทบอย่างกว้างขวางไหม? ไม่ว่าคุณอยากสร้างการรับรู้ตัวตน ✨ โปรโมตสินค้า หรือสร้างไวรัลผ่าน Social Media 🌍 คอร์สนี้จะช่วยให้คุณเรียนรู้วิธีผลิตสื่อออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพ ใช้แพลตฟอร์มในการสร้างการรับรู้ สร้างแบรนด์ และยังสามารถสร้างรายได้จากการเป็น Influencer ที่ตอบโจทย์ 🎯 🎯 สิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้: แนวคิดและการประยุกต์ใช้ในหลากหลายด้านของการเป็น Influencer: การศึกษา: สร้างคอนเทนต์ที่ให้ความรู้และดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย การขาย: ใช้กลยุทธ์การขายผ่าน Social Media เพื่อเพิ่มยอดขาย ดนตรี: สร้างคอนเทนต์ที่สะท้อนตัวตนทางดนตรีและเข้าถึงกลุ่มแฟนคลับ โหราศาสตร์และการพยากรณ์: พัฒนาเนื้อหาที่น่าสนใจและน่าเชื่อถือในสายนี้ การพูดและบุคลิกภาพ: เสริมสร้างความมั่นใจในการสื่อสารและปรับบุคลิกภาพให้โดดเด่น 💼 หลักสูตรนี้เหมาะสำหรับ: ผู้ที่อยากเป็น Influencer บนแพลตฟอร์ม Social Media ผู้ที่ต้องการสร้างไวรัลและเพิ่มโอกาสทางการตลาด คลิกที่นี่ 👉 เริ่มเรียนฟรี ลิงก์นี้จะนำคุณไปยังหน้าของ Thai MOOC __________________________________________________________________ คอร์สการสื่อสาร (Communication) 11. ภาษาอังกฤษสำหรับธุรกิจโรงแรม 📚 ผู้พัฒนาหลักสูตร: มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ ⏳ ระยะเวลาการเรียน: 5 ชั่วโมง (วีดิทัศน์ 1 ชั่วโมง 45 นาที) 💡 อยากสื่อสารภาษาอังกฤษในธุรกิจโรงแรมได้อย่างมืออาชีพไหม? คอร์สนี้ออกแบบมาเพื่อผู้ที่ทำงานหรือสนใจในสายงานโรงแรม 🏨 โดยมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะการฟังและการพูด พร้อมเรียนรู้คำศัพท์และสำนวนเฉพาะทางที่ใช้ในแผนกต่างๆ ของโรงแรม เพื่อให้คุณสามารถสื่อสารได้อย่างมั่นใจทั้งกับลูกค้าและเพื่อนร่วมงาน 🎯 สิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้: ภาษาอังกฤษที่ใช้ในธุรกิจโรงแรม: ทั้งในรูปแบบเอกสารและการสื่อสาร การพัฒนาทักษะการฟังและการพูด: เพื่อเพิ่มความมั่นใจในสถานการณ์จริง คำศัพท์และสำนวนเฉพาะทาง: เช่น การต้อนรับลูกค้า การบริการห้องพัก และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า บทสนทนาในงานโรงแรม: ฝึกการโต้ตอบในสถานการณ์ที่พบบ่อยในแต่ละแผนก 💼 คอร์สนี้เหมาะสำหรับ: บุคลากรที่ทำงานในธุรกิจโรงแรม ผู้ที่ต้องการพัฒนาภาษาอังกฤษสำหรับการทำงานในสายการบริการ คลิกที่นี่ 👉 เริ่มเรียนฟรี ลิงก์นี้จะนำคุณไปยังหน้าของ Thai MOOC __________________________________________________________________ 12. ง่าย สบาย กับการอธิบายกราฟเป็นภาษาอังกฤษ | Describing Figures in English 📚 ผู้พัฒนาหลักสูตร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ⏳ ระยะเวลาการเรียน: 10 ชั่วโมง (วีดิทัศน์ 3 ชั่วโมง 30 นาที) 💡 เราจะอธิบายกราฟเป็นภาษาอังกฤษได้อย่างไร? กราฟหรือแผนภูมิที่ดีไม่เพียงแค่ช่วยแสดงข้อมูลให้เข้าใจง่ายขึ้น แต่ยังทำให้การนำเสนอเป็นมืออาชีพและจดจำได้มากขึ้น 📊 คอร์สนี้จะสอนตั้งแต่พื้นฐานการเลือกกราฟที่เหมาะสม ไปจนถึงเทคนิคการเขียนอธิบายกราฟ ตาราง และชาร์ตในภาษาอังกฤษ เพื่อให้คุณสามารถสื่อสารข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ 🎯 สิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้: คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับกราฟและแผนภูมิ: รู้จักคำที่จำเป็นและใช้ได้จริง ประโยคและวลีภาษาอังกฤษ: ฝึกการอธิบายตาราง กราฟ และชาร์ตอย่างมืออาชีพ การเขียนบรรยายกราฟ: เทคนิคการแสดงความสัมพันธ์ของข้อมูลอย่างชัดเจนและตรงประเด็น 💼 คอร์สนี้เหมาะสำหรับ: นักเรียน นักศึกษา หรือมืออาชีพที่ต้องการพัฒนาทักษะการนำเสนอข้อมูล ผู้ที่ต้องการสื่อสารข้อมูลเชิงตัวเลขในงานวิจัยหรือรายงานภาษาอังกฤษ คลิกที่นี่ 👉 เริ่มเรียนฟรี ลิงก์นี้จะนำคุณไปยังหน้าของ Thai MOOC __________________________________________________________________ 13. เทคนิคการนำเสนออย่างมีประสิทธิภาพ | Effective Presentation Technique 📚 ผู้พัฒนาหลักสูตร: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ⏳ ระยะเวลาการเรียน: 10 ชั่วโมง (วีดิทัศน์ 3 ชั่วโมง 30 นาที) 💡 อยากพัฒนาทักษะการนำเสนออย่างมีประสิทธิภาพไหม? การนำเสนอที่ดีไม่ได้เป็นเพียงการพูดให้ข้อมูล แต่ยังต้องสื่อสารอย่างมีผลกระทบและสร้างความประทับใจให้กับผู้ฟัง 🌟 คอร์สนี้จะช่วยให้คุณเรียนรู้ตั้งแต่หลักการเบื้องต้นจนถึงเทคนิคการตอบคำถาม การใช้สื่อประกอบ และการสร้างบุคลิกภาพที่น่าเชื่อถือ 🎯 🎯 สิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้: หลักการและวัตถุประสงค์ของการนำเสนอ: เข้าใจรูปแบบและเป้าหมายการนำเสนอที่หลากหลาย การเตรียมตัวก่อนนำเสนอ: เทคนิคการเตรียมเนื้อหาและการเลือกสื่อที่เหมาะสม บุคลิกภาพของผู้นำเสนอ: วิธีสร้างความมั่นใจและความน่าเชื่อถือในการนำเสนอ เทคนิคการตอบคำถาม: วิธีรับมือกับคำถามอย่างมืออาชีพ ข้อพึงระวังและลักษณะการนำเสนอที่หลากหลาย: เพิ่มความยืดหยุ่นในการปรับการนำเสนอให้เหมาะสมกับสถานการณ์ 💼 คอร์สนี้เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะการสื่อสารและการนำเสนอ นักเรียน นักศึกษา หรือมืออาชีพที่ต้องการเพิ่มความมั่นใจและความน่าเชื่อถือในการนำเสนอข้อมูล คลิกที่นี่ 👉 เริ่มเรียนฟรี ลิงก์นี้จะนำคุณไปยังหน้าของ Thai MOOC __________________________________________________________________ ข้อมูลและเทคโนโลยี (Data & Technology) 14. ไพธอนพื้นฐานสำหรับผู้เริ่มต้น | Python for beginners 📚 ผู้พัฒนาหลักสูตร: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ⏳ ระยะเวลาการเรียน: 15 ชั่วโมง (วีดิทัศน์ 10 ชั่วโมง 21 นาที) 💡 อยากเริ่มต้นเขียนโปรแกรมด้วย Python ? คอร์สนี้เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่ต้องการเรียนรู้ Python 🌟 ตั้งแต่พื้นฐานการเขียนโปรแกรมจนถึงการจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเครื่องมือยอดนิยม เช่น NumPy, Pandas, Matplotlib และ Seaborn 🎯 ไม่ว่าคุณจะสนใจด้านการเขียนโปรแกรม การจัดการข้อมูล หรือการสร้างภาพข้อมูล คอร์สนี้จะช่วยปูพื้นฐานสำคัญให้คุณพร้อมพัฒนาไปอีกขั้น 🎯 สิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้: พื้นฐานการเขียนโปรแกรม Python: เข้าใจหลักการและวิธีการเขียนโปรแกรมเพื่อพัฒนาชุดคำสั่งคอมพิวเตอร์ NumPy: การจัดการข้อมูลแบบเรียงลำดับและการใช้งานตัวแปรประเภท array Pandas: การจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลในรูปแบบตารางข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ Matplotlib และ Seaborn: การสร้างกราฟและแผนภูมิที่เหมาะสมเพื่อแสดงผลข้อมูลแต่ละประเภท 🚀 💼 คอร์สนี้เหมาะสำหรับ: ผู้เริ่มต้นที่ต้องการเรียนรู้ Python นักศึกษา นักวิเคราะห์ข้อมูล และผู้ที่สนใจพัฒนาทักษะด้าน Data Science คลิกที่นี่ 👉 เริ่มเรียนฟรี ลิงก์นี้จะนำคุณไปยังหน้าของ Thai MOOC __________________________________________________________________ 15. กระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น | Introduction to data analytics process 📚 ผู้พัฒนาหลักสูตร: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ⏳ ระยะเวลาการเรียน: 8 ชั่วโมง 💡 อยากเริ่มต้นวิเคราะห์ข้อมูลอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพไหม? คอร์สนี้จะพาคุณเรียนรู้ กระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ตั้งแต่การระบุปัญหา การรวบรวมและจัดการข้อมูล ไปจนถึงการวิเคราะห์และการแปลผลข้อมูล 🎯 ไม่เพียงแค่นั้น คุณยังจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับ กฎหมายและจริยธรรมในการจัดการข้อมูล เพื่อให้เกิดความรับผิดชอบและมั่นคงปลอดภัยในกระบวนการทำงาน 🎯 สิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้: แนวคิดกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น: เริ่มตั้งแต่การระบุปัญหาไปจนถึงการแปลผลลัพธ์ การจัดการและวิเคราะห์ข้อมูล: เรียนรู้วิธีการรวบรวมข้อมูลและจัดการข้อมูลให้เหมาะสม การสื่อสารผลลัพธ์: วิธีนำเสนอข้อมูลที่เข้าใจง่ายและตรงประเด็น กฎหมายและจริยธรรม: ตระหนักถึงความรับผิดชอบและการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล 💼 คอร์สนี้เหมาะสำหรับ: ผู้เริ่มต้นในสายงานวิเคราะห์ข้อมูล ผู้ที่ต้องการเรียนรู้การใช้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจในธุรกิจ คลิกที่นี่ 👉 เริ่มเรียนฟรี ลิงก์นี้จะนำคุณไปยังหน้าของ Thai MOOC __________________________________________________________________ 16. การตัดสินใจโดยการขับเคลื่อนด้วยข้อมูล 📚 ผู้พัฒนาหลักสูตร: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ⏳ ระยะเวลาการเรียน: 4 ชั่วโมงเรียนรู้ (จำนวนชั่วโมงสื่อวีดิทัศน์ 2 ชั่วโมง 47 นาที) 💡 การตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล: เริ่มต้นอย่างไร? คอร์สนี้จะพาคุณทำความเข้าใจตั้งแต่ ความหมายของข้อมูล และ ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ไปจนถึงเทคนิคการวิเคราะห์และเครื่องมือที่เหมาะสมในการนำข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์ 🌟 พร้อมเรียนรู้หลักการตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Decision Making) ที่สามารถประยุกต์ใช้ได้จริงในองค์กร 🎯 🎯 สิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้: พื้นฐานข้อมูลและการวิเคราะห์: เข้าใจชนิดของข้อมูล โครงสร้าง และความหมายของการวิเคราะห์ข้อมูล เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูล: เรียนรู้ความแตกต่างในแต่ละระดับ พร้อมตัวอย่างการนำไปใช้ในธุรกิจ เครื่องมือสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล: พิจารณาและเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมสำหรับงาน การตัดสินใจโดยขับเคลื่อนด้วยข้อมูล: นำกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลมาใช้จริงในองค์กร 🚀 💼 คอร์สนี้เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะด้านการวิเคราะห์ข้อมูล บุคลากรในองค์กรที่ต้องการใช้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ คลิกที่นี่ 👉 เริ่มเรียนฟรี ลิงก์นี้จะนำคุณไปยังหน้าของ Thai MOOC __________________________________________________________________ การพัฒนาตนเอง (Personal Development) 17. การจัดทำแผนพัฒนารายบุคคล | Individual Development Plan 📚 ผู้พัฒนาหลักสูตร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ⏳ ระยะเวลาการเรียน: 6 ชั่วโมงเรียนรู้ ( 2 ชั่วโมงสื่อวีดิทัศน์) 💡 แผนพัฒนารายบุคคล: กุญแจสู่การเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ คอร์สนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจแนวคิดและหลักการของ Individual Development Plan (IDP) 🌟 ตั้งแต่การกำหนดสมรรถนะที่จำเป็น ไปจนถึงการจัดทำแผนและประเมินความสำเร็จ 🎯 คอร์สนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทั้งในองค์กรและตนเอง 🎯 สิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้: บทบาทของแผนพัฒนารายบุคคล: เข้าใจความสำคัญของ IDP ในการบริหารและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การกำหนดสมรรถนะที่จำเป็น: วิเคราะห์จุดแข็งและจุดที่ต้องพัฒนาในตัวคุณ กระบวนการจัดทำ IDP: สร้างแผนพัฒนาที่เหมาะสมและสอดคล้องกับเป้าหมายส่วนตัวและองค์กร การประเมินความสำเร็จ: วางเกณฑ์และวิธีประเมินเพื่อวัดผลลัพธ์อย่างมีประสิทธิภาพ 🚀 💼 คอร์สนี้เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะและสมรรถนะส่วนตัว บุคลากรในองค์กรที่ดูแลด้านการบริหารและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ คลิกที่นี่ 👉 เริ่มเรียนฟรี ลิงก์นี้จะนำคุณไปยังหน้าของ Thai MOOC __________________________________________________________________ 18. การพัฒนาบุคลิกภาพและการพูดเพื่อสร้าง Personal Branding | Personality and Speaking Skills for Personal Branding 📚 ผู้พัฒนาหลักสูตร: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ⏳ ระยะเวลาการเรียน: 3 ชั่วโมง (วีดิทัศน์ 1 ชั่วโมง 57 นาที) 💡 บุคลิกภาพที่ดีเริ่มต้นจากการสื่อสารอย่างมั่นใจและน่าประทับใจ ทุกท่าทาง ทุกคำพูด คือการสื่อสารที่ส่งผลต่อความสำเร็จ 🌟 คอร์สนี้จะพาคุณเรียนรู้การพัฒนาบุคลิกภาพและการพูดให้มีเสน่ห์ พร้อมสร้าง Personal Branding ที่โดดเด่นและน่าจดจำ เพื่อเพิ่มความมั่นใจและโอกาสในชีวิตทั้งส่วนตัวและการทำงาน 🎯 สิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้: เทคนิคการพัฒนาบุคลิกภาพ: การยืน เดิน นั่ง และการแสดงท่าทางที่สร้างความน่าเชื่อถือ การพูดเพื่อการสื่อสาร: วิธีการพูดที่มีเสน่ห์และสร้างความประทับใจให้ผู้ฟัง การสร้าง Personal Branding: เทคนิคสร้างภาพลักษณ์ที่โดดเด่นและน่าจดจำ 🚀 💼 คอร์สนี้เหมาะสำหรับ: บุคคลทั่วไปที่ต้องการพัฒนาบุคลิกภาพและการพูด ผู้ที่ต้องการสร้างความน่าเชื่อถือและแบรนด์ส่วนตัวในสายอาชีพ คลิกที่นี่ 👉 เริ่มเรียนฟรี ลิงก์นี้จะนำคุณไปยังหน้าของ Thai MOOC __________________________________________________________________ 19. จิตวิทยาประยุกต์ในการทำงาน เพื่อความสำเร็จ ความสุข และความมั่งคั่ง | Applied Psychology to Work through Success, Happiness, and Wealth 📚 ผู้พัฒนาหลักสูตร: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ⏳ ระยะเวลาการเรียน: 10 ชั่วโมง (จำนวนชั่วโมงสื่อวิดิทัศน์ 3 ชั่วโมง 30 นาที) 💡 จิตวิทยาประยุกต์ในที่ทำงาน: สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน คอร์สนี้จะพาคุณเข้าใจ จิตวิทยาประยุกต์ ในที่ทำงาน 🌟 ตั้งแต่การจัดการความหลากหลายในองค์กร การออกแบบสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม การดูแลสุขภาพจิตในที่ทำงาน ไปจนถึงการบริหารการเงินสำหรับคนทำงาน 🎯 พร้อมพัฒนาตนเองเพื่อให้คุณสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 🎯 สิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้: จิตวิทยาประยุกต์ในที่ทำงาน: หลักการและเทคนิคที่ช่วยปรับปรุงสภาพแวดล้อมและการทำงาน Ergonomics และการออกแบบสภาพแวดล้อม: เรียนรู้การสร้างพื้นที่ทำงานที่ส่งเสริมสุขภาพจิตและร่างกาย การจัดการทางการเงินสำหรับคนทำงาน: เทคนิคบริหารการเงินเพื่อสร้างความมั่นคงและลดความเครียด การพัฒนาตนเองในที่ทำงาน: วิธีเพิ่มประสิทธิภาพและความสุขในชีวิตการทำงาน 🚀 💼 คอร์สนี้เหมาะสำหรับ: บุคคลทั่วไปที่ต้องการปรับปรุงสภาพแวดล้อมการทำงาน ผู้ที่ต้องการเรียนรู้วิธีดูแลสุขภาพจิตและพัฒนาทักษะการทำงาน คลิกที่นี่ 👉 เริ่มเรียนฟรี ลิงก์นี้จะนำคุณไปยังหน้าของ Thai MOOC __________________________________________________________________ 20. เทคนิคการจัดการความเครียด | Stress Management Techniques 📚 ผู้พัฒนาหลักสูตร: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ⏳ ระยะเวลาการเรียน: 10 ชั่วโมงเรียนรู้ (จำนวนชั่วโมงสื่อวิดิทัศน์ 3 ชั่วโมง 30 นาที) 💡 เครียดไหม? มาหาเทคนิคจัดการความเครียดอย่างมีประสิทธิภาพกันเถอะ! คอร์สนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจความเครียดอย่างลึกซึ้ง 🌟 พร้อมเรียนรู้เทคนิคการจัดการความเครียดที่หลากหลาย ตั้งแต่การฝึกหายใจ การเจริญสติ การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ไปจนถึงการพัฒนาทักษะการสื่อสาร 🎯 และที่สำคัญ คุณจะได้ฝึกการประยุกต์ใช้เทคนิคเหล่านี้ในชีวิตประจำวัน เพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดี 🎯 สิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้: 1. ความเข้าใจเกี่ยวกับความเครียด: อธิบายถึงต้นตอและลักษณะของความเครียดที่พบได้ในชีวิตประจำวัน 2. เทคนิคการจัดการความเครียดแบบหลากหลาย: การฝึกหายใจ การเจริญสติ การเกร็งและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การนวดด้วยตนเอง การฝึกการผ่อนคลายในตนเอง การพัฒนาทักษะการสื่อสาร 3.การประยุกต์ใช้เทคนิคในชีวิตประจำวัน: เรียนรู้วิธีเลือกและใช้เทคนิคต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ 🚀 💼 คอร์สนี้เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ต้องการลดความเครียดและเพิ่มความสุขในชีวิต บุคคลทั่วไปที่ต้องการเสริมสร้างสุขภาพจิตให้แข็งแรง คลิกที่นี่ 👉 เริ่มเรียนฟรี ลิงก์นี้จะนำคุณไปยังหน้าของ Thai MOOC __________________________________________________________________ ทำไมต้องเลือก Thai MOOC? เรียนฟรี: ทุกคอร์สใน Thai MOOC ไม่มีค่าใช้จ่าย เหมาะสำหรับมือใหม่ : คำนึงสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัย และผู้ต้องการย้ายสายอาชีพ สอนภาษาไทย : การเริ่มเรียนพื้นฐานจากภาษาไทยเป็นหลัก จะทำให้ผู้เรียนจดจำศัพท์เทคนิคในภาษาอังกฤษเพื่อต่อยอดได้ในอนาคต คอร์สหลากหลาย: ครอบคลุมหัวข้อต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยี, ธุรกิจ, วิทยาศาสตร์ และอื่น ๆ ได้รับการรับรอง: บางคอร์สมีประกาศนียบัตร (Certification) ให้หลังเรียนจบ ออกแบบโดยผู้เชี่ยวชาญ: สอนโดยอาจารย์และผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ วิธีการสมัครเรียนบน Thai MOOC เข้าสู่เว็บไซต์ Thai MOOC สมัครสมาชิกด้วยอีเมลหรือบัญชีโซเชียลมีเดีย ค้นหาคอร์สที่คุณสนใจ กด "Enroll" เพื่อเริ่มเรียน การเรียน Thai MOOC ให้ได้ผล จัดสรรเวลา: วางแผนตารางเวลาให้เหมาะสม ตั้งเป้าหมาย: กำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ในแต่ละสัปดาห์ ลงมือทำแบบฝึกหัด: ใช้ความรู้ที่ได้ในชีวิตจริง บทสรุป การ เรียนออนไลน์ ผ่าน Thai MOOC ไม่เพียงช่วยเพิ่มพูนความรู้และทักษะใหม่ ๆ แต่ยังเป็นโอกาสในการพัฒนาตนเองโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย (ฟรี) อย่ารอช้า เริ่มต้นเรียนรู้วันนี้เพื่ออนาคตที่ดีกว่า! "พร้อมที่จะเริ่มเรียนคอร์สออนไลน์ฟรีแล้วหรือยัง?" สามารถดูได้ที่ Education Portal ที่เป็นแหล่งรวมคอร์สเรียนที่น่าสนใจ เพื่อเสริมทักษะและความสามารถ เพิ่มโอกาสในการได้งานในฝันอีกด้วย

    Nov 21, 2024
    Thumbnail for ภาพรวมของหลักสูตร Google Data Analytics: สิ่งที่ผู้เรียนจะได้รับ (Things to Know Before Studying Google Data Analytics)

    ภาพรวมของหลักสูตร Google Data Analytics: สิ่งที่ผู้เรียนจะได้รับ (Things to Know Before Studying Google Data Analytics)

    คอร์สเรียน Google Data Analytics บน Coursera: การเจาะลึกถึงรูปแบบการเรียนรู้และประโยชน์ที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนรู้วิเคราะห์ข้อมูลกับทีมงาน Google โดยตรง คอร์สเรียน Google Data Analytic Professional Certificate อันนี้เป็นคอร์สเรียนที่สอนโดยทีมงานของ Google เอง ภายใต้โครงงาน Grow with Google โดยผู้เรียนไม่จำเป็นจะต้องมีความรู้พื้นฐานมาก่อน ซึ่งคอร์สเรียนที่พ่วงด้วย Professional Certificate นั้นคือคอร์สเรียนใหญ่ๆที่มีหัวข้อย่อยๆ และเป้าหมายของหัวข้อย่อยๆเหล่านี้และ Certificate คือการยืนยันความรู้และนำทักษะที่เรียนไปประกอบอาชีพได้ โดยคอร์สนี้จะประกอบไปด้วย 8 คอร์สย่อย โดยแต่ละคอร์สจะใช้เวลาเรียนเฉลี่ย 20-30 ชั่วโมง ซึ่งคอร์สนี้เป็นคอร์สออนไลน์ ผู้เรียนสามารถจัดสรรเวลาเรียนเองได้ตามสะดวก โดยทางผู้สอนได้เรียงลำดับคอร์สการเรียนมาให้แล้วใน1คอร์สย่อยที่เรียนจบ จะได้ใบ Certificate ของคอร์สนั้นๆ1ใบ ถ้าเรียนจบ 8 คอร์สย่อยจะได้ Certificate 8ใบและ Professional Certificate 1ใบ รวมเป็น 9ใบ รูปแบบการสอนคือ ในแต่ละคอร์สย่อยจะมีประมาณ 1-5 บทเรียนต่อสัปดาห์ อาจจะใช้เวลา 4-5 สัปดาห์ต่อคอร์ส วิธีการสอนของเขาจะมีการเรียนผ่านวิดีโอ, Reading หรือการอ่าน, Learning Log ที่คล้ายๆกับการอ่าน, Self-Reflection และ Discussion Prompt ที่ให้เราสามารถสื่อสารกับเพื่อนที่เรียนในคอร์สได้ หลังเรียนจบในแต่ละบทเรียนจะมีควิซเล็กๆให้เราทำ หลังเรียนครบในรายวีคนั้นแล้วจะมี Weekly Challenge Quiz ซึ่งถ้าเราเรียนครบในทุกวีคแล้วก็จะมีควิซใหญ่หรือ Course Challenge เพื่อทดสอบความเข้าใจบทเรียน โดยตัดคะแนนที่ 80% โดยใน 8 คอร์สย่อย ได้แก่ คอร์สที่ 1 คือ Foundations: Data, Data, Everywhere คอร์สที่ 2 คือ Ask Questions to Make Data-Driven Decisions คอร์สที่ 3 คือ Prepare Data for Exploration คอร์สที่ 4 คือ Process Data from Dirty to Clean คอร์สที่ 5 คือ Analyze Data to Answer Questions คอร์สที่ 6 คือ Share Data Through the Art of Visualization คอร์สที่ 7 คือ Data Analysis with R Programming คอร์สที่ 8 คือ Capstine: Complete a Case Study ข้อดีของคอร์สนี้คือ ไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐาน สอนโดยทีมของGoogleเอง ได้ความรู้ที่พร้อมเข้าสู่ตลาดงาน ส่วนที่ไม่ชอบคือ ชุดเครื่องมือที่ใช้สอนระหว่างเรียนสลับไปสลับมา อาจจะทำให้บางคนมีปัญหากับการทำความเข้าใจ อีกอย่างคือบท Analysis ไม่เหมือนกับที่คาดหวังไว้ ค่าใช้จ่ายของคอร์สเรียนนี้คิดเป็นระบบ Subscription ตัดเป็นรายเดือน เรียนฟรี 7 วัน หลังจากนั้นคิดเป็น 14$ ต่อเดือนหรือประมาณ 500 บาท นี่คือภาพรวมทั้งหมดของตัวคอร์สเรียน Google Data Analytics Professional Certificate เป็นคอร์สที่ไม่ได้ยากเกินกว่าจะเรียนรู้ด้วยตัวเองและยังเป็นโอกาสที่ดีที่ได้เรียนกับบริษัทระดับโลก อย่างไรก็ตาม ผู้ที่สนใจควรพิจารณาว่าตนเองมีพื้นฐานและเวลาเพียงพอสำหรับการเรียนหรือไม่ เนื่องจากเป็นคอร์สที่ค่อนข้างเข้มข้นและต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ ในแง่ของความคุ้มค่า หากผู้เรียนตั้งใจและนำความรู้ไปใช้ได้จริง คอร์สนี้ถือว่าคุ้มค่ากับการลงทุน โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นอาชีพในด้านการวิเคราะห์ข้อมูล ท้ายที่สุด การตัดสินใจเรียนคอร์สนี้ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและความต้องการของแต่ละบุคคล ผู้สนใจควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทะเบียนเรียน _________________________________________________________________________________________________________________________________ Google Data Analytics Course on Coursera: A deep dive into the learning style and benefits of learning data analysis directly from Google's team. The Google Data Analytics Professional Certificate is an online course offered on Coursera, taught by Google's team through the Grow with Google program. You don’t need any prior knowledge to start this course. It’s a big program with different topics, and the goal is to teach you skills you can use in a data analytics job. The course is split into 8 smaller courses, each taking about 20-30 hours to complete. Since it’s online, you can study at your own pace. The course is organized in a sequence, and after finishing each smaller course, you get a certificate for that course. Complete all 8, and you will get 8 certificates plus 1 Professional Certificate, totaling 9 certificates. The course includes: 1-5 lessons per week for each smaller course. Videos, readings, learning logs, self-reflection, and discussion prompts. Small quizzes after each lesson. A Weekly Challenge Quiz and a larger Course Challenge Quiz to test your understanding, with a passing score of 80%. The 8 smaller courses are: 1. Foundations: Data, Data, Everywhere 2. Ask Questions to Make Data-Driven Decisions 3. Prepare Data for Exploration 4. Process Data from Dirty to Clean 5. Analyze Data to Answer Questions 6. Share Data Through the Art of Visualization 7. Data Analysis with R Programming 8. Capstone: Complete a Case Study Pros: No prior knowledge needed Taught by Google Provides useful skills for the job market Cons: The tools used in the course can be inconsistent, which might make it hard to understand The analysis parts might not be as expected Cost: The course is available on a subscription basis, billed monthly. You can try it for free for 7 days. After that, it costs $14 per month, or about 500 baht. The Google Data Analytics Professional Certificate is not too hard to learn on your own and offers a great chance to learn from a top company. However, individuals interested in taking the course should assess whether they have the necessary foundational knowledge and time to commit, as it is an intensive course requiring substantial effort to understand. In terms of value, if learners are dedicated and can apply the knowledge effectively, this course is worth the investment, especially for those looking to start a career in data analytics. Ultimately, the decision to enroll depends on each person’s goals and needs. It’s important to carefully consider various factors before registering.

    Sep 9, 2024
    Thumbnail for เทคนิคการเรียนให้สอบได้ ตามหลักจิตวิทยา (Study Techniques for Understanding, Passing Exams, According to Psychology Principles)

    เทคนิคการเรียนให้สอบได้ ตามหลักจิตวิทยา (Study Techniques for Understanding, Passing Exams, According to Psychology Principles)

    Study motivation, Study system, Study techniques เทคนิคการเรียน 3 อย่างที่ช่วยชีวิตการเรียนของทุกคนง่ายขึ้น 🔎 Study Motivation แรงจูงใจ Motivation มีทั้งหมด 2 ประเภท 1. Intrinsic motivation แรงจูงใจภายใน ความสนใจ ความภูมิใจ 2. Extrinsic motivation แรงจูงใจภานอก เกรด รางวัล เงิน ตามธรรมชาติแล้ว แรงจูงใจภายนอกจะอายุสั้นกว่าแรงจูงใจภายใน การปรับมุมมองให้สิ่งที่เราต้องเรียนกลายเป็นสิ่งที่เราอยากเรียน การหาว่าสนใจส่วนไหนของสิ่งที่เรียนบ้าง 🔐 Study system ระบบการเรียน การวางแผนการอ่านหนังสือและการแบ่งเวลาในการอ่านหนังสือคือ อ่านเมื่อไหร่และอ่านอย่างไร การปรับแนวคิด อ่านหนังสือเรียนไม่ใช่อ่านสือสอบ กำหนดเวลาอ่านให้เป็น routine จัดเวลาให้เข้ากับชีวิตประจำวัน อย่าพยายามเพิ่มกิจวัตรที่ไม่เข้ากับเรา ตั้งเป้าหมายและความตั้งใจ อ่านแล้วอย่าลืมคิดตาม 📝 Study techniques เทคนิค ความเข้าใจ วาดแผนผังเพิ่มความเข้าใจ Blurting หรือปล่อยใจ การที่เขียนทุกอย่างที่เข้าใจและจำได้ในช่วงเวลานั้นลงกระดาษเปล่าโดยไม่ต้องกลัวผิด ยิ่งสอนยิ่งได้เรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นการสอนตัวเองหรือคนอื่น จะยิ่งเพิ่มความจำและการเรียบเรียงข้อมูล การจำ ทดสอบตัวเอง เช่นการทำแฟลชการ์ดโดยเน้นคำถาม/คำใบ้ที่ทำให้คิดว่าทำไมและอย่างไร ────────────────────────────────────────────────────────────────────── Study Motivation, Study System, Study Techniques: 3 Learning Strategies to Make Studying Easier for Everyone 🔎 Study Motivation Motivation comes in two types: 1. Intrinsic motivation: This is internal motivation driven by interest and pride. 2. Extrinsic motivation: This is external motivation driven by grades, rewards, or money. Naturally, external motivation tends to be shorter-lived than internal motivation. To maintain motivation, try to shift your perspective so that what you need to study becomes something you want to study. Find what interests you about the subject. 🔐 Study System This involves planning your study sessions and managing your time—deciding when and how to study. Change your mindset: Study to learn, not just to pass exams. Set regular study times and make it a routine. Integrate study time into your daily life without adding unnecessary habits. Set clear goals and intentions for your study sessions. Remember to think critically about what you read. 📝 Study Techniques Understanding Draw diagrams or mind maps to improve understanding. Use the "blurting" technique, where you write down everything you understand and remember on a blank paper without worrying about mistakes. Teaching someone else or even yourself can reinforce what you’ve learned, improving memory and organization of information. Memory Test yourself, for example by using flashcards with questions or prompts that encourage you to think about the "why" and "how" behind the answers.

    Aug 22, 2024
    Thumbnail for เรียนคอร์สออนไลน์ระดับโลกเเบบฟรีๆ! (Study Free Online Courses from Top Institutions)

    เรียนคอร์สออนไลน์ระดับโลกเเบบฟรีๆ! (Study Free Online Courses from Top Institutions)

    ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการการศึกษา ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ การเรียนรู้จากสถาบันชั้นนำระดับโลก ซึ่งแต่เดิมต้องใช้ค่าใช้จ่ายมหาศาลกว่าจะสำเร็จการศึกษา ได้กลายเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้แบบไม่มีค่าใช้จ่ายหรือมีค่าใช้จ่ายน้อยมากในปัจจุบัน นับเป็นยุคทองแห่งการเรียนรู้ ที่ผู้เรียนสามารถเข้าถึงองค์ความรู้จากตำราเดียวกัน อาจารย์ผู้สอนคนเดียวกัน จากมหาวิทยาลัยระดับโลกอย่าง MIT สถาบันชั้นนำด้านวิศวกรรม วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี หรือมหาวิทยาลัย Harvard ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในสหรัฐอเมริกา โอกาสทางการศึกษาได้แผ่ขยายอย่างกว้างขวาง เปิดประตูสู่การพัฒนาตนเองและการเรียนรู้อย่างแท้จริง Massachusetts Institute of Technology (MIT) นำเสนอคอร์สเรียนฟรีที่ครอบคลุมศาสตร์หลากหลายสาขา โดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรม ผู้เรียนสามารถเลือกศึกษาได้ตามความสนใจ ทั้งในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท แม้จะไม่มีแบบฝึกหัดหรือการประเมิน แต่เนื้อหาที่นำเสนอมาจากห้องเรียนจริงของมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก edX เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ นำเสนอหลักสูตรจากมหาวิทยาลัยระดับโลก โดยส่วนใหญ่สามารถเข้าเรียนได้ฟรี หากต้องการใบรับรอง ผู้เรียนสามารถทำข้อสอบโดยมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1,500 - 6,000 บาท ขึ้นอยู่กับหลักสูตร นอกจากนี้ยังมีโปรแกรม MicroMasters ที่สามารถนำไปเทียบหน่วยกิตในมหาวิทยาลัยได้ และ Professional Certificate Programs ที่มอบใบรับรองเมื่อเรียนจบ ซึ่งสามารถนำไปเพิ่มในโปรไฟล์ LinkedIn ได้ Coursera นำเสนอหลักสูตรในรูปแบบคล้าย edX แต่มีความหลากหลายทั้งในแง่ราคาและประเภทของคอร์ส โดยร่วมมือกับองค์กรชั้นนำอย่าง Google, IBM และมหาวิทยาลัยชื่อดังอย่าง Stanford และ Imperial College London สำหรับผู้ที่สนใจด้านไอที Udacity เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ นำเสนอหลักสูตรขั้นสูงจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก เช่น Google, AWS, AT&T, IBM และ Lyft ด้วยความหลากหลายของแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์เหล่านี้ ผู้เรียนสามารถเลือกพัฒนาทักษะและความรู้ได้ตามความสนใจและเป้าหมายของตนเอง โดยไม่มีข้อจำกัดด้านสถานที่หรือเวลา ───────────────────────────────────────────────────────────────── In the digital era, educational access has drastically changed, offering free courses from world-renowned institutions. This is a golden age for learning, where students can access knowledge from the same textbooks and instructors at top universities like MIT and Harvard without high costs. Massachusetts Institute of Technology (MIT) offers free courses in science, technology, and engineering, presenting real classroom content without assessments. edX provides courses from global universities. While many are free, certification exams cost around 1,500-6,000 THB. Their MicroMasters and Professional Certificate Programs enhance LinkedIn profiles and can count towards university credits. Coursera collaborates with organizations like Google, IBM, and universities like Stanford and Imperial College London, offering diverse and flexible courses, including free options. Udacity focuses on IT, offering advanced courses from top tech companies like Google, AWS, AT&T, IBM, and Lyft. These platforms allow learners to develop skills and knowledge according to their interests and goals, without location or time constraints.

    Jul 25, 2024
    Thumbnail for คอร์สออนไลน์ฟรีจาก SCB Academy อัพสกิลอย่างไรให้ทันโลกยุคใหม่? (Free)

    คอร์สออนไลน์ฟรีจาก SCB Academy อัพสกิลอย่างไรให้ทันโลกยุคใหม่? (Free)

    การเตรียมตัวและพัฒนาทักษะให้ทันการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง มี 4 กลุ่มทักษะหลักที่ควรเรียนรู้และพัฒนาอย่างเร่งด่วน ได้แก่ ทักษะด้านเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Skills), ทักษะด้านการบริหารจัดการตัวเอง (Self Mastery), ทักษะด้านการคิด (Cognitive Skills), และทักษะด้านการทำงานร่วมกับผู้อื่น (Team Collaboration) คอร์สออนไลน์นี้มีทั้งหมด 12 บทเรียน แบ่งเป็น 3 บทเรียนต่อทักษะ แต่ละบทเรียนมีเป้าหมายในการเสริมสร้างความรู้และทักษะเพื่อความพร้อมในการทำงานในอนาคต ***ตัวอย่างคอร์สเรียน 1. ทักษะด้านเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Skills) "Accelerating productivity and increasing innovative pathways" 1.1 THE 4 TYPES OF ANALYTICS: วิเคราะห์ข้อมูลอย่างไรให้ปัง บทเรียนนี้เปิดมุมมองการวิเคราะห์ข้อมูลในเชิงธุรกิจ สอนโดยคุณจิตราภรณ์ บุญกิตติเจริญ Project Director จาก Data Cafe Thailand โดยมีเป้าหมายให้ผู้เรียนพัฒนาสกิลด้าน Data Analytics เพื่อสร้างผลกระทบทางธุรกิจ (Business Impact) ทักษะนี้แบ่งออกเป็น 2 ด้านหลัก คือด้านเทคนิคและด้านธุรกิจ ถ้าเปรียบง่ายๆว่าคุณเป็นนักรบ ทักษะด้านเทคนิคก็คือการที่คุณฝึกใช้อาวุธ ส่วนการวิเคราะห์เชิงธุรกิจเหมือนกับการที่คุณฝึกกระบวนท่า วิทยายุทธ หรือกลยุทธ์ในการต่อสู้นั่นเอง ลองจินตนาการว่าถ้าคุณมีทักษะทางเทคนิคคุณก็จะได้เป็นทหารเเนวหน้า เเต่ถ้าคุณมีทักษะการวิเคราะห์เชิงกลยุทธิ์ คุณก็จะได้เป็นกุนซือในสนามรบ เเละถ้าคุณมีทั้งสองอย่าง คุณก็จะได้เป็นเเม่ทัพ โดยการวิเคราะห์ข้อมูลเเบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท Descriptive Analytics: วิเคราะห์เพื่อหาปัญหา ว่าเกิดอะไรขึ้น Diagnostic Analytics: วิเคราะห์เพื่อหาสาเหตุของปัญหา Predictive Analytics: ใช้เพื่อวางแผนสำหรับอนาคตที่เกิดขึ้น Prescriptive Analytics: ใช้ข้อมูลเพื่อปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน การเรียนรู้และใช้ทุกระดับของ Analytics จะช่วยสร้างผลกระทบทางธุรกิจที่สำคัญ บทเรียนนี้ตั้งเป้าหมายให้ผู้เรียนมองเห็นและเปิดใจรับข้อมูลเพื่อการพัฒนาทักษะการวิเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพ หลังจากบทเรียนนี้ คุณจะสามารถประเมินทักษะการวิเคราะห์ข้อมูลของคุณว่าเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นหรือไม่ 1.2 Digital Skill: อัพสกิลเพิ่มทักษะก้าวสู่ยุคดิจิทัล ในยุคดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไลฟ์สไตล์ของเราก็มีโลกของดิจิทัลมาเป็นบทบาทสำคัญ ไม่ว่าจะ Account โซเชียลมีเดียของเราที่อาจจะมีมากกว่า 1 บัญชี หรือการใช้งานแอปพลิเคชั่นสั่งอาหารก็ตาม การพัฒนาทักษะดิจิทัลเป็นสิ่งสำคัญมาก บทเรียนนี้นำโดยคุณธนศักดิ์ รัตนหิรัญภรณ์ Managing Director จาก Data Cafe Thailand โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความเข้าใจในทักษะสำคัญที่จำเป็นในยุคดิจิทัล Automation Skill: ช่วยลดงานที่ทำซ้ำๆ ด้วยการใช้โปรแกรมอัตโนมัติ Big Data Technology: ใช้ข้อมูลที่มีอยู่ในการวิเคราะห์และสร้างรายได้ AI Technology: ใช้เทคโนโลยี AI เช่น Generative AI เพื่อให้ได้คำตอบที่ต้องการ ทักษะเหล่านี้เป็นทักษะที่จำเป็นในโลกดิจิทัล 1.3 WHAT IS AI AND HOW DOES IT WORK?: เข้าใจปัญญาประดิษฐ์สู่โลกอนาคต บทเรียนนี้จะสอนเกี่ยวกับความเป็นมาและการทำงานของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต โดยอธิบายหลักการทำงานของ AI ในภาษาที่เข้าใจง่าย 2.ทักษะด้านการบริหารจัดการตนเอง (Self Mastery) "Developing agility, the art of navigating through life" 2.1 LEARNING HOW TO LEARN: เรียนรู้เพื่อเรียนรู้ บทเรียนนี้จะนำคุณไปทำความรู้จักกับวิธีการเรียนรู้ที่ทำให้คุณเก่งกว่าเดิม โดยคุณณิชา นิภาสุวรรณ ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสจาก SCB Academy จะเป็นผู้มาแบ่งปันความรู้ในบทเรียนนี้ การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพสามารถเปลี่ยนความคิดและพัฒนาการเรียนรู้ของคุณให้ก้าวไกลกว่าเดิม บทเรียนนี้จะสำรวจวิธีการคิดและการทำงานของสมอง ซึ่งสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ สมองของคนเรามีความสามารถที่น่าทึ่ง แต่ไม่มีคู่มือการใช้งาน ถ้าคุณรู้วิธีการใช้มัน คุณจะสามารถทำให้สมองของคุณเป็นเครื่องมืออันทรงพลังได้ นอกจากนี้ ยังมีบทเรียนฟรีอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น Problem-Solving by Design Thinking: การแก้ปัญหาโดยวิธีคิดเชิงออกแบบ Critical Thinking: เรียนรู้เทคนิคกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ Effective Communication in Workplace: การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ เเละอื่นๆอีกมากมาย โดยคุณสามารถเข้าไปเรียนบทเรียนเหล่านี้ได้ที่ https://pmdacademy.teachable.com/p/afast_main ──────────────────────────────────────────────────────────────── In the rapidly changing digital era, it’s crucial to prepare and develop skills to keep up with the times. There are four key skill groups everyone should urgently learn and develop: Digital Skills, Self Mastery, Cognitive Skills, and Team Collaboration. This online course includes 12 lessons, divided into three lessons per skill, each designed to enhance your knowledge and skills for future readiness. Sample Courses: 1. Digital Skills "Accelerating productivity and increasing innovative pathways" 1.1 THE 4 TYPES OF ANALYTICS: Analyzing Data Effectively This lesson offers new perspectives on business data analysis, taught by Jitraporn Boonkitticharoen, Project Director at Data Cafe Thailand. The goal is to develop Data Analytics skills to create a Business Impact. These skills are divided into two main areas: technical and business analysis. Imagine being a warrior. technical skills are like training with weapons, while business analysis is like mastering strategies and techniques. If you have technical skills, you're a frontline soldier, with strategic analysis skills, you're a strategist. Having both makes you a commander. Data Analytics is divided into four types: Descriptive Analytics: Identify what happened. Diagnostic Analytics: Determine why it happened. Predictive Analytics: Plan for future events. Prescriptive Analytics: Optimize outcomes for the best results. Learning and applying these analytics levels can significantly impact your business. This lesson aims to help you see and embrace data for skill development. 1.2 Digital Skill: Upskill for the Digital Era In today’s digital age, our lifestyle is heavily influenced by digital technology, from social media accounts to food delivery apps. Led by Tanasak Ruttanahirunporn, Managing Director at Data Cafe Thailand, this lesson aims to enhance your understanding of essential digital skills. Key Digital Skills: Automation Skill: Reduce repetitive tasks with automation programs. Big Data Technology: Analyze data to increase efficiency and revenue. AI Technology: Use AI, such as Generative AI, to get desired results. These skills are essential in the digital world. 1.3 WHAT IS AI AND HOW DOES IT WORK?: Understanding AI for the Future This lesson covers the history, present, and future of Artificial Intelligence (AI), explaining its principles in simple terms. 2. Self Mastery "Developing agility, the art of navigating through life" 2.1 LEARNING HOW TO LEARN: Mastering the Art of Learning This lesson, taught by Nicha Niphasuwan, Senior Expert at SCB Academy, explores effective learning methods to enhance your abilities. Effective learning can transform your thinking and development. This lesson examines how the brain works and how to use it as a powerful tool. Our brains are remarkable, but they don’t come with a manual. Knowing how to use your brain can make it a powerful tool. Other interesting free lessons include: Problem-Solving by Design Thinking Critical Thinking Effective Communication in the Workplace For more lessons, visit https://pmdacademy.teachable.com/p/afast_main

    Jul 2, 2024
    1/16
    การค้นหางาน
    ดูเพิ่มเติม
    Thumbnail for Job Description (JD) คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไรในโลกของการทำงาน

    Job Description (JD) คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไรในโลกของการทำงาน

    เคยเห็นคำว่า Job Description (JD) ในประกาศรับสมัครงานไหม? หลายคนอาจมองข้าม แต่จริง ๆ แล้วมันคือ “หัวใจสำคัญ” ที่บอกทุกอย่างเกี่ยวกับตำแหน่งงาน ตั้งแต่หน้าที่ ความรับผิดชอบ ไปจนถึงคุณสมบัติที่ใช่ของผู้สมัคร มาดูกันว่าทำไม JD ถึงสำคัญกว่าที่คิด! Job Description หรือ JD เป็นเอกสารที่มีการบรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับตำแหน่งงาน ซึ่งรวมถึงหน้าที่ ความรับผิดชอบ คุณสมบัติที่ต้องการ และเงื่อนไขการทำงาน เป็นการสื่อสารที่ชัดเจนระหว่างนายจ้างกับพนักงาน ทำให้ทุกคนเข้าใจว่าตำแหน่งงานนั้นต้องการอะไรบ้าง องค์ประกอบของ JD ที่ควรรู้ การเขียน JD ที่ดี ควรมีองค์ประกอบหลักดังนี้: ชื่อตำแหน่งงาน (Job Title): ชื่อตำแหน่งงานเป็นส่วนแรกและสำคัญที่สุด เพราะเป็นสิ่งที่ใช้ในการอ้างอิงและเรียกตำแหน่งนั้น ชื่อตำแหน่งควรชัดเจน เข้าใจง่าย และสะท้อนภาระงานที่แท้จริงได้ดี  เช่น Marketing Executive, Software Developer, HR Officer เป็นต้น บางองค์กรอาจเพิ่มแผนกหรือระดับความรับผิดชอบ เช่น Senior Marketing Manager (Digital) เพื่อให้เข้าใจได้ทันทีว่าทำงานสายไหนและระดับใด หน้าที่และความรับผิดชอบ (Responsibilities): นี่คือส่วนที่อธิบายว่างานหลักๆ ที่จะต้องทำวันต่อวัน ควรระบุให้ชัดเจนว่า งานอะไรเป็นหน้าที่หลัก งานใดเป็นหน้าที่รอง ใครที่คุณจะต้องรายงานผล ใครที่คุณจะต้องสนับสนุน เช่น สำหรับตำแหน่ง "Marketing Manager" หน้าที่อาจรวมถึง การวางแผนแคมเปญการตลาด  การวิเคราะห์ข้อมูลตลาด และการรายงานผลแก่ผู้บริหาร คุณสมบัติและทักษะที่ต้องการ (Qualifications & Skills): องค์ประกอบนี้ระบุว่าบุคคลต้องมีอะไรเพื่อสำเร็จในตำแหน่งนี้ คุณสมบัติของบุคลากร: ระดับการศึกษา (ปริญญาตรี ปริญญาโท เป็นต้น) ประสบการณ์ที่ต้องการ (เช่น มี 3-5 ปีประสบการณ์ในด้าน Marketing) ความเชี่ยวชาญเฉพาะ (ถ้ามี) ทักษะที่ต้องการ: ทักษะเทคนิค (Technical Skills) เช่น ความสามารถใช้ software, programming languages ทักษะนุ่ม (Soft Skills) เช่น การสื่อสาร การทำงานเป็นทีม ความสามารถในการแก้ปัญหา ทักษะภาษา (ภาษาอังกฤษ, ภาษาไทย) ความสำคัญของ JD ต่อผู้สมัครงาน 1. ความเข้าใจชัดเจน: JD ช่วยให้ผู้สมัครงานรู้ว่างานนี้มีลักษณะอย่างไร ต้องทำอะไร ไม่มีการสับสนหรือความคาดหวังที่ไม่ตรงกัน 2. การเลือกงานที่เหมาะสม: ผู้สมัครสามารถประเมินว่าตนเองเหมาะสมกับตำแหน่งนี้หรือไม่ ก่อนตัดสินใจสมัครงาน  ช่วยประหยัดเวลาของทั้งสองฝ่าย 3. การเตรียมตัวสอบสัมภาษณ์: JD ให้ข้อมูลว่าผู้สมัครควรพัฒนาหรือเตรียมอะไรบ้างเพื่อให้พร้อมสำหรับตำแหน่ง 4. ความยุติธรรมในการประเมิน: ผู้สมัครทุกคนอยู่บนเกณฑ์เดียวกัน เพราะทุกคนรู้ว่าคุณสมบัติและทักษะที่ต้องการคืออะไร ความสำคัญของ JD ต่อองค์กรและ HR 1. การทำให้ชัดเจนบทบาทและความรับผิดชอบ: ช่วยให้พนักงานรู้ว่าต้องทำอะไร ซึ่งลดความสับสนและความขัดแย้งในที่ทำงาน 2. การประเมินผลการทำงาน (Performance Evaluation): เมื่อมี JD ชัดเจน HR สามารถประเมินผลการทำงานของพนักงานได้ยุติธรรมและเป็นตัวเลข ตามผลงานที่คาดไว้ 3. การบริหารเงินเดือนและค่าจ้าง: JD ช่วยให้องค์กรสามารถกำหนดเงินเดือนที่เหมาะสมตามความซับซ้อนของงานและระดับความรับผิดชอบ 4. การติดตามการพัฒนาบุคลากร (Training and Development:) โดยการเลือกหลักสูตรการฝึกอบรมที่ตรงกับความต้องการของงาน 5. การลดการเลือกสรร (Bias Reduction): กำหนดเกณฑ์เดียวกันสำหรับผู้สมัครทั้งหมด ช่วยลดอคติในการสรรหาคนเข้างาน ตัวอย่าง JD จริง Marketing Executive วางแผนและดำเนินการแคมเปญการตลาดออนไลน์ สร้างและจัดการคอนเทนต์บนโซเชียลมีเดีย ประสานงานกับทีมดีไซน์และพาร์ทเนอร์ คุณสมบัติ: จบการศึกษาด้านการตลาดหรือสาขาที่เกี่ยวข้อง มีทักษะการสื่อสารที่ดี รักงานครีเอทีฟ ใช้เครื่องมือโฆษณาออนไลน์ (Facebook Ads, Google Ads) ได้ HR Officer: จัดการงานสรรหาและสัมภาษณ์พนักงาน ดูแลข้อมูลพนักงานและสวัสดิการ สนับสนุนกิจกรรมภายในองค์กร คุณสมบัติ: มีความรู้พื้นฐานด้านกฎหมายแรงงาน ใช้โปรแกรม HRM System ได้ มีทักษะการสื่อสารและประสานงานที่ดี สรุป : ทำไม JD ถึงเป็น “หัวใจ” ของทั้งการหางานและการบริหารงาน Job Description ไม่ใช่เพียงเอกสารแบบฟอร์มทั่วไป แต่เป็นสะพานเชื่อมที่สำคัญระหว่างองค์กรและพนักงาน ประโยชน์ของ JD มีหลายด้าน สำหรับผู้สมัครงาน: JD ให้ความชัดเจนในการเลือกงาน ช่วยลดความผิดหวัง และเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการสัมภาษณ์ สุดท้ายช่วยให้คนที่เหมาะสมสมัครงาน สำหรับองค์กรและ HR: JD ช่วยให้การทำงานประเมินผล บริหารความเสี่ยง และพัฒนาบุคลากรได้อย่างเป็นระบบ ลดปัญหาในการจัดการทรัพยากรบุคคลและช่วยเพิ่มความสำเร็จขององค์กร ดังนั้น JD ที่ดีและชัดเจนจึงเป็นพื้นฐานของการบริหารทรัพยากรบุคคลที่มีประสิทธิภาพ และเป็นหัวใจของกระบวนการหางานและการบริหารงาน ในองค์กรสมัยใหม่ พร้อมหางานที่มี JD ชัดเจนและตรงกับคุณแล้วหรือยัง?  ค้นหางานที่ใช่สำหรับคุณได้ที่ Jobcadu.com

    Oct 20, 2025
    Thumbnail for 5 แหล่งหางานล่าสุด ปี 2025: ได้งานชัวร์ ไม่ต้องง้อป้าข้างบ้าน! | Jobcadu

    5 แหล่งหางานล่าสุด ปี 2025: ได้งานชัวร์ ไม่ต้องง้อป้าข้างบ้าน! | Jobcadu

    ยุคสมัยของการหางานเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในปี 2025! หากใครกำลังมองหางานใหม่ที่ท้าทาย ตรงกับความสามารถ และเป็นก้าวสำคัญในเส้นทางอาชีพ แต่รู้สึกเบื่อหน่ายกับการเลื่อนดู Job Board เดิม ๆ ที่เต็มไปด้วยประกาศซ้ำ ๆ ใช้งานยาก! ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะหมดไป เราได้รวบรวม 5 แหล่งหางานสุดปัง ที่พิสูจน์แล้วว่าได้งานจริง มาดูกันว่ามีที่ไหนบ้างที่จะช่วยให้เราสามารถคว้างานในฝันมาครองได้สำเร็จ! 1. LinkedIn: เครือข่ายมืออาชีพไร้ขีดจำกัด ปลดล็อกโอกาสทางอาชีพของคุณ ในโลกดิจิทัลปัจจุบัน LinkedIn ยังคงเป็นแพลตฟอร์มที่ทรงพลังและจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักหางานมืออาชีพ ด้วยฐานผู้ใช้งานมหาศาลจากทั่วโลก ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสายงานใด LinkedIn ก็สามารถเป็นสะพานเชื่อมคุณกับโอกาสที่น่าตื่นเต้นได้ แพลตฟอร์มนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ที่สำหรับสร้างโปรไฟล์ที่สวยงามเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งรวมประกาศรับสมัครงานจากบริษัทชั้นนำมากมาย ตั้งแต่สตาร์ทอัพไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ระดับโลก คุณสามารถ: สร้างเครือข่ายมืออาชีพ: เชื่อมต่อกับผู้คนในสายงานที่คุณสนใจ สร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับผู้มีประสบการณ์และผู้บริหาร ซึ่งอาจนำไปสู่โอกาสในการทำงานที่ไม่คาดคิด ติดตามบริษัทในฝัน: กดติดตามเพจของบริษัทที่คุณอยากร่วมงานด้วย เพื่อไม่พลาดข่าวสารล่าสุด วัฒนธรรมองค์กร และแน่นอนว่าคือ ตำแหน่งงานว่าง ที่เพิ่งเปิดรับ เรียนรู้และพัฒนาทักษะ: LinkedIn Learning มีคอร์สเรียนออนไลน์มากมายที่ช่วยเพิ่มพูนทักษะที่ตลาดแรงงานต้องการ ทำให้โปรไฟล์ของคุณโดดเด่นเหนือคู่แข่ง เคล็ดลับสำคัญ: อัปเดตโปรไฟล์ LinkedIn ของคุณให้ครบถ้วนและน่าสนใจอยู่เสมอ ใส่ใจรายละเอียดในส่วนของประสบการณ์การทำงาน ทักษะ และโครงการที่คุณเคยทำ รวมถึงใช้ (Keywords) ที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่คุณต้องการ เพื่อให้ Recruiter ค้นหาคุณเจอได้ง่ายขึ้นและเห็นถึงศักยภาพของคุณ! 2. เว็บไซต์บริษัทโดยตรง: ทางลัดสู่ตำแหน่งที่ใช่ เข้าถึงโอกาสก่อนใคร บ่อยครั้งที่ตำแหน่งงานดีๆ โอกาสทองที่แท้จริง ไม่ได้ถูกประกาศบน Job Board ทั่วไป แต่จะถูกโพสต์ไว้บน เว็บไซต์ของบริษัทโดยตรง การเข้าไปสำรวจหน้า "Careers," "Join Us," หรือ "ร่วมงานกับเรา" บนเว็บไซต์ของบริษัทที่คุณสนใจโดยตรง จึงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการเข้าถึงโอกาสงานก่อนใคร และที่สำคัญคือได้ข้อมูลที่แม่นยำที่สุดเกี่ยวกับตำแหน่งนั้นๆ ความได้เปรียบในการแข่งขัน: คุณมักจะได้เห็นตำแหน่งงานที่เพิ่งเปิดใหม่เป็นคนแรกๆ ซึ่งหมายถึงโอกาสที่คุณจะสมัครและได้รับการพิจารณาก่อนคู่แข่งคนอื่นๆ ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับองค์กร: การสำรวจเว็บไซต์บริษัทโดยตรงช่วยให้คุณได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมองค์กร วิสัยทัศน์ พันธกิจ และผลิตภัณฑ์หรือบริการของบริษัท ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ในการเขียนจดหมายสมัครงานและเตรียมตัวสัมภาษณ์ ขั้นตอนการสมัครที่รวดเร็ว: บางครั้งการสมัครผ่านเว็บไซต์บริษัทโดยตรงอาจมีขั้นตอนที่กระชับและรวดเร็วกว่า ช่วยให้คุณประหยัดเวลาและสมัครได้ทันท่วงที เคล็ดลับสำคัญ: สร้าง ลิสต์รายชื่อบริษัทในฝัน ของคุณ และหมั่นเข้าไปตรวจสอบหน้าสมัครงานของบริษัทเหล่านั้นเป็นประจำ โดยเฉพาะบริษัทที่คุณเล็งไว้เป็นพิเศษ การตั้งค่าการแจ้งเตือน (Job Alert) หากมีให้ ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยให้คุณไม่พลาดโอกาส! 3. กิจกรรมและงานอีเวนต์สายอาชีพ: โอกาสทองของการสร้างคอนเนกชั่นและพบปะผู้คนตัวจริง ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมหาศาล การกลับไปสู่การสร้างคอนเนกชั่นแบบออฟไลน์ก็ยังคงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง งานอีเวนต์สายอาชีพ งานสัมมนา หรือแม้แต่งาน Meetup เฉพาะทาง สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่คุณสนใจ เป็นโอกาสอันดีเยี่ยมในการสร้างเครือข่ายที่มีคุณค่าและค้นพบโอกาสใหม่ๆ พบปะผู้คนในอุตสาหกรรม: คุณจะได้พบปะและพูดคุยกับผู้ที่ทำงานในสายงานเดียวกันหรือสายงานที่คุณสนใจโดยตรง ซึ่งอาจเป็นผู้จัดการ ผู้บริหาร หรือแม้แต่ Recruiter จากบริษัทชั้นนำ การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีสามารถนำไปสู่การแนะนำงานในอนาคต เรียนรู้เทรนด์ใหม่ๆ และอัปเดตความรู้: งานอีเวนต์เหล่านี้มักมีการบรรยายหรือเวิร์คช็อปที่ให้ความรู้เกี่ยวกับเทรนด์ล่าสุดในอุตสาหกรรม ทักษะที่ตลาดต้องการ และนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งจะช่วยให้คุณพัฒนาตัวเองและเพิ่มโอกาสในการได้งาน โอกาสในการรับสมัครงาน ณ สถานที่: หลายครั้งที่บริษัทมาเปิดบูธและรับสมัครพนักงานในงานเลย คุณอาจได้โอกาสในการสัมภาษณ์เบื้องต้น หรือยื่นใบสมัครและพูดคุยกับผู้จัดการฝ่ายบุคคลโดยตรงในงาน เคล็ดลับสำคัญ: เตรียม เรซูเม่ฉบับย่อ ที่กระชับและโดดเด่น รวมถึง นามบัตร ของคุณติดตัวไปด้วย เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการแนะนำตัวเองสั้นๆ (Elevator Pitch) ที่กระชับ น่าสนใจ และสื่อถึงสิ่งที่คุณต้องการและสิ่งที่คุณสามารถทำได้ 4. Referral Programs: เครือข่ายภายในคือพลัง สู่การได้งานที่คุณต้องการ การฝากเพื่อนหรือคนรู้จักแนะนำงาน หรือที่เรียกว่า Referral Program เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่มีประสิทธิภาพสูงมากในการหางาน และมักถูกมองข้ามไป หลายบริษัททั่วโลกนิยมการจ้างงานผ่านช่องทางนี้เป็นอย่างมาก เพราะเชื่อมั่นในคุณภาพของผู้สมัครที่ได้รับการแนะนำมาจากพนักงานภายในองค์กรของตนเอง ความน่าเชื่อถือที่สูงกว่า: ผู้สมัครที่ถูกแนะนำมักจะได้รับความสนใจเป็นพิเศษจาก Recruiter เนื่องจากเป็นการกรองเบื้องต้นจากพนักงานที่รู้จักทั้งวัฒนธรรมองค์กรและความต้องการของตำแหน่งงานนั้นๆ โอกาสได้งานที่สูงกว่า: มีสถิติชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ผู้สมัครที่มาจากการแนะนำมีโอกาสได้งานสูงกว่าผู้สมัครจากช่องทางอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ กระบวนการที่รวดเร็ว: บางครั้งกระบวนการคัดเลือกผู้สมัครที่มาจากการแนะนำอาจรวดเร็วกว่า เพราะมีการรับรองจากคนภายในองค์กร เคล็ดลับสำคัญ: สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงานเก่า อาจารย์ หรือคนรู้จักที่ทำงานในบริษัทที่คุณสนใจ อย่าลังเลที่จะแจ้งให้พวกเขาทราบว่าคุณกำลังมองหางาน และให้ข้อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติ ทักษะ และตำแหน่งที่คุณสนใจอย่างชัดเจน เพื่อให้พวกเขาสามารถแนะนำคุณได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม 5. Jobcadu: แหล่งรวมโอกาสงานสายอาชีพที่คุณไม่ควรมองข้าม พร้อมโอกาสเติบโตไม่จำกัด ในฐานะที่คุณกำลังมองหางานที่ตรงสายอาชีพ ต้องการแพลตฟอร์มที่เข้าใจความต้องการของทั้งผู้สมัครและบริษัท และต้องการตัวช่วยที่นำไปสู่โอกาสในการเติบโตในระยะยาว Jobcadu คือแหล่งหางานที่ออกแบบมาเพื่อคุณโดยเฉพาะ! เราไม่ได้เป็นเพียงแค่แพลตฟอร์มรวมประกาศงาน แต่เราคือ พันธมิตรที่เข้าใจในเส้นทางอาชีพของคุณ เรามุ่งเน้นที่การจับคู่ผู้สมัครที่มีทักษะ ประสบการณ์ และความสนใจที่ตรงกับตำแหน่งงานที่ใช่ในบริษัทที่เหมาะสมที่สุด ทำให้คุณไม่ต้องเสียเวลาไปกับการค้นหาที่ไม่ตรงจุดและพบกับความผิดหวัง Jobcadu แตกต่างอย่างไร? เน้นความตรงจุด: เราคัดสรรตำแหน่งงานคุณภาพที่ตรงกับสายอาชีพและความต้องการของคุณอย่างแท้จริง ลดเวลาในการค้นหาและเพิ่มโอกาสในการได้งานที่ใช่ โอกาสเติบโตในระยะยาว: เราไม่เพียงแค่หา "งาน" ให้คุณ แต่เราหา "โอกาส" ที่จะช่วยให้คุณเติบโตในสายอาชีพ สร้างทักษะใหม่ๆ และก้าวหน้าในอนาคต ระบบจับคู่ที่ชาญฉลาด: แพลตฟอร์มของเราใช้เทคโนโลยีในการช่วยคัดกรองและนำเสนอตำแหน่งที่เหมาะสมกับโปรไฟล์ของคุณมากที่สุด ทำให้คุณได้รับแต่ประกาศงานที่เกี่ยวข้องและมีแนวโน้มจะได้งานสูง เป็นมากกว่า Job Board: เราให้คำแนะนำและข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอาชีพของคุณ เพื่อให้คุณพร้อมสำหรับการแข่งขันในตลาดแรงงานปี 2025 อย่ารอช้า! เริ่มต้นเส้นทางอาชีพใหม่ที่น่าตื่นเต้นกับ Jobcadu Jobs วันนี้! ลงทะเบียนสร้างโปรไฟล์ของคุณ และค้นพบโอกาสงานที่รอคุณอยู่ เราพร้อมสนับสนุนคุณในการก้าวไปสู่เป้าหมายในอาชีพ และประสบความสำเร็จในแบบที่คุณวาดฝันไว้ สรุป: การหางานในปี 2025 ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ Job Board ทั่วไปอีกต่อไป การเปิดใจและใช้ประโยชน์จาก 5 แหล่งหางานที่เราแนะนำ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเครือข่ายผ่าน LinkedIn การค้นหาโอกาสบน เว็บไซต์บริษัทโดยตรง การเข้าร่วม กิจกรรมและงานอีเวนต์สายอาชีพ การใช้พลังของ Referral Programs หรือการเริ่มต้นเส้นทางกับ Jobcadu ที่จะช่วยจับคู่คุณกับโอกาสที่ใช่ ทั้งหมดนี้จะเพิ่มโอกาสให้คุณได้งานที่ตรงใจ ได้งานชัวร์ และประสบความสำเร็จในเส้นทางอาชีพอย่างที่คุณต้องการ!

    Jun 11, 2025
    Thumbnail for รวม 23 เหตุผลไม่เสี่ยงตุ้บ! เมื่อต้องตอบ HR ว่า 'ทำไมถึงลาออกจากที่ทำงานเก่า?' พร้อมเทคนิคการตอบที่เหมาะสมและไม่ทำให้คุณดูแย่

    รวม 23 เหตุผลไม่เสี่ยงตุ้บ! เมื่อต้องตอบ HR ว่า 'ทำไมถึงลาออกจากที่ทำงานเก่า?' พร้อมเทคนิคการตอบที่เหมาะสมและไม่ทำให้คุณดูแย่

    การถูก HR ถามว่า "ทำไมถึงลาออกจากที่ทำงานเก่า?" ในการสัมภาษณ์อาจทำให้ใครหลายคนที่กำลังมองหางานใหม่ รู้สึกเครียด กังวล และ รู้สึกยากลำบากในการตอบไม่ว่าจะเป็นเหตุผลอย่างไรก็ตามแต่  วันนี้ Jobcadu จึงได้รวบรวม 23 เหตุผลที่สามารถใช้เป็นแนวทางในการตอบได้พร้อมเทคนิคการตอบแบบมืออาชีพ ให้โดนใจผู้สัมภาษณ์ จะมีเหตุผลใดบ้าง มาดูกันเลย! 1.ต้องการโอกาสก้าวหน้าในอาชีพ: ที่เดิมไม่มีโอกาสเติบโตตามที่คาดหวัง 2.ต้องการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ: อยากพัฒนาตัวเองในสายงานที่ท้าทายขึ้น 3.อยากเปลี่ยนสายงาน: สนใจงานที่เหมาะสมกับเป้าหมายระยะยาวของตัวเอง 4.ต้องการรายได้ที่สอดคล้องกับประสบการณ์: เงินเดือนที่เดิมไม่ตอบโจทย์การเติบโต 5.อยากหาสมดุลระหว่างงานและชีวิต (Work-Life Balance): ที่ทำงานเก่าให้ทำงานนอกเวลา ทำให้ไม่สามารถจัดการเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ 6.ปัญหาสุขภาพ: งานที่เดิมมีผลกระทบต่อสุขภาพทางกายและทางใจ เช่น โรคเครียดสะสม หรือการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ 7.ย้ายที่อยู่อาศัย: ไม่สะดวกเดินทางหรือย้ายถิ่นฐาน 8.องค์กรปรับโครงสร้าง: บริษัทมีการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อหน้าที่งาน 9.เลิกจ้าง/ลดพนักงาน: บริษัทปรับลดจำนวนพนักงานหรือปิดแผนก 10.ต้องการหาสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีกว่า: บรรยากาศที่ทำงานไม่เหมาะกับสไตล์ของตนเอง 11.ต้องการทำงานในบริษัทที่มั่นคงกว่า: บริษัทเก่ามีปัญหาทางการเงินหรืออนาคตไม่แน่นอน 12.ขาดโอกาสในการพัฒนาตัวเอง: ไม่มีการอบรมหรือพัฒนาในสายงาน 13.สไตล์การทำงานของทีมไม่เท่ากัน: ทำให้การจัดการงานหรือบริหารงานได้ไม่เหมาะสม 14.ต้องการทำงานที่ท้าทายขึ้น: งานที่เดิมซ้ำซากและไม่มีโอกาสเรียนรู้เพิ่ม 15.หมดสัญญาจ้าง: เป็นงานสัญญาระยะสั้น และไม่มีการต่อสัญญา 16.เปลี่ยนแปลงเป้าหมายชีวิต: มองหาอาชีพที่ตอบโจทย์เป้าหมายชีวิตใหม่ 17.ต้องการอิสระในการทำงานมากขึ้น: อยากทำงานที่มีความยืดหยุ่นกว่า 18.บริษัทมีปัญหาด้านวัฒนธรรมองค์กร: ค่านิยมและวัฒนธรรมไม่ตรงกับแนวทางของตัวเอง 19.ไม่มีความมั่นคงในการทำงาน: มีการเปลี่ยนแปลงบ่อยจนไม่แน่ใจในอนาคต 20.อยากทำงานในบริษัทที่มีชื่อเสียงหรือเป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรม 21.บริษัทไม่มีสวัสดิการที่ครอบคลุมมากพอ: อยากได้สวัสดิการที่ตอบโจทย์มากขึ้น 22.มีโอกาสที่ดีกว่าเข้ามา: ได้รับข้อเสนอที่น่าสนใจมากกว่าจากที่อื่น 23.เปลี่ยนแปลงเส้นทางอาชีพเพื่อความสุขในการทำงาน: งานที่เดิมไม่ตอบโจทย์ความสุขและความพึงพอใจ ข้อควรคำนึงในการตอบคำถามสัมภาษณ์ให้ดูเป็นมืออาชีพ 1.ตอบให้เป็นเชิงบวก: ไม่ตำหนิที่ทำงานเก่า แม้จะมีปัญหาก็ตาม และต้องพูดและอธิบายให้เข้าใจอย่างชัดเจนว่าตนเองต้องการอะไร รวมถึงสิ่งที่ต้องการจะเป็นประโยชน์อย่างไร 2.เน้นการพัฒนาและการเติบโต: แสดงให้เห็นว่าคุณต้องการพัฒนา ไม่ใช่แค่หนีปัญหา เน้นย้ำถึงประสบการณ์และทักษะที่เราได้รับมา แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของตัวเราที่ทำให้เราเหนือกว่า Candidate คนอื่นๆ 3.กระชับและตรงประเด็น: ไม่ต้องลงรายละเอียดมากเกินไป แต่ต้องเป็นความจริง ไม่โกหกหรือพูดเกินจริง และเลี่ยงการแชร์ข้อมูลที่เป็นส่วนตัวมากจนเกินไป 4.ใช้ภาษาสุภาพ: ไม่ใช้คำศัพท์แสลงหรืออุทานไปด้วย ณ ขณะที่พูด และมีหางเสียงทุกครั้งที่พูดกับผู้สัมภาษณ์ เพื่อแสดงถึงความเป็นมืออาชีพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในการตอบคำถาม 'ทำไมถึงลาออกจากที่ทำงานเก่า?' 1.ตำหนิที่ทำงานเก่า หัวหน้า หรือเพื่อนร่วมงาน: การพูดเชิงลบจะทำให้ HR มองว่าเราอาจมีปัญหาในการทำงานกับคนอื่น มีทัศนคติเชิงลบ กลัวจะมีปัญหาในที่ทำงานในอนาคต เลยอาจจะปัดคุณตกจาก candidate ทันทีจากการได้ฟังคำตอบ 2.พูดว่า "เงินเดือนน้อยไป" หรือ "ต้องการเงินเดือนสูงขึ้น" ตรงๆ: ควรใช้คำที่ดูเป็นมืออาชีพ เช่น "ผม/ดิฉันต้องการโอกาสที่เหมาะสมกับประสบการณ์และความสามารถมากขึ้น" เพื่อไม่ให้ HR รู้สึกว่ามุ่งเน้นเพียงแต่เรื่องเงินเท่านั้น 3.บอกว่า "เบื่องาน" หรือ "งานเก่าน่าเบื่อ": ควรใช้คำที่ดูสร้างสรรค์กว่า เช่น "ต้องการงานที่ช่วยให้พัฒนาทักษะใหม่ๆ และท้าทายมากขึ้น" เพราะอาจทำให้ HR รู้สึกว่าคุณไม่มืออาชีพและรู้สึกว่าคุณเป็นคนเบื่อง่ายจนเกินไป กลัวคุณจะเข้ามาทำงานไม่นาน หากงานใหม่ทำให้คุณเบื่ออีกครั้ง เพราะองค์กรไหนๆก็ต้องการพนักงานที่จะเข้ามาทำงานกับองค์กรนั้นๆไปยาวๆ 4.ให้รายละเอียดเชิงลบเกี่ยวกับปัญหาภายในบริษัทเดิม: HR อาจมองว่าเรานำเรื่องภายในมาพูดลับหลัง และอาจทำแบบเดียวกันกับที่ใหม่ ทำให้ HR เกิดความไม่ไว้วางใจและไม่เลือกคุณเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในบริษัท 5.ตอบแบบไม่ชัดเจนหรือไม่มั่นใจ: ควรเตรียมคำตอบให้ชัดเจน เพื่อให้ HR เห็นว่าเรามีเหตุผลที่ดีและมีเป้าหมาย การตอบอย่างครุมเครือหรือลังเล จะทำให้ HR เกิดความสงสัยว่าเราอยากมาทำงานที่นี่จริงไหม 6.พูดถึงปัญหาส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับงาน: ควรแยกเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องงาน เพื่อให้ดูเป็นมืออาชีพ เพื่อให้ HR รู้สึกเชื่อใจคุณในระดับหนึ่งว่า หากได้คุณมาร่วมทีม ไม่ว่าในอนาคตจะเกิดปัญหาใดขึ้นเรื่องงาน คุณจะสามารถแก้ปัญหาในงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่ไม่ปนเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว 7.พูดว่า "ฉันไม่รู้" หรือ "ไม่อยากตอบ": การตอบแบบนี้ทำให้ HR รู้สึกว่าเราไม่มีเป้าหมายชัดเจน และเป็นการเสียมารยาทในการตอบคำถามสัมภาษณ์เป็นอย่างมาก ทุกคนสามารถนำไปเป็นไอเดียในการสัมภาษณ์ได้ และอย่าลืมยื่นที่อื่นไว้ด้วยล่ะ หรือถ้ายังไม่รู้จะหาแหล่งงานที่มีคุณภาพ งานที่ใช่และตรงใจ หรืออยากเรียนรู้เกี่ยวกับคอนเทนต์หางานอีก ก็สามารถเข้ามาดูเพิ่มเติม ได้ที่ Job Portal เรารวมไว้ให้คุณทั้งหมดแล้วไว้ที่นี่

    Mar 31, 2025
    Thumbnail for เคล็ดลับการสร้างเครือข่ายที่ได้ผลจริง: วิธีสร้างคอนเนคชั่นเพื่อเพิ่มโอกาสในอาชีพ

    เคล็ดลับการสร้างเครือข่ายที่ได้ผลจริง: วิธีสร้างคอนเนคชั่นเพื่อเพิ่มโอกาสในอาชีพ

    Networking ที่ไม่ใช่แค่เรื่องทั่วไป คำแนะนำเกี่ยวกับ Networking ที่มักจะฟังดูคล้ายกันเสมอ "ออกไปพบปะผู้คน" "เป็นตัวของตัวเอง" "สร้างความสัมพันธ์" แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราจะนำสิ่งเหล่านี้ไปใช้จริงได้อย่างไร? ความจริงก็คือ คนส่วนใหญ่เริ่มต้น Networking เมื่อพวกเขาต้องการบางอย่างเท่านั้น ลือ แล้วก็มักจะประสบปัญหาเหล่านี้: ไม่รู้จะติดต่อคนอื่นอย่างไรโดยไม่รู้สึกแปลกๆ รู้สึกเหมือนไม่มีอะไรดีๆ ที่จะนำเสน สร้างคอนเนคชั่นแต่ลืมที่จะติดต่อกลับไป ข่าวดีคือ การสร้างเครือข่ายไม่จำเป็นต้องเป็นคนเก่งด้านการเข้าสังคมหรือมีรายชื่อติดต่อมากมาย แต่เป็นเรื่องของการที่จะทำอย่างไรให้คนนึกถึงคุณในทางที่ดี และอยากช่วยเหลือคุณ เเละนี่คือ 6 ขั้นตอนในการสร้างเครือข่ายที่ได้ผลจริง! 1. ทำไม Networking ถึงสำคัญ (และทำไมหลายคนทำผิดวิธี) คนส่วนใหญ่มักทำ Networking ผิดพลาดด้วยการ 🔹 ติดต่อคนอื่นเฉพาะเวลาที่ต้องการบางอย่าง (“ช่วยแนะนำงานให้หน่อยได้ไหม?”) 🔹 สร้างคอนเนคชั่นแต่ไม่เคยติดต่อกันอีก 🔹 อยู่แต่ในกลุ่มคนที่รู้จักอยู่แล้วแทนที่จะเปิดรับคนใหม่ ๆ ✅ สิ่งที่ได้ผลจริง ✔ ทำให้คนอื่นนึกถึงคุณ – หากไม่มีใครจำคุณได้ โอกาสที่เหมาะสมก็จะไม่มาถึง ✔ ให้สิ่งที่มีค่าแก่คนอื่นก่อนจะขออะไร – Networking ไม่ใช่แค่เรื่องที่ว่าใครช่วยเราได้ แต่ยังเกี่ยวกับสิ่งที่เราสามารถให้พวกเขาได้ด้วยเช่นกัน ✔ รักษาความสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ – คนที่ได้รับโอกาสจาก Networking มากที่สุด คือคนที่ติดต่อกันเรื่อย ๆ ไม่ใช่แค่เวลาต้องการบางอย่าง 💡 ความจริงที่ต้องยอมรับ: ถ้ากลยุทธ์ของคุณมีแค่ “รู้จักคนให้มากขึ้น” นั่นหมายความว่าคุณกำลังเสียเวลาเปล่า เป้าหมายของ Networking ไม่ใช่แค่การรู้จักคน แต่คือการทำให้พวกเขานึกถึงคุณเสมอเมื่อถึงเวลาสำคัญ 2. จะทำ Networking ที่ไหนดี? คุณอาจเคยได้ยินคำแนะนำเดิม ๆ เช่น “ไปงานอีเวนต์ของอุตสาหกรรมที่คุณสนใจ” แต่มันไม่ได้เกี่ยวกับว่าไปที่ไหน มันเกี่ยวกับวิธีที่คุณใช้โอกาสเหล่านั้นให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร ✅ ช่องทาง Networking ที่ได้ผลจริง 🔹 LinkedIn & ชุมชนออนไลน์ ✔ ค้นหาผู้คนในสายงานของคุณและแสดงความคิดเห็นในโพสต์ของพวกเขาก่อนส่งคำขอเชื่อมต่อ ✔ เข้าร่วมกลุ่ม LinkedIn ที่เกี่ยวข้อง และเข้าร่วมการสนทนา (อย่าเป็นแค่ผู้สังเกตการณ์) ✔ ส่งข้อความส่วนตัวเมื่อเชื่อมต่อ (“ฉันชอบโพสต์ของคุณเกี่ยวกับ [หัวข้อ] — ยินดีที่ได้เชื่อมต่อกันครับ/ค่ะ”) 🔹 เครือข่ายเดิมของคุณ (ที่ถูกมองข้ามมากที่สุด) ✔ ติดต่อเพื่อนร่วมงานเก่า เพื่อนมหาวิทยาลัย หรืออาจารย์ที่เคยสอนคุณ พวกเขารู้จักคุณอยู่แล้ว จึงง่ายกว่าการเริ่มจากศูนย์ ✔ ตัวอย่างข้อความ: “สวัสดี [ชื่อ] ไม่ได้คุยกันนานเลย! อยากนัดเจอพูดคุยกันสักหน่อย สนใจดื่มกาแฟด้วยกันอาทิตย์หน้าไหม?” ✔ แม้ว่าพวกเขาจะช่วยคุณโดยตรงไม่ได้ แต่พวกเขาอาจจะแนะนำคุณให้กับคนที่ช่วยได้ 🔹 งาน Meetup, กิจกรรมเฉพาะกลุ่ม & การนัดคุยแบบตัวต่อตัว ✔ หลีกเลี่ยงอีเวนต์ใหญ่ที่ทุกคนแค่แลกนามบัตร ✔ มองหากิจกรรมที่เล็กและเฉพาะกลุ่ม ที่คุณสามารถมีบทสนทนาที่ละเอียดลึกซึ้งมากขึ้น ✔ วิธีที่ดีที่สุดคือการนัดพบเพื่อพูดคุยแบบตัวต่อตัว 🔹 Networking ภายในองค์กร ✔ คนในองค์กรของคุณอาจเป็นคอนเนคชั่นที่ดีที่สุดสำหรับโอกาสในอนาคต ✔ พูดคุยกับคนในแผนกอื่น ๆ 3. จะพูดคุยกับคนอื่นอย่างไร (โดยไม่ให้รู้สึกแปลก ๆ) ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุดคือ การทำให้การสนทนาเป็นเรื่องของตัวเองมากเกินไป ใช้แนวทางนี้แทน ✔ เริ่มด้วยความอยากรู้ – ผู้คนชอบพูดถึงตัวเอง ถามพวกเขาเกี่ยวกับงานหรือประสบการณ์ของพวกเขา ✔ หาจุดร่วม – อาจเป็นมหาวิทยาลัยเดียวกัน สนใจเรื่องเดียวกัน หรือทำงานในอุตสาหกรรมเดียวกัน ✔ เปิดโอกาสให้มีการพูดคุยต่อไป – “เรามาคุยกันต่ออีกนะครับ/ค่ะ ผม/ฉันอยากฟังเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้” 4. วิธีติดตามผล: ทำอย่างไรให้คนยังนึกถึงคุณ Networking ไม่ใช่แค่รู้จักกันแล้วจบไป มันเกี่ยวกับการรักษาความสัมพันธ์ไว้ให้ยืนยาว ระบบติดตามผลง่าย ๆ ✔ ภายใน 24-48 ชั่วโมง ส่งข้อความสั้น ๆ ขอบคุณสำหรับการพูดคุย ✔ ทุกๆ 2-3 เดือน ไลค์และคอมเมนต์โพสต์ของพวกเขา ส่งข้อความถามสารทุกข์สุกดิบ แชร์สิ่งที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับอุตสาหกรรมของพวกเขา ✔ เมื่อคุณต้องการขอความช่วยเหลือ อย่าถามแบบกะทันหัน แต่ให้สร้างบทสนทนาก่อน 5. ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการทำ Networking 🚫 ส่งข้อความไม่ชัดเจน 🚫 พูดถึงแต่ตัวเอง 🚫 ไม่ติดตามผล 🚫 Networking แค่ตอนที่ต้องการงาน 6. Networking Challenge: ลงมือทำในสัปดาห์นี้! ✅ ติดต่อ 3 คนที่คุณไม่ได้คุยมานาน ✅ คอมเมนต์โพสต์บน LinkedIn ของ 3 คนที่คุณชื่นชม ✅ นัดคุยแบบตัวต่อตัว (ออนไลน์หรือออฟไลน์) ✅ ติดตามผลกับคนที่คุณพบเจอเมื่อไม่นานนี้ คนที่ประสบความสำเร็จใน Networking ไม่ใช่คนที่พูดเก่งที่สุด แต่คือคนที่สามารถแสดงคุณค่า เชื่อมต่อกับผู้อื่นอย่างสม่ำเสมอ และรักษาความสัมพันธ์ไว้ได้อยู่เสมอ

    Feb 24, 2025
    Thumbnail for คู่มือสำหรับนักศึกษาจบใหม่: ทัศนคติที่ถูกต้องในการหางานเพื่อให้ได้งานเร็วขึ้น

    คู่มือสำหรับนักศึกษาจบใหม่: ทัศนคติที่ถูกต้องในการหางานเพื่อให้ได้งานเร็วขึ้น

    การก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงานเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับเด็กจบใหม่ หลายคนส่งใบสมัครไปมากมายแต่ไม่ได้รับการตอบกลับ หรือรู้สึกว่าบริษัทต้องการประสบการณ์ที่ตนเองยังไม่มี อีกทั้งยังต้องแข่งขันกับผู้สมัครที่เพิ่งจบการศึกษาคนอื่นๆ สิ่งที่สร้างความแตกต่างระหว่างผู้สมัครที่ประสบความสำเร็จกับคนที่ยังหางานไม่ได้ ไม่ใช่แค่เรซูเม่ แต่มันคือ "มุมมองและทัศนคติ" 1.ทำไมมุมมองจึงสำคัญกว่าประสบการณ์สำหรับเด็กจบใหม่ หลายคนเชื่อว่าการขาดประสบการณ์เป็นอุปสรรคใหญ่ในการได้งานแรก แต่ในความเป็นจริง นายจ้างมักให้ความสำคัญกับ "ทัศนคติที่ดี" มากกว่าประสบการณ์เสียอีก พวกเขาต้องการคนที่กระตือรือร้นในการเรียนรู้, ปรับตัวได้ดี และพร้อมเติบโตไปกับองค์กร 2.มุมมองที่เด็กจบใหม่ควรมีเพื่อหางานได้เร็วขึ้น หากต้องการเพิ่มโอกาสในการได้งาน คุณควรปรับมุมมองให้เหมาะสมด้วยคุณสมบัติต่อไปนี้: อดทนและมีความยืดหยุ่น: การถูกปฏิเสธเป็นเรื่องปกติ ทุก "ไม่" จะพาคุณเข้าใกล้ "ใช่" มากขึ้น มีความอยากรู้และเรียนรู้อย่างกระตือรือร้น: ศึกษาแนวโน้มอุตสาหกรรม ฝึกฝนทักษะใหม่ๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ตัวเอง ปรับตัวได้ดี:เปิดใจรับตำแหน่งงาน อุตสาหกรรม หรือสถานที่ทำงานที่หลากหลายเพื่อเพิ่มโอกาส มั่นใจและเชื่อมั่นในตัวเอง: คุณมีทักษะที่มีค่า เพียงแค่ต้องรู้จักดึงจุดแข็งมาใช้ให้เกิดประโยชน์ 3.วิธีรักษาแรงจูงใจระหว่างการหางาน การหางานอาจทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า แต่การรักษาแรงจูงใจเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ ลองใช้กลยุทธ์เหล่านี้: ตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้: แทนที่จะสมัครงานจำนวนมากแบบหว่านแห ให้เน้นที่คุณภาพของใบสมัคร ติดตามความคืบหน้า: ใช้ไฟล์สเปรดชีตเพื่อตรวจสอบผลตอบรับ และปรับปรุงแนวทางของคุณ สร้างเครือข่ายอย่างชาญฉลาด: ติดต่อมืออาชีพในอุตสาหกรรมที่สนใจ, เข้าร่วมงานแฟร์ และหาที่ปรึกษา ดูแลสุขภาพจิต: ออกกำลังกาย, ฝึกสมาธิ และพักเมื่อรู้สึกเครียด 4.กลยุทธ์เชิงปฏิบัติเพื่อเพิ่มความมั่นใจและโดดเด่นกว่าใคร แม้ว่าการมีมุมมองที่ดีจะสำคัญ แต่การลงมือทำก็เป็นหัวใจหลักของความสำเร็จ นี่คือสิ่งที่คุณสามารถทำได้: ปรับแต่งเรซูเม่และจดหมายสมัครงาน: ชูจุดเด่นของทักษะที่สามารถถ่ายทอดได้ (Transferable Skills) และทำให้แต่ละใบสมัครตรงกับงานนั้นๆ สร้างโปรไฟล์ LinkedIn ที่แข็งแกร่ง: แสดงทักษะ โปรเจกต์ และใบรับรองของคุ ใช้เทคนิคการเล่าเรื่องในการสัมภาษณ์:ตอบคำถามสัมภาษณ์โดยใช้วิธี STAR (Situation, Task, Action, Result) ทำโปรเจกต์เสริมหรือรับงานฟรีแลนซ์:สร้างประสบการณ์และพอร์ตโฟลิโอเพื่อแสดงความสามารถ การหางานก็เหมือนกับการวิ่งมาราธอน ไม่ใช่การวิ่งระยะสั้น มองการสัมภาษณ์เป็นโอกาสในการเรียนรู้ ไม่ใช่จุดหมายปลายทาง ทุกคนที่ประสบความสำเร็จเคยเป็นเด็กจบใหม่มาก่อน เส้นทางของคุณเพิ่งเริ่มต้น และมุมมองที่ถูกต้องจะนำคุณไปสู่ความสำเร็จในระยะยาว

    Feb 6, 2025
    Thumbnail for ถ้าเขาย้อนเวลาได้ นี่คือวิธีที่เขาจะเรียนรู้การตลาดดิจิทัล

    ถ้าเขาย้อนเวลาได้ นี่คือวิธีที่เขาจะเรียนรู้การตลาดดิจิทัล

    ผู้พูดแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกที่มีค่าเกี่ยวกับวิธีที่เขาจะเข้าถึงการเรียนรู้การตลาดดิจิทัล หากเขาสามารถเริ่มต้นอาชีพใหม่ได้ เขาเน้นย้ำถึงความสำคัญของการมุ่งเน้นที่หนึ่งด้าน การทำความเข้าใจพื้นฐาน การฝึกฝน การสร้างเครือข่าย และการหลีกเลี่ยงทางลัด รวมถึงขั้นตอนการเรียนรู้ กลยุทธ์การสร้างเครือข่าย และเส้นทางต่างๆ สำหรับการเติบโตในการตลาดดิจิทัล เขาสะท้อนถึงประสบการณ์ส่วนตัว โดยเน้นข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นระหว่างทางและวิธีที่สิ่งเหล่านั้นมีส่วนช่วยในความสำเร็จของเขา ประเด็นสำคัญ 🎯 มุ่งเน้นที่หนึ่งด้าน: การเชี่ยวชาญในสาขาการตลาดดิจิทัลเฉพาะด้าน เช่น SEO ช่วยให้คุณกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญได้เร็วขึ้นและสร้างผลลัพธ์ที่ดีกว่า วิธีการที่มีเป้าหมายชัดเจนนี้ส่งเสริมความเข้าใจที่ลึกซึ้งและการเชี่ยวชาญในทักษะ ซึ่งสำคัญต่อความสำเร็จในระยะยาว 📚 การวางรากฐานที่แข็งแกร่ง: การเชี่ยวชาญในพื้นฐานทำให้มั่นใจได้ว่าคุณมีรากฐานที่แข็งแกร่งในการต่อยอด พื้นฐานสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับกลยุทธ์การตลาดต่างๆ และช่วยสร้างความเข้าใจที่ครอบคลุมเกี่ยวกับการทำงานร่วมกันขององค์ประกอบต่างๆ ⚙️ การลงมือปฏิบัติจริง: การนำแนวคิดที่เรียนรู้ไปปฏิบัติจริงช่วยเสริมสร้างความรู้ การสร้างเว็บไซต์ของตัวเองให้สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยในการทดลองและเรียนรู้จากผลตอบรับในโลกจริง นำไปสู่การเติบโตที่รวดเร็วขึ้น 🚀 รับประสบการณ์จากเอเจนซี่: การทำงานในเอเจนซี่ที่มีจังหวะเร็วทำให้คุณได้สัมผัสกับโครงการและความท้าทายที่หลากหลาย สภาพแวดล้อมนี้ไม่เพียงแต่พัฒนาทักษะการแก้ปัญหาของคุณ แต่ยังเปิดโอกาสให้ได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ 💡 หลีกเลี่ยงทางลัด: หลีกเลี่ยงการใช้วิธีลัดที่ผิดหลักการ เพื่อความยั่งยืนในระยะยาว 🤝 การสร้างเครือข่าย: การสร้างเครือข่ายสามารถเปิดประตูสู่การร่วมมือและการเป็นพี่เลี้ยง การมีส่วนร่วมกับผู้ที่มีแนวคิดเหมือนกันสร้างแรงจูงใจ ขณะที่การเชื่อมต่อกับผู้นำในอุตสาหกรรมสามารถนำไปสู่ข้อมูลเชิงลึกและโอกาสที่มีค่า 🔄 การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง: ในโลกดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การเรียนรู้ตลอดชีวิตคือกุญแจสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนเเละเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาความเกี่ยวข้องและปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์และเทคโนโลยีใหม่

    Dec 19, 2024
    Thumbnail for ทำไมคนถึงนิยมเปลี่ยนงานช่วงต้นปี พร้อมเคล็ดไม่ลับหางานยังไงให้ได้งานไว

    ทำไมคนถึงนิยมเปลี่ยนงานช่วงต้นปี พร้อมเคล็ดไม่ลับหางานยังไงให้ได้งานไว

    ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาสุดฮอตที่จะเริ่มปรับเปลี่ยน โยกย้ายสายงาน ซึ่งเป็นช่วงท้ายปีถึงต้นปีที่จะถึงนี้ ไม่ว่าจะเหตุผลใดๆ ก็ตาม เช่น เบื่องานเดิม ๆ อยากได้ความท้าทายใหม่ ๆ หรือการเติบโตในสายงานมากขึ้น สำหรับหลายคน การเริ่มต้นปีใหม่คือเวลาอันดีในการตั้งเป้าหมายใหม่ทั้งในด้านการงาน หลายองค์กรยังมีการเปิดรับสมัครงานใหม่ในช่วงต้นปี เพื่อรองรับการเติบโตและการขยายตัวในธุรกิจในอนาคต ซึ่งทำให้หลายคนมองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการเปลี่ยนแปลงอีกด้วย ทำไมคนถึงนิยมเปลี่ยนงานช่วงต้นปี? อีกเหตุผลที่ทำให้การเปลี่ยนงานในช่วงต้นปีได้รับความนิยมคือการรับ โบนัส จากบริษัทในช่วงปลายปี ทำให้หลายคนเลือกที่จะรอรับโบนัสก่อนที่จะเปลี่ยนงาน วิธีการเตรียมตัวให้พร้อมในการหางานใหม่เร็ว การเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการหางานใหม่ในปีนี้ไม่เพียงแต่เกี่ยวกับการเตรียม เรซูเม่ หรือ CV เท่านั้น แต่ก็มีปัจจัยมากมาย เช่น อัปเดต เรซูเม่ หรือ CV ไว้ตลอด หนึ่งในขั้นตอนแรกเมื่อจะหางานใหม่คือการ อัปเดตเรซูเม่ ด้วยตัวช่วยทำเรซูเม่ หรือ CV ของเราให้ทันสมัยและสะท้อนถึงทักษะและประสบการณ์ที่เรามีในปัจจุบัน การเพิ่มข้อมูลใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานที่สมัครจะทำให้เรซูเม่ของเราโดดเด่นและมีโอกาสได้รับการพิจารณามากขึ้น ควรเพิ่มทักษะที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่เปิดรับ เช่น ทักษะทางเทคโนโลยีใหม่ ๆ AI หรือ Tools ที่ใช้ในการทำงาน การบริหารจัดการทีม หรือความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่มีความต้องการในตลาดแรงงาน การมีข้อมูลที่ชัดเจนและตรงกับความต้องการของบริษัทจะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้งาน นอกจากนั้นอย่าลืมส่งให้ถูกเวลาด้วยล่ะ ส่งเรซูเม่ตอนไหนดี เตรียมตัวสำหรับการสัมภาษณ์ การสัมภาษณ์งานเป็นขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรละเลย เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับคำถามที่มักจะถูกถามในสัมภาษณ์ เช่น "ทำไมถึงอยากเปลี่ยนงาน?", "เรามีทักษะอะไรที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้?" หรือ "เรามีวิธีในการจัดการปัญหาอย่างไร?" การตอบคำถามได้ดีจะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้งานและทำให้เราโดดเด่นจากผู้สมัครคนอื่น ขยายเครือข่ายและหาคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์ การสร้างเครือข่ายกับผู้ที่อยู่ในวงการที่เราสนใจจะช่วยให้เรารู้จักโอกาสใหม่ ๆ และตำแหน่งงานที่อาจจะไม่เปิดเผยสู่สาธารณะ การเข้าร่วมสัมมนา อีเวนต์ หรือกลุ่มผู้เชี่ยวชาญจะทำให้เราได้รู้จักคนที่สามารถให้คำแนะนำหรือแม้กระทั่งแนะนำงานให้เราได้ ติดตามผลการสมัครงานและแสดงความสนใจ หลังจากที่เราสมัครงานไปแล้ว อย่าลืมติดตามผลการสมัครงานผ่านทางเว็บไซต์หางานที่เราใช้ หรือการส่งอีเมลหาผู้จัดการฝ่ายบุคคล เพื่อแสดงความสนใจในตำแหน่งงานนั้น การแสดงความกระตือรือร้นจะช่วยให้เราเป็นที่สนใจและดูเป็นคนที่มีความพร้อมและมีความสนใจจริง ๆ ในตำแหน่งงานนั้น การเปลี่ยนงานถือเป็นโอกาสดีในการเริ่มต้นใหม่ แต่การได้งานที่มีเงินเดือนและ สวัสดิการที่ดี เป็นสิ่งที่เราควรให้ความสำคัญ นอกจากนั้น Jobcadu สามารถช่วยให้หางานที่ไม่เพียงแต่มีตำแหน่งที่ตรงกับทักษะที่มีอยู่ แต่ยังมีบริษัทที่น่าสนใจอีกมากมาย เพื่อให้ได้งานที่ดีที่สุด การหางานใหม่ไม่ใช่เรื่องยากหากเราเตรียมตัวให้พร้อมและใช้เครื่องมือที่มีอยู่ในปัจจุบัน เช่น Jobcadu ที่ช่วยให้เราค้นหาตำแหน่งงานที่ตรงกับความต้องการของเราได้ง่ายและรวดเร็ว การใช้คำแนะนำที่ให้ไว้ในบทความนี้จะช่วยให้เราเปลี่ยนงานได้อย่างมั่นใจและไม่ต้องรอนาน

    Dec 12, 2024
    Thumbnail for ประสบการณ์สหกิจศึกษา: รีวิวฝึกงาน 4 เดือน พร้อมคำถามที่นักศึกษาต้องรู้

    ประสบการณ์สหกิจศึกษา: รีวิวฝึกงาน 4 เดือน พร้อมคำถามที่นักศึกษาต้องรู้

    การฝึกงานสหกิจเป็นเรื่องที่หลายคนสงสัยว่าทำไมถึงต้องเลือกและมีประโยชน์อย่างไร วันนี้จึงมาอธิบายถึงประสบการณ์และข้อดีข้อเสียจากมุมมองของรุ่นพี่ที่เคยผ่านการฝึกงานสหกิจมาแล้ว เพื่อเป็นข้อมูลให้กับน้อง ๆ ที่กำลังตัดสินใจว่าควรจะเข้าร่วมโครงการนี้ดีไหม ทำไมถึงเลือกฝึกงานสหกิจ? รุ่นพี่เล่าถึงความสนใจแรกที่มีต่อการฝึกงานสหกิจว่า ตอนแรกก็เหมือนน้อง ๆ ที่เคยเข้าฟังบรรยายจากอาจารย์และรุ่นพี่ที่ผ่านการฝึกงานมาก่อน จนได้รับรู้ถึงรูปแบบการฝึกงานที่แบ่งเป็นสองแบบ คือฝึกงานแบบธรรมดาและฝึกงานแบบสหกิจ ซึ่งต้องใช้เวลาฝึกยาวนานขึ้น ประมาณ 4-6 เดือน จากนั้นก็เริ่มสงสัยว่าถ้าได้ลองฝึกงานแบบสหกิจดูบ้างจะเป็นอย่างไร เพราะที่ผ่านมายังไม่เคยมีโอกาสได้ลอง จึงคิดว่าหากได้ไปก็จะสามารถนำประสบการณ์มาแชร์ให้น้อง ๆ รุ่นถัดไปได้ ว่าการฝึกงานแบบสหกิจนั้นดีหรือไม่ และเป็นประสบการณ์ที่มีประโยชน์หรือไม่ ข้อดีของการฝึกงานสหกิจ 1.ประสบการณ์การทำงานจริง การฝึกงานสหกิจนั้นมีความยาวนานกว่าแบบธรรมดา ทำให้นักศึกษาได้สัมผัสกับการทำงานจริง ๆ ในองค์กร เหมือนได้ลองฝึกฝนทักษะการทำงานก่อนจะเรียนจบ พอได้ประสบการณ์มากขึ้น นักศึกษาจะมีทักษะที่สามารถใช้ได้จริงเมื่อเริ่มต้นทำงาน รวมทั้งได้เรียนรู้วิธีการทำงานจริง ๆ ที่ใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ 2.เพิ่มโปรไฟล์และสร้างความโดดเด่น นักศึกษาบางคนอาจจะไม่มีเกรดเฉลี่ยที่โดดเด่นมาก การฝึกงานแบบสหกิจสามารถช่วยให้มีโปรไฟล์ที่น่าสนใจยิ่งขึ้น โดยเฉพาะถ้ามีประสบการณ์การฝึกงานที่นานและชัดเจน ก็จะเป็นจุดเด่นเวลาไปสมัครงานในอนาคตได้ หลายบริษัทอาจมองว่าผู้สมัครที่มีประสบการณ์ฝึกงานสหกิจนั้นมีความพร้อมในการทำงานมากกว่านักศึกษาที่ฝึกงานระยะสั้น 3.โอกาสในการรับเข้าทำงานต่อ บางบริษัทที่เห็นถึงศักยภาพในการฝึกงานของนักศึกษา อาจพิจารณาเสนอรับเข้าทำงานต่อในองค์กรหลังจากเรียนจบ ทำให้นักศึกษาไม่ต้องไปเริ่มหางานใหม่ เป็นการเปิดโอกาสให้ได้รับตำแหน่งงานได้ง่ายขึ้น 4.ทักษะการจัดการเวลาและความรับผิดชอบ นักศึกษาที่เข้าฝึกงานสหกิจต้องจัดสรรเวลาให้ดี เพราะนอกจากฝึกงานแล้วก็ยังต้องแบ่งเวลามาเรียนให้ได้ตามกำหนด ซึ่งช่วยพัฒนาเรื่องความรับผิดชอบและการวางแผนเวลาต่าง ๆ 5.ทักษะภาษาและการสื่อสาร บางครั้งการฝึกงานสหกิจจะต้องร่วมงานกับบุคลากรที่เป็นชาวต่างชาติ หรือมีโอกาสใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร การฝึกงานจึงเป็นโอกาสได้ฝึกฝนการใช้ภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในการทำงานและช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใช้ภาษาที่สอง 6.การสร้าง Connection การฝึกงานในองค์กรทำให้นักศึกษาได้รู้จักคนในสายงานทั้งรุ่นพี่ที่ทำงานด้วยกัน ผู้บังคับบัญชา และเพื่อน ๆ ที่ฝึกงานด้วยกัน ซึ่ง Connection เหล่านี้อาจเป็นประโยชน์ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการได้รับคำแนะนำในการทำงานหรือการติดต่อขอความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ข้อเสียของการฝึกงานสหกิจ 1.ความเหนื่อยจากการแบ่งเวลา เนื่องจากฝึกงานสหกิจใช้เวลายาวนานกว่าแบบปกติ บางครั้งนักศึกษาอาจต้องเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อเรียนในบางช่วง ทำให้ต้องจัดสรรเวลาทั้งสองอย่างไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งอาจเป็นภาระหนักหากไม่ได้มีการวางแผนที่ดี 2.การต้องตามเนื้อหาการเรียนด้วยตนเอง ระหว่างการฝึกงานสหกิจ นักศึกษาจะไม่ได้เข้าเรียนทุกคลาสเหมือนเพื่อน ๆ ที่ไม่ได้ฝึกงาน ทำให้ต้องตามเก็บเนื้อหาการเรียนเอง อาจทำให้รู้สึกว่าเหนื่อยมากขึ้น แต่หากได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ และอาจารย์ ก็จะช่วยให้ผ่านช่วงนี้ไปได้ การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตนเองจากการฝึกงานสหกิจ การฝึกงานสหกิจทำให้พี่พบว่าตนเองมีพัฒนาการในหลายด้านที่เห็นได้ชัดเจน เช่น มีทักษะการทำงานจริงมากขึ้น การได้ทำงานร่วมกับผู้มีประสบการณ์ทำให้ได้เรียนรู้แนวทางการคิดวิเคราะห์ และความรอบคอบในงาน นอกจากนี้ยังช่วยพัฒนาด้านความรับผิดชอบ เนื่องจากต้องบริหารจัดการเวลาระหว่างการฝึกงานและการเรียน ทำให้มีระเบียบวินัยมากขึ้น รวมถึงการฝึกงานยังสอนให้มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดีและมีมุมมองที่ลึกซึ้งกว่าเดิม สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการฝึกงานสหกิจ การฝึกงานสหกิจไม่เพียงให้ความรู้และทักษะทางวิชาชีพเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสได้สัมผัสกับบรรยากาศของการทำงานในองค์กรจริง ๆ ทำให้เห็นวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ได้เรียนรู้ทัศนคติที่ดีจากคนทำงานจริง นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำงานเป็นทีม และการปรับตัวให้เข้ากับคนรอบข้างที่มีพื้นฐานที่ต่างกัน ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่ามากสำหรับการทำงานในอนาคต สิ่งที่คิดก่อนไปกับหลังฝึกงานสหกิจ ก่อนเข้าฝึกงาน รุ่นพี่เคยกังวลว่าจะเป็นงานที่ยากและเหนื่อย เพราะต้องใช้เวลานานและทำงานในโรงงาน แต่เมื่อได้ลองไปจริง ๆ ก็พบว่าการฝึกงานสหกิจนั้นมีประโยชน์และสามารถนำไปใช้ได้จริงเมื่อเรียนจบ ทั้งยังได้เจอเพื่อนจากหลายเชื้อชาติ ซึ่งไม่เพียงแค่ได้ฝึกภาษาและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมเท่านั้น แต่ยังทำให้การฝึกงานสนุกขึ้นมาก มีความทรงจำที่ดีจากการร่วมงานกับคนหลากหลายแบบ และรู้สึกพึงพอใจที่ตัดสินใจเลือกฝึกงานแบบนี้ สรุปแล้ว การฝึกงานสหกิจเป็นโอกาสที่ดีที่ไม่เพียงแต่ให้ประสบการณ์การทำงานจริง แต่ยังช่วยพัฒนาทักษะหลายด้าน ทั้งด้านการสื่อสาร การทำงานร่วมกับผู้อื่น ความรับผิดชอบ และการสร้าง Connection หากน้อง ๆ สนใจ ก็ขอแนะนำให้พิจารณาฝึกงานสหกิจเพราะเป็นการต่อยอดความรู้และสร้างความพร้อมให้กับชีวิตการทำงานในอนาคต

    Nov 22, 2024
    Thumbnail for เทคนิคแนะนำตัว 3 นาที สัมภาษณ์งานฉบับเด็กจบใหม่!

    เทคนิคแนะนำตัว 3 นาที สัมภาษณ์งานฉบับเด็กจบใหม่!

    โค้ชเบ็น นำเทคนิคที่น่าสนใจ คือ “การแนะนำตัวเอง ช่วงสัมภาษณ์งาน สำหรับนักศึกษาจบใหม่” อย่างแรกเราจะต้อง Set Goal (จุดมุ่งหมายของตัวเองในการสัมภาษณ์งาน) ว่าเราจะต้องได้งาน เพราะยังมีคนที่จบใหม่อีกหลายๆ คนที่อยากได้งานนี้ด้วย ดังนั้นถ้าเราอยากได้งานจริงๆเราต้องมุ่งมั่น ความท้าทายของนักศึกษจบใหม่คือ การไม่มีประสบการณ์การทำงาน และเราต้องทำให้ผู้สัมภาษณ์รู้สึกว่าเราควรค่าแก่การจ้างงาน ต้องทำให้บริษัทรู้ว่า เราอยากร่วมงานกับเขา เพราะบริษัทต้องการจ้างคนที่ทำงานได้ในตำแหน่งนั้นๆ หลายๆ บริษัทต้องการจ้างพนักงานที่จะพัฒนาเป็น “พนักงานที่ดีเยี่ยม” ในนาคตขององค์กร เทคนิคการแนะนำตัวเอง ตอนสัมภาษณ์งาน (สำหรับนักศึกษาจบใหม่) โค้ชเบ็นได้แบ่งออกมาเป็น 3 Part มีดังนี้ Part 1. ประวัติ และความสนใจ ประกอบไปด้วย - ชื่อ (+ชื่อเล่น) - ภูมิลำเนา ที่อยู่ - การจบการศึกษา - อาชีพที่ใฝ่ฝัน - กิจกรรมยามว่าง - รางวัล Part 2. บอกจุดแข็งของตนเอง จุดแข็งมาจากศักยภาพ และบุคลิกภาพของเรา เช่น ขยัน ชอบทำงานเป็นทีม มีความเป็นผู้นำ สามารถทำงานล่วงเวลา สนุกกับงานที่ท้าทาย พร้อมอธิบายเหตุผลหรือกิจกรรมต่างๆ ที่เราทำ ​Part 3. พูดถึงตำแหน่งงานที่มาสัมภาษณ์ บอก Passion ของเราว่าทำไมเราอยากทำตำแหน่งงานนี้ ต้องบอกว่าเรามาทำงาน ไม่ใช่ว่ามาทดลองงาน

    Nov 19, 2024
    Thumbnail for เลือกอาชีพในฝันภายใน 15 นาทีด้วยวิธีจาก Harvard!

    เลือกอาชีพในฝันภายใน 15 นาทีด้วยวิธีจาก Harvard!

    เทคนิค “Job Exercise” เป็นแนวทางช่วยค้นหาตัวเองและหาอาชีพที่เหมาะสมในระยะยาว โดยเทคนิคนี้ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้เราเห็นภาพอาชีพที่สอดคล้องกับความสนใจและคุณค่าในชีวิตจริง ขั้นตอนการทำ Job Exercise 1.เตรียมตัวและเริ่มต้น: เริ่มต้นด้วยการดูรายการอาชีพทั้งหมดที่มีให้เลือก ประมาณ 100 อาชีพ ให้ค่อยๆ อ่านและเลือก 12 อาชีพที่รู้สึกว่ามีความน่าสนใจ โดยไม่ต้องคำนึงถึงเงินเดือน ความมั่นคง หรือความเห็นจากคนอื่น ให้เลือกเพราะรู้สึกถึงความเชื่อมโยงกับอาชีพนั้นในระดับส่วนตัว ไม่ใช่เพราะเหตุผลภายนอก เช่น ชื่อเสียงหรือรายได้ 2.วิเคราะห์และกลั่นกรอง: จาก 12 อาชีพที่เลือก ลองวิเคราะห์ว่ามีธีมหรือจุดร่วมอะไรที่สะท้อนตัวเรา เช่น หากอาชีพที่เลือกส่วนใหญ่เน้นการทำงานกับผู้คน อาจแปลว่าเราชอบงานที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์ หากส่วนใหญ่เกี่ยวกับการใช้ความคิดสร้างสรรค์ แสดงว่าเราอาจเหมาะกับอาชีพที่เปิดโอกาสให้แสดงความคิดใหม่ๆ หรือหากหลายอาชีพเกี่ยวกับการบริหารจัดการ อาจเป็นสัญญาณว่ามีทักษะหรือความชอบในการจัดการงานและบุคคล 3.พิจารณาความขัดแย้ง: ดูว่าอาชีพที่เลือกมีความขัดแย้งในตัวเองหรือไม่ เช่น บางอาชีพเน้นการทำงานเดี่ยว ขณะที่บางอาชีพต้องทำงานเป็นทีม ซึ่งอาจทำให้เราเห็นมุมที่อาจจะต้องพัฒนาหรือปรับตัวในอนาคต เพื่อให้สามารถเลือกอาชีพที่มีความสุขและเข้ากับตัวเรามากที่สุด 4.สร้างภาพในอนาคต: ให้จินตนาการถึงตัวเองในอาชีพเหล่านั้น เช่น ภาพตัวเองนั่งทำงานร่วมกับทีมในออฟฟิศ หรือภาพการเป็นอาจารย์สอนในห้องเรียน การสร้างภาพในใจช่วยให้เรารู้สึกและเห็นภาพชีวิตการทำงานในอนาคตอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น และทำให้ทราบว่าเรารู้สึกเชื่อมโยงกับอาชีพนั้นๆ ในระดับใด 5.สรุปและหาคำแนะนำเพิ่มเติม: เมื่อทำ Job Exercise เสร็จแล้ว ให้พิจารณาว่าอาชีพใดตอบโจทย์และสอดคล้องกับสิ่งที่ค้นพบมากที่สุด หากยังไม่ชัดเจน ลองปรึกษาเพื่อน รุ่นพี่ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีพเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากมุมมองภายนอกที่อาจเห็นแง่มุมหรือทางเลือกใหม่ๆ ที่เราอาจมองข้ามไป วิธีการนี้เป็นการช่วยให้เราเข้าใจความต้องการของตัวเองอย่างลึกซึ้งมากขึ้น เป็นการเลือกอาชีพโดยพิจารณาจากสิ่งที่ตัวเราชอบและต้องการในชีวิต ทำให้เราสามารถเลือกเส้นทางอาชีพที่เหมาะสมและตอบโจทย์ในระยะยาว

    Nov 12, 2024
    Thumbnail for Product Manager คืออะไร?

    Product Manager คืออะไร?

    ตำแหน่ง Product Manager (PM) คือการดูแลพัฒนาผลิตภัณฑ์ในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นด้านการคิดและวางแผนวิธีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งาน รวมถึงการทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นทำงานได้อย่างราบรื่น คิดง่ายๆ ว่า PM คือผู้รับผิดชอบ “ผลิตภัณฑ์” ในทุกด้าน เพื่อสร้างและส่งมอบคุณค่าตรงกับความต้องการของลูกค้า หน้าที่ของ Product Manager 1.การกำหนดเป้าหมาย (Goal Setting) PM จะต้องกำหนดเป้าหมายของผลิตภัณฑ์ เช่น ต้องการเพิ่มการใช้งานฟีเจอร์หนึ่งหรือเพิ่มการเข้าชมแพลตฟอร์ม ด้วยการนำข้อมูลจากลูกค้าและความต้องการขององค์กรมาเป็นพื้นฐานในการตั้งเป้าหมายนี้ 2.การวางแผนพัฒนา (Product Planning) PM คิดและออกแบบแนวทางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ซึ่งต้องคำนึงถึงลูกค้า เช่น การออกแบบฟีเจอร์ใหม่ หรือพัฒนาให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น โดยต้องร่วมงานกับทีม Designer, ทีม Engineer และทีม Data Science ในการคิดไอเดียและการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ 3.การแก้ไขปัญหาและดูแลการทำงานของผลิตภัณฑ์ (Maintenance) PM คอยตรวจสอบให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ทำงานได้ราบรื่น เช่น หากมีบั๊กเกิดขึ้น PM ต้องสั่งการให้ทีม Engineer เข้าซ่อมแซม ซึ่ง PM ต้องเข้าใจปัญหาและแก้ไขให้เร็วที่สุดเพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด 4.การทำงานกับทีมข้ามสายงาน (Cross-functional Collaboration) PM เป็นผู้ประสานงานกับหลายทีมที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น Designer ที่ออกแบบการใช้งาน, Engineer ที่พัฒนาและแก้ไขปัญหาทางเทคนิค, และ Data Scientist ที่วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ PM จึงต้องมีทักษะในการสื่อสารและการจัดการทีม เพื่อรวมความสามารถของทุกคนให้เกิดประโยชน์กับผลิตภัณฑ์ 5.การนำผลิตภัณฑ์สู่ตลาด (Product Launch) PM รับผิดชอบในการปล่อยฟีเจอร์ใหม่ๆ รวมถึงวางแผนและตรวจสอบประสิทธิภาพของฟีเจอร์ว่าตรงตามเป้าหมายที่วางไว้ เช่น การเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน YouTube อย่างการแสดงผลหน้า Home ให้ตรงกับความสนใจของผู้ใช้ หรือการแสดงคำแนะนำคลิปที่เกี่ยวข้องให้โดนใจ ความท้าทายของ Product Manager Lead without Authority: เนื่องจาก PM ไม่มีอำนาจในการควบคุมทีมอื่นโดยตรง จึงต้องใช้ทักษะการสื่อสารและการนำเสนอเพื่อให้ทุกคนร่วมกันไปในทิศทางเดียวกัน รับผิดชอบ End-to-End: PM ต้องทำหน้าที่ตั้งแต่การคิดไอเดีย ไปจนถึงการส่งมอบและวัดผลลัพธ์ที่ได้ ทำให้เป็นตำแหน่งที่มีความรับผิดชอบสูง จัดการความคาดหวังที่หลากหลาย: ต้องคอยสร้างสมดุลระหว่างความต้องการของลูกค้าและข้อจำกัดภายใน เช่น ทรัพยากรและเวลาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์

    Oct 29, 2024
    Thumbnail for ไม่ต้องกลัว! 7 วิธีรับมือความกดดันในสัมภาษณ์งานครั้งแรก

    ไม่ต้องกลัว! 7 วิธีรับมือความกดดันในสัมภาษณ์งานครั้งแรก

    การสัมภาษณ์งานครั้งแรกและความกดดัน การสัมภาษณ์งานครั้งแรกเป็นเรื่องที่ท้าทาย ความกดดันที่เกิดขึ้นสามารถทำให้เรารู้สึกไม่มั่นใจ แต่หากเรามีการเตรียมตัวที่ดีและรู้จักวิธีจัดการความกดดัน เราก็สามารถเปลี่ยนประสบการณ์นี้ให้เป็นโอกาสที่น่าประทับใจได้ ในบทความนี้ เราจะแนะนำ 7 วิธีในการรับมือกับความกดดันที่ทุกคนอาจเคยเจอครั้งแรก เพื่อช่วยให้คุณมั่นใจในการสัมภาษณ์ครั้งแรก ทำไมเราถึงรู้สึกกดดันในการสัมภาษณ์งานครั้งแรก? การสัมภาษณ์งานครั้งแรกเป็นการเผชิญหน้ากับสิ่งใหม่และไม่คุ้นเคย เราต้องเผชิญกับการประเมินตนเองและการคาดหวังที่สูง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดความกดดัน นอกจากนี้ การไม่รู้ว่าจะต้องเจออะไรบ้างก็ยิ่งทำให้เรารู้สึกไม่มั่นคง ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความกดดันมากน้อยแล้วแต่บุคคล บางคนอาจเคยสัมภาษณ์เข้ามหาวิทยาลัย สัมภาษณ์รับทุนการศึกษา สัมภาษณ์เพื่อฝึกงานมาก่อน แต่การสัมภาษณ์เพื่องานประจำครั้งแรกอาจต่างออกไป ดังนั้น 'ครั้งแรก' เป็นเรื่องปรกติ และทุกคนก็ล้วนเคยผ่านมาทั้งสิ้น การเตรียมตัวสัมภาษณ์งานครั้งแรกเพื่อลดความกดดัน การเตรียมตัวเป็นสิ่งที่สำคัญในการลดความกดดัน การศึกษาเกี่ยวกับบริษัทและตำแหน่งงานที่สมัคร รวมถึงการฝึกซ้อมการตอบคำถามที่คาดว่าจะเจอ การหาข้อมูลจากเพื่อน รุ่นพี่ คนรู้จัก อาจจะช่วยให้คุณมั่นใจ หรือเบาใจมากขึ้น นอกจากนี้ การเตรียมเอกสารและการแต่งกายที่เหมาะสมยังช่วยให้คุณรู้สึกพร้อมและมั่นใจในการสัมภาษณ์ วิธีรับมือความกดดันก่อนการสัมภาษณ์งานครั้งแรก การหายใจเพื่อผ่อนคลาย: การหายใจลึกๆ ช่วยให้เราสงบและลดความตื่นเต้น การสร้างความมั่นใจ: ฝึกซ้อมการตอบคำถามล่วงหน้า คิดบวก และพูดกับตัวเองด้วยประโยคที่ดี การใช้เทคนิค STAR: ตอบคำถามเชิงพฤติกรรมด้วยการเล่าเรื่องที่มีโครงสร้างชัดเจน การแสดงภาษากายที่มั่นใจ: นั่งตัวตรง มองตาผู้สัมภาษณ์ และยิ้มอย่างเป็นมิตร การทำสมาธิ: การทำสมาธิก่อนสัมภาษณ์ช่วยให้เรามีสมาธิและพร้อมรับมือกับสถานการณ์ การฟังคำถามอย่างตั้งใจ: ฟังคำถามให้ดีและตอบอย่างชัดเจน การคิดบวก: คิดถึงผลลัพธ์ที่ดีเพื่อสร้างความมั่นใจ Tips ส่วนตัว : บางครั้งเตรียมตัวทุกอย่าง ทำทุกวิธีก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้ ผู้เขียนแนะนำว่าให้มองว่าเราจะควบคุมและขายตัวเราเท่าที่เป็นไปได้ แสดงความกระตือรือร้น หรือกระทั่งบอกผู้สัมภาษณ์เลยว่าเป็นครั้งแรก เชื่อว่าผู้สัมภาษณ์ต้องเข้าใจแน่นอนว่าการสัมภาษณ์ครั้งแรก อาการประหม่า ตื่นเต้น ขลุกขลักบ้างเป็นเรื่องที่รับได้ ________________________________________________________________________________________ วิธีจัดการความกดดันระหว่างการสัมภาษณ์ การจัดการความกดดันในระหว่างการสัมภาษณ์คือการรักษาสายตาและการแสดงออกทางภาษากายที่มั่นใจ หากเจอคำถามที่ยาก ให้ตอบช้าลง หายใจลึกขึ้นเล็กน้อย ตอบอย่างใจเย็นและใช้เทคนิค STAR เพื่อให้คำตอบมีลำดับโครงสร้างชัดเจน คิดบวกและพยายามไม่นึกถึงความคิดลบทันทีเมื่อต้องเผชิญกับความท้าทาย หรือคำถามยาก ๆ อาจคิดถึงสิ่งที่อยากทำที่สุดเมื่อผ่านจบการสัมภาษณ์ เป็นต้น หลังสัมภาษณ์งาน: การประเมินตนเองและการเรียนรู้จากประสบการณ์ หลังการสัมภาษณ์ สิ่งสำคัญคือการทบทวนสิ่งที่ทำได้ดีและสิ่งที่ควรปรับปรุง การขอ Feedback จากผู้สัมภาษณ์จะช่วยให้คุณรู้จักจุดอ่อนและพัฒนาตนเองในครั้งต่อไป นอกจากนี้ การการจดคำถาม คำศัพท์ที่เราไม่คุ้น เพื่อวางแผนพัฒนาทักษะเพิ่มเติมยังช่วยให้คุณเติบโตในอาชีพได้ดียิ่งขึ้น Tips ส่วนตัว : พนักงานเงินเดือนทั่วไป ส่วนใหญ่ล้วนต้องเคยสัมภาษณ์มากกว่า 1 ครั้ง ดังนั้น ครั้งแรกออกมาไม่ดีมาก เป็นเรื่องปรกติ อย่ามัวแต่โทษตัวเองและจมกับความผิดหวัง มองถึงว่าครั้งหน้าคุณจะทำยังไงให้คุณพอใจผลลัพธ์มากขึ้น FAQs: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการสัมภาษณ์งานครั้งแรกและความกดดัน Q: การเตรียมตัวอย่างไรเพื่อลดความกดดันก่อนสัมภาษณ์? A: เตรียมตัวล่วงหน้า ฝึกสมาธิ และสร้างความมั่นใจด้วยการซ้อมตอบคำถาม Q: ถ้ารู้สึกตื่นเต้นมากในระหว่างการสัมภาษณ์ควรทำอย่างไร? A: หายใจลึกๆ คิดบวกเพื่อสงบจิตใจ ขอเวลาคิดคำตอบสัก 30 วินาที Q: ควรทำอย่างไรหากตอบคำถามผิดพลาด? A: ขอโทษและแก้ไขคำตอบอย่างสุภาพ Q: การสัมภาษณ์ออนไลน์มีความแตกต่างอย่างไรในแง่ของความกดดัน? A: การเตรียมตัวสำหรับการสัมภาษณ์ออนไลน์ออนไลน์นั้นค่อนข้างง่ายกว่า แต่ควรระมัดระวังเรื่องบรรยากาศและสัญญาณอินเตอร์เน็ต ถ้ามีโอกาสแนะนำให้หาทางไปลองสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัวครับ สรุป: การสัมภาษณ์งานครั้งแรกและการรับมือกับความกดดัน การสัมภาษณ์งานครั้งแรกเป็นโอกาสที่จะได้เรียนรู้โลกของการทำงานแบบมืออาชีพ ดังนั้นเตรียมตัวดีเท่าที่เป็นไปได้และใช้เทคนิคการจัดการความกดดันที่เราแนะนำ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรสามารถนำมาปรับปรุงได้ จงเชื่อมั่นในตนเองและเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการสัมภาษณ์ครั้งต่อไป

    Sep 6, 2024
    Thumbnail for โลกความเป็นจริง ที่นักศึกษาฝึกงานต้องรู้

    โลกความเป็นจริง ที่นักศึกษาฝึกงานต้องรู้

    นักศึกษาปี 3 หรือ 4 ย่อมต้องเผชิญกับการฝึกงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก่อนจะก้าวเข้าสู่โลกของการฝึกงาน เราควรเตรียมตัวอย่างไรบ้าง? คลิปนี้มีคำแนะนำที่เป็นประโยชน์สำหรับน้องๆ ที่กำลังจะเริ่มฝึกงาน 📝 การปรับตัวสู่การฝึกงาน ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนว่าต้องการเรียนรู้อะไรจากบริษัท เวลาของเราคือทรัพยากรอันมีค่า ดังนั้นควรเลือกที่ฝึกงานที่สอดคล้องกับสายอาชีพที่เราสนใจ เพื่อเรียนรู้งานจริง ตัวอย่างเช่น หากฝึกงานในอุตสาหกรรมฟิตเนส เราควรวางแผนว่าจะนำประสบการณ์นี้ไปต่อยอดในอนาคตอย่างไร 🎯 ชีวิตคือการแข่งขัน สนับสนุนให้มีทัศนคติแบบนักสู้ ไม่เพียงแค่แข่งกับตัวเอง แต่ต้องเทียบชั้นกับคนทั่วโลก เพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยในวันนี้ อาจกลายเป็นคู่แข่งในตลาดแรงงานในวันหน้า ปรับมุมมองให้เห็นว่าชีวิตคือการแข่งขัน การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญ 🔍 มุ่งเน้นการพัฒนาในทิศทางที่ถูกต้อง พัฒนาจุดแข็งของตนเองให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ความตั้งใจเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ หากไม่ได้นำไปใช้ในทิศทางที่ถูกต้อง ในโลกแห่งความเป็นจริง เราต้องมุ่งมั่นในเรื่องที่สอดคล้องกับเป้าหมายอาชีพและการศึกษาของเรา ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่าง แต่สิ่งที่รู้ ควรรู้ลึกและรู้จริง ✅ พฤติกรรมที่ควรปฏิบัติระหว่างฝึกงาน 1.รักษาเวลาอย่างเคร่งครัด 2.มีมารยาทและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น ในโลกของการทำงาน โอกาสที่ดีมักมีจำกัด การแข่งขันเพื่อคว้าโอกาสเหล่านั้นจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่มั่งคั่ง การปรับเปลี่ยนทัศนคติและเตรียมพร้อมตั้งแต่วันนี้ จะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในอนาคต

    Jul 31, 2024
    Thumbnail for เเชร์ทริคการตอบสัมภาษณ์ให้ปัง!

    เเชร์ทริคการตอบสัมภาษณ์ให้ปัง!

    Richard McMunn จาก passmyinterview.com พูดถึงการเตรียมตัวสัมภาษณ์งาน การแนะนำตัว และประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง โดยเน้นพูดถึงการบริการลูกค้า การทำงานเป็นทีม และทักษะในการปรับตัว ตัวอย่างการตอบสัมภาษณ์ 1. การทำงานภายใต้ความกดดัน ผู้สมัครสามารถทำงานได้ดีภายใต้ความกดดัน โดยการวางแผนและจัดระเบียบงาน ช่วยผู้จัดการบรรลุเป้าหมาย และให้ความสำคัญกับความต้องการทางธุรกิจ เน้นถึงความสำคัญของการทำงานเป็นทีม การสื่อสาร ความหลากหลาย การรับข้อเสนอแนะ และการปรับตัวเพื่อความสำเร็จ 2. ความสามารถในการปรับตัวและการแก้ปัญหา ผู้สมัครเล่าเรื่องการจัดการงานเพิ่มเติม การขอคำแนะนำ การจัดลำดับความสำคัญ และการแก้ไขปัญหาเพื่อรักษาประสิทธิภาพในการทำงาน พวกเขามุ่งหวังความก้าวหน้าในอาชีพและต้องการเป็นสมาชิกที่ได้รับการยอมรับ 3. ทักษะการบริการลูกค้า ผู้สมัครอธิบายการให้บริการลูกค้าที่ดีเยี่ยมโดยช่วยลูกค้าสูงอายุ แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเรียนรู้อย่างรวดเร็ว การทำงานเป็นทีม การสื่อสาร และการรักษาความสงบภายใต้ความกดดัน พวกเขาลาออกจากงานเดิมเพื่อหาความท้าทายใหม่ๆ และรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับองค์กร 4. เเสดงให้เห็นถึงความเหมาะสมกับตำเเหน่งงาน ผู้สมัครอธิบายเหตุผลที่ลาออกจากงานเดิม โดยเน้นความพร้อมในการเติบโตและเรียนรู้ พวกเขาเชื่อว่าตนเองเหมาะสมกับงานนี้เนื่องจากทักษะและประสบการณ์ที่มี และได้กล่าวถึงความคาดหวังเรื่องเงินเดือนและความพร้อมในการพิสูจน์ตนเองให้องค์กรเห็น ผู้สมัครต้องแสดงให้เห็นถึงทักษะในการทำงานที่จะสามารถช่วยองค์กรได้ เช่น การสื่อสารที่ดี ความสามารถในการทำงานเป็นทีม และทัศนคติเชิงบวก มีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ ยอมรับความท้าทายของงาน เเละการตอบคำถามสัมภาษณ์เหล่านี้จะช่วยให้ผู้สัมภาษณ์เห็นทักษะเเละคุณสมบัติเด่นของคุณ เเละนำไปสู่โอกาสของคุณในการได้งานได้งาน

    Jul 8, 2024
    Thumbnail for 10 คำถามไว้ถาม HR เมื่อไปสัมภาษณ์งาน

    10 คำถามไว้ถาม HR เมื่อไปสัมภาษณ์งาน

    การสัมภาษณ์งาน ถือเป็นด่านสำคัญที่นักหางานทุกคนต้องเผชิญ หลายคนอาจกังวล กลัวตอบคำถามผิด หรือไม่รู้จะถามอะไร นอกจากการเตรียมตอบคำถามสัมภาษณ์ การเตรียมคำถามไว้ถามผู้สัมภาษณ์ที่ดี น่าสนใจและแตกต่าง สามารถช่วยแสดงถึงความเตรียมพร้อมและความสนใจในบริษัทที่คุณสมัครงาน เเละนี่คือ 10 คำถามเด็ด! เพื่อปิดท้ายไว้ถาม HR ในช่วงท้ายของการสัมภาษณ์งาน เพื่อสร้างความประทับใจให้ HR 1.อาทิตย์แรกของการทำงานต้องทำอะไร คำถามนี้แสดงให้ HR เห็นว่าคุณพร้อมที่จะเริ่มต้นทำงานทันที และอยากทราบรายละเอียดเกี่ยวกับหน้าที่ความรับผิดชอบในช่วงแรก 2.ขอบเขตและจุดประสงค์ของการทำงานในตำแหน่งนี้มีอะไรบ้าง คำถามนี้ไม่ใช่เพื่อให้คุณไม่ต้องอ่านรายละเอียดงานก่อนการสัมภาษณ์ แต่ช่วยให้คุณเข้าใจเป้าหมายสำคัญ ภาพรวมของงาน และทราบว่างานนี้มีรายละเอียดอะไรเพิ่มเติม 3.องค์กรคาดหวังอะไรจากพนักงาน คำถามนี้แสดงให้ HR เห็นว่าคุณให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมองค์กร และพร้อมที่จะปรับตัวให้เข้ากับความคาดหวังของบริษัท 4.องค์กรมีสวัสดิการอะไรให้พนักงานบ้าง คำถามนี้ช่วยให้คุณยืนยันถึงสิทธิประโยชน์ที่คุณจะได้รับ และอาจมีสวัสดิการที่ไม่ได้ถูกระบุใน JD 5.โอกาสก้าวหน้าในสายงานนี้มีอะไรบ้าง คำถามนี้แสดงให้ HR เห็นว่าคุณมีเป้าหมาย และมุ่งมั่นพัฒนาตัวเองในสายงาน 6.ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งเปิดใหม่หรือมาแทนที่คนเก่า คำถามนี้ช่วยให้คุณเข้าใจบริบทของตำแหน่ง และทราบข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงขององค์กร 7.ช่วยเล่าบรรยากาศของทีมได้ไหมครับ/คะ คำถามนี้แสดงให้ HR และ Team Lead เห็นว่าคุณให้ความสำคัญกับการทำงานเป็นทีม อยากทราบวัฒนธรรมการทำงานภายในทีมและทราบว่าบริบทของทีม จำนวนสมาชิกเป็นอย่างไร 8.มีใครในทีมที่มีบุคลิกคล้ายกับผม/ดิฉันไหม คำถามนี้ช่วยให้คุณเข้าใจการทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงาน และทราบว่าคุณจะเข้ากับทีมได้หรือไม่ 9.ตำแหน่งนี้ต้องใช้ทักษะ (skills) อะไรบ้าง คำถามนี้ช่วยให้คุณทราบถึงทักษะที่จำเป็นจริง ๆ สำหรับงานและสามารถเตรียมตัวได้ล่วงหน้า 10.เพื่อนร่วมทีมมีทั้งหมดกี่คน เพื่อทราบถึงขนาดของทีมและการทำงานร่วมกัน การถามคำถามเหล่านี้ไม่เพียงแค่แสดงถึงความเตรียมพร้อม แต่ยังช่วยให้คุณมีข้อมูลที่ชัดเจนในการตัดสินใจเกี่ยวกับตำแหน่งงานนั้นด้วย อย่างไรก็ตาม การเลือกคำถามต้องกลั่นกรอง อ่าน JD และศึกษาบริษัทอย่างละเอียด เพื่อไม่ถามคำถามที่ปรากฎชัดและเน้นย้ำในประกาศงาน โดยควรเลือกคำพูดที่ HR ฟังแล้วสบายที่จะฟัง ไม่ Aggressive จนเกินไป ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.tiktok.com/@jobcaduthailand/video/7372173001552416017?q=jobcadu&t=1713843850457

    Jul 1, 2024
    Thumbnail for แชร์เคล็ดลับการสมัครงาน Accounting Firm โดยเฉพาะ BIG 4

    แชร์เคล็ดลับการสมัครงาน Accounting Firm โดยเฉพาะ BIG 4

    วันนี้เราจะมาแชร์เคล็ดลับการเตรียมตัวเพื่อสมัครงานและสัมภาษณ์ในบริษัทบัญชีชื่อดัง Tip 1 : หาคอนเนคชั่น เพื่อสอบถามข้อมูลที่คุณต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน รุ่นพี่ คนรู้จัก หรือกระทั่งทักหาคนที่ทำงานนั้น ๆ ใน LinkedIn แต่คุณควรทำการบ้านมาก่อนซักเล็กน้อย Tip 2 : แบบทดสอบทางด้านตัวเลขและความเชี่ยวชาญ (Numerical Test และ Competencies Test) มีบริษัทใหญ่ ๆ จำนวนมากที่จะให้ผู้สมัครทุกคนทำเเบบทดสอบทางด้านตัวเลขและความเชี่ยวชาญ มันไม่ได้ยากจนทำไม่ได้ แต่สิ่งที่ยากคือ 'เวลาที่จำกัด และกระชั้นชิด' คุณสามารถซ้อมทำแบบทดสอบเหล่านี้ได้ทางอินเทอร์เน็ต ร้านหนังสือ ใช้ ChatGPT ซึ่งคุณจะรู้ได้อย่างไรว่ามันมีด่านนี้ > ต้องถามคนที่เคยสมัคร หรือถาม Recruiter Tip 3 : เอาความสามารถและประสบการณ์ของคุณออกมาวางบนโต๊ะ คุณอาจหยิบความสามารถ ประสบการณ์ออกมาวางเป็นข้อ ๆ ถ้าอยากให้ละเอียด คุณสามารถเขียนเป็นลิสต์ใน Google Sheet/Excel เขียนแต่ละช่องว่าคุณเคยทำอะไร และมันใช้ทักษะอะไร หรือตัวคุณเองมีทักษะอะไร แล้วเรียบเรียงเป็นคำพูด หรือเรื่องราวผ่าน STAR Method เพื่อทำให้คุณสามารถเล่าได้สอดคล้อง เข้าใจว่าจะสื่ออะไร โดยข้อนี้สามารถนำไปใช้ในเรซูเม่โดยเลือกข้อที่สำคัญและเกี่ยวข้องที่สุด หรือการเตรียมสำหรับการสัมภาษณ์ ซึ่งจะทำให้คุณหยิบยกประเด็นออกมาได้อย่างรวดเร็ว ไม่ตะกุกตะกัก Tip 4 : สมัครให้เร็วที่สุด ตำแหน่งที่เปิดในบริษัทใหญ่มักจะมีผู้ให้ความสนใจจำนวนมาก อัตราแข่งขันสูง ความสามารถในเรซูเม่อาจไม่เพียงพอ อาจต้องมีความเร็วเข้ามาเกี่ยวข้อง! ทำความรู้จักช่องทางการสมัคร เว็บไซต์บริษัท เว็บไซต์หางาน walk-in interview หรืองานอีเว้นต์รูปแบบอื่น ๆ เพื่อนำเสนอตัวคุณแก่ Recruiter ให้ไวที่สุด เพราะโดยทั่วไปแล้วเมื่อพวกเขาเจอเรซูเม่ที่ถูกใจ ผ่านเกณฑ์การคัดกรองจำนวนหนึ่ง พวกเขาจะแยกเรซูเม่ที่ไม่ผ่านเกณฑ์ หรือสมัครช้าไปอีกกองหนึ่ง Tip 5 : การทำเรซูเม่ และการสมัครให้มากที่สุด ทำให้ recruiter เห็นเราและประทับใจเรซูเม่ของเราที่สุดเท่าที่จะเป็นไป ความประทับใจอาจไม่ได้หมายถึงเรซูเม่ที่มีสีสัน คุณควรเลือกเทมเพลตที่มีอ่านง่าย ยิ่งในสายงานบัญชีคุณควรคำนึงถึงความมืออาชีพ ความเป็นระเบียบ ความถูกต้องของเรซูเม่ (สายงานบัญชียิ่งห้ามสะกดผิด?) คุณอาจต้องสมัครงานจำนวนมาก หรือปรับปรุงเรซูเม่ ให้คนที่น่าเชื่อถือช่วยดูเรซูเม่ของเรา Tip 6 : การถูกปฏิเสธ งานที่ดี บริษัทที่ดังมักมีการแข่งขันที่สูง มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ 95% ของผู้สมัครจะถูกปฏิเสธ อย่าเก็บไปท้อแท้ แต่ให้มองถึงสิ่งที่ควบคุมได้ เช่น คุณจะทำให้การสมัครและการสัมภาษณ์ครั้งต่อไปดีขึ้นได้อย่างไร หลายครั้งคนที่ได้งานในบริษัทยักษ์ใหญ่ บริษัท BIG 4 หรือบริษัท Management Consulting Firms พวกเขาได้งานหลังจากถูกปฏิเสธไปแล้ว 2-3 รอบ ไม่ใช่เพราะว่าก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เก่งเสมอไป แต่อาจเพราะมีแคนดิเดตที่เตรียมตัวมาดีกว่า แสดงความสามารถได้เข้าตามากกว่า ทำผิดพลาดน้อยกว่า คุณยังสามารถถามรีครูทเตอร์ได้ด้วยว่า ขั้นตอนไหนที่คุณทำพลาดไป หากพวกเขาว่างรับโทรศัพท์หรือตอบอีเมลนะ Tip 7 : ถ้าหากมีสัมภาษณ์แบบกลุ่ม / Assessment Center (คล้าย ๆ กับรายการแข่งขันเพื่อสังเกตการทำงานเป็นทีม) คุณอาจต้องทำการบ้านเพิ่มอีก (ฟังดูเหนื่อยใช่ไหมล่ะ) แต่ใจความหลักคือคุณต้องกล้าที่จะแสดงความคิดเห็น เสนอไอเดีย พูดว่าคุณชอบไอเดียไหนของเพื่อนในทีมอย่างมีเหตุผล เป็นทั้งผู้นำและผู้ตาม ฝึกการพูดกับตัวเองหน้ากระจก มั่นใจ กล้าสบตาและแสดงความ Proactive ในการบรรลุโจทย์ที่ได้รับ ไม่ต้องสนใจว่าเราเป็นไอเดียที่ดีที่สุดเสมอไป พร้อมทั้งแสดงความเป็น Team Player สามารถเข้ากับเพื่อนร่วมงานใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ______________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________ สำหรับคำถามสัมภาษณ์และการเตรียมตัว ต้องเรียนก่อนว่าแต่ละการสัมภาษณ์ จำนวนคนสัมภาษณ์ จำนวนรอบการสัมภาษณ์จะจะแตกต่างกันไปตามนโยบายและแผนงานของบริษัท แต่ Recruiter โดยเฉพาะบริษัทใหญ่ ๆ มักจะมีชุดคำถามกลาง หรือ Standard Questions เพื่อใช้คัดกรองแคนดิเดตเตรียมไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว เมื่อมีผู้เข้าสัมภาษณ์จำนวนมาก ทำให้มีการจำคำถามออกมาแชร์กัน การทำการบ้านก่อนการสัมภาษณ์ไม่ใช่การจำทุกคำถาม ท่องจำทุกคำตอบ แต่เป็นการทำความเข้าใจสิ่งที่ recruiter อยากรู้จัก อยากประเมินเราผ่านชุดคำถามที่น่าจะถูกถาม ขณะเดียวกันเราก็เตรียมตัว คีย์แมสเสจ หรือสิ่งที่อยากจะสื่อสารล่วงหน้า ขยายความให้เห็นภาพ ซึ่งทำให้ recruiter สามารถเห็นภาพของเราในการทำงานได้ชัดเจน คะแนนการสัมภาษณ์ของเราก็จะออกมาดี ตอบคำถามได้ครบถ้วนและป้องกันไม่ให้เราตื่นเต้นหรือทำพลาดเกินไป คุณไม่มีวันสามารถฝึกฝนทุกคำถาม หรือคาดคะเนคำถามได้ทุกครั้ง ยิ่งหากพวกเขามีการเตรียมคำถามพิเศษในแต่ละปี หรือแต่ละรอบ แต่คุณสามารถโฟกัสคำถามที่น่าจะถูกถามบ่อย ๆ และ recruiter ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยน ซึ่งหลายครั้งอาจเป็นคำถามแรก ๆ ของการสัมภาษณ์ ถ้าคุณมีการเตรียมตัวที่ดี พูดชัดถ้อยชัดคำ สื่อสารได้ตรงประเด็น คุณจะมีความได้เปรียบเหนือผู้สมัครที่ไม่สามารถสร้างความประทับใจจากคำถามง่าย ๆ หรือทำผิดพลาดร้ายแรงตั้งแต่การแนะนำตัว คุณอาจซ้อมเป็นช่วง ๆ ผ่านการพูดหน้ากระจกจะทำให้คำตอบเข้าปากมากกว่า สามารถสังเกตบุคลิก สีหน้าของเราเวลาพูด เพราะหลายครั้งการเขียนลงในกระดาษหรือทดไว้ในใจเมื่อพูดออกไปกลับทำให้คุณเองที่เสียความมั่นใจ เสียการควบคุม การมีเพื่อนคู่ซ้อมจะยิ่งทำให้คุณคุ้นชินและทำได้อย่างคล่องแคล่ว สุดท้ายก่อนที่เราจะเจาะลึกไปที่คำถามที่น่าจะเกิดขึ้น คุณควรรู้เคล็ดลับอย่างนึงในการสร้างภาพจำที่ดีให้แก่ recruiter นั่นคือการแสดงความกระตือรือร้น ความตื่นเต้นที่ได้รับโอกาสพูดคุยกับ recruiter (ผู้สมัครหลายคนอาจไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับ recruiter ด้วยซ้ำ) ดังนั้นการแสดงภาษากายที่เป็นบวก น่าพูดคุย เหมือนการทำความรู้จักกับคน ๆ หนึ่ง การยิ้ม การพยักหน้า การสบตาและการโน้มตัวไปข้างหน้านิดหน่อย พยายามลดภาษากายที่ไม่น่าพูดคุย เช่น ขยับบ่อย ๆ กอดอก มองไปทางอื่น ทั้งหมดนี้เป็นลักษณะการสื่อสารที่ไม่ได้ออกมาจากคำพูด อาจไม่ได้ทำให้คะแนนเพิ่มขึ้น แต่คุณจะไม่โดนหักคะแนนแน่นอน สำหรับคำถามที่เราเตรียมมาให้ในวันนี้ มีอยู่ 10 คำถาม Why do you want to work for X company over the other Companies or three Big 4 firms? Why did you choose to be an accounting major and get into this field? Where would you like to be in your career after your first five years? What is your greatest strength? Walk me through your resume. 1.Why do you want to work for X company over the other Y Company or three Big 4 firms? Our take : กล่าวถึงคนที่คุณเคยเจอ การค้นคว้าของคุณว่าการทำงานที่บริษัทนี้ ทำให้คุณรู้สึกอย่างไร พูดถึงการได้ทำงานในสายงาน หรืออุตสาหกรรมที่คุณสมัครงาน สามารถพูดถึงความประทับใจสินค้าและบริการได้เช่นเดียวกัน หากคุณเคยใช้มัน 2.Why did you choose to be an accounting major and get into this field? “I chose to be an accounting major because I was pretty good at math and really enjoyed the entry level accounting courses. I think I became the most excited about the accounting major when I discovered the career opportunities in public accounting. From the professors I’ve talked with and the research I’ve done online, public accounting offers such a great career and provides a great foundation right out of school. I wanted to set myself up for success and felt that accounting was the best route for me.” Our take: หลายคนจะตอบเหมือนกันว่าพวกเขาชอบคณิตศาสตร์ ชอบตัวเลข ชอบคำนวณ ชอบบัญชี มันคืออาชีพที่มั่นคง เป็นงานที่มีโอกาสที่ดี โอกาสของคุณที่จะสร้างความแตกต่างคือการตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าทำไมคุณถึงอยากทำงานสายนี้ แล้วค้นลึกลงไปว่าทำไมการตัดสินใจเลือกนี้สมเหตุสมผลผ่านรูปแบบ (ถึงแม้จริง ๆ แล้วคุณจะเลือกจากความรู้สึกก็ตาม) A : เป็นศาสตร์คุณสนใจ หลังจากไปเจอ xyz B : เป็นสิ่งที่คุณทำมันได้ดี จาก xyz C : เป็นอาชีพที่คุณอยากจะเติบโต เพราะ xyz จากนั้นค่อยเรียบเรียงและสอดแทรกความสนใจ ความชอบของคุณลงไป เช่น "ผมเลือกเรียนสาขาการบัญชีเพราะผมเก่งคณิตศาสตร์และชอบวิชาบัญชีระดับเริ่มต้นมาก ผมรู้สึกตื่นเต้นกับการเรียนสาขาการบัญชีมากขึ้นเมื่อได้รู้จักโอกาสในอาชีพการบัญชีและออดิท นอกจากนี้ผมได้พูดคุยกับอาจารย์และการค้นคว้าทางอินเทอร์เน็ต ผมได้รู้ว่าอาชีพการบัญชีนั้นเป็นอาชีพที่ยอดเยี่ยมและสามารถเป็นฐานการเรียนรู้ที่ดีเมื่อจบการศึกษา ผมต้องการตั้งต้นอาชีพอย่างมั่นคงและรู้สึกว่าการเรียนสาขาการบัญชีเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผม" 3.Where would you like to be in your career after your first five years? Our take 1: เป็นไปได้สูงที่คุณอาจจะเริ่มคิดจะย้ายงานตั้งแต่ปีแรก เพื่อค่าตอบแทนและชั่วโมงการทำงานที่คุณต้องการ แต่คุณไม่ควรบอกเด็ดขาด พวกเขาต้องการคนที่จะมาทำงานและอยู่ไปสักพักหนึ่งโดยที่พวกเขาไม่ต้องกลับมาสัมภาษณ์หาคนมีประสบการณ์เร็วจนเกินไปนัก Our take 2 : พูดถึงความน่าสนใจของอาชีพนี้ สิ่งที่คุณตื่นเต้น เช่น การเติบโต การเป็นเมเนเจอร์ พร้อมทั้งคำนึงถึงสกิลหรือทักษะที่คุณจะได้เรียนรู้ พัฒนาจนเป็นตัวคุณที่เก่งและเชี่ยวชาญกว่าเดิมใน 5 ปีข้างหน้า พวกเขาคงปัดตกแน่นอนถ้าคุณบอกว่าคุณจะยังเก่งเท่าเดิมกับคุณวันนี้ (ในขณะที่คุณยังอยากได้รับเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ) ดังนั้นพยายามพูดถึงตัวคุณใน Best version ที่คุณจินตนาการไว้ อาจพูดถึงบุคคลที่เป็น Role model ที่คุณประสบพบเจอได้เช่นกัน 4.What is your greatest strength? Our take: ความจริงคือ Recruiter ได้ยินจุดแข็งมาทุกรูปแบบ สิ่งที่คุณควรทำคือหาจุดแข็งที่เป็นตัวคุณจริง ๆ จะดีมากหากมันสอดคล้องกับเนื้องานที่คุณจะต้องทำทุกวัน คุณค่าบริษัท หรือวัฒนธรรมองค์กร แล้วพูดมันออกมาอย่างมั่นใจ ถ้าคุณพูดถึงจุดแข็งด้วยความไม่มั่นใจ น้ำเสียงแผ่วเบา หลังงอ คงยากที่ใครจะเชื่อจุดแข็งนั้นแน่นอน ระมัดระวัง : การพูดถึงจุดแข็งที่โอเว่อร์ หลอกลวง ไม่สามารถยกตัวอย่างเหตุการณ์หรือสถานการณ์มารองรับได้ 5. Walk me through your resume. สิ่งที่คุณต้องโฟกัส หากคุณต้องเล่าเกี่ยวกับเรซูเม่ เกรด GPA: ถ้าเกรดคุณดีมาก หรือได้เกียรตินิยมให้พูดถึงมัน – ถ้าคุณได้เกรดวิชาบัญชีสูง ให้พูดถึงมัน การฝึกงานและงานอื่น ๆ : พูดถึงการฝึกงานหรืองานที่เกี่ยวข้องกับการบัญชี เล่าเรื่องสิ่งที่คุณบรรลุจากบทบาทที่คุณทำ กิจกรรมนอกเหนือการเรียน Extracurricular: เล่าเกี่ยวกับสิ่งที่คุณทำนอกเหนือห้องเรียน เช่น ชมรม กีฬา ความสนใจ ยิ่งเป็นกิจกรรมที่อยู่ท่ามกลางผู้คนมักยิ่งดี การสอบ CPA : คุณสามารถพูดถึงแผนที่จะสอบ CPA หลังจากเรียนจบได้! ยังมีคำถามที่ผู้สมัครในบริษัทใหญ่ ๆ มักถูกถาม เช่น 6. Tell me about yourself - สามารถดูได้ที่บทความนี้ 7. Tell me about a time when you had to be a leader. - เขาต้องดูทักษะการผู้นำ การถือความเป็นเจ้าของในตัวงาน(Ownership) 8. Tell me about a time when you were had to overcome an obstacle to get something done. - เขาต้องการดูทักษะการประเมิน การแก้ปัญหา และการรับมือจากอุปสรรคที่ยากของคุณ คุณอาจตอบจากปัญหาที่แก้ไขได้ จากขั้นตอนการแก้ไขและ ไทม์ไลน์ที่สั้น+ชัดเจน 9. How well do you work do in a team setting? - เขาต้องการดูทักษะการสื่อสาร และการทำงานร่วมกับผู้อื่น 10. Tell me about a time when you had to work under pressure with strict deadlines. - เขาต้องการดูว่าคุณมีความทรหดอดทนต่องานแค่ไหน หรือจะโยนงานทิ้งไปทันทีเมื่อเจออุปสรรค สรุปการเตรียมตัวสมัครงานหรือการสัมภาษณ์งาน : ยิ่งคุณเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี จะช่วยลดความผิดพลาดและหาจุดที่เราสามารถทำคะแนนได้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้งานของ Recruiter ง่ายและมั่นใจว่าคุณสามารถเข้าไปทำงานในตำแหน่งที่กำลังเปิดรับได้อย่างดี คุณยังควรเตรียมคำถามไปถาม recruiter อย่างจริงใจ เพราะการไม่ถามอะไรเลย อาจสื่อเป็นนัยว่าคุณไม่ได้สนใจงานหรือบริษัทนั้นจริง ๆ สำหรับคำถามเพิ่มเติมคุณสามารถศึกษาต่อได้ที่ https://www.big4bound.com/most-common-big-4-interview-questions/ เครดิตที่มาในการหาข้อมูลเพิ่มเติม https://www.big4bound.com/deloitte-interview-questions-and-answers/ https://youtu.be/wXBTytq8gwc?si=w09MmT4wFS4SWHAE

    Jun 24, 2024
    1/16
    งานและอุตสาหกรรม
    ดูเพิ่มเติม
    Thumbnail for จรรยาบรรณในอาชีพคืออะไร? และอาชีพไหนบ้างที่ใช้จรรยาบรรณในวิชาชีพสูงมากเป็นพิเศษ

    จรรยาบรรณในอาชีพคืออะไร? และอาชีพไหนบ้างที่ใช้จรรยาบรรณในวิชาชีพสูงมากเป็นพิเศษ

    ในโลกการทำงานยุคใหม่ ความเก่งอาจไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทำให้คนประสบความสำเร็จ เพราะ “จรรยาบรรณวิชาชีพ” คือหัวใจสำคัญที่สะท้อนความรับผิดชอบ ความซื่อสัตย์ และศีลธรรมในการทำงานต่อผู้อื่นและสังคม เป็นหลักที่ช่วยให้ทุกอาชีพได้รับความไว้วางใจและยืนหยัดได้อย่างมั่นคง จรรยาบรรณวิชาชีพคืออะไร จรรยาบรรณวิชาชีพ คือ แนวทางปฏิบัติที่กำหนดให้ผู้ประกอบอาชีพประพฤติปฏิบัติอย่างมีคุณธรรม ซื่อสัตย์ และเคารพต่อสิทธิของผู้อื่น โดยยึดผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก มากกว่าผลประโยชน์ส่วนตัว เพื่อรักษามาตรฐานและศรัทธาของสังคมต่อวิชาชีพนั้น ๆ ทำไมจรรยาบรรณถึงสำคัญ เพราะจรรยาบรรณคือ “รากฐานของความน่าเชื่อถือ” หากองค์กรหรือบุคคลขาดจรรยาบรรณ การทำงานอาจสูญเสียความไว้วางใจจากลูกค้า ผู้บริหาร หรือสังคม ซึ่งอาจกระทบต่อชื่อเสียงในระยะยาว แม้จะมีความสามารถมากเพียงใดก็ตาม ตัวอย่างอาชีพที่ต้องใช้จรรยาบรรณสูง แพทย์และพยาบาล : ต้องรักษาความลับผู้ป่วย เคารพชีวิต และทำหน้าที่ด้วยจิตเมตตา ครูและอาจารย์ : ต้องเป็นแบบอย่างที่ดี ไม่ลำเอียง และใช้ความรู้เพื่อพัฒนาศิษย์อย่างแท้จริง นักกฎหมายและผู้พิพากษา : ต้องยึดมั่นในความยุติธรรม ไม่รับสินบน และไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง นักบัญชีและผู้สอบบัญชี : ต้องซื่อสัตย์ โปร่งใส ไม่ปลอมแปลงข้อมูลทางการเงิน นักข่าวและสื่อมวลชน : ต้องรายงานข้อเท็จจริงอย่างเที่ยงตรง ไม่ใส่ร้ายหรือบิดเบือนข้อมูล ผลเสียเมื่อขาดจรรยาบรรณ เมื่อจรรยาบรรณถูกละเลย ความน่าเชื่อถือจะค่อย ๆ หายไป ก่อให้เกิดความเสียหายทั้งต่อบุคคลและองค์กร เช่น การฟ้องร้อง เสื่อมชื่อเสียง หรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตวิชาชีพ ส่งผลต่ออนาคตการทำงานโดยตรง วิธีสร้างและรักษาจรรยาบรรณ ยึดมั่นในความซื่อสัตย์ ไม่ใช้ตำแหน่งเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว เคารพผู้อื่นและรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ของงาน หมั่นทบทวนจรรยาบรรณในสายอาชีพอยู่เสมอ หากพบการประพฤติผิด ควรแจ้งต่อองค์กรวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง เช่น แพทยสภา สภาครู หรือสภาทนายความ เพื่อให้มีการตรวจสอบอย่างโปร่งใส จรรยาบรรณไม่ใช่เพียงกฎระเบียบ แต่คือ “จิตสำนึกแห่งความเป็นมืออาชีพ” ที่ทำให้งานทุกชิ้นมีคุณค่าและได้รับการยอมรับในระยะยาว หากคุณต้องการพัฒนาตนเองให้เติบโตในสายอาชีพอย่างมั่นคง เริ่มต้นที่การรักษาจรรยาบรรณและพัฒนาทักษะกับ Jobcadu เพื่อค้นหางานดี ๆ และบทความพัฒนาอาชีพอีกมากมาย

    Oct 27, 2025
    Thumbnail for “Big 4 คืออะไร? ทำไมถึงเป็นที่ทำงานในฝันของเด็กจบใหม่สายบัญชี–การเงิน รายได้ดีจริงไหม? มาดูกัน”

    “Big 4 คืออะไร? ทำไมถึงเป็นที่ทำงานในฝันของเด็กจบใหม่สายบัญชี–การเงิน รายได้ดีจริงไหม? มาดูกัน”

    หากคุณเป็นนิสิตนักศึกษาสายบัญชี การเงิน หรือเศรษฐศาสตร์ คุณคงเคยได้ยินคำว่า "Big 4" กันมาแล้วไม่น้อย บริษัทกลุ่มนี้ไม่เพียงแต่เป็นที่ทำงานในฝันของเด็กจบใหม่เท่านั้น แต่ยังเป็นใบเบิกทางสู่ความก้าวหน้าในสายอาชีพบัญชี-การเงินที่หลายคนใฝ่ฝันไว้อีกด้วย Big 4 หรือ "Big Four" คือกลุ่มบริษัทตรวจสอบบัญชีและที่ปรึกษาธุรกิจขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ได้แก่ Deloitte (Deloitte Touche Tohmatsu Limited) , PwC (PricewaterhouseCoopers) , EY (Ernst & Young) เเละ KPMG (Klynveld Peat Marwick Goerdeler) ซึ่งบริษัททั้งสี่แห่งนี้มีบทบาทสำคัญในการให้บริการด้าน: Audit & Assurance - ตรวจสอบบัญชีและให้ความเชื่อมั่นทางการเงิน Tax Services - ให้คำปรึกษาด้านภาษี และการวางแผนภาษี Advisory & Consulting - ที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ธุรกิจ และการจัดการความเสี่ยง Risk Management - การบริหารความเสี่ยงขององค์กร Financial Advisory - ที่ปรึกษาการเงินและการลงทุน เหตุผลที่ Big 4 ถูกยกให้เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมคือการที่พวกเขามีลูกค้าเป็นบริษัทจดทะเบียนใหญ่ๆ ทั่วโลก มีมาตรฐานการทำงานระดับสากล และมีเครือข่ายในทุกประเทศหลัก เจาะลึกบริษัทในกลุ่ม Big 4 จุดแข็ง: เป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดใน Big 4 โดดเด่นด้าน Management Consulting และ Technology Advisory ขอบเขตงาน: Strategy & Operations, Human Capital, Technology Transformation วัฒนธรรม: เน้นนวัตกรรม และการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี จุดแข็ง: เป็นผู้นำด้านการตรวจสอบบัญชีและบริการภาษี มีลูกค้าบริษัทจดทะเบียนมากที่สุด ขอบเขตงาน: Audit & Assurance, Tax & Legal Services, Deals วัฒนธรรม: เน้นความเป็นมืออาชีพ และมาตรฐานคุณภาพสูง จุดแข็ง: โดดเด่นด้านการพัฒนาคนรุ่นใหม่ และ Digital Innovation ขอบเขตงาน: Assurance, Consulting, Strategy & Transactions, Tax วัฒนธรรม: เน้น Entrepreneurial spirit และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง จุดแข็ง: โดดเด่นด้าน Risk Management และ Financial Advisory ขอบเขตงาน: Audit, Advisory, Tax, Risk Consulting วัฒนธรรม: เน้นความใกล้ชิดกับลูกค้า และการแก้ปัญหาเชิงลึก ทำไมคนถึงอยากเข้าทำงานใน Big 4? 1. ประสบการณ์การทำงานระดับโลก ใน Big 4 คุณจะได้ทำงานกับลูกค้าที่เป็นบริษัทข้ามชาติ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และหน่วยงานราชการระดับสูง การเรียนรู้และประสบการณ์ที่ได้จะเทียบไม่ได้กับที่อื่น 2. โอกาส rotation หลายสายงาน ไม่เหมือนบริษัททั่วไปที่คุณจะติดอยู่กับงานแค่ด้านเดียว Big 4 ให้โอกาสได้ลองทำงานหลากหลายสาย เช่น Audit → Tax → Advisory ทำให้คุณค้นพบความถนัดและความสนใจที่แท้จริง 3. Fast Track Career Growth การทำงานใน Big 4 เปรียบเสมือน "เครื่องเร่งอาชีพ" คุณจะได้เรียนรู้และเติบโตเร็วกว่าที่อื่นมาก โดยเฉลี่ยใน 3-5 ปี คุณสามารถก้าวขึ้นเป็น Manager ได้ 4. เครือข่าย Alumni ที่แข็งแกร่ง อดีตพนักงาน Big 4 หลายคนไปดำรงตำแหน่งสำคัญในบริษัทต่างๆ เช่น CFO, CEO หรือ Managing Director เครือข่ายนี้จะเป็นประโยชน์ตลอดชีวิตการทำงาน 5. Exit Opportunities ที่หลากหลาย หลังจากทำงานใน Big 4 คุณจะมีโอกาสเปลี่ยนงานไปยังตำแหน่งที่ดีกว่าได้ง่าย เช่น: Corporate Finance - ในบริษัทข้ามชาติ Investment Banking - ธนาคารลงทุน Private Equity/Venture Capital - กองทุนลงทุน Startup CFO - ผู้บริหารการเงินใน Startup In-house Corporate - ตำแหน่งผู้จัดการอาวุโสในบริษัทลูกค้าเดิม รายได้และสวัสดิการใน Big 4 รายได้ในประเทศไทย (2024-2025) จากข้อมูล Glassdoor และ salary surveys ล่าสุด: Entry Level (Associate/Analyst) เงินเดือนเริ่มต้น: 35,000-45,000 บาท/เดือน รวมรายได้ปีแรก: 450,000-600,000 บาท/ปี Senior Associate (2-3 ปี ประสบการณ์) เงินเดือน: 45,000-65,000 บาท/เดือน รวมรายได้: 600,000-900,000 บาท/ปี Manager (4-6 ปี ประสบการณ์) เงินเดือน: 80,000-120,000 บาท/เดือน รวมรายได้: 1,200,000-1,800,000 บาท/ปี Senior Manager/Director (ประสบการณ์ 7 ปีขึ้นไป) เงินเดือน: 150,000-250,000 บาท/เดือน โบนัส: 4-8 เดือน รวมรายได้: 2,000,000-3,500,000 บาท/ปี รายได้ในต่างประเทศ สำหรับบัณฑิตระดับปริญญาโทที่เพิ่งจบใหม่ในสหรัฐอเมริกา สามารถได้รับรายได้รวมกว่า $200,000 ต่อปีเมื่อรวมเงินเดือนฐาน โบนัส และค่าใช้จ่ายในการย้ายที่อยู่ สวัสดิการเพิ่มเติม ประกันสุขภาพครอบครัว - ครอบคลุมครอบครัวทั้งหมด ประกันชีวิต และอุบัติเหตุ - ในจำนวนเงินที่สูง กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ - บริษัทจ่ายสมทบ ค่าเดินทางและที่พัก - สำหรับการออกงานต่างจังหวัด ค่าอบรมและพัฒนา - EY ใช้งบประมาณ $500 ล้านต่อปีสำหรับการพัฒนาพนักงาน Flexible Working - ทำงานแบบ hybrid model การสมัครงาน Big 4: เตรียมตัวอย่างไรให้พร้อม? 1. วุฒิการศึกษา ปริญญาตรีขึ้นไป จากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง สาขา: บัญชี การเงิน เศรษฐศาสตร์ หรือสาขาที่เกี่ยวข้อง เกรดเฉลี่ย: 3.00 ขึ้นไป (แนะนำ 3.25+) 2. ทักษะภาษา ภาษาอังกฤษ: ดีมาก (หากมีผลสอบ TOEIC 750+ หรือ IELTS 6.5+ จะเป็นข้อได้เปรียบ) สื่อสารได้คล่อง ทั้งพูด เขียน อ่าน 3. Soft Skills สำคัญ Analytical Thinking: ความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล Attention to Detail: ความรอบคอบและความแม่นยำ Communication Skills: การสื่อสารที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ Teamwork: การทำงานเป็นทีม Adaptability: ความสามารถในการปรับตัว ขั้นตอนการสมัครงาน Big 4 Step 1: ส่ง Resume และ Cover Letter เน้นผลงานที่วัดผลได้ (Quantifiable achievements) แสดงประสบการณ์ Leadership หรือ Teamwork ใช้ ATS-friendly format Step 2: Online Assessment Test Numerical Reasoning: ทดสอบความสามารถด้านตัวเลข Verbal Reasoning: ทดสอบความเข้าใจภาษาอังกฤษ Situational Judgment: ทดสอบการตัดสินใจในสถานการณ์ต่างๆ Personality Test: ประเมินบุคลิกภาพ Step 3: Interview รอบแรก HR Interview: เล่าเรื่องตัวเอง ความสนใจ แรงจูงใจ Behavioral Questions: ใช้ STAR Method (Situation, Task, Action, Result) Basic Technical Questions: คำถามพื้นฐานเกี่ยวกับบัญชี-การเงิน Step 4: Final Interview Panel Interview: สัมภาษณ์กับผู้จัดการระดับสูง Case Study: วิเคราะห์สถานการณ์ทางธุรกิจ Technical Deep Dive: คำถามเชิงลึกเกี่ยวกับงานในแผนกที่สมัคร ช่องทางติดตามข่าวสาร เว็บไซต์บริษัท LinkedIn: ติดตาม Company Pages และ connect กับ alumni Job Fairs: ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ Campus Recruiting: Big 4 มักจะเข้าไปรับสมัครนักศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำโดยตรง Big 4 vs MBB: ต่างกันยังไง? เมื่อพูดถึงสายงานที่เกี่ยวข้องกับการให้คำปรึกษาธุรกิจ หลายคนคงคุ้นชื่อ Big 4 และ MBB ซึ่งถือเป็นสองเส้นทางอาชีพที่โดดเด่นที่สุด แต่ทั้งสองแบบกลับมีลักษณะงาน สภาพแวดล้อม และผลตอบแทนที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน จุดเด่นของ Big 4  คือความหลากหลาย ทั้งการตรวจสอบบัญชี (Audit) การให้คำปรึกษาด้านภาษี (Tax) และงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการองค์กรอื่นๆ ด้วยลักษณะงานที่ครอบคลุมหลายด้าน ทำให้ผู้ที่เริ่มต้นใน Big 4 ได้รับประสบการณ์ที่กว้างและหลากหลาย สามารถต่อยอดไปทำงานในหลายอุตสาหกรรม ในขณะที่ MBB นั้น เป็นสายงานที่เน้นการให้คำปรึกษาด้านกลยุทธ์กับองค์กรขนาดใหญ่ระดับโลก งานลักษณะนี้มักมีความท้าทายสูง เนื่องจากต้องวิเคราะห์ปัญหาธุรกิจเชิงลึกและคิดกลยุทธ์ใหม่ๆ ที่ส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจในระดับผู้บริหาร ผลตอบแทนจึงสูงกว่ามาก อย่างไรก็ตาม ความคุ้มค่ามาพร้อมกับความกดดัน เพราะที่ปรึกษาในสายนี้ต้องทำงานหนักกว่า 80 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จึงเหมาะกับคนที่ชอบความท้าทาย ไม่กลัวเหนื่อย และอยากก้าวกระโดดในสายอาชีพพร้อมผลตอบแทนสูงในเวลาอันสั้น หากคุณกำลังมองหาโอกาสที่ใช่ ลองไปค้นหาเส้นทางอาชีพที่เหมาะกับคุณได้ที่ Jobcadu.com แพลตฟอร์มหางานที่ให้ทั้งโอกาสหน้าที่ใช่ และคำแนะนำสายอาชีพพร้อมเทรนด์ใหม่ ๆ สำหรับคนทำงานยุคนี้

    Sep 22, 2025
    Thumbnail for MBB หรือ Big 3 คืออะไร? ทำไมรายได้ถึง “หลักแสน” ใครๆ ก็อยากไปทำงาน?

    MBB หรือ Big 3 คืออะไร? ทำไมรายได้ถึง “หลักแสน” ใครๆ ก็อยากไปทำงาน?

    MBB หรือที่เรียกว่า Big 3 นั้นคือกลุ่มบริษัทที่ปรึกษากลยุทธ์ระดับโลก ได้แก่ McKinsey, BCG และ Bain ซึ่งเป็นชื่อที่ถูกพูดถึงในแวดวงธุรกิจและสายอาชีพบ่อยครั้ง เหตุผลก็เพราะโอกาสเติบโตและรายได้ของพนักงานในบริษัทเหล่านี้สูงมาก จนหลายคนยกให้เป็นบริษัท “ในฝัน” ของคนไทยจำนวนมาก MBB หรือ Big 3 คืออะไร? MBB เป็นคำย่อที่มาจากชื่อบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำทั้งสาม ได้แก่: M = McKinsey & Company B = Boston Consulting Group (BCG) B = Bain & Company บริษัททั้งสามแห่งนี้ถูกเรียกว่า "Big 3 Consulting Firms" เพราะเป็นบริษัทที่ปรึกษากลยุทธ์ที่ใหญ่ที่สุดและมีอิทธิพลมากที่สุดในโลก พวกเขาให้คำปรึกษาด้านกลยุทธ์ธุรกิจแก่บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก รัฐบาลของประเทศต่างๆ และแม้แต่ Startup ที่กำลังเติบโต บทบาทหลักของ MBB คือการช่วยองค์กรต่างๆ แก้ปัญหาทางธุรกิจที่ซับซ้อน วางแผนกลยุทธ์การเติบโต ปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน และการเปลี่ยนแปลงองค์กร 1.McKinsey & Company จุดเด่น: เป็นบริษัทที่ปรึกษาที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงมากที่สุด ก่อตั้งในปี 1926 มีลูกค้าเป็นบริษัทข้ามชาติและรัฐบาลทั่วโลก ความเชี่ยวชาญ: Strategy, Operations, Organization, และ Digital transformation วัฒนธรรมองค์กร: เน้นความเป็นมืออาชีพสูง มีกระบวนการทำงานที่เป็นระบบ 2.Boston Consulting Group (BCG) จุดเด่น: เป็นผู้บุกเบิกแนวคิด Experience Curve และ Growth-Share Matrix ที่มีชื่อเสียง ความเชี่ยวชาญ: Innovation, Digital transformation, และ Sustainability วัฒนธรรมองค์กร: เน้นการทำงานแบบ collaborative และ creative thinking 3.Bain & Company จุดเด่น: มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับลูกค้า มักทำงานกับลูกค้าระยะยาว ความเชี่ยวชาญ: Private Equity, Results delivery, และ Customer experience วัฒนธรรมองค์กร: เน้น work-life balance มากกว่าคู่แข่ง มีบรรยากาศการทำงานที่เป็นกันเอง ทำไมคนถึงอยากเข้าทำงานใน MBB? 1. โอกาสได้ทำงานกับโครงการระดับโลก ในฐานะ Consultant ใน MBB คุณจะได้ทำงานกับปัญหาทางธุรกิจที่ซับซ้อนและท้าทาย ไม่ใช่แค่งานประจำวันทั่วไป แต่เป็นงานที่ส่งผลกระทบต่อทั้งอุตสาหกรรมหรือแม้แต่ประเทศ 2. Fast-track Career Growth การทำงานใน MBB เปรียบเสมือน "มหาวิทยาลัยทางธุรกิจ" ที่เร่งรัด คุณจะได้เรียนรู้และเติบโตอย่างรวดเร็วมากกว่าสายงานอื่น ภายใน 2-3 ปี คุณอาจมีประสบการณ์เทียบเท่าคนที่ทำงานมา 5-7 ปีในบริษัททั่วไป 3. เครือข่ายและ Alumni Network MBB มี Alumni network ที่แข็งแกร่งมาก อดีต consultants หลายคนไปเป็นผู้บริหารระดับสูง หรือ founder ของ startup ชื่อดัง เครือข่ายนี้จะเป็นทรัพยสินล้ำค่าตลอดอาชีพ 4. Exit Opportunities หลังจากทำงานใน MBB คุณจะมีโอกาสเปลี่ยนงานไปยังตำแหน่งระดับสูงในบริษัทต่างๆ เช่น: ผู้บริหารระดับ C-level ในบริษัทข้ามชาติ นักลงทุนใน Private Equity หรือ Venture Capital Startup Founder รายได้ใน MBB: "หลักแสน" จริงไหม? มาถึงคำถามใหญ่ที่หลายคนสงสัย รายได้ใน MBB สูงจริงไหม? คำตอบคือ ใช่ แต่ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและประเทศที่ทำงาน รายได้ในสหรัฐอเมริกา (2024-2025) ตำแหน่ง MBA Consultant เริ่มต้นที่ $190,000-192,000 ต่อปี ซึ่งเมื่อรวมกับโบนัสแล้วอาจสูงถึง $250,000+ ต่อปี สำหรับตำแหน่ง Analyst (จบปริญญาตรี) จะได้รับ $112,000 ต่อปี รายได้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย รายได้จะต่ำกว่าสหรัฐอเมริกา แต่เมื่อเทียบกับค่าครองชีพแล้วยังคงสูงมาก ข้อมูลจาก Glassdoor แสดงว่า BCG Associate ในกรุงเทพฯ มีเงินเดือนเฉลี่ย 1,650,000 บาทต่อปี หรือประมาณ 137,500 บาทต่อเดือน ประมาณการรายได้ในไทย: Analyst/Associate Consultant: 80,000-120,000 บาท/เดือน Consultant (MBA level): 150,000-200,000 บาท/เดือน Manager/Principal: 250,000-400,000 บาท/เดือน ดังนั้น รายได้ "หลักแสน" ใน MBB เป็นเรื่องจริง โดยเฉพาะในตำแหน่งระดับ Consultant ขึ้นไป การสมัครงาน MBB ต้องทำอย่างไร? คุณสมบัติที่ MBB มองหา การศึกษา: จบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ (Top universities) ทั้งในและต่างประเทศ เกรดเฉลี่ย: GPA 3.5+ (ระบบ 4.0) หรือเทียบเท่า ภาษาอังกฤษ: ระดับดีมาก สื่อสารได้คล่อง ความสามารถในการคิดวิเคราะห์: Problem-solving skills ที่แข็งแกร่ง Leadership Experience: ประสบการณ์เป็นผู้นำในกิจกรรมต่างๆ ขั้นตอนการสมัครงาน 1. ส่ง Resume และ Cover Letter ผ่านเว็บไซต์ เน้นความสำเร็จที่วัดผลได้ (quantifiable achievements) แสดงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากงานที่ทำ 2. Online Assessment Test Logical reasoning และ Numerical reasoning Situational judgment test 3. Case Interview (รอบคัดเลือก) แก้โจทย์ทางธุรกิจในรูปแบบ case study ประเมินกระบวนการคิด ไม่ใช่แค่คำตอบ 4. Final Interview Personal Experience Interview (PEI) Case interview เพิ่มเติม Cultural fit assessment Recruiting Timeline 2025 การรับสมัครงาน MBB ปี 2025 เริ่มตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมิถุนายน และปิดรับสมัครในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงต้นกันยายน กำหนดการสำคัญ: Summer Internship: มิถุนายน-กรกฎาคม 2025 Full-time Positions: กรกฎาคม-กันยายน 2025 Interview Period: สิงหาคม-ตุลาคม 2025 แหล่งข้อมูลและการเตรียมตัว เว็บไซต์บริษัท: McKinsey.com, BCG.com, Bain.com LinkedIn: ติดตาม page และ connect กับ alumni Case Interview Preparation: หาหนังสือและคอร์สเรียนเตรียมสอบ Tips การเตรียมตัว เริ่มเตรียมตัวอย่างน้อย 6 เดือนล่วงหน้า ฝึกทำ Case Interview กับเพื่อนหรือ mentor อ่านหนังสือเกี่ยวกับธุรกิจและ case study ติดตามข่าวสารทางธุรกิจสม่ำเสมอ สร้างเครือข่าย networking กับ alumni MBB หรือ Big 3 Consulting เป็นจุดหมายปลายทางที่ดีเยี่ยมสำหรับคนที่อยากเติบโตก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในสายงานธุรกิจ ด้วยรายได้ที่สูงจริงในระดับ "หลักแสน" ประสบการณ์การทำงานที่ล้ำค่า และโอกาสในการพัฒนาอาชีพที่ไร้ขีดจำกัด แต่เส้นทางสู่ MBB ไม่ใช่เรื่องง่าย มีเพียงน้อยกว่า 2% ของผู้สมัครเท่านั้นที่จะได้รับการตอบรับเข้าทำงาน ดังนั้นการเตรียมตัวที่ดี การมีประสบการณ์ที่โดดเด่น และการพัฒนาทักษะต่างๆ อย่างต่อเนื่อง จึงเป็นสิ่งสำคัญ นอกจาก MBB หรือ Big 3 แล้ว อีกหนึ่งเส้นทางอาชีพยอดนิยมในสายงานที่ปรึกษาก็คือ Big 4 Consulting Firms (Deloitte, PwC, EY, KPMG) ซึ่งก็ขึ้นชื่อเรื่องเงินเดือนที่แข่งขันได้, โอกาสทำงานกับบริษัทระดับโลก และเส้นทางการเติบโตในสายการเงิน การบัญชี ที่ปรึกษาธุรกิจ ไม่แพ้กัน มาลองค้นหาโอกาสที่ใช่สำหรับคุณได้ที่ Jobcadu แพลตฟอร์มหางานที่มาพร้อมคำแนะนำด้านอาชีพและเทรนด์ใหม่ ๆ สำหรับคนทำงานยุคนี้

    Sep 20, 2025
    Thumbnail for Traditional Marketing คืออะไร ยังจำเป็นอยู่ไหมในยุคนี้

    Traditional Marketing คืออะไร ยังจำเป็นอยู่ไหมในยุคนี้

    อะไร ๆ ก็ Digital Marketing การเข้าสู่โลกดิจิทัล ก็ไม่ได้แปลว่าการตลาดแบบดั้งเดิมแบบคลาสสิคจะไม่จำเป็นอีกต่อไป บทความนี้จะพาทุกคนไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับการตลาดแบบดั้งเดิม รวมถึงข้อดีข้อเสีย และเปรียบเทียบกับการตลาดดิจิทัล Traditional Marketing คืออะไร Traditional Marketing หรือ การตลาดแบบดั้งเดิม คือจะเน้นไปที่การทำการตลาดผ่านสื่อที่ไม่ได้อยู่ในระบบออนไลน์ โดยมุ่งเน้นการเข้าถึงผู้บริโภคผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่เป็นรูปธรรม เช่น สื่อสิ่งพิมพ์: หนังสือพิมพ์ นิตยสาร โบรชัวร์ หรือใบปลิว สื่อโทรทัศน์และวิทยุ ป้ายโฆษณากลางแจ้ง (Billboard) การจัดอีเวนต์ งานแสดงสินค้า หรือเข้าร่วมนิทรรศการต่าง ๆ การแจกสินค้าตัวอย่าง (Sampling) การตลาดทางโทรศัพท์ (Telemarketing) การตลาดแบบดั้งเดิมคือวิธีที่จับต้องได้จริง และมองเห็นเป็นรูปธรรม ซึ่งแม้ว่าในมุมหนึ่งอาจดูว่าเชยหรือล้าสมัยเมื่อเทียบกับยุคดิจิทัล แต่ความจริงแล้วก็ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจที่เน้นขายเฉพาะในพื้นที่ (Local Market) ที่ไม่ได้เน้นขายออนไลน์หรือส่งทั่วประเทศ เช่น ร้านอาหารท้องถิ่น ร้านชำ หรือร้านค้าที่ค้าขายงานบริการในชุมชน การตลาดดั้งเดิมอย่างการแจกใบปลิว ติดป้ายประกาศ หรือโฆษณาผ่านวิทยุชุมชน ก็ยังคงเป็นเทคนิคการตลาดที่ได้ผลดีอย่างไม่น่าเชื่อ การตลาดประเภทนี้มีจุดเด่นที่สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภควงกว้าง โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่ได้ใช้สื่อดิจิทัลบ่อยเช่น ผู้สูงอายุ หรือกลุ่มที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ตัวอย่างแนวคิดการตลาดที่น่าสนใจของ คุณตัน ภาสกรนที นักธุรกิจที่เติบโตมาพร้อมการตลาดแบบ “เถ้าแก่” และพัฒนาแนวทางของตัวเองที่เรียกว่า Spider Marketing ซึ่งหมายถึงการวางสินค้าและแบรนด์ให้ล้อมรอบชีวิตประจำวันของผู้คน เหมือนใยแมงมุมที่ผู้บริโภคจะไปทางไหนก็ต้องเจอกับแบรนด์นั้น เขาเคยเล่าว่า "ผมก็ทำมาร์เก็ตติ้งแบบธรรมดามาก หนังสือเล่มแรกของผม ‘ชีวิตนี้ไม่มีทางตัน’ ก็เขียนว่า Spider Marketing ตอนเด็ก ๆ ผมคุ้นเคยกับการตลาดแบบเถ้าแก่ และผมสร้างประวัติศาสตร์สไปเดอร์มาร์เก็ตติ้งหลายครั้ง ทั้งสำเร็จและล้มเหลว" แนวทางของเขาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ขายของ แต่เน้นการเชื่อมโยงประสบการณ์ เช่น ร้านหนังสือพิมพ์ของเขา จะมอบคูปองให้ลูกค้าไปกินกาแฟฟรีที่ร้านกาแฟของเขา ซื้อหนังสือก็ได้ส่วนลดร้านเบเกอรี่ ทุกธุรกิจเชื่อมโยงกันเหมือนใยแมงมุม นี่คือการสร้าง “เครือข่ายประสบการณ์” ที่ทำให้ผู้บริโภคอยู่ในวงจรแบรนด์อย่างแนบเนียน เขาเคยพูดในงาน Bitkub Meetup ว่า “ทุกวิกฤตมันคือโอกาส อยู่ที่ว่าเราหาเจอหรือเปล่า ตราบใดที่เรายังมีชีวิต เเปลว่าเรายังมีโอกาส” ไม่ว่าเราจะใช้วิธีดั้งเดิมหรือเทคโนโลยีล้ำหน้าแค่ไหน สุดท้ายความจริงใจ ความกล้า และการลงมือทำ คือสิ่งที่ผลักดันธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ Traditional Marketing มีข้อดีข้อเสียอย่างไร ข้อดีของ Traditional Marketing สร้างความน่าเชื่อถือ: การโฆษณาผ่านโทรทัศน์หรือหนังสือพิมพ์ยังคงให้ภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือแก่ผู้บริโภค เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายบางกลุ่มได้ดี: โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่ใช่ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตเป็นหลัก อาจจะเป็นกลุ่มคนที่มีอายุ หรือมีกำลังซื้อสูง สื่อสารได้อย่างเป็นรูปธรรม: สื่อสิ่งพิมพ์หรือการจัดกิจกรรมจริงสามารถกระตุ้นประสบการณ์ให้ลุกค้า เช่น การได้สัมผัส ทดลองสินค้า ข้อเสียของ Traditional Marketing ต้นทุนสูง: โฆษณาทางโทรทัศน์หรือป้ายกลางแจ้งมักใช้ต้นทุนจำนวนมาก วัดผลได้ยาก: การประเมินผลของแคมเปญทำได้ไม่แม่นยำเท่ากับการตลาดดิจิทัล ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ทันที: หากเนื้อหาโฆษณามีปัญหา การแก้ไขต้องใช้เวลาและงบประมาณเพิ่มเติม Traditional Marketing และ Digital Marketing แตกต่างกันอย่างไร Traditional Marketing ใช้ช่องทางแบบออฟไลน์ เช่น ทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ และป้ายโฆษณา มีจุดเด่นคือเหมาะกับการเข้าถึงผู้คนในวงกว้าง โดยเฉพาะในพื้นที่ท้องถิ่น แต่จำกัดด้านเวลาและพื้นที่ อีกทั้งการสื่อสารเป็นทางเดียว ไม่สามารถโต้ตอบกับลูกค้าได้ทันที และยากต่อการวัดผล นอกจากนี้ยังมีต้นทุนที่สูง ขณะที่ Digital Marketing ใช้ช่องทางออนไลน์ เช่น โซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ และอีเมล ทำให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ตลอดเวลาและในทุกที่ มีการโต้ตอบกับลูกค้าได้ทันที วัดผลได้แบบเรียลไทม์ และสามารถปรับงบประมาณได้อย่างยืดหยุ่น การเลือกใช้แนวทางใดขึ้นอยู่กับเป้าหมายและกลุ่มลูกค้า การผสมผสานทั้งสองรูปแบบอย่างเหมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารและขยายโอกาสทางธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น Traditional Marketing ยังจำเป็นอยู่ไหมในยุคนี้? คำตอบคือ “ยังจำเป็น” แต่ควรใช้อย่างมีกลยุทธ์และผสมผสานกับการตลาดดิจิทัล เพราะการตลาดแบบดั้งเดิมยังคงมีประสิทธิภาพในบางบริบท เช่น แบรนด์ที่ต้องการสร้างภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือ หรือกลุ่มเป้าหมายที่ไม่ใช่ผู้ใช้งานออนไลน์ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเช่น อสังหาริมทรัพย์ สินค้าอุปโภคบริโภค หรือบริการในท้องถิ่น ในยุคปัจจุบัน การตลาดที่ได้ผลที่สุดไม่ใช่การเลือกเพียงแบบใดแบบหนึ่ง แต่คือการผสมผสานระหว่าง Traditional Marketing และ Digital Marketing อย่างลงตัว เพื่อทำการตลาดที่ครบวงจรและตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ อยากเข้าใจเรื่องการตลาดให้ลึกขึ้น เพื่อพัฒนาอาชีพหรือธุรกิจของให้ก้าวหน้า สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโลกของการทำงาน การตลาด และการพัฒนาตัวเองได้ที่ Jobcadu เลย

    Aug 10, 2025
    Thumbnail for Digital Marketing คืออะไร? ในยุคที่ทุกอย่างเป็นดิจิทัล ทุกธุรกิจจึงต้องปรับตัว

    Digital Marketing คืออะไร? ในยุคที่ทุกอย่างเป็นดิจิทัล ทุกธุรกิจจึงต้องปรับตัว

    ในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว “Digital Marketing” กลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ทุกธุรกิจต้องใช้เพื่อเข้าถึงลูกค้าอย่างเป็นมืออาชีพ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างยอดขาย และรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างยั่งยืน แล้ว Digital Marketing คืออะไร? มีกี่ประเภท? ต้องเรียนอะไรถึงจะทำอาชีพนี้ได้? และเส้นทางอาชีพจะเติบโตอย่างไร? วันนี้ Jobcadu รวมทุกคำตอบไว้ที่นี่แล้ว! Digital Marketing คืออะไร? Digital Marketing หรือ การตลาดดิจิทัล คือ การใช้สื่อออนไลน์และเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อทำการตลาด เช่น เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย เสิร์ชเอนจิน อีเมล หรือแอปพลิเคชัน โดยเป้าหมายหลักคือ “ดึงดูดลูกค้า” และ “กระตุ้นการซื้อ” ด้วยวิธีที่วัดผลได้ ประเภทของ Digital Marketing ทั้ง 6 ประเภท Content Marketing การสร้างและเผยแพร่เนื้อหาที่มีคุณค่า เช่น บทความ วิดีโอ อินโฟกราฟิก เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย สร้างความน่าเชื่อถือ และกระตุ้นการตัดสินใจ Content Marketing ต้องมีทักษะอะไรบ้าง >> คลิกเลย Search Engine Optimization (SEO) เทคนิคการปรับเว็บไซต์ให้ติดอันดับสูงบน Google เพื่อเพิ่มโอกาสที่คนจะเจอเว็บไซต์ของคุณ โดยไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณา Pay Per Click (PPC) การซื้อโฆษณาที่คิดเงินตามจำนวนคลิก เช่น Google Ads หรือ Facebook Ads ช่วยให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้เร็วและแม่นยำ Social Media Marketing การทำตลาดผ่านแพลตฟอร์มโซเชียล เช่น Facebook, Instagram, TikTok เพื่อสร้างแบรนด์ สื่อสารกับลูกค้า และสร้างยอดขาย Email Marketing การส่งอีเมลไปยังลูกค้าแบบตรงจุด เช่น โปรโมชั่น ข่าวสาร หรือคอนเทนต์เฉพาะเจาะจง เพื่อรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า Affiliate Marketing การให้ค่าคอมมิชชันกับบุคคลที่ช่วยขายสินค้า/บริการให้ผ่านลิงก์แนะนำ เหมาะกับการขยายช่องทางการขายโดยไม่ต้องลงทุนเอง Digital Marketing ต้องเรียนอะไรบ้าง? แม้ไม่จำเป็นต้องจบตรงสาย 100% แต่พื้นฐานที่ดีมักเริ่มจากคณะดังนี้: นิเทศศาสตร์ / การตลาด เทคโนโลยีสารสนเทศ บริหารธุรกิจ นอกจากนี้ยังมีคอร์สเรียนออนไลน์ทั้งฟรีและเสียเงินที่ช่วยเสริมทักษะทางด้าน Digital Marketing ด้วย เช่น Jobcadu Online Course Google Digital Garage Meta Blueprint HubSpot Academy คอร์ส SEO, Facebook Ads, Copywriting ฯลฯ ทักษะที่ควรมี: การวิเคราะห์ข้อมูล (Google Analytics) ความคิดสร้างสรรค์ในการสื่อสาร ทักษะการใช้เครื่องมือออนไลน์ เช่น SEO tools, Ads manager เงินเดือนของสายงาน Digital Marketing ระดับรายได้โดยเฉลี่ย (อัปเดตปี 2025): ตำแหน่ง : รายได้เฉลี่ยต่อเดือน (บาท) Digital Marketing Executive : 18,000 – 30,000 Digital Marketing Specialist : 30,000 – 50,000 Digital Marketing Manager : 50,000 – 90,000 Digital Director : 100,000+ หมายเหตุ: รายได้ขึ้นกับประสบการณ์และความสามารถเฉพาะทาง เช่น SEO, Media Buying, Performance Marketing Career Path ของ Digital Marketing สายงาน Digital Marketing มีการเติบโตที่ชัดเจน โดยเส้นทางหลัก ๆ จะเป็นดังนี้ Digital Marketing Executive Digital Marketing Specialist Performance Marketer / SEO Expert / Content Lead Digital Marketing Manager Head of Digital / CMO (Chief Marketing Officer) สำหรับใครที่อยากรู้ว่า career path คืออะไร >>> https://jobcadu.com/th-en/career/what-is-career-path ข้อดี - ข้อเสีย ของงาน Digital Marketing ข้อดี: ทำงานได้ทั้งในบริษัท เอเจนซี หรือฟรีแลนซ์ อัปสกิลได้ตลอดเวลา มีคอร์สออนไลน์เยอะ ความต้องการสูงในตลาดแรงงาน เหมาะกับคนชอบคิด วิเคราะห์ และทดลองสิ่งใหม่ๆ ข้อเสีย: การเปลี่ยนแปลงของแพลตฟอร์มรวดเร็ว ต้องเรียนรู้อยู่ตลอด บางตำแหน่งงานมี KPI กดดันสูง ใช้เวลากับหน้าจอคอมพิวเตอร์ค่อนข้างมาก Digital Marketing ไม่ใช่แค่อาชีพมาแรงในยุคนี้ แต่เป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาดงานอนาคต แต่สุดท้าย ไม่ว่าจะจบสายไหน ถ้ามีใจรัก ชอบวิเคราะห์ และไม่กลัวการเรียนรู้ ทุกคนก็สามารถเติบโตในสายนี้ได้เช่นกัน และหากใครกำลังมองหาแพลตฟอร์มหางานด้าน Digital Marketing หรืออยากพัฒนาเส้นทางอาชีพ เข้าไปดูเพิ่มเติมได้ที่ www.jobcadu.com

    Aug 9, 2025
    Thumbnail for ไม่ชอบเข้าสังคมไม่ได้แปลว่าไม่ดี! มารู้จักกับ 7 อาชีพที่คน Introvert ทำได้ดี

    ไม่ชอบเข้าสังคมไม่ได้แปลว่าไม่ดี! มารู้จักกับ 7 อาชีพที่คน Introvert ทำได้ดี

    ในยุคที่โลกดูเหมือนจะหมุนเร็วตามการสื่อสารและการเข้าสังคม “การไม่ชอบเข้าสังคม” มักถูกมองว่าเป็นข้อด้อย แต่ในความเป็นจริงแล้ว นั่นอาจเป็นพลังเงียบที่ซ่อนศักยภาพไว้มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีลักษณะบุคลิกภาพแบบ Introvert (อินโทรเวิร์ต) Introvert คืออะไร? Introvert คือบุคคลที่มีแนวโน้มจะ “ชาร์จพลัง” จากการอยู่คนเดียวมากกว่าการอยู่ในที่ที่ผู้คนพลุกพล่าน พวกเขามักมีโลกภายในที่ลึกซึ้ง ใส่ใจกับรายละเอียด ชอบคิดก่อนพูด และใช้เวลาในการตัดสินใจ พฤติกรรมทั่วไปของคนอินโทรเวิร์ตคือการไม่ชอบเป็นจุดสนใจ ไม่ถนัดการ Small Talk แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถ “ฟังเก่ง” และ “สังเกตเก่ง” ได้อย่างเหลือเชื่อ นิสัยเด่นของคน Introvert ชอบทำงานคนเดียวหรือในกลุ่มเล็ก ๆ มีสมาธิสูงเมื่อทำงานที่ต้องใช้ความคิดลึกซึ้ง สื่อสารเก่งเมื่ออยู่ในพื้นที่ปลอดภัยหรือกับคนที่ไว้ใจ มีความคิดสร้างสรรค์ มองเห็นมุมมองที่คนอื่นอาจมองข้าม วางแผนเก่งและมีระเบียบวินัย จุดด้อยที่มักพบในคน Introvert ไม่ถนัดการพูดในที่สาธารณะหรือเป็นจุดสนใจ รู้สึกเหนื่อยง่ายเมื่ออยู่ในสังคมหรือกิจกรรมหมู่ ตอบสนองต่อแรงกดดันภายนอกช้า เพราะต้องการเวลาคิด บางครั้งถูกเข้าใจผิดว่า “หยิ่ง” หรือ “ไม่เฟรนด์ลี่” 7 อาชีพที่คน Introvert ทำได้ดี 1. นักเขียนคอนเทนต์ / Content Writer กลุ่มอาชีพนักเขียนเป็นกลุ่มอาชีพที่ต้องใช้สมาธิในการทำงานสูงมาก บวกกับการเป็นคน Introvert ทำให้สภาพแวดล้อมหรือสไตล์การทำงานนั้นเหมาะกับทำงานเขียนสุด ๆ  นอกจากนั้นยังรวมถึงพวกกลุ่มอาชีพ Copywriting, Video Editor หรืออาชีพที่ต้องใช้ความคิดอยู่กับตัวเอง ทำให้ชิ้นงานที่ออกมามีประสิทธิภาพสูงอีกด้วย 2. นักออกแบบกราฟิก / Graphic Designer กราฟิกดีไซน์เนอร์ เป็นหนึ่งในอาชีพที่ Introvert หลายคนเป็น เพราะเป็นอาชีพที่ต้องสื่อสารผ่านรูปภาพ ไม่ว่าจะเป็น Headline, Infographic, Banner และอื่น ๆ ซึ่งต้องใช้ทักษะความสามารถในความคิดสร้างสรรค์เป็นอย่างมาก การอยู่เงียบ ๆ ตั้งใจคิดก็ช่วยตกผลึกไอเดียต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่ 3. นักวิเคราะห์ข้อมูล / Data Analyst อาชีพ Data Analyst เป็นหนึ่งในอาชีพที่ต้องใช้สมาธิสูงมาก ๆ เนื่องจากต้องทำการคัดเลือกข้อมูลจำนวนมากให้เป็นข้อมูลที่ใช้การได้ การเป็น Introvert และนิสัยเหล่านี้จึงเหมาะกับการเป็น Data Analyst มาก ๆ 4. นักพัฒนาโปรแกรม / Developer Developer เป็นหนึ่งในอาชีพที่ไม่ต้องประสานงานหรือคุยกับใครมาก หลัก ๆ จะโฟกัสอยู่กับการเขียนโค๊ด รวมถึงทำอะไรต่าง ๆ อีกมากมาย ซึ่งต้องใช้สมาธิสูง ไม่ต้องคุยกับใคร จึงเป็นหนึ่งในอาชีพที่เหมาะกับ Introvert  อีกหนึ่งอาชีพ 5. นักบัญชี / การเงิน (Accountant / Financial Analyst) กลุ่มอาชีพบัญชีและการเงินเป็นงานที่ต้องใช้ความแม่นยำ รอบคอบ และความใส่ใจในรายละเอียดสูง การเป็น Introvert ซึ่งมักเป็นคนที่มีระเบียบและช่างสังเกต ทำให้เหมาะกับการจัดการตัวเลข เอกสาร และรายงานต่าง ๆ ที่ต้องอาศัยสมาธิอย่างมาก นอกจากนี้ยังเป็นงานที่สามารถทำงานเดี่ยวได้โดยไม่จำเป็นต้องสื่อสารกับคนจำนวนมาก 6. บรรณาธิการ / Proofreader อาชีพบรรณาธิการหรือผู้ตรวจสอบเนื้อหาเป็นงานที่ต้องใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งเป็นจุดแข็งของคน Introvert ที่มักมองเห็นข้อผิดพลาดที่คนอื่นอาจมองข้าม ต้องใช้ทั้งสมาธิ ความรอบคอบ และความเข้าใจในเนื้อหา เพื่อทำให้งานเขียนมีความถูกต้องและสมบูรณ์แบบที่สุด เหมาะกับการทำงานแบบเงียบ ๆ และจดจ่อกับเนื้อหาได้เต็มที่ 7. ครูติวเตอร์แบบ 1-on-1 / ติวเตอร์ออนไลน์ ถึงแม้จะเป็นงานที่ต้องมีการสื่อสาร แต่การติวตัวต่อตัวหรือสอนออนไลน์ช่วยให้ Introvert จัดการพลังงานทางสังคมได้ดีขึ้น เพราะเป็นการโฟกัสกับผู้เรียนแบบเฉพาะบุคคล หากกำลังหางานในไทย เราได้รวบรวมงานไว้ให้หมดแล้ว - Jobs 10 Checklist ว่าเราเป็น Introvert หรือเปล่า? รู้สึกเหนื่อยเมื่อต้องอยู่กับคนหมู่มาก ชอบอยู่บ้านมากกว่าปาร์ตี้ มีโลกส่วนตัวสูง ไม่ชอบ Small Talk แต่ชอบการคุย Deep Talk ใช้เวลาคิดก่อนตอบ ทำงานคนเดียวแล้วได้ผลลัพธ์ดีกว่า รู้สึกเครียดเมื่อถูกจับตามอง ฟังเก่ง และมักจะเป็นที่ปรึกษาที่ดี รู้สึกว่า “การได้อยู่เงียบ ๆ” เป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่า ชอบแสดงออกผ่านการเขียนหรือศิลปะมากกว่าการพูด เบื่อไหมกับการไม่รู้ว่าตัวเองเหมาะกับงานแบบไหน? อยากเปลี่ยนสายงาน แต่ไม่มั่นใจว่าทางไหนคือของเราจริง ๆ  มาลอง Jobcadu Career Toolkit เครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์ตัวตนและศักยภาพในการทำงาน ที่ออกแบบมาเพื่อให้คุณ: ✅ รู้ว่าตัวเองเหมาะกับอาชีพสายไหน ✅ เข้าใจจุดแข็ง-จุดอ่อนของตัวเอง ✅ ค้นพบงานที่ “ตรงใจ” และ “ตรงจริต” ✅ สร้างเส้นทางอาชีพอย่างมีเป้าหมาย ไม่หลงทางอีกต่อไป แค่ทำแบบทดสอบของเรา ใช้เวลาไม่นาน คุณจะได้ผลลัพธ์แบบเจาะลึก พร้อมคำแนะนำเฉพาะตัวสำหรับคุณ ทำแบบทดสอบฟรีกับ Jobcadu ได้เลยตอนนี้!

    Jun 19, 2025
    Thumbnail for ชอบพูด ชอบคุย ชอบเจอคนใหม่ ๆ ใช่ว่าจะวุ่นวาย! มารู้จักกับ 7 อาชีพที่คน Extrovert ทำได้ดี

    ชอบพูด ชอบคุย ชอบเจอคนใหม่ ๆ ใช่ว่าจะวุ่นวาย! มารู้จักกับ 7 อาชีพที่คน Extrovert ทำได้ดี

    ในขณะที่บางคนชอบอยู่เงียบ ๆ คนอีกกลุ่มหนึ่งกลับรู้สึก “มีชีวิตชีวา” เมื่อได้เจอผู้คนใหม่ ๆ ได้พูด ได้ฟัง ได้เชื่อมต่อกับผู้คนบุคลิกแบบนี้คือสิ่งที่เรียกว่า Extrovert (เอ็กซ์โทรเวิร์ต) แต่ Extrovert ไม่ได้หมายความว่า “เสียงดัง” “วุ่นวาย” เสมอไป  จริง ๆ แล้วพวกเขาคือคนที่มีพลังบวกมหาศาล และเหมาะกับงานหลายประเภทที่ต้องใช้ทักษะการสื่อสารและมนุษยสัมพันธ์เป็นหลัก Extrovert คืออะไร? Extrovert คือบุคคลที่มีแนวโน้มจะ “ชาร์จพลัง” จากการเข้าสังคม การพูดคุย หรืออยู่ท่ามกลางผู้คน พวกเขารู้สึกสนุกและกระตือรือร้นเมื่อได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เป็นนักฟังที่เปิดใจ และมักมีความมั่นใจในการเข้าสังคม Extrovert ไม่ได้แปลว่าต้องพูดเก่งเสมอไป แต่พวกเขาชอบการเชื่อมโยงและรู้สึกสบายในการเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อมรอบตัว นิสัยเด่นของคน Extrovert กล้าแสดงออก ชอบการสื่อสารแบบตรงไปตรงมา เปิดเผยทางความรู้สึก พูดในสิ่งที่คิด ปรับตัวง่ายเมื่ออยู่ในสังคมหรือทีมใหม่ ๆ มีทักษะการทำงานเป็นทีม แสดงความคิดสร้างสรรค์ออกมาได้ผ่านการพูดหรือการลงมือทำร่วมกับผู้อื่น จุดด้อยที่มักพบในคน Extrovert อาจไม่ถนัดงานที่ต้องทำคนเดียวเงียบ ๆ นาน ๆ ตัดสินใจไว บางครั้งอาจไม่ไตร่ตรองพอ มีโอกาสพูดมากกว่าฟัง ทำให้เข้าใจผู้อื่นได้ไม่ลึกนัก ต้องระวังเรื่องความเหนื่อยล้าจากการเข้าสังคมตลอดเวลา 7 อาชีพที่คน Extrovert ทำได้ดี 1. นักการตลาด / Digital Marketing เป็นอาชีพที่ต้องพูด ต้องเข้าใจผู้คน ต้องนำเสนอสิ่งที่น่าสนใจ เหมาะกับ Extrovert ที่มีไหวพริบและความคิดสร้างสรรค์ 2. พนักงานขาย / Sales Executive Extrovert เหมาะมากกับงานที่ต้องพบลูกค้าใหม่ ๆ การใช้ทักษะการต่อรอง การสื่อสาร 3. พิธีกร / นักจัดรายการ / สื่อสายบันเทิง หากคุณไม่กลัวไมค์ รู้สึกสนุกเวลาพูดกับกล้องหรือคนเยอะ ๆ นี่คืออาชีพที่ใช่สำหรับคุณ 4. HR / ผู้จัดการฝ่ายบุคคล การดูแลคนในองค์กร ทำความเข้าใจเพื่อนร่วมงาน และสร้างบรรยากาศที่ดีคือจุดแข็งของ Extrovert 5. ครู / วิทยากร / โค้ช ใครที่พูดเก่งและอธิบายเก่ง ชอบการมีอิทธิพลต่อคนอื่น งานสอนหรือการพูดในที่สาธารณะคืองานเหมาะกับ Extrovert อย่างที่เเท้จริง 6. อีเวนต์ออร์แกไนเซอร์ / Event Organizer เหมาะกับคนที่จัดการรายละเอียดและประสานงานเก่ง พร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่างๆเเละปัญหาเฉพาะหน้าแบบไม่ตื่นตระหนก 7. นักจิตวิทยา / ที่ปรึกษา แม้จะดูเป็นงานเงียบ ๆ แต่คน Extrovert ที่ชอบฟังและเชื่อมโยงกับคนอื่นจะทำได้ดีมาก ✅ 10 Checklist ว่าเราเป็น Extrovert หรือเปล่า? ชอบพูดคุยกับคนแปลกหน้า รู้สึกมีพลังเมื่ออยู่ท่ามกลางคนเยอะ ๆ ไม่รู้สึกเขินเมื่อพูดหน้าชั้นเรียนหรือที่ประชุม ถนัดการทำงานเป็นทีมมากกว่าทำคนเดียว ชอบเป็นคนริเริ่มหรือจุดประกายไอเดีย ไม่กลัวการเผชิญหน้าหรือแสดงความคิดเห็น มักถูกมองว่า “คุยเก่ง-เปิดเผย” ตัดสินใจไว และลงมือทำทันที สนุกกับการจัดกิจกรรมหรือรวมกลุ่ม เบื่อเร็วถ้าต้องทำงานเงียบ ๆ นาน ๆ เบื่อไหมกับการไม่รู้ว่าตัวเองเหมาะกับงานแบบไหน? อยากเปลี่ยนสายงาน แต่ไม่มั่นใจว่าทางไหนคือของเราจริง ๆ  มาลอง Jobcadu Career Toolkit เครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์ตัวตนและศักยภาพในการทำงาน ที่ออกแบบมาเพื่อให้คุณ: ✅ รู้ว่าตัวเองเหมาะกับอาชีพสายไหน ✅ เข้าใจจุดแข็ง-จุดอ่อนของตัวเอง ✅ ค้นพบงานที่ “ตรงใจ” และ “ตรงจริต” ✅ สร้างเส้นทางอาชีพอย่างมีเป้าหมาย ไม่หลงทางอีกต่อไป แค่ทำแบบทดสอบของเรา ใช้เวลาไม่นาน คุณจะได้ผลลัพธ์แบบเจาะลึก พร้อมคำแนะนำเฉพาะตัวสำหรับคุณ ทำแบบทดสอบฟรีกับ Jobcadu ได้เลยตอนนี้!

    Jun 19, 2025
    Thumbnail for 30 อาชีพอิสระยอดนิยม ทำเงินได้จริง ทำงานที่ไหนก็ได้ | Jobcadu

    30 อาชีพอิสระยอดนิยม ทำเงินได้จริง ทำงานที่ไหนก็ได้ | Jobcadu

    อาชีพอิสระ หรือ ฟรีแลนซ์ คืออะไร ในโลกการทำงานปัจจุบันที่เปิดกว้างและยืดหยุ่นมากขึ้น คำว่า "อาชีพอิสระ" หรือ "ฟรีแลนซ์" (Freelance) ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย อาชีพอิสระหมายถึงการทำงานที่ไม่ผูกมัดกับองค์กรหรือบริษัทใดบริษัทหนึ่งเป็นการถาวร แต่เป็นการรับงานจากลูกค้าหลายรายตามแต่ละโปรเจกต์หรือชิ้นงาน ผู้ประกอบอาชีพอิสระมีอิสระในการบริหารจัดการเวลา สถานที่ทำงาน และวิธีการทำงานของตนเองอย่างเต็มที่ โดยจะได้รับค่าตอบแทนตามผลงานที่ส่งมอบ การทำงานฟรีแลนซ์กำลังเป็นเทรนด์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเทคโนโลยีที่ทันสมัยทำให้การสื่อสารและการทำงานระยะไกลเป็นไปได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ผู้คนจำนวนมากยังมองหาความยืดหยุ่นและความเป็นอิสระในการใช้ชีวิตมากขึ้น ทำให้การเป็นฟรีแลนซ์เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับหลายคน ฟรีแลนซ์กับพนักงานประจำต่างกันอย่างไร เรามาดูความแตกต่างที่สำคัญระหว่างฟรีแลนซ์กับพนักงานประจำกัน: 30 อาชีพอิสระ มีอะไรบ้าง หากคุณกำลังมองหาอาชีพที่ให้อิสระในการทำงานและสร้างรายได้ด้วยตัวเอง นี่คือ 30 อาชีพอิสระยอดนิยมที่น่าสนใจ พร้อมคำอธิบายสั้น ๆ เพื่อให้คุณเห็นภาพ: นักเขียน/นักเขียนบทความ (Content Writer): เขียนบทความ, บทความ SEO, บล็อกโพสต์, สคริปต์วิดีโอ ให้กับเว็บไซต์, ธุรกิจ หรือสื่อต่าง ๆ นักแปล (Translator): แปลเอกสาร, เว็บไซต์, หนังสือ หรือสื่ออื่น ๆ จากภาษาหนึ่งไปอีกภาษาหนึ่ง บรรณาธิการ/พิสูจน์อักษร (Editor/Proofreader): ตรวจสอบความถูกต้องของไวยากรณ์, การสะกดคำ, การใช้ภาษา และความสอดคล้องของเนื้อหา นักออกแบบกราฟิก (Graphic Designer): ออกแบบโลโก้, โบรชัวร์, เว็บไซต์, สื่อโซเชียลมีเดีย และงานออกแบบอื่น ๆ นักพัฒนาเว็บไซต์ (Web Developer): สร้างและดูแลเว็บไซต์ทั้งฝั่ง Front-end และ Back-end นักพัฒนาแอปพลิเคชัน (App Developer): พัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับ iOS หรือ Android ผู้เชี่ยวชาญ SEO (SEO Specialist): ปรับปรุงเว็บไซต์ให้ติดอันดับการค้นหาบน Google ผู้จัดการโซเชียลมีเดีย (Social Media Manager): วางแผน, สร้างเนื้อหา และบริหารจัดการช่องทางโซเชียลมีเดียให้แบรนด์หรือธุรกิจ ผู้สร้างสรรค์คอนเทนต์วิดีโอ (Video Content Creator): ถ่ายทำ, ตัดต่อ และสร้างสรรค์วิดีโอสำหรับ YouTube, TikTok หรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ ช่างภาพ (Photographer): รับงานถ่ายภาพบุคคล, สินค้า, อีเวนต์ หรือภาพสต็อก นักวาดภาพประกอบ (Illustrator): วาดภาพประกอบสำหรับหนังสือ, โฆษณา, เว็บไซต์ หรือสินค้า นักพากย์เสียง (Voice-over Artist): ให้เสียงพากย์สำหรับโฆษณา, สารคดี, แอนิเมชัน หรือ e-learning ที่ปรึกษา (Consultant): ให้คำแนะนำในสาขาความเชี่ยวชาญของตนเอง เช่น การตลาด, ธุรกิจ, การเงิน, ไอที ติวเตอร์/ครูสอนพิเศษ (Tutor/Private Teacher): สอนพิเศษวิชาการ, ภาษา หรือทักษะเฉพาะทาง โค้ช (Coach): ให้คำปรึกษาและช่วยพัฒนาศักยภาพในด้านต่าง ๆ เช่น Life Coach, Career Coach นักบัญชี (Accountant): ทำบัญชี, ตรวจสอบบัญชี หรือให้คำปรึกษาด้านภาษีแก่บุคคลทั่วไปหรือธุรกิจขนาดเล็ก ผู้ช่วยเสมือน (Virtual Assistant): ช่วยงานธุรการ, บริหารจัดการตารางเวลา, ตอบอีเมล หรือช่วยเหลืองานอื่น ๆ ทางไกล ผู้ดูแลเว็บไซต์ (Website Administrator): ดูแลและจัดการข้อมูลบนเว็บไซต์, อัปเดตเนื้อหา, แก้ไขปัญหาเบื้องต้น นักสร้างสรรค์งานฝีมือ/สินค้า DIY (Crafter/DIY Creator): ประดิษฐ์สินค้าทำมือเพื่อขายออนไลน์ นักเขียน/ทำเรซูเม่ (Resume Writer): รับเขียนเรซูเม่และ Cover Letter ที่โดดเด่น นักตัดต่อวิดีโอ (Video Editor): รับตัดต่อฟุตเทจดิบให้เป็นวิดีโอที่สมบูรณ์และน่าสนใจ ผู้ดูแลลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Service Representative): ให้บริการลูกค้าทางโทรศัพท์, อีเมล หรือแชท นักวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analyst): รวบรวม, วิเคราะห์ และตีความข้อมูลเพื่อช่วยในการตัดสินใจทางธุรกิจ ผู้จัดการโครงการ (Project Manager): วางแผน, จัดการ และติดตามโครงการต่าง ๆ เพื่อให้สำเร็จตามเป้าหมาย นักออกแบบสถาปัตยกรรม/มัณฑนากร (Architect/Interior Designer): รับออกแบบบ้าน, อาคาร, หรือตกแต่งภายใน ผู้จัดอีเวนต์ (Event Planner): วางแผนและจัดงานอีเวนต์ต่าง ๆ เช่น งานแต่งงาน, งานเลี้ยงบริษัท นักโภชนาการ/ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ (Nutritionist/Health Specialist): ให้คำปรึกษาด้านอาหาร, โภชนาการ หรือการออกกำลังกาย นักการตลาดดิจิทัล (Digital Marketer): วางแผนและดำเนินการแคมเปญการตลาดออนไลน์ เช่น Google Ads, Facebook Ads นักรีวิวสินค้า/บริการ (Product/Service Reviewer): เขียนรีวิวสินค้าหรือบริการเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ผู้สร้างคอร์สออนไลน์ (Online Course Creator): สร้างและขายคอร์สเรียนออนไลน์จากความเชี่ยวชาญของตนเอง อาชีพฟรีแลนซ์ไหนที่ต้องเสริมสร้างทักษะด้วยการลงคอร์สเรียนออนไลน์ นอกจากนั้นยังมีบางอาชีพที่ต้องการทักษะจากคอร์สเรียนเสริม เพื่อให้ได้รับค่าตอบแทนที่สูงขึ้น กลุ่มอาชีพด้านดิจิทัลและเทคโนโลยี: นักเขียน/นักเขียนบทความ (Content Writer): คอร์สเรียน หลักการเขียนบทความ SEO ให้ติดอันดับ, การเขียนบล็อก ให้น่าสนใจ, หรือเทคนิคการสร้าง Content Marketing ที่มีประสิทธิภาพ นักออกแบบกราฟิก (Graphic Designer): สอนใช้โปรแกรมออกแบบ เช่น Adobe Photoshop, Illustrator, หรือแม้แต่ Canva รวมถึง หลักการออกแบบเบื้องต้น หรือการสร้างแบรนด์ นักพัฒนาเว็บไซต์ (Web Developer): คอร์สสอน การสร้างเว็บไซต์เบื้องต้น ด้วย HTML, CSS, JavaScript หรือการใช้งาน CMS ยอดนิยมอย่าง WordPress นักพัฒนาแอปพลิเคชัน (App Developer): คอร์สสอนพื้นฐาน การพัฒนาแอปพลิเคชัน สำหรับ iOS หรือ Android ผู้จัดการโซเชียลมีเดีย (Social Media Manager): คอร์สสอนการ วางกลยุทธ์ Social Media, การสร้างคอนเทนต์ที่ดึงดูด, การยิงโฆษณาบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ผู้สร้างสรรค์คอนเทนต์วิดีโอ (Video Content Creator) / นักตัดต่อวิดีโอ (Video Editor): คอร์สสอน เทคนิคการถ่ายทำ, การจัดแสง, การตัดต่อวิดีโอด้วยโปรแกรมยอดนิยม, หรือการสร้างสตอรี่บอร์ด นักการตลาดดิจิทัล (Digital Marketer): คอร์สสอนภาพรวมการตลาดดิจิทัล, คอร์สการทำโฆษณาบน Google Ads,คอร์ส Facebook Ads, หรือคอร์สกลยุทธ์ Email Marketing กลุ่มอาชีพด้านความคิดสร้างสรรค์และศิลปะ: นักวาดภาพประกอบ (Illustrator): คอร์สเทคนิคการวาดภาพ ทั้งด้วยมือหรือดิจิทัล, การใช้โปรแกรมวาดภาพ, หรือสไตล์การวาดเฉพาะทาง ช่างภาพ (Photographer): คอร์สพื้นฐานการถ่ายภาพ, การจัดแสง, การจัดองค์ประกอบภาพ, หรือ การแต่งภาพ ด้วยโปรแกรมอย่าง Lightroom/Photoshop การสร้างคอร์สเรียนออนไลน์ไม่เพียงแต่เป็นช่องทางในการสร้างรายได้เพิ่มเติม แต่ยังช่วย สร้าง Personal Brand ของคุณในฐานะผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น ๆ ซึ่งจะส่งผลดีต่ออาชีพฟรีแลนซ์ของคุณในระยะยาวอีกด้วย การเริ่มต้นเป็นฟรีแลนซ์ต้องใช้ความมุ่งมั่นและทักษะการบริหารจัดการที่ดี คุณจะต้องเรียนรู้การตลาดตัวเอง, การสร้างเครือข่าย, การกำหนดราคา, และการบริหารการเงิน หากคุณมีความเชี่ยวชาญในสาขาใดสาขาหนึ่งและพร้อมที่จะรับผิดชอบชีวิตการทำงานของตนเอง อาชีพอิสระสามารถมอบอิสระทางการเงินและชีวิตที่คุณใฝ่ฝันได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเขียน, นักออกแบบ, นักพัฒนา หรือมีทักษะอื่น ๆ ที่เป็นที่ต้องการ ตลาดฟรีแลนซ์มีโอกาสมากมายรอคุณอยู่! หากชอบงานประจำ ทางเรา Jobcadu ก็รับสมัครงานตำแหน่งมากมายจากบริษัทชั้นนำมากมายด้วยคลิกที่นี่เพื่อหางานที่ Jobcadu!

    Jun 12, 2025
    Thumbnail for จบใหม่เรียกเงินเดือนเท่าไหร่ดี จบใหม่เงินเดือนเท่าไหร่ Jobcadu มีคำตอบ!

    จบใหม่เรียกเงินเดือนเท่าไหร่ดี จบใหม่เงินเดือนเท่าไหร่ Jobcadu มีคำตอบ!

    จบใหม่เรียกเงินเดือนเท่าไหร่ดี Jobcadu มีคำตอบ! สำหรับน้อง ๆ ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยและกำลังจะสำเร็จการศึกษา หรือบัณฑิตจบใหม่ที่กำลังมองหางาน สิ่งหนึ่งที่สร้างความกังวลใจและคำถามที่พบบ่อยคือ "จบใหม่ควรเรียกเงินเดือนเท่าไร?" หรือ "ควรเรียกเงินเดือนเท่าไหร่ดี?" Jobcadu เข้าใจปัญหานี้ทุกคน และพร้อมที่จะให้คำตอบเพื่อช่วยให้เราสามารถตัดสินใจเรียกเงินเดือนได้อย่างเหมาะสมและมั่นใจ จบใหม่ควรเรียกเงินเดือนเท่าไร? คำถามยอดฮิตที่ไม่มีคำตอบตายตัว เพราะอัตราเงินเดือนเริ่มต้นของเด็กจบใหม่นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น: สาขาวิชาที่จบ: บางสาขาที่เป็นที่ต้องการในตลาดแรงงาน เช่น วิศวกรรมศาสตร์, เทคโนโลยีสารสนเทศ, สายสุขภาพ มักมีแนวโน้มได้รับเงินเดือนสูงกว่าสาขาอื่นๆ สถาบันการศึกษา: ชื่อเสียงของสถาบันอาจมีผลเล็กน้อยในบางองค์กร โดยเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่หรือองค์กรที่มีการแข่งขันสูง ผลการเรียน/เกรดเฉลี่ย: ผลการเรียนที่ดีเยี่ยม หรือการมีเกียรตินิยม อาจเป็นจุดแข็งที่ทำให้คุณมีโอกาสเรียกเงินเดือนเพิ่มขึ้น ทักษะและความสามารถพิเศษ: ทักษะเสริมต่างๆ เช่น ภาษาต่างประเทศ, โปรแกรมคอมพิวเตอร์เฉพาะทาง, หรือประสบการณ์จากการฝึกงาน/กิจกรรมนอกหลักสูตร สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับตัวคุณได้ ประเภทของธุรกิจ/อุตสาหกรรม: อุตสาหกรรมบางประเภท เช่น FinTech, E-commerce, Oil & Gas มักเสนออัตราเงินเดือนที่สูงกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ ขนาดของบริษัท: บริษัทขนาดใหญ่ หรือบริษัทข้ามชาติ มักมีโครงสร้างเงินเดือนที่สูงกว่า SME หรือบริษัทขนาดเล็ก ตำแหน่งงาน: ลักษณะงานและความรับผิดชอบของแต่ละตำแหน่งย่อมส่งผลต่ออัตราเงินเดือนที่ได้รับ จบใหม่เรียกเงินเดือนเท่าไหร่ดี Jobcadu มีคำตอบ! สำหรับน้อง ๆ ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยและกำลังจะสำเร็จการศึกษา หรือบัณฑิตจบใหม่ที่กำลังมองหางาน สิ่งหนึ่งที่สร้างความกังวลใจและคำถามที่พบบ่อยคือ "จบใหม่ควรเรียกเงินเดือนเท่าไร?" หรือ "ควรเรียกเงินเดือนเท่าไหร่ดี?" Jobcadu เข้าใจปัญหานี้ทุกคน และพร้อมที่จะให้คำตอบเพื่อช่วยให้เราสามารถตัดสินใจเรียกเงินเดือนได้อย่างเหมาะสมและมั่นใจ จบใหม่ควรเรียกเงินเดือนเท่าไร? คำถามยอดฮิตที่ไม่มีคำตอบตายตัว เพราะอัตราเงินเดือนเริ่มต้นของเด็กจบใหม่นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น: สาขาวิชาที่จบ: บางสาขาที่เป็นที่ต้องการในตลาดแรงงาน เช่น วิศวกรรมศาสตร์, เทคโนโลยีสารสนเทศ, สายสุขภาพ มักมีแนวโน้มได้รับเงินเดือนสูงกว่าสาขาอื่นๆ สถาบันการศึกษา: ชื่อเสียงของสถาบันอาจมีผลเล็กน้อยในบางองค์กร โดยเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่หรือองค์กรที่มีการแข่งขันสูง ผลการเรียน/เกรดเฉลี่ย: ผลการเรียนที่ดีเยี่ยม หรือการมีเกียรตินิยม อาจเป็นจุดแข็งที่ทำให้คุณมีโอกาสเรียกเงินเดือนเพิ่มขึ้น ทักษะและความสามารถพิเศษ: ทักษะเสริมต่างๆ เช่น ภาษาต่างประเทศ, โปรแกรมคอมพิวเตอร์เฉพาะทาง, หรือประสบการณ์จากการฝึกงาน/กิจกรรมนอกหลักสูตร สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับตัวคุณได้ ประเภทของธุรกิจ/อุตสาหกรรม: อุตสาหกรรมบางประเภท เช่น FinTech, E-commerce, Oil & Gas มักเสนออัตราเงินเดือนที่สูงกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ ขนาดของบริษัท: บริษัทขนาดใหญ่ หรือบริษัทข้ามชาติ มักมีโครงสร้างเงินเดือนที่สูงกว่า SME หรือบริษัทขนาดเล็ก ตำแหน่งงาน: ลักษณะงานและความรับผิดชอบของแต่ละตำแหน่งย่อมส่งผลต่ออัตราเงินเดือนที่ได้รับ จบใหม่เงินเดือน 30000 เยอะไหม? สำหรับเด็กจบใหม่ การได้เงินเดือน 30,000 บาท ถือว่าค่อนข้างสูงและเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่งในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณไม่มีประสบการณ์การทำงานมาก่อน อย่างไรก็ตาม การจะได้รับเงินเดือนในระดับนี้มักจะมาจากสาขาวิชาที่ขาดแคลนบุคลากร ทักษะเฉพาะทางที่โดดเด่น หรือการได้ทำงานในองค์กรใหญ่ที่มีชื่อเสียงและอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตสูง เงินเดือนเด็กจบใหม่ 2567 และแนวโน้ม 2568 ข้อมูลเงินเดือนเด็กจบใหม่เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอตามสภาวะเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน เงินเดือนเด็กจบใหม่ 2567: โดยเฉลี่ยแล้ว เงินเดือนเริ่มต้นสำหรับเด็กจบใหม่ในประเทศไทยปี 2567 จะอยู่ที่ประมาณ 15,000 - 25,000 บาท ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น เงินเดือน ป.ตรี จบใหม่ 2566: โดยเฉลี่ยอยู่ในช่วง 15,000 - 22,000 บาท เงินเดือน ป.ตรี จบใหม่ 2567: แนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อย อยู่ในช่วง 16,000 - 25,000 บาท จบใหม่ เงินเดือน 20,000: เป็นอัตราที่พบเห็นได้บ่อยในหลายสาขา และเป็นเป้าหมายที่หลายคนตั้งไว้ เงินเดือนเด็กจบใหม่ 2568: คาดการณ์ว่าอัตราเงินเดือนเด็กจบใหม่ในปี 2568 จะยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยเฉพาะในกลุ่มอาชีพที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี, AI, Data Science และสาขาที่ตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต หากมีทักษะภาษาก็อาจจะเพิ่มเงินเดือนได้ เงินเดือนเด็กจบใหม่ วิศวะ: สาขาวิศวกรรมศาสตร์ยังคงเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงาน โดยเฉพาะวิศวะคอมพิวเตอร์, วิศวะไฟฟ้า, วิศวะเครื่องกล เงินเดือนเริ่มต้นสำหรับเด็กจบใหม่วิศวะโดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 20,000 - 30,000 บาท หรือสูงกว่านั้นในบางสาขาและบริษัทชั้นนำ เงินเดือน ป.ตรี จบใหม่ บริษัทเอกชน: บริษัทเอกชนส่วนใหญ่มักมีโครงสร้างเงินเดือนที่หลากหลายกว่าหน่วยงานภาครัฐ เงินเดือนเริ่มต้นในบริษัทเอกชนอาจสูงกว่าหรือต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ขึ้นอยู่กับขนาดของบริษัท, ประเภทธุรกิจ และตำแหน่งงานที่สมัคร โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วง 15,000 - 25,000 บาท สรุป: จบปริญญาตรี ควรได้เงินเดือนเริ่มต้นเท่าไหร่? โดยสรุปแล้ว สำหรับบัณฑิตจบใหม่ระดับปริญญาตรี การตั้งเป้าเงินเดือนเริ่มต้นที่เหมาะสมควรพิจารณาจาก อัตราเฉลี่ยในตลาด: ศึกษาข้อมูลเงินเดือนเริ่มต้นของอาชีพและสาขาที่คุณสนใจ คุณสมบัติของตนเอง: ประเมินทักษะ, ความสามารถ, เกรดเฉลี่ย และประสบการณ์ (ถ้ามี) ประเภทของบริษัทและอุตสาหกรรม: บริษัทขนาดใหญ่, บริษัทข้ามชาติ หรืออุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต มักเสนอเงินเดือนที่สูงกว่า Jobcadu ขอแนะนำให้เราศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นเรตเงินเดือนของสายนั้น ๆ และอย่าลืมเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการสัมภาษณ์ และอย่ากลัวที่จะต่อรองเงินเดือนอย่างมีเหตุผล เพื่อให้ได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับความรู้ ความสามารถ และความตั้งใจของเรา หากคุณกำลังมองหางาน หรือต้องการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเงินเดือนและอาชีพต่างๆ Jobcadu พร้อมเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้คุณค้นหางานในฝันได้อย่างง่ายดาย!

    Jun 9, 2025
    Thumbnail for Careerist EP 18: มาทำความรู้จักกับ Management trainee คืออาชีพอะไร ทำไมรายได้สูงและเป็นที่นิยม

    Careerist EP 18: มาทำความรู้จักกับ Management trainee คืออาชีพอะไร ทำไมรายได้สูงและเป็นที่นิยม

    Management Trainee หรือผู้จัดการฝึกหัด เป็นตำแหน่งที่เปิดรับในหลาย ๆ บริษัท โดยตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่รับนักศึกษาจบใหม่และมีฐานเงินเดือนที่สูง ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงเป็นตำแหน่งงานที่นิยมในหมู่เด็ก Gen Z แต่ต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบมากมาย ซึ่งจะมีอะไรบ้าง มาดูกัน Management Trainee คืออาชีพอะไร Management Trainee หรือ ผู้จัดการฝึกหัด คือบุคลากรที่ถูกคัดเลือกมาเพื่อเข้าโปรแกรมฝึกอบรมในด้านต่าง ๆ ขององค์กร โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาให้กลายเป็นผู้นำหรือผู้บริหารในอนาคต โปรแกรมนี้ออกแบบมาเพื่อให้ผู้เข้าอบรมเข้าใจทุกแผนก ทุกทีมในบริษัท ตั้งแต่ระดับปฏิบัติการจนถึงการวางกลยุทธ์ เพื่อให้สามารถบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ Management Trainee เงินเดือนเท่าไหร่ หนึ่งในเหตุผลที่หลายคนให้ความสนใจตำแหน่งนี้คือ รายได้เริ่มต้นที่ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับตำแหน่งอื่นสำหรับเด็กจบใหม่ โดยเฉลี่ยเงินเดือนของ Management Trainee อยู่ที่ประมาณ 25,000 – 35,000 บาทต่อเดือน หรืออาจมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับบริษัทและอุตสาหกรรม เช่น ในบริษัทข้ามชาติหรือสายการเงิน อาจให้เงินเดือนเริ่มต้นมากถึง 40,000 – 60,000 บาท Management Trainee หรือผู้จัดการฝึกหัดต้องทำอะไรบ้าง หน้าที่ของ Management Trainee ครอบคลุมหลายด้าน ได้แก่ เรียนรู้งานในแต่ละแผนก: หมุนเวียนไปปฏิบัติงานจริงในแผนกต่าง ๆ ของบริษัท เช่น ฝ่ายการตลาด ฝ่ายขาย ฝ่ายปฏิบัติการ ฝ่ายการเงิน หรือฝ่ายทรัพยากรบุคคล เพื่อทำความเข้าใจภาพรวมของธุรกิจ เข้าร่วมการฝึกอบรมและสัมมนา: พัฒนาทักษะและความรู้ที่จำเป็นสำหรับการเป็นผู้บริหาร ผ่านหลักสูตรการฝึกอบรมภายในและภายนอกองค์กร ทำโปรเจกต์พิเศษ: รับผิดชอบโปรเจกต์ที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการปรับปรุงกระบวนการทำงาน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือการวางแผนกลยุทธ์ นำเสนอผลงาน: สื่อสารความคืบหน้าและผลลัพธ์ของงานที่ได้รับมอบหมายต่อหัวหน้างานและผู้บริหาร สร้าง Connection: สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงานและผู้บริหารในแผนกต่างๆ Management Trainee ต้องจบอะไร มีคุณสมบัติอะไรบ้าง? โดยทั่วไปแล้ว บริษัทที่เปิดรับ Management Trainee มักจะไม่ได้จำกัดสาขาวิชาที่จบมาตายตัว แต่จะมองหาผู้ที่มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้: วุฒิการศึกษา: ส่วนใหญ่มักจะรับผู้ที่จบปริญญาตรีขึ้นไป ในสาขาที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เช่น บริหารธุรกิจ เศรษฐศาสตร์ การตลาด การเงิน วิศวกรรม หรือสาขาอื่น ๆ ที่บริษัทนั้น ๆ ให้ความสำคัญ ทักษะพื้นฐาน: มีทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา การสื่อสาร และการทำงานเป็นทีมที่ดี ความเป็นผู้นำ: มีศักยภาพในการเป็นผู้นำ มีความกล้าแสดงออก และสามารถโน้มน้าวผู้อื่นได้ ความกระตือรือร้นและชอบเรียนรู้: มีความมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ ทัศนคติเชิงบวก: มีมุมมองที่เป็นบวก สามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลง และพร้อมรับมือกับความท้าทาย ต้องรู้ภาษาอังกฤษไหม ภาษาอังกฤษถือเป็นสิ่งจำเป็น สำหรับตำแหน่งนี้ โดยเฉพาะในบริษัทข้ามชาติหรือบริษัทที่ต้องสื่อสารกับลูกค้าต่างประเทศ ผู้สมัครมักต้องผ่านการทดสอบภาษาอังกฤษ เช่น TOEIC, IELTS หรือการสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ เพราะตำแหน่งนี้เกี่ยวข้องกับการประชุมและการเขียนรายงาน ตัวอย่างบริษัทที่มี Management Trainee หลายบริษัททั้งในและต่างประเทศเปิดรับตำแหน่งนี้ เช่น: บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) - Management Trainee (Future Leader Program) Charoen Pokphand Produce Company Limited - Management Trainee UNHCR (United Nations High Commissioner for Refugees) - Sales and Fundraising Management Trainee Rosewood Bangkok - Management Trainee (Food & Beverage) Minor Food - Marketing Management Trainee (2-Year Program) บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด - Store Manager Trainee (Tops Foodhall) บริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) - Management Trainee Aura Wellness Co., Ltd. - Aura Management Trainee (Marketing) ความท้าทายในตำแหน่ง Management Trainee การแข่งขันสูง: การสมัครเข้าโครงการ Management Trainee นั้นมีการแข่งขันสูงมาก ผู้สมัครต้องมีคุณสมบัติที่โดดเด่น ภาระงานและความรับผิดชอบ: Management Trainee มักจะได้รับมอบหมายงานที่ท้าทายและต้องรับผิดชอบสูง การปรับตัว: ต้องพร้อมที่จะปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงในการหมุนเวียนงานและวัฒนธรรมองค์กรที่แตกต่างกันในแต่ละแผนก แรงกดดัน: อาจต้องทำงานภายใต้แรงกดดันและมีกำหนดเวลาที่เข้มงวด การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง: ต้องมีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ Management Trainee เป็นอาชีพที่น่าสนใจและมีโอกาสเติบโตสูงสำหรับคนรุ่นใหม่ที่มีความมุ่งมั่น ตั้งใจ และพร้อมที่จะเรียนรู้อย่างไม่หยุดนิ่ง แม้ว่าเงินเดือนที่สูงจะเป็นแรงจูงใจสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือโอกาสในการพัฒนาตนเอง สั่งสมประสบการณ์ และก้าวขึ้นเป็นผู้บริหารขององค์กรในอนาคต หากคุณเป็นคนที่มีคุณสมบัติตามที่กล่าวมา และพร้อมที่จะเผชิญกับความท้าทาย อาชีพ Management Trainee อาจเป็นบันไดที่นำคุณไปสู่ความสำเร็จในเส้นทางอาชีพก็เป็นได้ หากสนใจสมัครงานตำเเหน่ง Management Trainee หรือตำเเหน่งอื่นๆที่ใกล้เคียง สามารถเข้าไปสมัครได้ที่ Jobcadu หางาน

    May 23, 2025
    Thumbnail for 10 อาชีพเงินเดือนสูงสำหรับสายงานการตลาด

    10 อาชีพเงินเดือนสูงสำหรับสายงานการตลาด

    อาชีพที่ให้ค่าตอบแทนสูงเป็นเป้าหมายของหลาย ๆ คน โดยเฉพาะในสายงานการตลาดที่มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนธุรกิจ ยิ่งในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ธุรกิจจึงต้องพึ่งพานักการตลาดที่มีทักษะเฉพาะทางเพื่อสร้างยอดขายและขยายตลาด อาชีพบางสายสามารถให้ค่าตอบแทนหลักแสนบาทต่อเดือนเลยทีเดียว มาดูกันว่าอาชีพไหนบ้างที่อยู่ในลิสต์นี้ 1. ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด (Chief Marketing Officer-CMO) CMO เป็นผู้บริหารระดับสูงที่รับผิดชอบกลยุทธ์ทางการตลาดขององค์กร ทำหน้าที่กำหนดทิศทาง สร้างแบรนด์ วางแผนกลยุทธ์การตลาด และควบคุมงบประมาณด้านการตลาดทั้งหมดของบริษัท เพื่อให้มั่นใจว่าธุรกิจสามารถแข่งขันได้ในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทักษะที่จำเป็น: กลยุทธ์การตลาด, การบริหารงบประมาณ, การวิเคราะห์ข้อมูล, การสร้างแบรนด์ เรตเงินเดือน: 90,000 - 300,000+ บาท 2. ผู้จัดการฝ่ายการตลาดเชิงประสิทธิภาพ (Performance Marketing Manager) ตำแหน่งนี้เน้นการตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Marketing) โดยเน้นการเพิ่ม ROI (Return on Investment) ผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น Google Ads, Facebook Ads และ SEO เพื่อเพิ่มยอดขายและลดต้นทุนในการทำการตลาด ทักษะที่จำเป็น: การวิเคราะห์ข้อมูล, Google Analytics, การตลาดดิจิทัล, การจัดการโฆษณาออนไลน์ เรตเงินเดือน: 70,000 - 95,000+ บาท 3. ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดดิจิทัล (Digital Marketing Director) ผู้ที่ดำรงตำแหน่งนี้มีหน้าที่กำหนดกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ ดูแลการใช้แพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Social Media, SEO, SEM และ Content Marketing ให้สามารถสร้างการมีส่วนร่วมและเพิ่มยอดขายของธุรกิจ ทักษะที่จำเป็น: การตลาดดิจิทัล การวางแผนกลยุทธ์ การจัดการทีม เรตเงินเดือน: 70,000 - 200,000+ บาท 4. ผู้จัดการแบรนด์ (Brand Manager) Brand Manager มีหน้าที่ดูแลภาพลักษณ์ของแบรนด์ วางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด และบริหารผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของบริษัท พวกเขาต้องวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคและพัฒนาแนวทางการสื่อสารแบรนด์ให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย ทักษะที่จำเป็น: การสร้างแบรนด์ การบริหารผลิตภัณฑ์ การวิจัยตลาด เรตเงินเดือน: 70,000 - 150,000+ บาท 5. นักวิเคราะห์ข้อมูลการตลาด (Data Analyst) นักวิเคราะห์ข้อมูลมีหน้าที่รวบรวม วิเคราะห์ และตีความข้อมูลการตลาดเพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนและตัดสินใจได้อย่างแม่นยำขึ้น โดยใช้เครื่องมือเช่น Google Analytics, SQL และ Power BI ทักษะที่จำเป็น: การวิเคราะห์ข้อมูล, Data Science, เครื่องมือ BI เรตเงินเดือน: 50,000 - 180,000+ บาท 6. ผู้จัดการสื่อโซเชียลมีเดีย (Social Media Manager) Social Media Manager ดูแลและบริหารช่องทางโซเชียลมีเดียของแบรนด์ เช่น Facebook, Instagram, Twitter และ TikTok โดยต้องสร้างคอนเทนต์ให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและใช้กลยุทธ์เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วม (Engagement) ทักษะที่จำเป็น: การตลาดบนโซเชียลมีเดีย, การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค, การสร้างสรรค์คอนเทนต์ เรตเงินเดือน: 50,000 - 150,000+ บาท 7. ผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO (SEO Specialist) SEO Specialist มีหน้าที่เพิ่มอันดับเว็บไซต์ในผลการค้นหาของ Google และเครื่องมือค้นหาอื่น ๆ เพื่อให้เว็บไซต์ได้รับ Traffic แบบ Organic โดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณา พวกเขาต้องใช้เทคนิค On-page และ Off-page SEO รวมถึงวิเคราะห์คีย์เวิร์ดเพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับที่ดีที่สุด ทักษะที่จำเป็น: SEO, Google Analytics, การวิเคราะห์คีย์เวิร์ด เรตเงินเดือน: 40,000 - 180,000+ บาท 8. ผู้จัดการด้านการตลาดเนื้อหา (Content Marketing Manager) Content Marketing Manager มีหน้าที่วางกลยุทธ์และสร้างเนื้อหาที่ดึงดูดใจผู้บริโภค เช่น บทความ วิดีโอ อินโฟกราฟิก หรือพอดแคสต์ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า ทักษะที่จำเป็น: การเขียนคอนเทนต์, Storytelling, กลยุทธ์การตลาด เรตเงินเดือน: 40,000 - 170,000+ บาท 9. ผู้จัดการฝ่ายอีคอมเมิร์ซ (E-commerce Manager) E-commerce Manager ดูแลการขายสินค้าออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Shopee, Lazada และเว็บไซต์ของแบรนด์ โดยต้องบริหารสต็อกสินค้า วางแผนโปรโมชั่น และพัฒนาประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ของลูกค้า ทักษะที่จำเป็น: การบริหารแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ UX/UI การตลาดออนไลน์ เรตเงินเดือน: 50,000 - 200,000+ บาท 10.  ผู้จัดการด้านการตลาดอินฟลูเอนเซอร์เเละ KOL  (Influencer & KOL Marketing Manager) ตำแหน่งนี้รับผิดชอบการวางแผนและจัดการแคมเปญการตลาดที่ใช้ Influencer หรือ KOLs (Key Opinion Leaders) เพื่อโปรโมตสินค้าและบริการ โดยต้องเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่เหมาะสม วัดผลลัพธ์ และปรับปรุงกลยุทธ์การตลาด ทักษะที่จำเป็น: Relationship management, กลยุทธ์การตลาด, การวิเคราะห์ผลลัพธ์ เรตเงินเดือน: 40,000 - 180,000+ บาท งานสายการตลาดเป็นหนึ่งในสายงานที่มีความต้องการสูงและให้ค่าตอบแทนที่ดี โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับการตลาดดิจิทัลและการใช้ข้อมูลในการตัดสินใจ การพัฒนาทักษะและความสามารถในด้านต่าง ๆ จะช่วยให้สามารถก้าวหน้าในอาชีพและได้รับค่าตอบแทนที่สูงขึ้น เเละ​​หากกำลังมองหาแนวทางอาชีพเพิ่มเติม สามารถติดตามคำแนะนำและเคล็ดลับการสมัครงานล่าสุดได้ที่ Career Portal

    Mar 28, 2025
    Thumbnail for 10 อาชีพเงินเดือนสูงสำหรับสายวิศวะ

    10 อาชีพเงินเดือนสูงสำหรับสายวิศวะ

    การมีรายได้สูงเป็นหนึ่งในเป้าหมายของหลาย ๆ คน โดยเฉพาะในสายงานวิศวกรรม ซึ่งต้องอาศัยความรู้เฉพาะทางและทักษะที่ซับซ้อน อาชีพบางสายสามารถให้ค่าตอบแทนหลักแสนบาทต่อเดือนได้ หากมีประสบการณ์และความสามารถที่เหมาะสม มาดูกันว่า 10 อาชีพวิศวกรรมที่ให้ค่าตอบแทนสูงมีอะไรบ้าง 1. วิศวกรปิโตรเลียม (Petroleum Engineer) วิศวกรปิโตรเลียมทำหน้าที่ศึกษา ออกแบบ และพัฒนาเทคนิคในการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากแหล่งใต้ดินอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการเพิ่มผลผลิตจากแหล่งพลังงานเดิมให้มากขึ้น พวกเขายังต้องวิเคราะห์ข้อมูลทางธรณีวิทยาและเลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต ทักษะที่จำเป็น: วิศวกรรมปิโตรเลียม, ธรณีวิทยา, การจำลองแหล่งพลังงาน เรตเงินเดือน: 80,000 - 300,000 บาท 2. วิศวกรซอฟต์แวร์ (Software Engineer) วิศวกรซอฟต์แวร์มีหน้าที่ออกแบบ พัฒนา และปรับปรุงระบบซอฟต์แวร์ให้มีประสิทธิภาพและตรงตามความต้องการของผู้ใช้ งานของพวกเขาครอบคลุมตั้งแต่การเขียนโปรแกรม การออกแบบโครงสร้างระบบ ไปจนถึงการแก้ไขข้อบกพร่องของซอฟต์แวร์ที่มีอยู่ ทักษะที่จำเป็น: การเขียนโปรแกรม (Python, Java, C++), การออกแบบระบบ, การจัดการฐานข้อมูล เรตเงินเดือน: 40,000 - 200,000 บาท 3. วิศวกรหุ่นยนต์ (Robotics Engineer) วิศวกรหุ่นยนต์ทำหน้าที่ออกแบบและพัฒนาหุ่นยนต์สำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมและงานวิจัย เช่น หุ่นยนต์ที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม หุ่นยนต์ทางการแพทย์ หรือหุ่นยนต์ช่วยเหลือในงานเฉพาะทาง โดยต้องพัฒนาทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เพื่อให้หุ่นยนต์ทำงานได้อย่างแม่นยำ ทักษะที่จำเป็น: วิศวกรรมเครื่องกล, อิเล็กทรอนิกส์ AI และการควบคุมอัตโนมัติ เรตเงินเดือน: 40,000 - 250,000 บาท 4. วิศวกรปัญญาประดิษฐ์ (AI Engineer) วิศวกรปัญญาประดิษฐ์มีหน้าที่พัฒนาโมเดล AI และ Machine Learning เพื่อนำไปใช้ในระบบอัจฉริยะ เช่น ระบบแนะนำสินค้า ระบบวิเคราะห์ข้อมูล และรถยนต์ไร้คนขับ พวกเขาต้องวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ สร้างอัลกอริธึมที่สามารถเรียนรู้ได้ และปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบ AI อย่างต่อเนื่อง ทักษะที่จำเป็น: การเขียนโปรแกรม, Data Science, อัลกอริธึม AI เรตเงินเดือน: 70,000 - 250,000 บาท 5. วิศวกรความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity Engineer) วิศวกรความปลอดภัยทางไซเบอร์ทำหน้าที่ปกป้องระบบคอมพิวเตอร์ เครือข่าย และข้อมูลจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ เช่น การโจมตีของแฮกเกอร์หรือมัลแวร์ โดยต้องออกแบบระบบความปลอดภัย ตรวจสอบช่องโหว่ และพัฒนาโซลูชันเพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหล ทักษะที่จำเป็น: การเจาะระบบ, Ethical Hacking, ความปลอดภัยเครือข่าย เรตเงินเดือน: 60,000 - 220,000 บาท 6. วิศวกรระบบคลาวด์ (Cloud Engineer) วิศวกรระบบคลาวด์มีหน้าที่ออกแบบ ดูแล และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน Cloud Computing เช่น AWS, Azure และ Google Cloud พวกเขาต้องบริหารทรัพยากรเซิร์ฟเวอร์และเครือข่ายให้รองรับการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ ทักษะที่จำเป็น: DevOps, Cloud Infrastructure เรตเงินเดือน: 50,000 - 200,000 บาท 7. วิศวกรเหมืองแร่ (Mining Engineer) วิศวกรเหมืองแร่ทำหน้าที่ออกแบบ วางแผน และควบคุมการขุดเจาะแร่ให้อยู่ในมาตรฐานความปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการวิเคราะห์คุณภาพแร่และกำหนดวิธีการสกัดแร่ที่มีประสิทธิภาพ ทักษะที่จำเป็น: ธรณีวิทยา, วิศวกรรมเหมืองแร่, การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เรตเงินเดือน: 50,000 - 250,000 บาท 8. วิศวกรอากาศยาน (Aerospace Engineer) วิศวกรอากาศยานมีหน้าที่ออกแบบ พัฒนา และทดสอบเครื่องบิน อวกาศยาน และระบบที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบขับเคลื่อน อากาศพลศาสตร์ และโครงสร้างของเครื่องบิน เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถทำงานได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ทักษะที่จำเป็น: วิศวกรรมเครื่องกล, Aerodynamics, การคำนวณโครงสร้าง เรตเงินเดือน: 50,000 - 300,000 บาท 9. วิศวกรพลังงาน (Energy Engineer) วิศวกรพลังงานทำหน้าที่ออกแบบและพัฒนาโซลูชันด้านพลังงาน เช่น พลังงานหมุนเวียน (โซลาร์เซลล์ พลังงานลม) หรือระบบผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ รวมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทักษะที่จำเป็น: ไฟฟ้า, กลศาสตร์, พลังงานหมุนเวียน เรตเงินเดือน: 65,000 - 180,000 บาท 10. วิศวกรชีวการแพทย์ (Biomedical Engineer) วิศวกรชีวการแพทย์มีหน้าที่ออกแบบและพัฒนาอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น เครื่องช่วยหายใจ แขนขาเทียม และระบบวินิจฉัยโรค เพื่อให้แพทย์สามารถใช้เทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทักษะที่จำเป็น: วิศวกรรมไฟฟ้า, ชีววิทยา, การออกแบบอุปกรณ์การแพทย์ เรตเงินเดือน: 35,000 - 200,000 บาท อาชีพในสายวิศวกรรมยังคงมีค่าตอบแทนสูง โดยเฉพาะอาชีพที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี พลังงาน และอุตสาหกรรมเฉพาะทาง การพัฒนาทักษะและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้เรามีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพและได้รับค่าตอบแทนที่สูงขึ้น เเละ​​หากกำลังมองหาแนวทางอาชีพเพิ่มเติม สามารถติดตามคำแนะนำและเคล็ดลับการสมัครงานล่าสุดได้ที่ Career Portal

    Mar 28, 2025
    Thumbnail for รวม 10 อาชีพเงินเดือนสูงสำหรับสายศิลป์และสายภาษา

    รวม 10 อาชีพเงินเดือนสูงสำหรับสายศิลป์และสายภาษา

    ในยุคที่เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว หลายคนอาจมองข้ามความสำคัญของสายศิลป์และสายภาษา แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทักษะเหล่านี้ยังคงเป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาดแรงงาน และมีอาชีพจำนวนไม่น้อยที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความสามารถด้านศิลป์ภาษาได้รับผลตอบแทนที่สูงหากมีทักษะที่เหมาะสมและความสามารถที่โดดเด่น มาดูกันว่ามีอาชีพใดบ้างที่ให้ค่าตอบแทนสูงสำหรับคนที่มีพื้นฐานด้านศิลป์และภาษา 1. นักแปลและล่าม (Translator/Interpreter) นักแปลและล่ามทำหน้าที่แปลเอกสารหรือสื่อต่างๆ จากภาษาหนึ่งเป็นอีกภาษาหนึ่ง หรือแปลภาษาพูดในการประชุมหรือการสนทนา ทักษะที่จำเป็น: ความเชี่ยวชาญในภาษาต้นนั้น ๆ ภาษาเป้าหมาย เเละทักษะการสื่อสารที่ดี เรตเงินเดือน: 30,000 - 100,000 บาท (ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ) 2. นักเขียนคำโฆษณา (Copywriter) Copywriter ทำหน้าที่สร้างสรรค์ข้อความที่น่าสนใจและดึงดูดใจเพื่อใช้ในการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ ทักษะที่จำเป็น: ความคิดสร้างสรรค์, ทักษะการเขียน, ความเข้าใจในหลักการตลาด เรตเงินเดือน: 25,000 - 40,000 บาทขึ้นไป 3. บรรณาธิการ (Editor) บรรณาธิการทำหน้าที่ตรวจสอบและแก้ไขเนื้อหาต่างๆ ให้ถูกต้องตามหลักภาษาและมีความน่าสนใจ ทักษะที่จำเป็น: ความรู้ด้านภาษานั้น ๆ อย่างเชี่ยวชาญ, ความใส่ใจในรายละเอียด, ทักษะการสื่อสารที่ดี เรตเงินเดือน: 25,000 - 70,000 บาทขึ้นไป 4. นักออกแบบกราฟิก (Graphic Designer) นักออกแบบกราฟิกทำหน้าที่ในการสร้างสรรค์งานออกแบบต่างๆ เช่น โลโก้ โปสเตอร์ เว็บไซต์ เพื่อสื่อสารข้อมูลและสร้างความประทับใจ นักออกแบบที่มีเอกลักษณ์และสามารถสร้างสรรค์งานที่ดึงดูดใจตลาดสามารถสร้างรายได้ที่สูงได้ ทักษะที่จำเป็น: ความคิดสร้างสรรค์, ความรู้เกี่ยวกับโปรแกรมออกแบบ, ทักษะการสื่อสารด้วยภาพ เรตเงินเดือน: 20,000 - 60,000 บาทขึ้นไป 5. UX/UI Designer อาชีพนี้เป็นที่ต้องการสูงในยุคดิจิทัล UX/UI Designer มีหน้าที่ออกแบบประสบการณ์และอินเทอร์เฟซผู้ใช้สำหรับเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันเพื่อให้ใช้งานง่ายและดึงดูดใจ ทักษะที่จำเป็นคือการออกแบบกราฟิก การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้ และความสามารถในการใช้ซอฟต์แวร์ออกแบบเช่น Figma หรือ Adobe XD ทักษะที่จำเป็น: UX/UI Design (Figma, Adobe XD) ,User Research & Usability Testing ,Wireframing และ Prototyping เรตเงินเดือน: 30,000 - 80,000 บาทขึ้นไป 6. ผู้กำกับศิลป์ (Art Director) ผู้กำกับศิลป์ทำหน้าที่ดูแลและควบคุมทิศทางด้านศิลปะในการผลิตสื่อต่างๆ เช่น ภาพยนตร์ โฆษณา นิตยสาร ทักษะที่จำเป็น: ความคิดสร้างสรรค์, ทักษะการบริหารจัดการ, ทักษะการสื่อสารที่ดี เรตเงินเดือน: 30,000 - 60,000 บาทขึ้นไป 7. ครีเอทีฟไดเรกเตอร์ (Creative Director) ครีเอทีฟไดเรกเตอร์มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมโฆษณาและสื่อสร้างสรรค์ เป็นผู้กำหนดแนวคิดหลักและควบคุมงานสร้างสรรค์ทั้งหมดของทีม ไม่ว่าจะเป็นแคมเปญโฆษณา แบรนด์ดิ้ง หรือการผลิตเนื้อหาเพื่อสร้างอิทธิพลต่อผู้บริโภค ทักษะที่จำเป็น: การสื่อสาร การคิดเชิงกลยุทธ์ และความสามารถในการนำทีม เรตเงินเดือน: 35,000 - 80,000 บาทขึ้นไป 8.ผู้กำกับภาพยนตร์/โปรดิวเซอร์ (Director/Producer) ผู้กำกับภาพยนตร์และโปรดิวเซอร์เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการสร้างสรรค์ภาพยนตร์และโฆษณา พวกเขาต้องบริหารทีมงาน กำกับการถ่ายทำ และตัดสินใจเกี่ยวกับงานศิลป์และเนื้อหาเพื่อให้ผลงานออกมาสมบูรณ์แบบ ทักษะที่จำเป็น: Storytelling, การจัดการทีม, ความคิดสร้างสรรค์, และการบริหารงบประมาณ เรตเงินเดือน: รายได้ขึ้นอยู่กับโปรเจกต์ โดยอาจเริ่มต้นที่ 100,000 บาท และสูงถึง 300,000 บาท 9. นักเขียนบทภาพยนตร์ (Screenwriter) นักเขียนบทภาพยนตร์มีหน้าที่หลักในการสร้างสรรค์เรื่องราวและบทสนทนาสำหรับภาพยนตร์หรือละครโทรทัศน์ โดยต้องพัฒนาโครงเรื่อง เขียนบทสนทนา สร้างตัวละคร และเขียนบทบรรยาย รวมถึงแก้ไขบทให้สมบูรณ์พร้อมสำหรับการถ่ายทำ ทักษะที่จำเป็น: ความคิดสร้างสรรค์ ทักษะการเขียนบทสนทนาและการเล่าเรื่อง ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น เรตเงินเดือน: ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความสำเร็จของผลงาน 10. อาจารย์หรือติวเตอร์ภาษา (Language Professor/Tutor) อาจารย์หรือติวเตอร์ภาษาต้องมีความรู้เชิงลึกและสามารถถ่ายทอดความรู้ให้กับนักศึกษาได้ดี ทักษะที่จำเป็น: ความรู้ด้านภาษานั้น ๆ อย่างเชี่ยวชาญ, ทักษะการสอน, ทักษะการสื่อสาร เรตเงินเดือน: 20,000 - 60,000 บาทขึ้นไป (หรือมากกว่านั้นสำหรับติวเตอร์อิสระ) อาชีพเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนของสายงานที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความสามารถในสายศิลป์ภาษาได้รับผลตอบแทนที่สูง หากมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาทักษะของตนเองก็สามารถประสบความสำเร็จในสายอาชีพเหล่านี้ได้อย่างแน่นอน เเละ​​หากกำลังมองหาแนวทางอาชีพเพิ่มเติม สามารถติดตามคำแนะนำและเคล็ดลับการสมัครงานล่าสุดได้ที่ Career Portal

    Mar 28, 2025
    Thumbnail for รวม 10 อาชีพเงินเดือนสูงที่รับเด็กจบใหม่

    รวม 10 อาชีพเงินเดือนสูงที่รับเด็กจบใหม่

    ในยุคปัจจุบัน การเลือกอาชีพที่มีเงินเดือนสูงเป็นเป้าหมายของใครหลาย ๆ คน โดยเฉพาะเด็กจบใหม่ที่ต้องการเริ่มต้นอาชีพด้วยรายได้ที่มั่นคงและมีโอกาสเติบโตในสายงานที่ตนเองสนใจ อาชีพที่ให้เงินเดือนสูงมักเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี การเงิน และการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งเป็นทักษะที่ตลาดแรงงานต้องการสูง มาดูกันว่า 10 อาชีพที่ให้ค่าตอบแทนสูงและเหมาะสำหรับเด็กจบใหม่มีอะไรบ้าง 1. นักพัฒนาซอฟต์แวร์ (Software Developer) นักพัฒนาซอฟต์แวร์ทำหน้าที่ออกแบบและพัฒนาแอปพลิเคชันหรือโปรแกรมต่าง ๆ ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ พวกเขาต้องมีทักษะในการเขียนโค้ดด้วยภาษาโปรแกรม เช่น Python, Java หรือ JavaScript รวมถึงสามารถวิเคราะห์และแก้ไขข้อผิดพลาดในซอฟต์แวร์ได้ อาชีพนี้มีความต้องการสูงในตลาดแรงงาน และสามารถเติบโตไปเป็น Software Engineer หรือ CTO (Chief Technology Officer) ได้ในอนาคต ทักษะที่จำเป็น: Programming (Python, Java, JavaScript) , Database Management (SQL, NoSQL) , Git และ Version Control เรตเงินเดือน: 30,000 - 80,000 บาท 2. นักการตลาดดิจิทัล (Digital Marketing Specialist) นักการตลาดดิจิทัลมีหน้าที่ในการวางกลยุทธ์และดำเนินการตลาดออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Facebook, Google Ads หรือ SEO พวกเขาต้องสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคและใช้ข้อมูลเชิงสถิติเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา การตลาดดิจิทัลเป็นสายงานที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีโอกาสก้าวหน้าและมีรายได้ที่ดี ทักษะที่จำเป็น: SEO, SEM , Google Analytics และ Facebook Ads Manager , การสร้าง Content และ Copywriting , Data Analysis และ Marketing Strategy เรตเงินเดือน: 25,000 - 60,000 บาท 3. นักวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analyst) นักวิเคราะห์ข้อมูลต้องมีความสามารถในการรวบรวม วิเคราะห์ และแปลผลข้อมูลเพื่อช่วยองค์กรในการตัดสินใจ พวกเขาต้องมีทักษะในการใช้เครื่องมือเช่น SQL, Python หรือ Power BI อาชีพนี้มีค่าตอบแทนสูง เนื่องจากความต้องการใช้งานข้อมูลในธุรกิจมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ทักษะที่จำเป็น: SQL, Python, R ,Data Visualization (Tableau, Power BI) เรตเงินเดือน: 35,000 - 90,000 บาท 4. วิศวกรระบบคลาวด์ (Cloud Engineer) ออกแบบและดูแลระบบ Cloud Computing เช่น AWS, Google Cloud หรือ Azure พวกเขาต้องมีความรู้ด้านเครือข่าย ความปลอดภัยของระบบ และสามารถพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการขยายตัวของธุรกิจได้ ทักษะที่จำเป็น: Cloud Computing (AWS, GCP, Azure) , DevOps & CI/CD Tools , Cybersecurity เรตเงินเดือน: 40,000 - 100,000  บาท 5. ที่ปรึกษาทางธุรกิจ (Business Consultant) นักวิเคราะห์และที่ปรึกษาทางธุรกิจช่วยองค์กรในการวางแผนกลยุทธ์ ปรับปรุงกระบวนการทำงาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ ทักษะที่จำเป็นได้แก่ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงธุรกิจ การสื่อสาร และการนำเสนอข้อมูล ทักษะที่จำเป็น: Business Analysis , Microsoft Office Suite, การเจรจาต่อรองและการสื่อสาร เรตเงินเดือน: 30,000 - 90,000  บาท 6. UX/UI Designer UX/UI Designer ทำหน้าที่ออกแบบอินเทอร์เฟซของเว็บไซต์และแอปพลิเคชันให้ใช้งานง่ายและมีประสบการณ์ที่ดีต่อผู้ใช้ พวกเขาต้องมีความเชี่ยวชาญในเครื่องมือออกแบบ เช่น Figma หรือ Adobe XD และมีความเข้าใจด้านจิตวิทยาผู้ใช้งาน ทักษะที่จำเป็น: UX/UI Design (Figma, Adobe XD) ,User Research & Usability Testing ,Wireframing และ Prototyping เรตเงินเดือน: 30,000 - 80,000  บาท 7. นักวิเคราะห์การเงิน (Financial Analyst) นักวิเคราะห์การเงินมีหน้าที่วิเคราะห์งบการเงินและคาดการณ์แนวโน้มทางธุรกิจ พวกเขาต้องมีทักษะด้านการเงินและการใช้โปรแกรม Microsoft Excel อย่างเชี่ยวชาญ ทักษะที่จำเป็น: การวิเคราะห์งบการเงิน , Financial Modeling & Valuation , ความรู้ด้านตลาดทุนและเศรษฐศาสตร์ เรตเงินเดือน: 35,000 - 85,000  บาท 8. เจ้าหน้าที่พัฒนาธุรกิจ (Business Development Executive) Business Development Executive ทำหน้าที่หาลูกค้าใหม่ เจรจาต่อรอง และวางแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อขยายตลาด นักพัฒนาธุรกิจต้องมีทักษะการขายและการสื่อสารที่ดี ทักษะที่จำเป็น: Sales & Negotiation Skills , CRM Software (Salesforce, HubSpot) ,การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า (Client Relationship Management) เรตเงินเดือน: 25,000 - 70,000 บาท ยังไม่รวมค่าคอมมิชชั่น (ถ้ามี) 9. นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Scientist) นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลต้องใช้ Machine Learning และ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อนำไปใช้ในการตัดสินใจทางธุรกิจ ทักษะที่จำเป็น: Python, Machine Learning, Deep Learning ,Big Data Processing เรตเงินเดือน: 50,000 - 120,000  บาท 10. วิศวกรหุ่นยนต์ (Robotics Engineer) วิศวกรหุ่นยนต์ทำหน้าที่ออกแบบและพัฒนาระบบหุ่นยนต์สำหรับงานอุตสาหกรรม ทักษะที่จำเป็น: Robotics Programming (Python, C++) ,ระบบควบคุมอัตโนมัติ (ROS, Embedded Systems), AI & Computer Vision เรตเงินเดือน: 40,000 - 100,000  บาท อาชีพที่มีเงินเดือนสูงมักต้องการทักษะเฉพาะทางและความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หากเด็กจบใหม่สามารถพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องและเรียนรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ ก็จะมีโอกาสก้าวหน้าในสายงานและได้รับค่าตอบแทนที่สูงขึ้นอย่างแน่นอน เเละ​​หากกำลังมองหาแนวทางอาชีพเพิ่มเติม สามารถติดตามคำแนะนำและเคล็ดลับการสมัครงานล่าสุดได้ที่ Career Portal

    Mar 28, 2025
    Thumbnail for รวม 10 อาชีพจ่ายหนัก ที่มีเงินเดือนแตะแสน!

    รวม 10 อาชีพจ่ายหนัก ที่มีเงินเดือนแตะแสน!

    การมีรายได้สูงถือเป็นความฝันของใครหลาย ๆ คน เพราะนอกจากจะช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแล้ว ยังสามารถสร้างความมั่นคงให้กับอนาคตอีกด้วย อย่างไรก็ตาม งานที่ให้เงินเดือนหลักแสนขึ้นไปมักมาพร้อมความรับผิดชอบ ทักษะ และประสบการณ์ที่สูงตามไปด้วย วันนี้เราจะพาทุกคนไปดู 10 อาชีพที่มีเงินเดือนสูงแตะแสน และรายละเอียดเกี่ยวกับแต่ละอาชีพว่าต้องทำอะไร ต้องมีทักษะอะไรบ้าง พร้อมทั้งช่วงเงินเดือนคร่าว ๆ ที่ได้รับ 1. แพทย์เฉพาะทาง แพทย์เฉพาะทางทำหน้าที่วินิจฉัย รักษา และให้คำแนะนำเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น ศัลยแพทย์ แพทย์โรคหัวใจ หรือแพทย์ผิวหนัง เป็นต้น ทักษะที่ต้องมี: ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ความละเอียดรอบคอบ การตัดสินใจที่รวดเร็ว ความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เรตเงินเดือน: 100,000 - 500,000 บาท (ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญและประสบการณ์) 2. วิศวกรปิโตรเลียม วิศวกรปิโตรเลียมมีหน้าที่ในการวางแผน ควบคุม และดูแลกระบวนการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่ามหาศาล ทักษะที่ต้องมี: ความรู้ด้านธรณีวิทยา วิศวกรรมปิโตรเลียม การวิเคราะห์ข้อมูล การบริหารจัดการโครงการ เรตเงินเดือน: 100,000 - 300,000 บาท 3. นักบินพาณิชย์ นักบินพาณิชย์ทำหน้าที่บังคับเครื่องบินโดยสาร ดูแลความปลอดภัยของผู้โดยสารและลูกเรือ รวมถึงการจัดการเที่ยวบินให้เป็นไปตามแผนการบิน ทักษะที่ต้องมี: ทักษะการบิน ความแม่นยำในการคำนวณ การรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน การสื่อสารที่ดี เรตเงินเดือน: 150,000 - 500,000 บาท 4. ผู้บริหารระดับสูง (CEO, CFO, CTO) ผู้บริหารระดับสูงทำหน้าที่กำหนดทิศทางองค์กร วางแผนกลยุทธ์ และตัดสินใจในเรื่องสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จของบริษัท ทักษะที่ต้องมี: ภาวะความเป็นผู้นำ การบริหารองค์กร การวางกลยุทธ์ ทักษะการเจรจาต่อรอง เรตเงินเดือน: 200,000 - 1,000,000 บาท 5. Data Scientist นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลทำหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมาก เพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทักษะที่ต้องมี: การวิเคราะห์ข้อมูล การเขียนโปรแกรม Python/R ความรู้ด้าน Machine Learning เรตเงินเดือน: 100,000 - 300,000 บาท 6. ทนายความด้านธุรกิจและการเงิน ทนายความที่เชี่ยวชาญด้านธุรกิจและการเงิน มีหน้าที่ให้คำปรึกษาด้านกฎหมายเกี่ยวกับสัญญาทางธุรกิจ การควบรวมกิจการ และการลงทุน ทักษะที่ต้องมี: ความรู้ด้านกฎหมายธุรกิจ ความสามารถในการเจรจาต่อรอง การวิเคราะห์และแก้ไขปัญหา เรตเงินเดือน: 100,000 - 400,000 บาท 7. นักวิเคราะห์การเงิน (Financial Analyst) นักวิเคราะห์การเงินมีหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินของบริษัท หรือให้คำแนะนำด้านการลงทุนและการบริหารสินทรัพย์ ทักษะที่ต้องมี: การวิเคราะห์ทางการเงิน ความเชี่ยวชาญด้าน Excel และซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูล การทำงบประมาณ เรตเงินเดือน: 100,000 - 300,000 บาท 8. นักเทรดหุ้น (Stock Trader) นักเทรดหุ้นทำหน้าที่ซื้อขายหุ้น พันธบัตร และสินทรัพย์ทางการเงินอื่น ๆ เพื่อสร้างผลกำไรสูงสุด ทักษะที่ต้องมี: ความรู้ด้านตลาดทุน ทักษะการวิเคราะห์ทางเทคนิค ความสามารถในการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เรตเงินเดือน: 100,000 - 500,000 บาท (ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และผลประกอบการ) 9. ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI และ Machine Learning ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI และ Machine Learning มีหน้าที่พัฒนาและออกแบบระบบอัจฉริยะที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถวิเคราะห์ข้อมูลและตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทักษะที่ต้องมี: ความรู้ด้าน AI, Python, Deep Learning, Data Science เรตเงินเดือน: 120,000 - 400,000 บาท 10. วิศวกรซอฟต์แวร์ (Software Engineer) วิศวกรซอฟต์แวร์พัฒนา ออกแบบ และดูแลระบบซอฟต์แวร์ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทักษะที่ต้องมี: การเขียนโปรแกรม (Java, Python, C++) การพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ การแก้ไขข้อผิดพลาด (Debugging) เรตเงินเดือน: 100,000 - 300,000 บาท นี่เป็นเพียงตัวอย่างของ 10 อาชีพที่ให้เงินเดือนสูงระดับแสนบาทขึ้นไป ซึ่งแต่ละอาชีพล้วนต้องอาศัยทักษะและประสบการณ์ที่เฉพาะทาง หากคุณกำลังมองหาแนวทางในการพัฒนาตัวเองเพื่อก้าวเข้าสู่อาชีพเหล่านี้ ก็สามารถเริ่มต้นจากการศึกษาหาความรู้และฝึกฝนทักษะที่เกี่ยวข้องตั้งแต่วันนี้ เเละ​​หากกำลังมองหาแนวทางอาชีพเพิ่มเติม สามารถติดตามคำแนะนำและเคล็ดลับการสมัครงานล่าสุดได้ที่ Career Portal

    Mar 28, 2025
    Thumbnail for อยากทำงานที่ได้เงินเดือนหลักแสน?  เช็กเลย! 10 อาชีพรายได้สูงสุดในกรุงเทพฯ ปี 2025

    อยากทำงานที่ได้เงินเดือนหลักแสน? เช็กเลย! 10 อาชีพรายได้สูงสุดในกรุงเทพฯ ปี 2025

    กรุงเทพฯ ยังคงเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศไทยที่เต็มไปด้วยโอกาสทางอาชีพ โดยอ้างอิงจากข้อมูลตลาดและรายงานอุตสาหกรรม นี่คือ 10 อาชีพที่มีรายได้สูงสุดในปี 2025 สำหรับทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ครอบคลุมทั้งระดับเริ่มต้นและระดับอาวุโส 1. ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) – ระดับอาวุโส เงินเดือนเฉลี่ย: ฿250,000 – ฿500,000/เดือน ทักษะสำคัญ: ภาวะผู้นำ, การวางกลยุทธ์, การพัฒนาธุรกิจ 2. นักวาณิชธนกิจ (Investment Banker) – ระดับเริ่มต้นและอาวุโส เงินเดือนเฉลี่ย: ฿80,000 – ฿400,000/เดือน ทักษะสำคัญ: การวิเคราะห์ทางการเงิน, การบริหารความเสี่ยง, การจัดการลูกค้า 3. ผู้อำนวยการฝ่ายไอที / ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี (IT Director / CTO) – ระดับอาวุโส เงินเดือนเฉลี่ย: ฿200,000 – ฿350,000/เดือน ทักษะสำคัญ: การพัฒนาซอฟต์แวร์, ความปลอดภัยทางไซเบอร์, กลยุทธ์ไอที 4. แพทย์เฉพาะทาง (ศัลยแพทย์, วิสัญญีแพทย์) – ระดับอาวุโส เงินเดือนเฉลี่ย: ฿180,000 – ฿300,000/เดือน ทักษะสำคัญ: ความเชี่ยวชาญทางการแพทย์, การดูแลผู้ป่วย, การผ่าตัด 5. นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล / วิศวกร AI (Data Scientist / AI Engineer) – ระดับเริ่มต้นและอาวุโส เงินเดือนเฉลี่ย: ฿60,000 – ฿250,000/เดือน ทักษะสำคัญ: การเรียนรู้ของเครื่อง, การวิเคราะห์ข้อมูล, การเขียนโปรแกรม Python/R 6. ที่ปรึกษากฎหมาย / ทนายความองค์กร (Legal Counsel / Corporate Lawyer) – ระดับอาวุโส เงินเดือนเฉลี่ย: ฿150,000 – ฿280,000/เดือน ทักษะสำคัญ: กฎหมายองค์กร, การเจรจาสัญญา, การปฏิบัติตามกฎระเบียบ 7. ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด (Marketing Director) – ระดับเริ่มต้นและอาวุโส เงินเดือนเฉลี่ย: ฿60,000 – ฿250,000/เดือน ทักษะสำคัญ: การตลาดดิจิทัล, การสร้างแบรนด์, การวิจัยตลาด 8. นักบิน(Airline Pilot) – ระดับอาวุโส เงินเดือนเฉลี่ย: ฿150,000 – ฿300,000/เดือน ทักษะสำคัญ: ความปลอดภัยการบิน, การปฏิบัติการบิน, การนำทาง 9. นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Developer) – ระดับเริ่มต้นและอาวุโส เงินเดือนเฉลี่ย: ฿70,000 – ฿250,000/เดือน ทักษะสำคัญ: การลงทุนอสังหาริมทรัพย์, การวางแผนเมือง, การขาย 10. วิศวกรซอฟต์แวร์อาวุโส / นักพัฒนา Blockchain (Senior Software Engineer / Blockchain Developer) – ระดับเริ่มต้นและอาวุโส เงินเดือนเฉลี่ย: ฿80,000 – ฿220,000/เดือน ทักษะสำคัญ: การพัฒนาระบบแบบ Full-Stack, Smart Contracts, การเข้ารหัสข้อมูล อาชีพที่มีรายได้สูงในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่อยู่ในสาขาการบริหารระดับสูง, การเงิน, เทคโนโลยี และการแพทย์ โอกาสเปิดรับทั้งชาวไทยและต่างชาติ โดยมีตำแหน่งระดับเริ่มต้นที่เข้าถึงได้ในสาขาเทคโนโลยี, การเงิน และการตลาด หากกำลังมองหาแนวทางอาชีพเพิ่มเติม สามารถติดตามคำแนะนำและเคล็ดลับการสมัครงานล่าสุดได้ที่ Career Portal

    Mar 26, 2025
    1/16
    ประวัติ & ผลงาน
    ดูเพิ่มเติม
    Thumbnail for Resume สายวิศวะ ทำยังไงให้ดี HR ไม่ปัดตก

    Resume สายวิศวะ ทำยังไงให้ดี HR ไม่ปัดตก

    Resume วิศวกร ต้องเขียนยังไง (How to write a resume for an engineer?) มีใครเคยส่งเรซูเม่สายวิศวะ ทั้งหว่าน ทั้งสมัครทุก ๆ บริษัท แต่กลับไม่มีบริษัทไหนติดต่อกลับมาเพื่อเรียกสัมภาษณ์งานเลย หรือรู้สึกว่าเรซูเมตัวเองไม่ได้ดีพอ ที่จะพอดึงดูดความสนใจจาก HR นี่คือ Pain Point ที่วิศวกรจำนวนมากต้องเผชิญในตลาดแรงงานที่มีการแข่งขันสูง มาดูกันว่า Jobcadu จะมีเคล็ดลับอย่างไร ปัญหาหลัก ๆ ที่ทำให้เรซูเม่ไม่ถูกเลือก มักเกิดจากการนำเสนอข้อมูลที่ไม่น่าสนใจ ขาดการเน้นย้ำจุดแข็งที่สำคัญ หรือไม่สามารถสื่อสารคุณค่าที่จะมอบให้กับองค์กรได้อย่างชัดเจน โดยวิธีแก้ไขคือ ตั้งคำถามขึ้นมาก่อนว่า "เขียนเรซูเม่สายวิศวะต้องเขียนยังไง?" เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกที่ทุกคนควรหาคำตอบ เพราะเรซูเม่คือ "ประตูบานแรก" ที่จะเปิดโอกาสให้วิศวะทุกคนได้แสดงศักยภาพต่อ Hr ด้วยกระดาษแผ่นเดียว การมีเรซูเม่สายงานวิศวะที่ดีจะช่วย: ดึงดูดสายตา HR: ในกองเรซูเม่จำนวนมาก เรซูเม่จะโดดเด่นและเตะตา ทำให้ผู้คัดเลือกอยากอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม สื่อสารจุดแข็งและคุณสมบัติเด่น: คุณสามารถนำเสนอทักษะ ประสบการณ์ ความรู้ และความสำเร็จได้อย่างน่าประทับใจและชัดเจน เพิ่มโอกาสในการถูกเรียกสัมภาษณ์งาน: เมื่อ HR เห็นว่าคุณมีศักยภาพและคุณสมบัติที่ตรงกับความต้องการของตำแหน่งงานที่เปิดรับ โอกาสที่คุณจะได้รับเชิญไปสัมภาษณ์ก็จะสูงขึ้น ตัวอย่างการเขียน Experience สำหรับวิศวกร (What is an example of engineering experience?) ส่วน ประสบการณ์ทำงาน (Experience) คือหัวใจสำคัญของเรซูเม่สำหรับวิศวกรทุกคน เพราะเป็นส่วนที่แสดงให้เห็นถึงทักษะ ความสามารถ และผลลัพธ์ที่คุณได้สร้างสรรค์จากการทำงานจริง สิ่งสำคัญที่สุดคือการ เน้นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและสามารถวัดผลได้ และควรใช้ ตัวเลขหรือเปอร์เซ็นต์ เพื่อบ่งชี้ถึงความสำเร็จของคุณอย่างชัดเจน หากคุณสงสัยว่า "อะไรคือตัวอย่างของประสบการณ์วิศวกรรมที่ควรใส่ในเรซูเม่?" พิจารณาตัวอย่างการเขียนที่น่าสนใจจาก EnhanceCV: "With over 10 years of experience as a civil engineer, I have a proven track record of successfully delivering complex infrastructure projects on time and within budget. My expertise includes project management, structural design, and construction supervision. I led a team of 5 engineers in the design and construction of a 20-story building, reducing material costs by 15% through innovative design solutions." จากตัวอย่างนี้ จะเห็นว่ามีการใช้ Action Verbs (คำกริยาที่แสดงการกระทำ) เช่น "led" และ "reducing" และมีการระบุ ผลลัพธ์ที่เป็นตัวเลข อย่างชัดเจน เช่น "reducing material costs by 15%" สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ผู้คัดเลือกเข้าใจถึงคุณค่าที่คุณสามารถมอบให้ได้ทันที สิ่งที่คุณควรทำเมื่อเขียนส่วน Experience: ใช้ Action Verbs ที่ทรงพลัง: เลือกใช้คำกริยาที่แสดงถึงการกระทำและความสำเร็จ เช่น Led, Developed, Managed, Implemented, Designed, Optimized, Streamlined, Analyzed, Innovated, Coordinated, Supervised เพื่อให้ประโยคมีความกระชับและสื่อความหมายได้ดี เน้นความสำเร็จที่เป็นตัวเลข (Quantify your achievements): อย่าเพียงแค่บอกว่าคุณทำอะไร แต่จงบอกว่าคุณทำได้ดีแค่ไหน และส่งผลอะไร ตัวอย่างเช่น แทนที่จะเขียนว่า "ออกแบบระบบไฟฟ้า" ให้เขียนว่า "ออกแบบระบบไฟฟ้าสำหรับโรงงานแห่งใหม่ ลดการใช้พลังงานลง 10%" หรือ "บริหารจัดการโครงการมูลค่า 5 ล้านบาท สำเร็จลุล่วงตามกำหนดเวลา" ปรับให้เข้ากับตำแหน่งที่สมัคร (Tailor your experience): อ่าน Job Description ของตำแหน่งที่คุณสมัครให้ละเอียด และเลือกประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องมากที่สุดมานำเสนอ หากมีทักษะหรือความสำเร็จที่ตรงกับความต้องการของบริษัทเป็นพิเศษ ให้เน้นย้ำในส่วนนั้น การเขียน Profile Summary สำหรับวิศวกร (What is a profile summary for an engineer?) Profile Summary หรือ สรุปโปรไฟล์ คือบทสรุปสั้น ๆ ที่อยู่ส่วนบนสุดของเรซูเม่เป็นเหมือน "ลิฟต์พิตช์" (Elevator Pitch) ที่จะทำให้ HR หรือผู้จัดการที่กำลังคัดเลือกผู้สมัคร เข้าใจภาพรวมของทักษะ ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญของคุณได้อย่างรวดเร็วในเวลาอันจำกัด หากคุณกำลังสงสัยว่า "Profile Summary สำหรับวิศวกรคืออะไรและควรเขียนอย่างไร?" นี่คือคำตอบและตัวอย่างที่คุณควรรู้: ตัวอย่างการเขียน Profile Summary ที่ดีจาก TealHQ: "Highly motivated and detail-oriented Electrical Engineer with 5 years of experience in designing, developing, and testing electrical systems. Proven ability to optimize product performance, and ensure customer satisfaction through innovative solutions and strong problem-solving skills." หลักการสำคัญในการเขียน Profile Summary ที่มีประสิทธิภาพ: สั้น กระชับ และได้ใจความ: ควรมีความยาวประมาณ 3-5 บรรทัด หรือไม่เกิน 50-100 คำ เพื่อให้ผู้อ่านสามารถสแกนและจับใจความสำคัญได้ในเวลาอันสั้น เน้นทักษะหลัก ความเชี่ยวชาญ และความสำเร็จ: ระบุประเภทของวิศวกรที่คุณเป็น (เช่น วิศวกรไฟฟ้า, วิศวกรโยธา, วิศวกรเครื่องกล) ทักษะเด่นที่คุณมี และความสำเร็จที่สำคัญที่สุดที่บ่งบอกถึงคุณค่าของคุณ ใช้ Keyword ที่เกี่ยวข้อง: ใส่คำศัพท์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่คุณสนใจ หรือคำที่มักจะปรากฏใน Job Description ที่คุณกำลังสมัคร การใช้ Keyword ที่เหมาะสมจะช่วยให้ระบบคัดกรองเรซูเม่ (Applicant Tracking Systems - ATS) สามารถจับคู่เรซูเม่ของคุณกับตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องได้ง่ายขึ้น และเพิ่มโอกาสที่เรซูเม่ของคุณจะถูกพิจารณาโดยมนุษย์ การเขียน Career Objective ของวิศวกร (How to create a resume for a fresher engineer?) Career Objective หรือ วัตถุประสงค์ในอาชีพ คือการบอกเป้าหมายการทำงาน และสิ่งที่ต้องการจากตำแหน่งงานที่กำลังสมัคร ส่วนนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เพิ่งจบการศึกษาใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์ทำงานมากนัก หรือผู้ที่ต้องการเปลี่ยนสายงาน/อุตสาหกรรม และต้องการชี้แจงเป้าหมายในอาชีพของตนเองให้ชัดเจน คำถามที่ว่า "จะสร้างเรซูเม่สำหรับวิศวกรจบใหม่ได้อย่างไร?" หรือ "ควรเขียน Career Objective อย่างไรในเรซูเม่วิศวกรจบใหม่?" เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับนักศึกษาจบใหม่ เนื่องจากส่วนนี้จะช่วยชดเชยการขาดประสบการณ์ทำงานโดยการเน้นย้ำถึงเป้าหมาย ความมุ่งมั่น และสิ่งที่คุณสามารถนำมาสู่บริษัทได้ โดยทั่วไป Career Objective จะมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่ "คุณ" ต้องการ และสิ่งที่คุณหวังว่าจะได้รับจากการทำงานในตำแหน่งนั้น ๆ ตัวอย่างการเขียน Career Objective ทั่วไปสำหรับวิศวกร: "ต้องการใช้ความรู้และทักษะด้านวิศวกรรมโยธาในการพัฒนาโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพและยั่งยืน พร้อมเรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกับองค์กร" มาดูตัวอย่างเฉพาะสำหรับวิศวกรแต่ละสาขา: วิศวโยธา "มุ่งมั่นที่จะนำความรู้เชิงลึกและทักษะด้านวิศวกรรมโยธาไปใช้ในการออกแบบ วางแผน และควบคุมการก่อสร้างโครงการต่าง ๆ ให้สำเร็จลุล่วงตามเป้าหมาย โดยคำนึงถึงมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด คุณภาพของงาน และการบริหารงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคงและยั่งยืนสำหรับชุมชน" วิศวเครื่องกล "ประสงค์ที่จะใช้ความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมเครื่องกลในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกแบบระบบเครื่องจักรกลที่ซับซ้อน และเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรม พร้อมสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ และปรับปรุงแก้ไขปัญหาทางเทคนิคเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดและสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน" วิศวไฟฟ้า "ต้องการใช้ทักษะด้านวิศวกรรมไฟฟ้าในการออกแบบ ติดตั้ง บำรุงรักษา และแก้ไขปัญหาระบบไฟฟ้า ระบบพลังงาน และระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานที่ราบรื่นขององค์กร และมีส่วนร่วมในการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทางเลือก หรือระบบควบคุมอัตโนมัติที่ทันสมัย" ตัวอย่าง เรซูเม่วิศวกร นี่คือโครงสร้างและเนื้อหาโดยละเอียดของเรซูเม่วิศวกรในรูปแบบข้อความ (Text) ที่คุณสามารถนำไปปรับใช้และกรอกข้อมูลของคุณเองได้: [ชื่อ-นามสกุล] [ตำแหน่งที่ต้องการ/สาขาวิชาชีพหลัก] [เบอร์โทรศัพท์] | [อีเมล] | [ลิงก์ LinkedIn Profile URL (สำคัญมาก!)] | [ลิงก์ Portfolio/Website URL (ถ้ามีผลงานที่น่าสนใจ)] [ที่อยู่ปัจจุบัน (ไม่จำเป็นต้องระบุละเอียดมาก อาจเป็นแค่เมืองและประเทศ)] Summary / Professional Profile [เขียนสรุปโปรไฟล์ของคุณที่นี่ เน้นทักษะหลัก ประสบการณ์ และเป้าหมายในอาชีพของคุณใน 3-5 บรรทัด พยายามใช้ Keyword ที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่คุณสนใจ] ตัวอย่าง: "วิศวกรไฟฟ้าที่มีประสบการณ์ 5 ปีในการออกแบบและพัฒนาระบบควบคุมอัตโนมัติสำหรับอุตสาหกรรมการผลิต ด้วยความสามารถในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนและปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักรได้ถึง 15% กำลังมองหาตำแหน่งที่ท้าทายเพื่อนำความเชี่ยวชาญมาสร้างนวัตกรรมให้กับองค์กร" Experience [ตำแหน่งงานปัจจุบัน/ล่าสุด] | [ชื่อบริษัท] | [เมือง, ประเทศ] [เดือน ปี ที่เริ่ม] – [เดือน ปี ที่สิ้นสุด (หรือ Present ถ้ายังทำงานอยู่)] [Action Verb + ผลลัพธ์: ออกแบบและควบคุมการก่อสร้างอาคารสูง 20 ชั้น โดยลดต้นทุนวัสดุได้ 15% ผ่านการนำเทคนิคการออกแบบโครงสร้างใหม่มาใช้] [Action Verb + ผลลัพธ์: นำทีมวิศวกร 3 คน ในการพัฒนาและติดตั้งระบบไฟฟ้าสำหรับโรงงานผลิตแห่งใหม่ ช่วยลดระยะเวลาการติดตั้งลง 20%] [Action Verb + ผลลัพธ์: วิเคราะห์และแก้ไขปัญหาระบบเครื่องจักรกลที่ซับซ้อน ส่งผลให้ลด Downtime ของการผลิตได้ 10% และเพิ่มกำลังการผลิต 5%] [ระบุความรับผิดชอบหลักและโครงการสำคัญที่คุณมีส่วนร่วม โดยเน้นที่ผลลัพธ์ที่สามารถวัดได้เสมอ] [ตำแหน่งงานก่อนหน้า (ถ้ามี)] | [ชื่อบริษัท] | [เมือง, ประเทศ] [เดือน ปี ที่เริ่ม] – [เดือน ปี ที่สิ้นสุด] [Action Verb + ผลลัพธ์: วิจัยและพัฒนาระบบควบคุมอุณหภูมิสำหรับห้องปฏิบัติการ ทำให้ประหยัดพลังงานได้ 8%] [Action Verb + ผลลัพธ์: จัดทำรายงานทางเทคนิคและนำเสนอผลการทดสอบต่อลูกค้า เพื่อให้มั่นใจว่าตรงตามข้อกำหนด] Education [ชื่อปริญญา (เช่น ปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์)] | [สาขาวิชา (เช่น วิศวกรรมโยธา, วิศวกรรมเครื่องกล, วิศวกรรมไฟฟ้า)] [ชื่อมหาวิทยาลัย] | [เมือง, ประเทศ] [ปีที่จบการศึกษา] [เกรดเฉลี่ย (GPA) ถ้าสูงและน่าสนใจ (เช่น 3.50/4.00)] [ชื่อโปรเจกต์จบ/วิทยานิพนธ์ (ถ้าเกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานหรือน่าสนใจ)] [รางวัลทางวิชาการ หรือทุนการศึกษาที่ได้รับ (ถ้ามี)] Skills Technical Skills (ทักษะทางเทคนิค): [ระบุทักษะเฉพาะทางที่เกี่ยวข้องกับสาขาของคุณ เช่น:] Software: AutoCAD, SolidWorks, MATLAB, Python, C++, LabVIEW, PLC Programming (Siemens, Allen-Bradley), ETAP, SAP, Microsoft Project, Revit, Staad.Pro Analysis & Design: Structural Analysis, Circuit Design, Thermodynamics, Fluid Dynamics, Finite Element Analysis (FEA), Process Control, Power Systems Analysis Equipment & Tools: Oscilloscopes, Multimeters, CNC Machines, 3D Printers, Robotics, Sensor Integration Industry Standards: ISO 9001, Six Sigma, Lean Manufacturing, OSHA Regulations, Building Codes Soft Skills (ทักษะด้านอารมณ์และสังคม): [ระบุทักษะที่นายจ้างมองหา เช่น:] Problem-solving, Critical Thinking, Teamwork, Communication (written & verbal), Leadership, Adaptability, Time Management, Project Management, Presentation Skills, Data Analysis Languages: [ภาษาที่คุณสามารถสื่อสารได้ และระดับความสามารถ เช่น ไทย (Native), อังกฤษ (Fluent), จีน (Basic)] Awards & Recognition (ถ้ามี) [รายการรางวัลที่ได้รับ เช่น รางวัลนักศึกษาดีเด่น, รางวัลนวัตกรรมยอดเยี่ยม, พนักงานดีเด่นประจำปี Certifications (ถ้ามี) [รายการใบรับรองวิชาชีพ หรือหลักสูตรที่ผ่านการอบรม ซึ่งเกี่ยวข้องกับงาน เช่น PMP, FE/PE Exam, Six Sigma Green Belt, AutoCAD Certified User] Projects (ถ้ามี) [ชื่อโปรเจกต์: (ปีที่ทำ) อธิบายสั้นๆ เกี่ยวกับโปรเจกต์ บทบาทของคุณ และผลลัพธ์ที่สำคัญ] ตัวอย่าง: Smart Home Automation System: (2023) Designed and prototyped an Arduino-based smart home system, reducing energy consumption by 10% through optimized lighting and climate control. จะเห็นได้ว่าการเขียน เรซูเม่วิศวกร ให้โดดเด่นและน่าสนใจนั้นไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไป หากเข้าใจหลักการสำคัญและให้ความสำคัญกับการนำเสนอข้อมูล เน้นที่ความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม และปรับแต่งเนื้อหาให้เข้ากับตำแหน่งงานที่คุณสนใจอย่างสม่ำเสมอ สิ่งเหล่านี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้งานที่คุณต้องการได้มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าคุณจะเป็นวิศวกรที่มีประสบการณ์หรือเป็น วิศวกรจบใหม่ (fresher engineer) ที่กำลังหางานวิศวะ ยิ่งไปกว่านั้น ในยุคปัจจุบัน การใช้ AI Tools อย่าง Jobcadu Resume Builder ยังเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ทรงพลังและน่าสนใจอย่างยิ่ง ที่จะช่วยให้คุณสามารถสร้างเรซูเม่ที่ดูเป็นมืออาชีพ โดดเด่น และตรงตามความต้องการของระบบคัดกรอง (ATS) ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด การใช้เครื่องมือเหล่านี้ ไม่เพียงแต่ช่วยประหยัดเวลา แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและการปรับตัวเข้ากับโลกยุคดิจิทัล ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่นายจ้างมองหาในตัววิศวกรอีกด้วย

    Jul 18, 2025
    Thumbnail for สร้างเรซูเม่มืออาชีพให้โดดเด่น: เพิ่มโอกาสได้งานกับ Jobcadu Resume Builder

    สร้างเรซูเม่มืออาชีพให้โดดเด่น: เพิ่มโอกาสได้งานกับ Jobcadu Resume Builder

    สร้างเรซูเม่มืออาชีพให้โดดเด่น: เพิ่มโอกาสได้งานกับ Jobcadu Resume Builder ในโลกของการหางานที่มีการแข่งขันสูงในปัจจุบัน เรซูเม่ ไม่ได้เป็นเพียงแค่เอกสารรวบรวมข้อมูลส่วนตัวและประวัติการทำงานอีกต่อไป แต่เป็นเสมือน "ใบเบิกทาง" ที่จะสร้างความประทับใจแรกให้กับผู้ประกอบการ และเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการพาคุณไปสู่ตำแหน่งงานในฝัน การมี เรซูเม่ที่โดดเด่น และเป็นมืออาชีพจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ทำไมเรซูเม่ของคุณถึงสำคัญกว่าที่คุณคิด? เรซูเม่ ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของคุณในการนำเสนอทักษะ ประสบการณ์ และความสำเร็จให้กับผู้สรรหาบุคลากร ลองจินตนาการว่าผู้สรรหาบุคลากรใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีในการพิจารณา เรซูเม่ แต่ละฉบับ หาก เรซูเม่ ของคุณไม่สามารถดึงดูดความสนใจได้ตั้งแต่แรก โอกาสในการถูกเรียกสัมภาษณ์ก็อาจจะหายไปในทันที Resume คืออะไร มาทำความรู้จักกัน องค์ประกอบสำคัญของ เรซูเม่ ที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่: ข้อมูลติดต่อ: ชัดเจน ครบถ้วน และเป็นปัจจุบัน สรุปประวัติ/เป้าหมายอาชีพ: สรุปความสามารถและเป้าหมายของคุณอย่างกระชับและน่าสนใจ ประสบการณ์ทำงาน: ระบุตำแหน่งงาน ความรับผิดชอบ และความสำเร็จที่วัดผลได้ การศึกษา: ข้อมูลการศึกษาที่เกี่ยวข้อง ทักษะ: ระบุทักษะที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงาน (ทั้ง Hard Skills และ Soft Skills) ผลงาน (ถ้ามี): การเชื่อมโยงไปยังพอร์ตโฟลิโอหรือตัวอย่างผลงาน เคล็ดลับการสร้างเรซูเม่ที่ไม่ใช่แค่บอกเล่า แต่สร้างความประทับใจ การสร้าง เรซูเม่ ที่ดีต้องใช้มากกว่าแค่การรวบรวมข้อมูล มีเคล็ดลับบางประการที่จะช่วยให้ เรซูเม่ ของคุณโดดเด่นจากคู่แข่ง: ปรับแต่งเรซูเม่สำหรับแต่ละตำแหน่ง: อย่าใช้ เรซูเม่ ฉบับเดียวสมัครทุกงาน ควรปรับแต่งเนื้อหาให้ตรงกับความต้องการและคำบรรยายของตำแหน่งงานนั้น ๆ เน้นความสำเร็จที่วัดผลได้: แทนที่จะบอกว่า "รับผิดชอบโครงการ X" ให้บอกว่า "ลดต้นทุนได้ 15% จากโครงการ X" ตัวเลขและผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมจะสร้างความน่าเชื่อถือมากกว่า ใช้ Keywords ที่เหมาะสม: หลายบริษัทใช้ระบบ ATS (Applicant Tracking System) ในการคัดกรอง เรซูเม่ การใช้คำหลัก (Keywords) ที่พบในประกาศรับสมัครงานจะช่วยให้ เรซูเม่ ของคุณผ่านการคัดกรองเบื้องต้น ความกระชับและเป็นระเบียบ: ผู้สรรหามักจะมีเวลาจำกัดในการอ่าน เรซูเม่ ทำให้ เรซูเม่ ของคุณอ่านง่าย มีการจัดระเบียบที่ดี และกระชับ การพิสูจน์อักษร: ตรวจสอบความถูกต้องของตัวสะกดและไวยากรณ์อย่างละเอียด ข้อผิดพลาดเล็กน้อยสามารถสร้างความประทับใจที่ไม่ดีได้ สร้างเรซูเม่มืออาชีพได้อย่างง่ายดายด้วย Jobcadu Resume Builder การสร้าง เรซูเม่ ที่สมบูรณ์แบบอาจดูเป็นเรื่องยุ่งยากและใช้เวลานาน แต่ด้วย Jobcadu Resume Builder คุณสามารถสร้าง เรซูเม่ มืออาชีพได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย! Jobcadu Resume Builder ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณ: เลือกเทมเพลตที่ทันสมัย: มีเทมเพลต เรซูเม่ หลากหลายรูปแบบให้เลือก เพื่อให้เข้ากับสไตล์และอุตสาหกรรมที่คุณต้องการ แนะนำคำและวลีที่เหมาะสม: ไม่ต้องกังวลว่าจะเขียนอะไรลงไปดี Jobcadu Resume Builder มีคำแนะนำและตัวอย่างที่จะช่วยให้คุณเขียน เรซูเม่ ได้อย่างมืออาชีพ จัดรูปแบบง่าย: เพียงแค่กรอกข้อมูล ระบบจะจัดการจัดรูปแบบให้คุณโดยอัตโนมัติ ประหยัดเวลาและลดความยุ่งยาก ดาวน์โหลดได้หลายรูปแบบ: สามารถดาวน์โหลด เรซูเม่ ในรูปแบบ PDF หรือรูปแบบอื่น ๆ ที่คุณต้องการ ปรับแต่งได้ตามใจ: คุณสามารถปรับแต่งสี ฟอนต์ และองค์ประกอบต่าง ๆ เพื่อให้ เรซูเม่ ของคุณเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว การสร้าง เรซูเม่ ที่น่าประทับใจไม่เคยง่ายขนาดนี้มาก่อน! เริ่มต้นเส้นทางสู่ความสำเร็จในอาชีพของคุณด้วย Jobcadu Resume Builder และสร้าง เรซูเม่ ที่จะเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ ๆ ให้กับคุณ สร้างเรซูเม่ของคุณได้เลยวันนี้กับ Jobcadu Resume Builder

    Jun 13, 2025
    Thumbnail for Interpersonal หรือ Soft Skill ไหนที่ควรมีในการทำงานและใส่ใน Resume เพื่อให้ถูกใจ HR

    Interpersonal หรือ Soft Skill ไหนที่ควรมีในการทำงานและใส่ใน Resume เพื่อให้ถูกใจ HR

    การทำงานในยุคปัจจุบันไม่ได้วัดกันเพียงแค่ Hard Skill อีกต่อไป เพราะ Interpersonal Skill หรือ Soft Skill กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เราสร้างความประทับใจให้กับเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า และโดยเฉพาะ HR หากเราสร้างโอกาสในการได้งานหรือพัฒนาสายอาชีพ การเรียนรู้และพัฒนาทักษะเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ มาดูกันว่า Interpersonal Skill คืออะไร และมี Soft Skill แบบไหนที่ควรใส่ในเรซูเม่หรือ CV เพื่อให้ถูกใจ HR กันบ้าง Interpersonal Skill หรือ Soft Skill คืออะไร Interpersonal Skill หรือ Soft Skill คือทักษะที่ใช้ในการทำงานร่วมกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสาร การทำงานเป็นทีม ความเห็นอกเห็นใจ หรือการแก้ปัญหา ทักษะเหล่านี้ไม่ได้มาจากการฝึกฝนทางวิชาการ แต่เกิดจากการพัฒนาฝึกฝนของตัวเองและประสบการณ์ โดย Soft Skill จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ในการทำงานและส่งเสริมการทำงานราบรื่นยิ่งขึ้น ตัวอย่างของ Interpersonal Skill หรือ Soft Skill ได้แก่: การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ (Effective Communication) ความสามารถในการแก้ปัญหา (Problem-Solving Skills) ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence) ทักษะการเจรจาต่อรอง (Negotiation Skills) การทำงานร่วมกับผู้อื่น (Teamwork) ตัวอย่าง Interpersonal Skill หรือ Soft Skill ที่สำคัญ เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เราขอยกตัวอย่าง Soft Skill ที่มักได้รับความสนใจในสายงานต่าง ๆ เช่น: 1. ทักษะการสื่อสาร (Communication Skills) การอธิบายข้อมูลหรือความคิดได้อย่างชัดเจน การฟังและเข้าใจผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง 2. การแก้ปัญหา (Problem-Solving Skills) การคิดวิเคราะห์สถานการณ์และหาวิธีแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ 3. การทำงานเป็นทีม (Teamwork) ความสามารถในการประสานงานและทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพ 4. ความเป็นผู้นำ (Leadership) การนำทีมและสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น ซึ่งเหมาะมากสำหรับคนที่สมัครตำแหน่ง manager หรือ Senior 5. ความยืดหยุ่นและการปรับตัว (Adaptability) การปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงและสถานการณ์ใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว Soft Skill ที่ควรใส่ใน Resume หรือ CV Soft Skill ที่ใส่ในเรซูเม่หรือ CV ควรเป็นทักษะที่สะท้อนถึงตัวเราจริง ๆ และเกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่เราสมัคร ตัวอย่าง Soft Skill ที่ HR ชื่นชอบมีดังนี้: 1. ทักษะการจัดการเวลา (Time Management) ช่วยแสดงว่าเราสามารถทำงานได้ตามกำหนดเวลาและบริหารจัดการงานหลายอย่างพร้อมกัน 2. ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) เหมาะสำหรับสายงานที่ต้องการไอเดียใหม่ ๆ เช่น งานออกแบบ การตลาด หรือพัฒนาโปรดักต์ 3. ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence) สกิลนี้แสดงให้เห็นว่าเรามีความเข้าใจอารมณ์ของตนเองและผู้อื่น ซึ่งช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ในที่ทำงาน 4. การแก้ไขข้อขัดแย้ง (Conflict Resolution) ทักษะนี้เหมาะสำหรับตำแหน่งที่ต้องบริหารทีม หรือต้องรับมือกับสถานการณ์ที่มีความขัดแย้ง 5. ทักษะการเรียนรู้ด้วยตัวเอง (Self-Learning) แสดงถึงความกระตือรือร้นในการพัฒนาตนเองและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ Interpersonal Skill หรือ Soft Skill เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในสายอาชีพ การเลือกใส่ Soft Skill ในเรซูเม่หรือ CV อย่างเหมาะสมไม่เพียงแต่จะช่วยสร้างความประทับใจให้ HR แต่ยังแสดงให้เห็นว่าเราเป็นผู้ที่พร้อมจะเติบโตและพัฒนาตนเอง หากเราสนใจบทความที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาตัวเองหรือเทคนิคหางานเพิ่มเติม อย่าลืมติดตามบทความอื่น ๆ ของเราได้เลยที่ Career นอกจากนั้นทางเรา Jobcadu ยังมี Resume Builder ที่ช่วยเกลาคำจาก AI ที่ช่วยให้ resume ของเราผ่านระบบ ATS อย่างง่ายดายอีกด้วย สามารถมาใช้กันได้เลยที่ Jobcadu Resume Builder

    Jan 27, 2025
    Thumbnail for เคล็ดลับการทำ Resume ให้โดนใจนายจ้าง

    เคล็ดลับการทำ Resume ให้โดนใจนายจ้าง

    การหางานที่ดีนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย หนึ่งในนั้นคือการสร้างเรซูเม่ที่น่าสนใจและการเตรียมตัวสัมภาษณ์ให้พร้อม วิชัย มาตะกุล และธนชาติ ศิริภัทราชัย สองผู้เชี่ยวชาญด้านการสรรหาบุคลากรในวงการโฆษณาและภาพยนตร์ ได้ให้คำแนะนำดีๆ ที่จะช่วยให้คุณได้งานในฝัน ดังนี้ 1.เรซูเม่ที่โดดเด่นคืออะไร? เรซูเม่ที่ดีไม่ได้แค่บอกว่าคุณเคยทำอะไรมาบ้าง แต่ต้องแสดงให้เห็นว่าคุณสร้างผลงานอะไรให้กับองค์กรได้บ้าง เช่น เน้นผลลัพธ์: แทนที่จะบอกว่า "ทำงานเป็นทีม" แต่ควรระบุบทบาทที่ชัดเจนในทีมและผลที่ได้จากการทำงานร่วมกับทีม กระชับและชัดเจน: คำอธิบายใน Resume ควรใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เรียงลำดับข้อมูลให้เป็นระบบ จัดรูปแบบให้สวยงาม: ใช้หัวข้อและย่อหน้า ช่วยให้เรซูเม่ดูเป็นระเบียบ ง่ายต่อการอ่าน และให้ผู้สัมภาษณ์เห็นจุดเด่นของคุณอย่างชัดเจน 2.เตรียมตัวสัมภาษณ์ให้มั่นใจ การเตรียมตัวให้พร้อมทุกด้านสำคัญมากสำหรับการสัมภาษณ์ อุปกรณ์พร้อมใช้: เช็คอินเทอร์เน็ต คอมพิวเตอร์ และโปรแกรมที่จำเป็นให้เรียบร้อย ภาพลักษณ์เป็นมืออาชีพ: แต่งกายสุภาพ ทำความสะอาดพื้นที่รอบตัว ฝึกซ้อม: ลองตอบคำถามสัมภาษณ์ทั่วไป เพื่อเพิ่มความมั่นใจ 3.จดหมายสมัครงานที่น่าประทับใจ จดหมายสมัครงานที่ดีควร สั้น กระชับ เข้าใจง่าย: บอกถึงความสนใจในตำแหน่งงาน และเหตุผลที่คุณเหมาะสมกับงานนั้น ชื่อไฟล์ชัดเจน: เช่น “Resume_ชื่อของคุณ” 4.เปลี่ยนงานบ่อย ไม่ได้แปลว่าไม่ดี ในยุคปัจจุบัน การเปลี่ยนงานบ่อยไม่ได้หมายความว่าคุณไม่น่าเชื่อถือเสมอไป อาจเป็นเพราะคุณกำลังมองหาโอกาสที่ดีกว่า หรือต้องการพัฒนาทักษะใหม่ๆ 5. กลยุทธ์ในการสมัครงาน เลือกงานที่เหมาะสม: คัดเลือกตำแหน่งที่ตรงกับทักษะและความสนใจของตัวเอง การส่งพอร์ตงาน: ควรคัดเลือกผลงานที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่สมัครเพื่อเพิ่มโอกาสในการได้งาน

    Dec 19, 2024
    Thumbnail for Resume Tips เรซูเม่ฝึกงานเขียนและทำยังไงให้ถูกใจ Hr ด้วยเทคนิคจาก Jobcadu

    Resume Tips เรซูเม่ฝึกงานเขียนและทำยังไงให้ถูกใจ Hr ด้วยเทคนิคจาก Jobcadu

    พอเข้าใกล้ช่วงฝึกงาน บางมหาลัยฯ ก็เริ่มให้นักศึกษาเริ่มหาที่ฝึกงานกันแล้ว แต่ว่าบางคนก็ยังไม่ได้เริ่มหาและเริ่มทำเรซูเม่ฝึกงานเลย วันนี้ Jobcadu จึงมาแนะนำวิธีการเขียนเรซูเม่ฝึกงานอย่างถูกต้อง ต้องเขียนยังไง ต้องมีอะไรบ้าง ไม่มีประสบการณ์ทำไง ทำในแอปไหน บทความนี้รวบรวมไว้ให้หมดแล้ว เรซูเม่ฝึกงานคืออะไร เรซูเม่ฝึกงาน (Internship Resume) คือเอกสารสำคัญที่ผู้สมัคต้องส่งให้กับ HR หรือนายจ้าง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการสมัครฝึกงาน โดยมีจุดประสงค์คือนำเสนอและอธิบายประวัติส่วนตัวภายในรูปแบบเอกสาร ซึ่งประกอบไปด้วย ข้อมูลส่วนตัว ประวัติการศึกษา ทักษะ และประสบการณ์ (ถ้ามี) ของผู้สมัคร เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการสมัครฝึกงาน (Internship) โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยให้ HR หรือนายจ้างเห็นว่าเราเหมาะสมกับตำแหน่งงานนั้นอย่างไร แม้ว่าผู้สมัครจะยังไม่มีประสบการณ์การทำงานเต็มตัวก็ตาม แต่ก็เพื่อเป็นใบเบิกทางสู่อาชีพ การฝึกงานจึงต้องเป็นเรื่องที่จำเป็น ทำไมต้องฝึกงานและต้องใช้เรซูเม่ฝึกงาน ได้ทดลองทำงานในสายงานนั้น ๆ การฝึกงานสิ่งหนึ่งที่เลี่ยงไม่ได้เลย เมื่อเวลาจบใหม่แล้วจะได้เปรียบถ้าเรามีประสบการณ์ฝึกงานในด้านนั้น ๆ ที่หาไม่ได้ที่ไหนแล้วในสถานที่ทำงานจริง สร้าง Connection การฝึกงานนั้น เราก็จะมีเพื่อนร่วมงานที่ทำงานในสายนั้นจริง ๆ หากเราเป็นคนที่มีความสามารถในด้าน ๆ นั้น เราก็จะเป็นที่จับตามองในกลุ่มคนทำงานว่า น้องคนนี้มันเก่ง เดี๋ยวไปแนะนำให้คนที่รู้จักดีกว่า ก็จะช่วยให้เรามีโอกาสในการได้งานในภายหลังก็ได้ สร้างข้อได้เปรียบในเรซูเม่ เรซูเม่ที่แข็งแกร่งพร้อมประสบการณ์จริงจะมอบจุดเด่นกว่าผู้สมัครรายอื่นเมื่อสมัครงานไม่ว่าจะเป็นทักษะ soft skills และ hard skills ที่ได้เรียนรู้ตอนฝึกงาน และทำให้ HR เห็นว่าเราเคยทำงานเนื้องานประมาณนี้ การเรียนรู้วัฒนธรรมองค์กร ในฐานะผู้ฝึกงาน เราจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำงานเป็นพนักงานเต็มเวลา ได้สังเกตการทำงานของมืออาชีพที่มีประสบการณ์และอยู่ในสายงานนั้น ๆ พัฒนาทักษะการจัดการเวลา การฝึกงานนั้น จะต้องใช้ทักษะในการ mange เวลาให้ตรงตามไทม์ไลน์ ซึ่งเป็นหนึ่งที่ที่จำเป็นสุด ๆ ในการนำไปปรับใช้ในการทำงานจริง เพิ่มความมั่นใจในการทำงาน การฝึกงานช่วยให้เรามีความมั่นใจในที่ทำงาน ไม่ว่าจะเป็นทักษะเฉพาะหรือเป็นน้องฝึกงานทั่วไป ยิ่งเรามีชั่วโมงบินในสภาพแวดล้อมการทำงานมากเท่าใด เราก็จะรู้สึกสบายใจและมั่นใจมากขึ้นในความสามารถของมากขึ้น ได้ Mentor ที่จริงใจ นอกจากได้ connection แล้ว เรายังจะได้เมนเทอร์ที่มีศักยภาพจากการฝึกงาน ที่จะคอยแนะนำ สอน ไกด์เส้นทางอาชีพที่เราสามารถไปต่อได้ในอนาคต ที่ไม่ได้หาเจอในอินเทอร์เน็ตว่า สายงานที่ต้องการมในอนาคต แต่เป็นข้อมูลภายในที่คนในวงการนั้นและรู้ปัญหาของงานนั้นจริง ๆ ทำไมต้องใช้เรซูเม่สำหรับฝึกงาน เป็นเอกสารแนะนำตัวเบื้องต้น เรซูเม่เป็นสิ่งแรกที่นายจ้างเห็นก่อนตัดสินใจเรียกสัมภาษณ์ ช่วยให้พวกเขาเข้าใจว่าเราเป็นใคร เรียนด้านไหน มีทักษะหรือความสนใจอะไร และเหมาะสมกับการฝึกงานในองค์กรหรือไม่ แสดงให้เห็นความพร้อมและความตั้งใจ การมีเรซูเม่แสดงถึงความใส่ใจและความจริงจังต่อการสมัครฝึกงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเรซูเม่นั้นถูกเรียบเรียงอย่างดีและตรงกับความต้องการของตำแหน่งที่สมัคร ช่วยนำเสนอศักยภาพแม้ไม่มีประสบการณ์การทำงาน สำหรับนักศึกษา หรือผู้ที่ยังไม่มีประสบการณ์ทำงานมาก่อน เรซูเม่เป็นสิ่งที่สามารถแสดงทักษะ ความสำเร็จในกิจกรรม หรือโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานได้ เช่น กิจกรรมในชมรม การทำโปรเจกต์ในมหาวิทยาลัย หรือการเข้าร่วมแข่งขัน เรซูเม่ฝึกงานไม่มีประสบการณ์ ส่งได้ไหม หากไม่มีประสบการณ์ในการทำงานเลย Jobcadu แนะนำว่าให้เราพูดถึงประสบการณ์ทำงานที่ทำในมหาลัยฯ เช่น การเป็นสโมสรนักเรียน การเป็นทีมงานงบประมาณของเอก หรือการทำกิจกรรม รวมถึงวิชาเรียนที่เราสามารถนำไปเชื่อมโยงกับตำแหน่งงานที่สมัครได้ และสิ่งเหล่านี้หวนคืนทำให้เป็นสิ่งที่จุดประกายและเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานตำแหน่งนี้ เรซูเม่ฝึกงานประกอบไปด้วยอะไรบ้าง 1. ข้อมูลส่วนตัว (Personal Information) เขียนอะไรบ้าง: ชื่อ-นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ อีเมล (ใช้ที่ดูเป็นทางการ) ลิงก์ LinkedIn หรือ Portfolio (ถ้ามี) เคล็ดลับการเขียน: ใช้ข้อมูลที่อัปเดต เป็นปัจจุบันและติดต่อได้ อีเมลควรดูเป็นมืออาชีพ เช่น [ชื่อ.นามสกุล]@gmail.com 2. เป้าหมายในการทำงาน (Career Objective) เขียนอะไรบ้าง: บอกเป้าหมายในการฝึกงาน ระบุว่าต้องการเรียนรู้อะไรและจะนำทักษะใดมาช่วยงานบริษัท ตัวอย่าง: "ฉันต้องการใช้ความรู้ด้าน [สาขาวิชาหรือทักษะเฉพาะ] เพื่อช่วยสนับสนุนองค์กร พร้อมทั้งพัฒนาทักษะในด้าน [ระบุด้านที่คุณอยากเรียนรู้] ให้มีความเชี่ยวชาญมากขึ้น" เคล็ดลับการเขียน: ใช้คำที่กระชับและเป็นมืออาชีพ ปรับข้อความให้ตรงกับตำแหน่งงานที่สมัคร 3. ประวัติการศึกษา (Education) เขียนอะไรบ้าง: ชื่อสถาบันการศึกษา ระดับการศึกษาและสาขาวิชา ปีที่คาดว่าจะสำเร็จการศึกษา เกรดเฉลี่ย (GPA) (ถ้ามีความโดดเด่น) ตัวอย่าง: มหาวิทยาลัย ABC, คณะบริหารธุรกิจ สาขาการตลาด (คาดว่าจะสำเร็จการศึกษา ปี 2568) เกรดเฉลี่ย: 3.75 เคล็ดลับการเขียน: เน้นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่สมัคร หากเกรดเฉลี่ยไม่สูง อาจจะไม่ใส่ก็ได้ เป็น Optional 4. ทักษะ (Skills) เขียนอะไรบ้าง: Hard Skills เช่น การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์, การออกแบบ, หรือการเขียนโค้ด Soft Skills เช่น การสื่อสาร, การทำงานเป็นทีม, หรือการแก้ปัญหา ตัวอย่าง: Hard Skills: Data Analytic, Adobe Photoshop, Python Programming Soft Skills: ความสามารถในการจัดการเวลา, การทำงานร่วมกับผู้อื่น เคล็ดลับการเขียน: จัดลำดับทักษะที่เกี่ยวข้องกับงานไว้ในตำแหน่งที่มองเห็นง่าย 5. ประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง (Experience) เขียนอะไรบ้าง: ระบุโครงการ การฝึกงาน หรือการทำงานชั่วคราวที่ผ่านมา บอกหน้าที่รับผิดชอบและสิ่งที่ได้เรียนรู้ ตัวอย่าง: โครงการพัฒนาระบบจัดการข้อมูลนักศึกษา มหาวิทยาลัย ABC (2565) หน้าที่: รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลร่วมกับทีม สิ่งที่ได้เรียนรู้: การทำงานร่วมกับคนในทีมและการใช้ Microsoft Access เคล็ดลับการเขียน: เน้นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าคุณมีทักษะและประสบการณ์ตรงกับงาน เขียนให้กระชับและมีโครงสร้างชัดเจน 6. กิจกรรมและความสำเร็จ (Activities and Achievements) เขียนอะไรบ้าง: กิจกรรมในมหาวิทยาลัย เช่น ชมรม การแข่งขัน หรือโครงการอาสา รางวัลหรือการยอมรับที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่าง: ประธานชมรมสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัย ABC (2564-2565) รองชนะเลิศอันดับ 1 การประกวดแผนการตลาดระดับประเทศ (2566) เคล็ดลับการเขียน: ระบุบทบาทและผลงานที่แสดงถึงความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น ทำเรซูเม่ในแอปไหนได้บ้าง Jobcadu Resume Builder - เป็นเว็บไซต์ที่มี Tools AI ที่ช่วยเกลาคำภาษาอังกฤษของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีเทมเพลตให้เลือกใช้ เมื่อสร้างเสร็จสามารถดาวน์โหลดหรือนำส่งบริษัทชั้นนำได้อีกด้วย Canva - มีเทมเพลตให้เลือกมากมายหลากหลายสไตล์ ใช้ได้ทั้งในมือถือและแทปเล็ต สามารถปรับแต่งได้อย่างอิสระ มีทั้งแบบฟรีและแบบเสียเงิน ฟีเจอร์ครอบคลุมทั้งการออกแบบเรซูเม่ โปสเตอร์ และอื่นๆ Microsoft Word - เป็นโปรแกรมที่คุ้นเคย สามารถควบคุมรูปแบบและเนื้อหาได้อย่างละเอียด มีเทมเพลตให้เลือกไม่เยอะ แต่ก็เป็นโปรแกรมที่ทุกคนใช้เป็น นอกจากนั้นยังทำบนเว็บไซต์ได้อีกด้วย Rawpixel - เป็นเว็บไซต์ที่รวมรวมเทมเพลตมาเยอะมาก และสามารถโหลดมา edit ได้เลย Wix - เป็นเว็บไซต์สำเร็จรูปที่สามารถทำเรซูเม่ พอร์ตฟอลิโอ และเว็บไซต์ได้ เหมาะกับยุคดิจิทัลสุด ๆ ไปเลย แต่ก็อาจจะซับซ้อนเกินไปสำหรับมือใหม่ แต่น่าสนใจแน่นอนถ้าสามารถทำได้ การมีเรซูเม่ที่ดีเป็นสิ่งสำคัญในการฝึกงาน การใช้เว็บไซต์สร้างเรซูเม่จะช่วยให้มีเรซูเม่ที่สวยงามและน่าประทับใจ แต่การทำเรซูเม่ก็มีหลายจุดที่ต้องเช็กดี ๆ เพราะว่าบางจุดก็อาจจะทำให้ HR ปัดตกของเราได้ ไม่ว่าเราจะมาในตำแหน่งคนมาฝึกงานหรือมาสมัครงาน ซึ่งจะมีอะไรบ้าง มาดูที่บทความนี้ได้เลย ทำเรซูเมยังไงให้มัดใจ HR เมื่อแรกเห็น หางานน่าสนใจมากมายได้ที่ Jobs จาก Jobcadu

    Nov 25, 2024
    Thumbnail for 5 เว็บทำเรซูเม่สุดปัง สวยเช้ง เทมเพลตมากมาย พร้อมมัดใจ Hr ทุกการสมัครงาน

    5 เว็บทำเรซูเม่สุดปัง สวยเช้ง เทมเพลตมากมาย พร้อมมัดใจ Hr ทุกการสมัครงาน

    ใคร ๆ ก็อยากมี resume ที่โดดเด่นและน่าสนใจจน HR ทัก แต่ทำไมต้องเป็นอย่างงั้นล่ะ เพราะว่าในยุคที่การแข่งขันสูง การมีเรซูเม่ที่จับต้องทุกสายตาที่เห็นเป็นสิ่งสำคัญมาก และหนึ่งในวิธีที่จะทำให้เรซูเม่ของเราดูดีมีสไตล์ก็คือการใช้เว็บไซต์สร้างเรซูเม่นั่นเอง แต่ทำไมต้องใช้ผ่านเว็บไซต์ล่ะ เราทำเองด้วยโปรแกรม Word ไม่ได้หรอ วันนี้เราจะไปพาไขข้อสงสัยทั้งหมดกัน และนอกจากนั้นเรายังนำ 5 เว็บไซต์ทำเรซูเม่สุดปัง ที่จะช่วยให้เรซูเม่ของสวยงาม น่าประทับใจ และเพิ่มโอกาสในการได้งานในฝันได้อีกด้วย ทำไมต้องทำเรซูเม่ด้วยเว็บไซต์? เทมเพลตสวยงามหลากหลาย: เลือกสไตล์ที่เข้ากับบุคลิกและตำแหน่งงาน เช่น Content Creator หรือว่าสายงานที่ต้องการจะสมัครได้เลย ใช้งานง่าย: ไม่ต้องมีความรู้ด้านการออกแบบ ไม่ต้องมีหัวศิลปะ แต่มีความสามารถและประสบการณ์ก็พอ เดี๋ยวก็มีเทมเพลตสวย ๆ ให้เลือก ปรับแต่งและ Customize ได้: เราสามารถเพิ่มเติมรายละเอียดและทักษะได้อย่างอิสระ รวมถึงบางเว็บก็มี AI Tools ที่ช่วยขัดเกลาคำของเราให้น่าสนใจยิ่งขึ้น ประหยัดเวลา ไม่เสียเงิน: บางคนก็อาจจะกังวลกลัวเรซูเม่เราไม่สวย อาจจะจ้างทำ หรือว่ามัวนั่งคิดเกี่ยวกับ Design จนเสียเวลาไปเลย ดาวน์โหลดได้หลากหลายรูปแบบ: ทั้ง PDF, Word หรือรูปแบบอื่น ๆ เพื่อง่ายต่อการส่งต่อ รวมถึงบางเว็บไซต์ก็สร้างเสร็จแล้วส่งได้เลยในเว็บตนเอง 5 เว็บทำเรซูเม่สุดปัง ตัวช่วยในการทำ Resume ให้สวยเช้ง พร้อมเทมเพลตมากมาย สำหรับใครที่ไม่มีเวลาในการทำ Resume หรือว่าไม่เคยทำ ปัจจุบันก็มีตัวช่วยอย่างเว็บไซต์ออนไลน์ที่จะทำให้เรซูเม่ของเราสวยงามไม่แพ้คนอื่น ซึ่งก็มีทั้งแบบเสียเงินและใช้งานฟรีให้ได้เลือกสรรกัน เช่น Jobcadu Resume - เป็นเว็บไซต์ที่มี Tools AI ที่ช่วยเกลาคำภาษาอังกฤษของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีเทมเพลตให้เลือกใช้ เมื่อสร้างเสร็จสามารถดาวน์โหลดหรือนำส่งบริษัทชั้นนำได้อีกด้วย Canva - มีเทมเพลตให้เลือกมากมายหลากหลายสไตล์ สามารถปรับแต่งได้อย่างอิสระ มีทั้งแบบฟรีและแบบเสียเงิน ฟีเจอร์ครอบคลุมทั้งการออกแบบเรซูเม่ โปสเตอร์ และอื่นๆ Microsoft Word - เป็นโปรแกรมที่คุ้นเคย สามารถควบคุมรูปแบบและเนื้อหาได้อย่างละเอียด มีเทมเพลตให้เลือกไม่เยอะ แต่ก็เป็นโปรแกรมที่ทุกคนใช้เป็น นอกจากนั้นยังทำบนเว็บไซต์ได้อีกด้วย Rawpixel - เป็นเว็บไซต์ที่รวมรวมเทมเพลตมาเยอะมาก และสามารถโหลดมา edit ได้เลย Wix - เป็นเว็บไซต์สำเร็จรูปที่สามารถทำเรซูเม่ พอร์ตฟอลิโอ และเว็บไซต์ได้ เหมาะกับยุคดิจิทัลสุด ๆ ไปเลย แต่ก็อาจจะซับซ้อนเกินไปสำหรับมือใหม่ แต่น่าสนใจแน่นอนถ้าสามารถทำได้ การมีเรซูเม่ที่ดีเป็นสิ่งสำคัญในการหางาน การใช้เว็บไซต์สร้างเรซูเม่จะช่วยให้มีเรซูเม่ที่สวยงามและน่าประทับใจ แต่การทำเรซูเม่ก็มีหลายจุดที่ต้องเช็กดี ๆ เพราะว่าบางจุดก็อาจจะทำให้ HR ปัดตกของเราได้ จะมีอะไรบ้าง มาดูที่บทความนี้ได้เลย ทำเรซูเมยังไงให้มัดใจ HR เมื่อแรกเห็น หลังจากอ่านแล้วลองเลือกเว็บไซต์ที่ถูกใจและเริ่มสร้างเรซูเม่ได้เลย!

    Nov 19, 2024
    Thumbnail for พื้นฐานทำพอร์ตโฟลิโอสมัครงาน : ฉายแสงให้ตัวคุณ (Job-Winning Portfolio)

    พื้นฐานทำพอร์ตโฟลิโอสมัครงาน : ฉายแสงให้ตัวคุณ (Job-Winning Portfolio)

    How to Create a Job-Winning Portfolio ในตลาดงานที่มีการแข่งขันสูงขึ้นในปัจจุบัน แคนดิเดตต่างเพิ่มพูนทักษะและสร้างเรซูเม่ด้วย AI การมีพอร์ตโฟลิโอสมัครงานที่แข็งแกร่งและจับใจ Hiring Manager หรือ Recruiter ได้ จะช่วยคุณสร้างความแตกต่างและช่วยให้คุณได้โอกาสสัมภาษณ์งานในฝันมากขึ้น ไม่ว่าคุณจะเป็นมืออาชีพสายสร้างสรรค์ วิศวกรซอฟต์แวร์ ฟรีแลนซ์หรือกำลังสมัครงานสายองค์กรขนาดใหญ่ การแสดงผลงานผ่านพอร์ตโฟลิโอเป็นหนึ่งในทางเลือกเพื่อขายเรื่องราวความสำเร็จ แบรนด์อาชีพส่วนตัวของคุณและสร้างความโดดเด่นจากคู่แข่ง นี่คือพื้นฐานในการสร้างพอร์ตโฟลิโอที่ประสบความสำเร็จ: 1. Understand the Purpose of Your Portfolio ก่อนเริ่มต้น ให้ชัดเจนถึงจุดประสงค์ของพอร์ตโฟลิโอว่าอยากเน้นอะไร: เพื่อแสดงทักษะและความสำเร็จของคุณ เพื่อแสดงความเชี่ยวชาญผ่านตัวอย่างงานที่ผ่านมา เพื่อเน้นว่าทำไมคุณจึงเหมาะสมที่สุดสำหรับบทบาทนี้ แต่ละอุตสาหกรรมมีความคาดหวังที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น ดีไซเนอร์อาจมุ่งเน้นการนำเสนอภาพ อารมณ์ เทสต์ ในขณะที่นักพัฒนาซอฟต์แวร์อาจรวมถึงกรณีศึกษาของโปรเจกต์และตัวอย่างโค้ดโดยละเอียด 2. Choose the Right Format เลือกว่าจะทำพอร์ตโฟลิโอแบบดิจิทัลหรือแบบเอกสารที่เหมาะสมกับคุณ: Digital Portfolios: เหมาะสำหรับสายอาชีพส่วนใหญ่ในปัจจุบัน คุณสามารถสร้างเว็บไซต์ ใช้แพลตฟอร์มอย่าง Notion, Wix, Canva, Behance หรือแชร์ในรูปแบบ PDF ได้ Physical Portfolios: เหมาะสำหรับการสัมภาษณ์หรือการนำเสนอในสถานที่จริง โดยเฉพาะสายงานดีไซน์ สถาปัตยกรรม หรือสาขาที่คล้ายกัน เสมือนนำเสนอขายโปรเจคให้กับลูกค้า 3. Structure Your Portfolio Effectively เรซูเม่มีการจัดระเบียบ พอร์ตโฟลิโอที่ดีก็ควรมีการจัดระเบียบที่ดีเช่นเดียวกัน โดยคำนึงถึงลำดับการเล่าเรื่อง สิ่งที่อยากให้คนเห็นก่อน โดยรวมส่วนต่างๆ ดังนี้: a. Cover Page ระบุชื่อ อาชีพ และข้อมูลติดต่อของคุณ ใช้การออกแบบที่สะอาดและดูเป็นมืออาชีพ b. Introduction or Personal Statement (คำนำพอร์ตโฟลิโอ) แนะนำตัวเองและเป้าหมายในอาชีพอย่างสั้นๆ อธิบายจุดเด่นเฉพาะตัวของคุณที่ทำให้คุณแตกต่างจากผู้สมัครคนอื่น c. Skills Overview เน้นทักษะและความสามารถสำคัญของคุณ จับคู่ทักษะกับความต้องการของตำแหน่งงานที่คุณสมัคร ข้อควรระวัง : หากคุณทำงานมาหลายปี ควรโฟกัสเฉพาะทักษะที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่องาน ไม่ควรโชว์ความหลากหลายของทักษะของคุณมากเกินไป d. Work Samples/Projects แสดงผลงานเด่น 3-5 ชิ้น ขึ้นอยู่กับสายงานของคุณ สำหรับแต่ละโปรเจกต์ให้รวมถึง: Context บริบท ปัญหาหรือเป้าหมายของโปรเจกต์ บทบาทของคุณและวิธีการแก้ไข ผลลัพธ์และความสำเร็จที่สำคัญ (เช่น เมตริกหรือคำชมจากลูกค้า) ข้อคิด : พิจารณาหลักการ Proof of Work and Competency พอร์ตโฟลิโอที่โดดเด่นแสดงให้เห็นมากกว่าความสำเร็จของคุณ แต่ยังรวมถึงหลักฐานของผลงานและความสามารถ แสดงทักษะในทางปฏิบัติ: เพิ่มตัวอย่างผลงานที่ชัดเจน เช่น โปรเจกต์ที่เสร็จสิ้น กรณีศึกษาที่คุณทำขึ้นเอง โดยเฉพาะผลงานที่ได้รับการเผยแพร่ เพื่อแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่คุณได้ทำสำเร็จจริง ๆ สร้างความเชื่อมั่น: นายจ้างมีแนวโน้มที่จะเชื่อถือผู้สมัครที่สามารถยืนยันสิ่งที่กล่าวอ้างด้วยหลักฐานที่ชัดเจน เน้นผลลัพธ์: ใช้ตัวเลขหรือผลลัพธ์เฉพาะ เช่น “เพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ขึ้น 40%” หรือ “ปรับปรุงการดำเนินงานให้ประหยัดเวลาได้ 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์” มีผู้ชมหรือผู้เชี่ยวชาญให้การยอมรับ เพื่อแสดงถึงความสำเร็จของคุณ สะท้อนความทุ่มเท: การทำพอร์ตโฟลิโอ แล้วเพิ่มหลักการ Proof of work เข้าไปจะยิ่งแสดงถึงความมุ่งมั่นในคุณภาพและความสามารถในการนำความรู้ไปใช้ได้จริง ทั้งยังสามารถต่อยอดเป็นหัวข้อพูดคุยในการสัมภาษณ์งานได้ด้วย เพราะบรรทัดสุดท้ายของการตัดสินใจเลือกผู้สมัครของผู้ว่าจ้าง คือการที่พวกเขาเชื่อมั่นว่าแคนดิเดตคนนั้นน่าจะทำงาน เข้ากับทีม หรือใช้เวลาปรับตัวได้ e. Resume or CV ใส่เวอร์ชันย่อของเรซูเม่ที่เน้นความสำเร็จ f. Certifications and Awards เพิ่มใบรับรองหรือรางวัลที่เกี่ยวข้องเพื่อยืนยันทักษะของคุณ g. Contact Information ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้จ้างงานสามารถติดต่อคุณได้ง่ายผ่านอีเมล โทรศัพท์ หรือ LinkedIn 4. Tailor Your Portfolio for Specific Jobs พอร์ตโฟลิโอของคุณควรสอดคล้องกับตำแหน่งงานที่คุณสมัคร เคล็ดลับได้แก่: ปรับแต่งบทนำและตัวอย่างงานสำหรับแต่ละการสมัคร เน้นโปรเจกต์ที่ตรงกับคำอธิบายงาน ใช้คำศัพท์เฉพาะอุตสาหกรรมเพื่อสร้างความสนใจให้กับผู้จ้างงาน อาจทำโปรเจคและกรณีศึกษาให้กับบริษัทหรืออุตสาหกรรมที่คุณสนใจสมัครงาน อย่างไรก็ตามต้องคำนึงถึงการถูกคัดลอกไอเดีย คุณควรใช้นำเสนอเนื้อหาแต่พอสมควรแล้วนำเสนอให้เขาติดต่อกลับ อาจเลือกปรับเฉพาะงานที่คุณอยากได้มากจริง ๆ 5. Design with Impact พอร์ตโฟลิโอของคุณควรมีข้อมูลครบถ้วนและน่าสนใจ: ใช้เลย์เอาต์ที่สะอาดและสม่ำเสมอ พร้อมพื้นที่ว่างเพียงพอ เลือกฟอนต์ที่อ่านง่ายและขนาดฟอนต์ที่สม่ำเสมอ รวมภาพคุณภาพสูงหรือภาพหน้าจอของงานของคุณ ใช้สีอย่างประหยัดเพื่อรักษาโทนมืออาชีพ การเลือกใช้คำ และไฮไลท์สิ่งที่สำคัญจะสร้าง Impact ได้มากกว่า ไม่จำเป็นต้องมีสีสันสดใสหากคุณไม่ใช่สาย Design หรือ Creative สุดท้ายขึ้นอยู่กับว่าผู้ว่าจ้างเปิดอ่านแล้วเข้าใจสิ่งที่เราจะสื่อสารหรือไม่ 6. การเลือกใช้ Tools and Platforms to Build Your Portfolio For Digital Portfolios Websites: Notion, Squarespace, Wix, WordPress Design Platforms: Behance, Dribbble, Canva Online Document Sharing: Google Drive, Dropbox. การใช้เครื่องมือที่สามารถแชร์ลิงก์ได้เป็นเรื่องที่ดี เพราะคุณอาจแปะลิงก์พอร์ตโฟลิโอหรือเว็บไซต์ไปบนเรซูเม่ได้ For Physical Portfolios ใช้แฟ้มที่ดูมืออาชีพ พิมพ์ตัวอย่างงานลงบนกระดาษคุณภาพสูง Jobcadu มีระบบแปะ Link พอร์ตโฟลิโอหรือเว็บไซต์ส่วนตัวเพื่อสมัครงาน 7. Test and Get Feedback ก่อนส่งพอร์ตโฟลิโอ ขอคำแนะนำจากเพื่อนหรือคนที่ไว้ใจทำงานร่วมกัน เมนเทอร์ หรือมืออาชีพในอุตสาหกรรมของคุณ ตรวจสอบว่า: ไม่มีคำผิดหรือข้อผิดพลาดในการจัดรูปแบบ เลย์เอาต์มีความลื่นไหลและดูดี ลิงก์ในพอร์ตโฟลิโอดิจิทัลทำงานอย่างถูกต้อง ไม่จำเป็นต้องใส่ Motion หรือ Transition จำนวนมาก หากคุณไม่ใช่ UI Designer, Frontend Developer หรือ Video Editor 8. Update Regularly พอร์ตโฟลิโอเป็นเอกสารที่ต้องปรับปรุงอยู่เสมอ อัปเดตเมื่อมี: โปรเจกต์หรือความสำเร็จใหม่ ข้อมูลติดต่อที่อัปเดต ดีไซน์ที่สะท้อนเทรนด์ปัจจุบัน กรณีศึกษาที่กำลังเป็นที่สนใจในอุตสาหกรรม ทิ้งท้ายเกี่ยวกับพอร์ตโฟลิโอ พอร์ตโฟลิโอหรือแฟ้มสะสมผลงานที่น่าสนใจไม่ใช่เพียงแค่การรวบรวมผลงานของคุณแล้วตัดแปะ แต่เป็นภาพสะท้อนของแบรนด์อาชีพของคุณ (Personal Brand) ด้วยการปฏิบัติตามขั้นตอนเบื้องต้นเหล่านี้ ผสมกับการปรับแต่งพอร์ตสำหรับการสมัครงานที่น่าสนใจจริง ๆ คุณจะสามารถแสดงความเชี่ยวชาญของคุณและโดดเด่นต่อผู้ว่าจ้างได้อย่างมั่นใจ พร้อมที่จะสร้างพอร์ตโฟลิโอของคุณหรือยัง? เริ่มต้นวันนี้และปล่อยให้ผลงานของคุณพูดแทนตัวเอง! นอกจากนั้นการมี CV หรือ Resume ที่ดีก็ถือเป็นด่านแรกที่จะพิชิตใจ HR ต้องทำอย่างไร ดูได้ที่นี่เลย >> ทำ CV ยังไงให้ HR หยิบเข้า Shortlist

    Nov 18, 2024
    Thumbnail for Resume คืออะไร ทำเรซูเมยังไงให้มัดใจ HR เมื่อเห็นแว๊ปแรก

    Resume คืออะไร ทำเรซูเมยังไงให้มัดใจ HR เมื่อเห็นแว๊ปแรก

    Resume คือเครื่องมือสำคัญในการแนะนำตัวเพื่อสมัครงาน หากเราต้องการสร้างความประทับใจแรกให้ HR การมีเรซูเมที่โดดเด่นและครบถ้วนคือกุญแจหลักที่จะช่วยให้เรามีโอกาสในการเข้าสู่ขั้นตอนการสัมภาษณ์ได้เลย โดยบทความนี้เราจะพาทุกคนไปทำความเข้าใจว่า Resume คืออะไร สำคัญอย่างไร ควรใส่ข้อมูลอะไรลงไปในเรซูเม่ และมีวิธีทำอย่างไรให้มัดใจ HR ตั้งแต่แว๊ปแรก Resume คืออะไร Resume อ่านว่า เรซูเม่ โดยเรซูเม่คือเอกสารสำคัญที่ผู้สมัครงานต้องส่งให้กับ HR หรือนายจ้าง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการสมัครงาน โดยมีจุดประสงค์คือนำเสนอและอธิบายประวัติส่วนตัวภายในรูปแบบเอกสาร ซึ่งใน Resume จะประกอบไปด้วยประวัติการทำงาน รางวัล ความสำเร็จ จุดมุ่งหมายในการทำงาน ประวัติการศึกษา ทักษะ ข้อมูลส่วนตัวและรูปถ่าย โดยรวมแล้ว Resume นั้นเปรียบเสมือนใบหน้าด่านแรกที่จะให้บริษัทเห็นนั่นเอง เรซูเม่ที่ดี จะช่วยให้ผู้สมัครงานโดดเด่นและได้รับโอกาสในการเข้าสัมภาษณ์งานมากขึ้น โดยจะต้องมีความชัดเจน สั้น กระทัดรัด และเน้นประเด็นสำคัญที่ตรงกับตำแหน่งงานที่สมัคร Resume เอาไว้ใช้ทำอะไร นอกจากสมัครงาน หลัก ๆ แล้ว Resume นั้นมีไว้สำหรับสมัครงาน แต่ก็สามารถนำไปใช้ในทางอื่น ๆ เช่น สมัครเรียนต่อ: ไม่เพียงแต่ใช้ในการสมัครงานเท่านั้น เรซูเม่ยังสามารถใช้ในการสมัครเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น หรือสมัครเข้าร่วมโครงการต่างๆ ได้อีกด้วย ขอทุนการศึกษา: หลายๆ โครงการทุนการศึกษาจะให้ผู้สมัครส่งเรซูเม่ เพื่อพิจารณาความเหมาะสมและความสามารถของผู้สมัคร ขอวีซ่า: ในบางกรณี เรซูเม่สามารถใช้ในการขอวีซ่า เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมั่นคงทางการเงินและวัตถุประสงค์ในการเดินทาง สร้างเครือข่าย: การแลกเปลี่ยนเรซูเม่กับบุคคลอื่นๆ ที่อยู่ในวงการเดียวกัน สามารถช่วยให้คุณสร้างเครือข่ายและได้พบเจอกับโอกาสใหม่ๆ พัฒนาตนเอง: การเขียนเรซูเม่บ่อยๆ จะช่วยให้คุณได้ทบทวนประสบการณ์และทักษะของตัวเอง ทำให้คุณเข้าใจตัวเองมากขึ้น และสามารถวางแผนอาชีพในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความสำคัญของการทำ Resume เรซูเม่จะเป็นตัวสร้างความประทับใจแรกระหว่างเราและบริษัท และถือว่าเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดในกระบวนการสมัครงาน และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเรซูเม่ถึงมีความสำคัญ: เปิดโอกาสในการแสดงศักยภาพแก่ผู้จ้างงาน: เรซูเม่เป็นช่องทางในการโปรโมตตัวเองให้โดดเด่นเหนือผู้สมัครรายอื่น แสดงทักษะ ประสบการณ์ และการศึกษา: ช่วยให้นายจ้างเข้าใจว่าประสบการณ์และความสามารถมีผลต่อความสำเร็จของบริษัทได้อย่างไร ช่วยนายจ้างคัดกรองผู้สมัครที่ไม่เหมาะสม: เรซูเม่ช่วยให้นายจ้างตัดสินใจได้ง่ายขึ้นในการเลือกผู้ที่เหมาะสมเข้าสู่กระบวนการสัมภาษณ์ แสดงความสามารถในการเขียน: การจัดเรียงข้อมูลในเรซูเม่ที่ดีบ่งบอกถึงความสามารถในการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ Resume ควรมีอะไรบ้าง ชื่อ-นามสกุล โดยชื่อของเราต้องสะกดอย่างถูกต้อง และชัดเจน อีเมล เบอร์โทร และ ที่อยู่ ตำแหน่งงาน ประสบการณ์ทำงาน ประวัติการศึกษา ประวัติการอบรม หรือรางวัลที่เคยได้รับ ความสามารถทางภาษา - แนะนำว่าไม่ควรเป็นหลอดพลัง แนะนำเขียนเป็นระดับ ดีมาก ปานกลาง เบื้องต้น เป็นต้น ความสามารถทางคอมพิวเตอร์ รูปถ่าย คำแนะนำสำหรับการทำ Resume ถ้าหาก Resume มีเนื้อหาที่น่าสนใจ แต่ถ้าอ่านยากหรือเป็นภาษาต่างดาวก็อาจทำให้ HR ไม่สนใจผลงานต่างๆ หรือประสบการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างทันที โดยหลัก ๆ ก็มีดังนี้ สีที่ใช้ - หากเป็นบริษัทที่สังเกตแล้วว่ามีความจริงจังสูง หรือ Conservative โดยจะเป็นบริษัทที่ก่อตั้งมานาน ควรลดการใช้สี หรือให้น้อยที่สุด หรือให้ดีควรเป็นสีดำ หากเป็นบริษัทรุ่นใหม่ หรือตำแหน่งที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ เช่น กราฟิก ครีเอทีฟ ก็สามารถใช้ลูกเล่นโดยการตกแต่งเรซูเม่ให้สวยงามได้หากเป็นบริษัทรุ่นใหม่ ฟ้อนต์ที่ใช้ - ฟ้อนในการใช้งานก็เป็นฟ้อนต์ทั่วไปที่มีในเครื่องทุก ๆ คน เพื่อเป็นการป้องกันการเป็นภาษาต่างดาวเวลาที่ HR เปิดไฟล์ของเราอ่านดู เช่น Calibri, Arial, Time New Roman, Roboto, Helvetica, Verdana, Trebuchet MS, TH Sarabun New ขนาด - ขนาดของเรซูเม่ควรเป็นไซส์ A4 และมีหนึ่งหน้าเท่านั้น ภาษา - สมัยนี้ เรซูเม่ควรเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด เพราะเป็นภาษาที่จำเป็นสำหรับการทำงาน ชื่อและนามสกุลไฟล์ - ต้องเป็นชื่อจริงและเป็นไฟล์ PDF ส่วนไฟล์อื่นๆอย่าง docx / jpg / png ไม่แนะนำ ตัวช่วยในการทำ Resume ด้วย AI เพื่อให้ได้งานตามที่ฝัน การใช้ AI ในการทำ Resume กำลังเป็นที่นิยม เพราะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการออกแบบและจัดเรียงข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การใช้ AI ปรับรูปแบบของ Resume ให้ตรงกับคำสำคัญ (Keywords) ที่ใช้ในประกาศงาน อีกทั้งยังสามารถใช้ AI ในการตรวจสอบคำผิดและปรับแต่งเนื้อหาให้ดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น โดยเราก็มีเครื่องมือในการสร้าง Resume ขึ้นมาได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ดาวน์โหลดพร้อมส่งให้กับบริษัทต่าง ๆ ได้ มาลองใช้กันได้ที่ - Resume Builder นี่ก็เป็นวิธีการทำ Resume ให้เป็นที่โดดเด่นกว่าผู้สมัครคนอื่น ๆ และนี่เป็นแค่ด่านแรกเท่านั้น การเตรียมตัวก็เป็นเรื่องสำคัญ แต่ถ้าส่งแล้วไม่ค่อยมีการตอบกลับหรือไม่รู้จะหางานที่ไหน เราก็ยังสามารถหางานดี ๆ ได้ที่ Jobcadu ได้อีกด้วย เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้งานในฝัน เพราะเรารวบรวมงานดี ๆ ไว้เพียบ ที่นี่ Jobs

    Nov 17, 2024
    Thumbnail for ส่ง Resume ตอนไหนดี? เคล็ด(ไม่)ลับการเปิดการมองเห็น Resume ของเราให้ HR

    ส่ง Resume ตอนไหนดี? เคล็ด(ไม่)ลับการเปิดการมองเห็น Resume ของเราให้ HR

    การส่ง Resume อาจดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย แต่จริง ๆ แล้ว เวลาในการส่ง Resume มีผลต่อโอกาสที่ HR จะเปิดอ่าน หากคุณเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม โอกาสที่ Resume ของเราก็จะได้โดดเด่น เป็นที่ถูกมองเห็น และจะได้รับการพิจารณาก็เพิ่มขึ้นมาก ในบทความนี้ เราจะมาดูว่าทำไมการเลือกเวลาจึงสำคัญ พร้อมเคล็ดลับที่ช่วยให้ Resume ของเพื่อน ๆ โดดเด่นในสายตา HR ทำไมต้องส่ง Resume ให้ถูกเวลา จะช่วยอะไร การส่ง Resume ในเวลาที่เหมาะสมช่วยเพิ่มโอกาสในหลายด้าน เช่น: เพิ่มการมองเห็น (Visibility): HR มีแนวโน้มที่จะอ่านอีเมลใหม่ในช่วงต้นวันหรือเวลาทำงาน สร้างความประทับใจ: การส่ง Resume ตรงเวลาแสดงถึงความกระตือรือร้นและความใส่ใจในรายละเอียด ไม่รบกวนเวลางานของคนอื่น ลดความเสี่ยงถูกมองข้าม: ช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม เช่น ตอนเย็นหรือจะจบวัน ตอนกลางคืน อีเมลของเราก็อาจถูกดันลงไปด้านล่างด้วยอีเมล Candidate ท่านอื่น หรือเมลอื่น ๆ ช่วงเวลาที่ควรหลีกเลี่ยงส่ง Resume ด้วยเหตุผลดังนี้ ช่วงเย็นหรือกลางคืน (หลัง 18:00): HR อาจเลิกงานแล้ว และอีเมลของคุณอาจถูกดันลงไปในเช้าวันถัดมา วันหยุดสุดสัปดาห์: HR มักไม่เปิดอีเมลในวันหยุด การส่งในช่วงนี้ทำให้อีเมลของคุณตกไปอยู่ล่างสุดเมื่อถึงวันทำงาน และกลายเป็นที่ถูกลืมในที่สุด ก่อนหรือหลังวันหยุดยาว: ช่วงนี้ HR มักมีอีเมลเป็นจำนวนมาก ก็จะทำให้อีเมลของเราลงไปกองอยู่ด้านล่างเช่นกัน เคล็ดลับการส่ง Resume ให้เด่นกว่าผู้สมัครรายอื่น ๆ ส่งในช่วงเวลาทำงาน: เวลาที่ดีที่สุดคือช่วงเช้า (8:00-10:00) เพราะเป็นช่วงที่ HR เปิดคอมเข้ามาเช็กอีเมล เวลานี้ก็จะช่วยให้ HR เห็นอีเมลและเข้าไปอยู่ในใจ HR ง่ายที่สุด เลือกวันต้นสัปดาห์: วันจันทร์ถึงศุกร์มักเป็นช่วงที่ HR วางแผนงาน ทำให้ Resume ของคุณมีโอกาสถูกพิจารณาสูง เขียนหัวข้ออีเมลให้ชัดเจน: เช่น “สมัครงานตำแหน่ง [ชื่อตำแหน่ง] - [ชื่อ]” เพื่อช่วยให้ HR เข้าใจจุดประสงค์ทันที ว่านี่คืออีเมลสมัครงานนะ ส่งทันทีที่พบประกาศงาน: การส่งเร็วแสดงถึงความสนใจในตำแหน่งนั้นอย่างจริงจัง การส่ง Resume ที่ดีควรเลือกส่งในช่วงเวลาทำงานช่วงเช้า (8:00-10:00) เพื่อให้ HR มีโอกาสเห็นอีเมลมากที่สุด หลีกเลี่ยงการส่งในวันหยุดหรือช่วงเวลาที่ HR ไม่สะดวก นอกจากนั้น Resume ยังต้องเป็นที่น่าสนใจสำหรับ Hr ด้วยนะ มาลองใช้ Resume Builder จากเราได้ เพราะเรามี AI ในการช่วยตรวจเรซูเม่ด้วยนะ การเลือกเวลาส่งที่เหมาะสมไม่ได้ยาก แต่เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้ Resume ถูกพิจารณาได้อย่างง่ายดาย แต่นอกจากนั้นเราก็ยังสามารถหางานดี ๆ ได้ที่ Jobcadu ได้อีกด้วย เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้งานในฝัน เพราะเรารวบรวมงานดี ๆ ไว้เพียบ ไปหางานได้ที่ Jobs จาก Jobcadu

    Nov 16, 2024
    Thumbnail for เขียน CV ยังไงให้โดดเด่น: เคล็ดลับการมัดใจ HR หยิบเราเข้า Shortlist

    เขียน CV ยังไงให้โดดเด่น: เคล็ดลับการมัดใจ HR หยิบเราเข้า Shortlist

    การเขียน CV (Curriculum Vitae) ที่ดีเป็นขั้นตอนแรกของการสมัครงานที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นสิ่งที่ HR จะพิจารณาเป็นลำดับแรก หาก CV ของตัวเราไม่โดดเด่นพอ ก็อาจพลาดโอกาสในการเข้าสู่การสัมภาษณ์ และการเข้าทำงาน ดังนั้น การเขียน CV ที่ดีจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทุก ๆ คนเลย CV คืออะไร ทำไมต้องเขียนให้ดี CV หรือ Curriculum Vitae คือเอกสารที่แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับประสบการณ์การทำงาน การศึกษา และทักษะของผู้สมัคร โดยทั่วไปใช้เพื่อแสดงให้ผู้ว่าจ้างเห็นว่าเราเหมาะสมกับตำแหน่งงานอย่างไร และมีศักยภาพเพียงพอหรือไม่ ทำไมต้องเขียน CV ให้ดี สร้างความประทับใจแรก: CV ที่ดีช่วยดึงดูดความสนใจของ HR ได้ทันที แสดงความเป็นมืออาชีพ: CV ที่มีโครงสร้างชัดเจนและเนื้อหาสมบูรณ์แบบจะสะท้อนถึงความใส่ใจในรายละเอียดและความรอบคอบ เพิ่มโอกาสเข้ารอบ Shortlist: CV ที่ชัดเจนและตรงประเด็นช่วยให้ HR เข้าใจว่าเรามีคุณสมบัติตรงตามที่พวกเขามองหาอยู่ 5 ประเภทของ CV Chronological CV - รูปแบบที่ได้รับความนิยมที่สุด แสดงประสบการณ์การทำงานเรียงตามลำดับเวลา เริ่มจากตำแหน่งล่าสุด Functional CV - เหมาะสำหรับผู้ที่มีทักษะมากมาย เหมาะกับคนที่มีความสามารถหลายอย่าง Combined CV - ผสมผสานระหว่าง Chronological และ Functional เหมาะกับคนที่มีประสบการณ์ทำงานและทักษะการทำงานที่สูง Creative CV - ใช้การออกแบบที่โดดเด่นและน่าสนใจ เหมาะสำหรับสายงานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์ เช่น การออกแบบกราฟิก หรือ Art Director Academic CV - สำหรับผู้สมัครในสายการศึกษาและวิจัย เน้นที่การศึกษา ผลงานวิจัย และสิ่งพิมพ์ทางวิชาการ การเขียน CV ที่ดี ต้องมีส่วนประกอบสำคัญอะไรบ้าง ข้อมูลส่วนตัว (Personal Information) เช่น ชื่อ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล และลิงก์ LinkedIn โปรไฟล์ส่วนตัว (Personal Profile) บทสรุปสั้น ๆ เกี่ยวกับตัวเองและเป้าหมายในการทำงาน ประสบการณ์การทำงาน (Work Experience) ระบุหน้าที่ ความสำเร็จ และผลลัพธ์ที่วัดได้ การศึกษา (Education) บอกระดับการศึกษา ทักษะ (Skills) ระบุทักษะที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่สมัคร ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นด้าน Soft skills หรือ Hard skills ซึ่งจะสื่อถึงศักยภาพของเรา รวมถึงคะแนนการสอบวัดระดับภาษาก็ได้เช่นกัน อ้างอิง (References) เพิ่มชื่อบุคคลที่สามารถยืนยันข้อมูลของเราได้ รวมถึงสอบถามถึงพฤติกรรมในการทำงานของเรา หลาย ๆ จุดที่ทุกคนชอบผิดเวลาเขียน CV สะกดคำผิด - แทบทุกสายงานจะสังเกตส่วนน้ ซึ่งเป็นหนึ่งในความละเอียดในการทำงาน และดูความเป็นมืออาชีพ ใช้รูปแบบไม่เหมาะสม - ฟอนต์ไม่สม่ำเสมอ หรือการจัดหน้าไม่เรียบร้อย รวมถึงเทมเพลตที่ไม่เหมาะกับสายงาน ข้อมูลล้าสมัย - ระบุข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่สมัคร หรือลืมเปลี่ยนอีเมล์ให้ตรงกับตามตำแหน่งที่สมัคร หรือเบอร์โทรที่ติดต่อไม่ได้ อีเมล์ที่ไม่ได้อัปเดต เป็นตัน ยาวเกินไป - CV ควรมีความยาวที่เพียงพอ หากสั้นนิดเดียว ก็อาจจะทำให้ HR ไม่รู้ว่าเราทำอะไรมาบ้าง Keyword ไม่เพียงพอ - การที่มี Keyword หรือคำหลักกระจายตัวอย่างพอดีใน CV จะช่วยให้เห็นว่าเราเข้าเอาใจใส่ในการเขียนเป็นอย่างดี แต่ถ้า cv ของใครที่ยังไม่แม่นพอ เราก็มี Tools ที่ใช้ AI ประเมินและวิเคราะห์ให้ CV หรือ Resume ของเรานั้นมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น คลิกเลย >>> Resume Builder แล้วเมื่อไหร่ที่เราจะเลือกใช้ CV หรือ Resume การเลือกใช้ CV หรือ Resume ขึ้นอยู่กับประเภทของงานและความต้องการขององค์กร โดย CV มักจะใช้ในการสมัครงาน การเรียนต่อ ในอาชีพที่ต้องการรายละเอียดครบถ้วน เช่น งานวิจัย หรือ Specialist ต่าง ๆ ในขณะที่ Resume จะใช้ในงานที่ต้องการข้อมูลที่กระชับและตรงกับตำแหน่งที่สมัครมากกว่า และยังโชว์ความเป็นตัวของตัวเองด้วยการเลือกเทมเพลตตามสายงาน ทั้งนี้ทั้งสองไม่สามารถใช้ทดแทนกันได้เต็มที่ เนื่องจากแต่ละแบบมีลักษณะและการใช้งานที่แตกต่างกันนั่นเอง การเขียน CV เป็นศิลปะที่ต้องอาศัยทั้งความคิดสร้างสรรค์และความรอบคอบ การเลือกประเภท CV ที่เหมาะสม การใส่เนื้อหาให้กระชับ และหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่พบบ่อย จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้ารอบ Shortlist และทำให้เราโดดเด่นในสายตา HR และเพิ่มโอกาสในการได้งานอีกด้วย หางานน่าสนใจมากมายได้ที่ Jobs จาก Jobcadu

    Nov 15, 2024
    Thumbnail for CV คืออะไร ต่างจาก Resume ยังไง ใช้สมัครงานแทนกันได้ไหม

    CV คืออะไร ต่างจาก Resume ยังไง ใช้สมัครงานแทนกันได้ไหม

    เมื่อพูดถึงเอกสารที่ใช้สมัครงาน หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า "CV" และ "Resume" แต่บางครั้งหลาย ๆ คนอาจไม่แน่ใจว่ามันต่างกันยังไง และใช้แทนกันได้หรือไม่ ในบทความนี้ Jobcadu จะพาไปทำความรู้จักกับความแตกต่างระหว่าง CV และ Resume รวมถึงวิธีการเลือกใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละงาน และแนวทางการนำ AI มาใช้เพื่อพัฒนา CV และ Resume ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น CV คืออะไร CV (Curriculum Vitae) คือเอกสารที่ใช้สำหรับแนะนำตัวเองแก่ผู้ที่กำลังมองหาผู้สมัครงาน โดยจะเน้นรายละเอียดเกี่ยวกับประวัติการทำงานและประสบการณ์ทำงาน ทักษะและความสามารถต่าง ๆ รวมถึงการฝึกอบรมที่มีความสำคัญต่อสายอาชีพ การใช้ CV มักจะพบในงานที่ต้องการรายละเอียดครบถ้วนมากกว่ารายละเอียดทั่วไป โดยเรียงไปตามไทม์ไลน์ องค์ประกอบของ CV ข้อมูลส่วนตัว: ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร และอีเมล ประวัติการศึกษาและการทำงาน: ตำแหน่งงานที่เคยทำพร้อมรายละเอียด ทักษะและความสามารถ: ทักษะเฉพาะตัวที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่ง ผลงานหรือโครงการ: ตัวอย่างผลงานที่เคยทำเพื่อแสดงทักษะ การฝึกอบรมและการรับรอง: หากมีการเรียนรู้เพิ่มเติมที่เกี่ยวข้อง รวมถึงบุคคลอ้างอิง Resume คืออะไร Resume คือเอกสารที่ใช้ในการแนะนำตัวเองในแบบที่กระชับและเน้นไปที่ทักษะ และประสบการณ์ที่สำคัญต่อการสมัครงานในตำแหน่งนั้น ๆ การเขียน Resume จะต้องทำให้ผู้สมัครดูมีคุณสมบัติที่ตรงตามความต้องการของตำแหน่งงานนั้น ๆ โดยทั่วไป Resume จะมีความยาวสั้นกว่า CV องค์ประกอบของ Resume ข้อมูลส่วนตัว: ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร และอีเมล เป้าหมายในอาชีพ: ข้อความที่แสดงถึงทิศทางและความมุ่งมั่น ประสบการณ์การทำงาน: การสรุปตำแหน่งและหน้าที่ที่สำคัญ ทักษะ: ทักษะที่ตรงกับตำแหน่งงาน การศึกษา: สถาบันและหลักสูตรที่เกี่ยวข้อง ผลงานหรือโครงการ: หากมีเพื่อแสดงถึงความสามารถที่มี CV กับ Resume ต่างกันยังไง การเลือกใช้ CV หรือ Resume ขึ้นอยู่กับประเภทของงานและความต้องการขององค์กร โดย CV มักจะใช้ในการสมัครงาน การเรียนต่อ ในอาชีพที่ต้องการรายละเอียดครบถ้วน เช่น งานวิจัย หรือ Specialist ต่าง ๆ ในขณะที่ Resume จะใช้ในงานที่ต้องการข้อมูลที่กระชับและตรงกับตำแหน่งที่สมัครมากกว่า และยังโชว์ความเป็นตัวของตัวเองด้วยการเลือกเทมเพลตตามสายงาน ทั้งนี้ทั้งสองไม่สามารถใช้ทดแทนกันได้เต็มที่ เนื่องจากแต่ละแบบมีลักษณะและการใช้งานที่แตกต่างกันนั่นเอง CV มีความละเอียดและมักมีเนื้อหาที่ยาวกว่า Resume CV กับ Resume ใช้แทนกันได้ไหม คำตอบคือสามารถใช้ CV สมัครงานแทนเรซูเม่ได้ แต่อาจไม่ได้เหมาะสมนัก เนื่องจาก Recruiter ใช้เวลาสั้น ๆ เพื่อตัดสินใจว่าจะไปต่อกับใบสมัครนั้นไหม ทำให้ CV อาจละเอียดเกินไป ไม่กระชับ แต่หากเป็นการสมัครงานเฉพาะทาง เข้าเรียนต่อ ควรใช้ CV ไม่สามารถใช้เรซูเม่ได้ เนื่องจากมีรายละเอียดที่น้อยจนเกินไป การทำ CV หรือ Resume ต้องใส่รูปไหม ในการเขียน CV หรือ Resume อาจจะมีคำถามว่า ต้องใส่รูปไหม? ซึ่งอาจจะแล้วแต่ขึ้นอยู่กับประเภทของงานที่สมัคร สำหรับงานในสายอาชีพที่ไม่เกี่ยวข้องกับการติดต่อหรือให้บริการลูกค้า เช่น งานด้านการวิเคราะห์ข้อมูล บัญชี หรือเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) ผู้จ้างจะให้ความสำคัญกับทักษะและประสบการณ์การทำงานมากกว่าภาพลักษณ์ส่วนตัว ดังนั้นการใส่รูปในเรซูเม่จึงไม่ถือเป็นสิ่งจำเป็น และสามารถเลือกได้ตามความสะดวก ในขณะที่สำหรับงานในสายบริการหรือการขาย เช่น งานเซลล์ หรือบริการลูกค้า การใส่รูปถ่ายในเรซูเม่อาจช่วยเสริมภาพลักษณ์ให้ดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น รูปที่ใช้ควรเป็นภาพที่ดูสุภาพและเป็นทางการ เช่น การถ่ายภาพในชุดเสื้อเชิ้ตหรือสูท และควรเลือกพื้นหลังที่เรียบง่ายไม่รกรุงรัง หลีกเลี่ยงการใช้รูปในชุดรับปริญญาหรือรูปที่ดูไม่เหมาะสมกับบริบทของงาน เมื่อไหร่ควรใช้ CV แทน Resume? ใช้ CV สำหรับตำแหน่งงานที่ต้องการความละเอียด ให้สื่อถึงประสบการณ์ทำงานที่เจาะลึงไปตามไทม์ไลน์ เมื่อไหร่ควรใช้ Resume แทน CV? ใช้ Resume สำหรับการสมัครงานในองค์กรที่ไม่ได้เคร่งเรื่องคุณสมบัติที่เคร่งมาก เพื่อสื่อถึงความเป็นตัวเองและไฮไลท์เฉพาะจุดที่สำคัญ การนำ AI มาใช้ในการทำ CV และ Resume เพื่อให้ได้งาน ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน การใช้ AI ในการทำ CV และ Resume กำลังเป็นที่นิยม เพราะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการออกแบบและจัดเรียงข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การใช้ AI เพื่อปรับรูปแบบของ CV หรือ Resume ให้ตรงกับคำสำคัญ (Keywords) ที่ใช้ในประกาศงาน หรือการใช้เทคโนโลยีในการแนะนำทักษะที่ตรงกับตลาดงาน ทำให้โอกาสในการได้รับการตอบรับจากบริษัทสูงขึ้น อีกทั้งยังสามารถใช้ AI ในการตรวจสอบคำผิดและปรับแต่งเนื้อหาให้ดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น ตัวอย่างเครื่องมือ AI ที่สามารถนำมาใช้ได้: Resume Builder: เป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากมีเทมเพลตให้เลือกมากมาย และมีฟังก์ชันในการตรวจสอบไวยากรณ์และการสะกดคำ ทางเรา Jobcadu ก็มี Resume Builder ให้ใช้ด้วยน้า >> คลิก Canva: แม้จะเป็นเครื่องมือออกแบบกราฟิก แต่ Canva ก็มีเทมเพลต Resume ที่สวยงามและใช้งานง่าย ChatGPT: ถึงแม้ว่าจะออกแบบไม่ได้ แต่ก็เป็นอีกหนึ่ง Tools ที่จะช่วยวิเคราะห์ Keyword ให้ Resume เรามีความโดดเด่นมากขึ้นเช่นกัน เป็นอย่างไรกันบ้าง หลังจากนี้ทุกคนก็สามารถนำไปใช้ได้อย่างถูกวิธีและใช้ได้อย่างถูกจุดประสงค์ได้อย่างไม่ต้องสับสนแล้ว สำหรับคนไหนที่กำลังมองหางานคุณภาพ จากบริษัทชั้นนำในไทยและต่างประเทศ อย่าลืมฝากเรซูเม่ไว้ที่ Jobcadu ล่ะ เพราะเรารวบรวมบริษัทชั้นนำที่ใช่สำหรับคุณมาไว้ให้หมดแล้ว

    Nov 15, 2024
    Thumbnail for ส่อง Resume & Portfolio เด็กฝึกงานนิเทศ ฉบับมือโปร!

    ส่อง Resume & Portfolio เด็กฝึกงานนิเทศ ฉบับมือโปร!

    👩🏻‍💻 เปิด Resume & Portfolio เด็กฝึกงานสายนิเทศ ในคลิปนี้มีการแบ่งปัน Resume และ Portfolio ที่ใช้จริงสำหรับการสมัครฝึกงานในสายงานสื่อสารมวลชน โดยเริ่มจากการแนะนำขั้นตอนการทำ Resume และ Portfolio อย่างละเอียด และมีคำแนะนำเพิ่มเติมให้สามารถปรับใช้ได้ 📝 การทำ Resume เด็กฝึกงานนิเทศ 1.รูปถ่าย: ควรเลือกรูปที่สุภาพ เช่น รูปในชุดนักศึกษา หรือรูปที่ดูเป็นทางการ เพื่อให้สอดคล้องกับการสมัครงาน 2.ข้อมูลติดต่อ (Contact): ควรระบุที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล และข้อมูลที่จำเป็นอื่น ๆ ในการติดต่อ 3.Soft Skills: ควรใส่ทักษะสำคัญ เช่น มนุษยสัมพันธ์ดี การปรับตัว การเรียนรู้เร็ว ความอดทน และความมุ่งมั่นในการทำงาน โดยเลือกทักษะที่สะท้อนตัวตนและตรงกับตำแหน่งที่สมัคร 4.ความสนใจ (Interest): เขียนถึงความสนใจในละคร ซีรีส์ ภาพยนตร์ และการมีส่วนร่วมในงานถ่ายทำ ซึ่งเกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่สมัคร 5.ทักษะ (Skills): ใช้แผนภาพแสดงทักษะด้านโปรแกรม เช่น Photoshop, Illustrator, Premiere Pro โดยระบุระดับความเชี่ยวชาญในแต่ละโปรแกรม 6.ประวัติการศึกษา (Education Background): ระบุประวัติการศึกษาจากปัจจุบันย้อนกลับไปถึงอดีต เช่น สาขานิเทศศาสตร์จากมหาวิทยาลัยศิลปากร 7.ทัศนคติ (Attitude): ระบุความตั้งใจในการฝึกงาน เช่น การสมัครในตำแหน่ง Assistant Director เนื่องจากอยากเรียนรู้กระบวนการทำงานและพัฒนาศักยภาพในการเล่าเรื่อง 💼 การทำ Portfolio ของเด็กนิเทศ 1. ข้อมูลส่วนตัว: ใส่ข้อมูลทั่วไป เช่น ชื่อเล่น วันเดือนปีเกิด สัญชาติ ศาสนา ประวัติการศึกษา และข้อมูลติดต่อเหมือนใน Resume 2.โครงสร้างผลงาน: แต่ละผลงานจะระบุชื่อผลงาน ตำแหน่งที่ทำ รายวิชาที่เกี่ยวข้อง และอธิบายความคิดและวิธีการทำงาน เช่น การทำมิวสิควิดีโอที่ได้รับยอดวิวสูงถึง 57,000 ครั้งใน YouTube 3.การเรียงลำดับผลงาน: แนะนำให้จัดเรียงผลงานโดยนำผลงานที่ดีที่สุดหรือเกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่สมัครไว้ด้านบน 4.ภาพบรรยากาศการทำงาน: ควรเก็บภาพถ่ายระหว่างการทำงาน เช่น ขณะออกกองถ่าย หรือทำงานร่วมกับทีม เพื่อเพิ่มความน่าสนใจ 5.การใส่รายละเอียดในผลงาน: ควรเขียนรายละเอียดในแต่ละผลงาน เช่น ตำแหน่งที่ทำ ชื่อผลงาน รายวิชา และโจทย์ที่ได้รับ รวมถึงความคิดเห็นส่วนตัวในการสร้างผลงานนั้น ๆ 🌟 ข้อแนะนำเพิ่มเติม ควรใส่เฉพาะผลงานที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่สมัคร เพื่อแสดงถึงความเชี่ยวชาญในด้านที่บริษัทสนใจ สำหรับคนที่มีทักษะการตัดต่อหรือทำกราฟิก แนะนำให้ทำ Portfolio ในรูปแบบเว็บไซต์ เพื่อให้สามารถคลิกเข้าไปดูผลงานได้ง่ายและสะดวก ควรใส่ภาพรวมของการทำงานใน Portfolio เพื่อให้เห็นถึงบรรยากาศการทำงานจริง เช่น รูปถ่ายตอนทำงานในกองถ่าย หรือขณะปรึกษางานกับทีม

    Oct 18, 2024
    Thumbnail for 6 เคล็ดลับเด็ด เตรียมตัวให้ปังก่อนไปงาน Job Fair

    6 เคล็ดลับเด็ด เตรียมตัวให้ปังก่อนไปงาน Job Fair

    การเข้าร่วม job fair เป็นโอกาสพิเศษในการสร้างเครือข่ายและค้นหาโอกาสการจ้างงานที่เหมาะสมกับคุณ หากคุณมีการเตรียมตัวที่ดีและปฏิบัติอย่างถูกต้อง คุณสามารถเปลี่ยนการสนทนาสั้น ๆ เหล่านั้นให้กลายเป็นข้อเสนองานที่แท้จริงได้ บทความนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก Mandy Liu ซึ่งแนะนำ 7 กลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จใน job fair ครั้งต่อไปของคุณ Job Fair คืออะไร? Job fair (อ่านว่า จ๊อบแฟร์) คือ งานที่เปิดโอกาสให้ผู้หางานได้พบกับบริษัทต่าง ๆ ที่กำลังมองหาพนักงานใหม่ ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างความประทับใจแรกและสร้างเครือข่ายที่มีประโยชน์ รวมถึงสำรวจโอกาสงานที่เปิดรับ Job fair ต่างจาก Career Fair ไหม? Job fair และ career fair มีความคล้ายคลึงกันในแง่ของการจัดงานเพื่อให้ผู้หางานได้พบปะกับผู้ว่าจ้าง แต่มีความแตกต่างเล็กน้อยในจุดประสงค์และรูปแบบ: 1. Job Fair (งานสมัครงาน): มุ่งเน้นไปที่การหาผู้สมัครงานในตำแหน่งที่บริษัทต้องการเปิดรับโดยตรง ผู้เข้าร่วมงานจะสามารถสมัครงานได้ทันที และบางครั้งอาจมีการสัมภาษณ์หรือการทดสอบในวันนั้นเลย เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังหางานทันทีและต้องการทราบตำแหน่งที่ว่างในตลาดงานปัจจุบัน มักเป็นงานที่โฟกัสไปที่การว่าจ้างในระยะสั้น 2. Career Fair (งานแนะแนวอาชีพ): เน้นไปที่การให้ข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทางอาชีพและการสร้างเครือข่าย ผู้เข้าร่วมสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับโอกาสในการทำงานในระยะยาว พูดคุยกับผู้ว่าจ้างเกี่ยวกับวัฒนธรรมองค์กร และสำรวจเส้นทางอาชีพที่ต้องการ เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจสร้างเส้นทางอาชีพในระยะยาว หรือนักเรียน นักศึกษาที่ต้องการรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาชีพที่เหมาะสมกับตัวเอง อาจจะไม่ได้มุ่งเน้นการจ้างงานทันทีเหมือน job fair คุณควรเตรียมคำถามที่สงสัย อาจเตรียมเรซูเม่หากสนใจอยากฝึกงานเพื่อหาประสบการณ์ 3 ไฮไลท์สำคัญทำไม Job fair ถึงดีต่อผู้ว่าจ้างที่คุณต้องรู้! 🌟 Job Fair ช่วยประหยัดเวลา: ในงานเดียวที่รวมผู้จ้างงานหลายบริษัท ทำให้มีผู้สมัครจำนวนมากที่ต้องการได้งานอย่างแท้จริงทำให้สามารถพบปะกันได้ในวันเดียว 🤝 ประเมินผู้สมัครจากบุคลิกภาพ: โอกาสที่ดีสำหรับผู้ว่าจ้างในการประเมินบุคลิกภาพ ทักษะทางการสื่อสารให้กับผู้จ้างงาน 🎯 โปรโมทวัฒนธรรมองค์กร: โอกาสที่บริษัทจะได้พูดคุยกับผู้สมัครเพื่อโปรโมท วัฒนธรรมการทำงาน และบรรยากาศของบริษัท ช่วยให้คุณเข้าใจมากขึ้นว่างานและองค์กรนั้น ๆ เหมาะกับคุณหรือไม่ ก่อนเข้าร่วมงาน: การเตรียมตัวล่วงหน้า 1. ศึกษาข้อมูลบริษัทเป้าหมายล่วงหน้า การทำการบ้านเกี่ยวกับบริษัทที่คุณสนใจคือกุญแจสู่ความสำเร็จ พยายามค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ: ตำแหน่งที่บริษัทนั้นกำลังเปิดรับสมัคร ผลิตภัณฑ์ บริการและคุณค่าของบริษัทคืออะไร ข่าวหรืออัปเดตล่าสุดเกี่ยวกับบริษัท ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถพูดคุยกับตัวแทนบริษัทได้อย่างมั่นใจและตรงประเด็นมากขึ้น 2. พิมพ์เรซูเม่ในรูปแบบกระดาษ 10-15 ชุด แม้ว่าเราจะอยู่ในยุคดิจิทัล การยื่นเรซูเม่ในรูปแบบกระดาษใน job fair ยังคงสร้างความประทับใจได้ดี แนะนำให้พิมพ์เรซูเม่มากกว่าจำนวนบริษัทที่คุณสนใจเล็กน้อย เพื่อให้เพียงพอสำหรับทุกบริษัทและโอกาสที่ไม่คาดคิด 3. เตรียมบทแนะนำตัว 15 วินาที ที่ทรงพลัง คุณมีเวลาเพียงไม่กี่วินาทีในการสร้างความสนใจให้กับผู้ว่าจ้าง นอกจากแค่ยื่นเรซูเม่ การเตรียมบทแนะนำตัวสั้น ๆ ภายใน 15 วินาทีที่น่าจดจำจึงเป็นสิ่งสำคัญ บทแนะนำตัวนี้ควรเน้นจุดแข็งและทักษะของคุณที่ตรงกับความต้องการของบริษัท พูดให้กระชับ แสดงความมั่นใจ อย่าลืมยิ้ม ผู้ว่าจ้างมักพบกับอาการล้า การสร้างความเป็นมิตรสามารถเพิ่มคะแนนด้านมนุษยสัมพันธ์ ในระหว่างงาน: วิธีสร้างความโดดเด่น 4. ติดป้ายชื่อที่ด้านขวา การติดป้ายชื่อที่ด้านขวาของร่างกายเมื่อกล่าวทักทาย หรือเดินเข้าไปหา จะทำให้ผู้ว่าจ้างเห็นชื่อของคุณชัดเจน ทำให้ผู้ว่าจ้างจำเราได้มากขึ้น 5. เน้นที่ความต้องการของบริษัท การพูดคุยควรเน้นไปที่ความต้องการของบริษัท ไม่ใช่แค่ทักษะของคุณเท่านั้น ถามพวกเขาว่าต้องการพนักงานไปช่วยทำอะไร แล้วนำเสนอประสบการณ์ของคุณในลักษณะที่สามารถแก้ปัญหาและช่วยเติมเต็มความต้องการเหล่านั้นได้ 6. ถามคำถามที่เฉพาะเจาะจงและมีคุณค่า แทนที่จะถามคำถามทั่วไป เช่น "วันทำงานของคุณเป็นอย่างไร" ให้ลองถามคำถามที่ลงลึกและมีคุณค่า เช่น: ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดในตำแหน่งนี้คืออะไร? คุณทำงานร่วมกับทีมอื่น ๆ อย่างไร? สามารถพูดคุยเพื่อสร้าง Rapport หากที่บูทหรือผู้ว่าจ้างไม่วุ่นวาย คนไม่เยอะ คำถามเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าคุณใส่ใจและมีความสนใจที่แท้จริง ซึ่งอาจนำไปสู่การสนทนาที่มีความหมายยิ่งขึ้น หลังงาน: ติดตามผลอย่างมืออาชีพ 7. ส่งคำขอเชื่อมต่อ LinkedIn และอีเมลติดตาม หลังงาน job fair อย่าลืมติดตามผล ส่งคำขอ connect ใน LinkedIn โดยระบุถึงสิ่งที่คุณพูดคุยกันในการสนทนา กล่าวขอบคุณ หรือส่งอีเมลติดตามที่สรุปคุณสมบัติและความกระตือรือร้นของคุณต่อบริษัท ถึงแม้จะไม่ได้งานหรือโอกาสสัมภาษณ์ แต่การมีคอนเนคชั่นกับรีครูทเตอร์โดยตรงจะเพิ่มโอกาสของเราในอนาคต บทสรุป: วิธีใช้ประโยชน์จาก Job Fair การประสบความสำเร็จใน job fair ไม่ได้อยู่แค่การไปงาน แต่เกี่ยวกับการเตรียมตัวล่วงหน้า การสร้างความประทับใจที่ดี และการติดตามผลอย่างมืออาชีพ การปฏิบัติตามเคล็ดลับเหล่านี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้งานและสัมภาษณ์ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Job Fairs 1. ควรนำอะไรไปที่ จ๊อบแฟร์? ควรนำเรซูเม่สำเนาหลายชุด ปากกา และสมุดจด เพื่อเก็บข้อมูลที่สำคัญจากงาน 2. จะเตรียมตัวสำหรับ จ๊อบแฟร์ อย่างไร? ศึกษาข้อมูลบริษัทที่คุณสนใจ เตรียมบทแนะนำตัวที่สั้นและดึงดูด และฝึกซ้อมการแนะนำตัวเพื่อสร้างความประทับใจแรก อาจรวมถึงการเตรียมสัมภาษณ์เฉพาะหน้า หากรีครูทเตอร์อยากพูดคุยในรายละเอียด ณ งาน 3. จะติดตามผลหลัง จ๊อบแฟร์ อย่างไร? ส่งคำขอเชื่อมต่อใน LinkedIn หรืออีเมลติดตามที่เจาะจงและอ้างถึงการสนทนาของคุณในงาน 4. จ๊อบแฟร์ จัดที่ไหน? ส่วนใหญ่จัดที่กรุงเทพและหัวเมืองใหญ่ โดยมักจะจัดใน Hall ประชุมขนาดใหญ่ แต่หากกลุ่มเป้าหมายเป็นนักศึกษา มักจะจัดในตัวมหาวิทยาลัย 5. จะติดตาม จ๊อบแฟร์ ได้ที่ไหน? ติดตามเพจ career ของบริษัทที่คุณสนใจ โดยเฉพาะบน Linkedin รวมถึง Jobcadu เนื่องจากจะทำให้อัลกอริทึมจำความต้องการของคุณ หากผู้ว่าจ้างยิงโฆษณา คุณจะเป็นคนแรก ๆ ที่เห็นโปสเตอร์แน่นอน 6. บริษัทที่มักเข้าร่วม จ๊อบแฟร์? ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ มีชื่อเสียง มีความมั่นคง เช่น SCG PTT CP บริษัทขนาดกลาง บริษัทเทคอาจเข้าร่วมในบางครั้ง สำหรับงานประเภทโรงงานและโรงแรม มักจะมีงานเฉพาะที่ต้องคอยติดตาม

    Oct 1, 2024
    Thumbnail for สัมภาษณ์แบบมือโปร : 10 คำที่มืออาชีพใช้ตอบสัมภาษณ์งาน ⚡️

    สัมภาษณ์แบบมือโปร : 10 คำที่มืออาชีพใช้ตอบสัมภาษณ์งาน ⚡️

    ในโลกของการ สัมภาษณ์งาน คำพูดที่คุณเลือกใช้สามารถเป็นตัวตัดสินว่า คุณจะได้รับงานในฝันหรือไม่ การใช้คำที่เหมาะสมและมีพลังจะช่วยสร้างความประทับใจและเพิ่มโอกาสให้คุณดูโดดเด่นเหนือผู้สมัครคนอื่นๆ การสื่อสารอย่างมืออาชีพไม่ได้หมายถึงแค่การตอบคำถามเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการใช้คำที่สามารถสะท้อนถึงความสามารถและความมั่นใจของคุณอีกด้วย ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับ 10 คำทรงพลังที่เหล่ามืออาชีพเลือกใช้ในการสัมภาษณ์งานเพื่อให้คุณเตรียมตัวพร้อมและมั่นใจในการสัมภาษณ์ครั้งต่อไป คำที่ 1: "รับผิดชอบ" 💼 การแสดงออกถึงความรับผิดชอบในการทำงานเป็นสิ่งที่นายจ้างทุกคนมองหา คำนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความเป็นมืออาชีพ แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการรับมือกับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ตัวอย่างการใช้: "ในบทบาทนี้ ฉันพร้อมที่จะรับผิดชอบในทุกด้านของโครงการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้" คำที่ 2: "ปรับตัว" 🔄 ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การปรับตัวเป็นสิ่งสำคัญที่นายจ้างให้ความสำคัญ การใช้คำนี้จะแสดงให้เห็นว่าคุณสามารถปรับตัวและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมใด ตัวอย่างการใช้: "ฉันสามารถปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมองค์กรใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว" คำที่ 3: "สร้างสรรค์" 🎨 การมีความคิดสร้างสรรค์สามารถนำไปสู่การแก้ปัญหาและการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ คำนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ทำงานในสายงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์สูง ตัวอย่างการใช้: "ฉันมักจะใช้วิธีการที่สร้างสรรค์ในการแก้ปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน" คำที่ 4: "วิเคราะห์" 🔍 การใช้คำว่า "วิเคราะห์" จะแสดงให้เห็นว่าคุณมีความสามารถในการคิดอย่างมีระบบและมีความเข้าใจในรายละเอียดที่ลึกซึ้ง ตัวอย่างการใช้: "ฉันมีทักษะการวิเคราะห์ข้อมูลที่ช่วยให้สามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ" คำที่ 5: "นำเสนอ" 🗣️ การนำเสนอที่ชัดเจนและตรงประเด็นเป็นทักษะที่สำคัญในหลายๆ สายงาน คำนี้จะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในการสื่อสารและทำให้คุณโดดเด่นในการสัมภาษณ์ ตัวอย่างการใช้: "ฉันมีความสามารถในการนำเสนอข้อมูลที่ซับซ้อนให้ง่ายต่อการเข้าใจ" คำที่ 6: "ทำงานเป็นทีม" 🤝 การทำงานร่วมกับผู้อื่นเป็นทักษะที่สำคัญในการทำงานในองค์กร การใช้คำนี้จะแสดงให้เห็นว่าคุณสามารถร่วมมือและสนับสนุนทีมได้ดี ตัวอย่างการใช้: "ฉันมีประสบการณ์ในการทำงานเป็นทีมที่ช่วยให้โครงการสำเร็จลุล่วง" คำที่ 7: "สื่อสาร" 💬 ทักษะการสื่อสารที่ดีเป็นกุญแจสำคัญในการทำงานให้สำเร็จ การใช้คำนี้จะบ่งบอกว่าคุณสามารถส่งต่อข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างการใช้: "ฉันมีทักษะการสื่อสารที่ช่วยให้ทีมเข้าใจวัตถุประสงค์ได้อย่างชัดเจน" คำที่ 8: "แก้ปัญหา" 🛠️ การแก้ปัญหาเป็นสิ่งที่นายจ้างทุกคนคาดหวังจากพนักงาน การใช้คำนี้จะแสดงให้เห็นว่าคุณมีทักษะในการรับมือกับความท้าทายและแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่างการใช้: "ฉันสามารถแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้โดยการวิเคราะห์และพัฒนาวิธีการใหม่ๆ" คำที่ 9: "วางแผน" 🗓️ การวางแผนที่ดีเป็นสิ่งสำคัญในการทำงานให้สำเร็จลุล่วง คำนี้จะช่วยแสดงให้เห็นว่าคุณมีความสามารถในการคิดเชิงกลยุทธ์ ตัวอย่างการใช้: "ฉันมักจะวางแผนงานอย่างรอบคอบเพื่อให้มั่นใจว่าโครงการจะสำเร็จตามเป้าหมาย" คำที่ 10: "เรียนรู้" 📚 ความสามารถในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และพัฒนาตนเองอยู่เสมอเป็นสิ่งที่นายจ้างต้องการ คำนี้จะแสดงให้เห็นว่าคุณพร้อมที่จะปรับตัวและเติบโตในอาชีพ ตัวอย่างการใช้: "ฉันชอบที่จะเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น" ตัวอย่างคำที่มีพลังอื่น ๆ การรับมือกับความกดดัน (Handling Pressure) ความยืดหยุ่น (Flexibility) ความคิดริเริ่ม (Initiative) การจัดการเวลา (Time Management) ความมุ่งมั่น (Determination) การทำงานเชิงรุก (Proactiveness) ความละเอียดรอบคอบ (Attention to Detail) ความน่าเชื่อถือ (Reliability) การเป็นผู้นำ (Leadership) ทัศนคติเชิงบวก (Positive Attitude) การสัมภาษณ์งานเป็นช่วงเวลาที่คุณสามารถแสดงทักษะและความสามารถให้เห็นได้อย่างชัดเจนผ่านการสื่อสารและการพูด โดยการเลือกใช้คำที่ทรงพลัง คุณจะสามารถสร้างความประทับใจ ไว้ใจให้กับผู้สัมภาษณ์และเพิ่มโอกาสในการได้งานที่คุณต้องการ หวังว่า 10 คำที่เราแนะนำนี้จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณก้าวสู่ความสำเร็จในการสัมภาษณ์ครั้งต่อไป 🌟

    Sep 6, 2024
    Thumbnail for 7 เทคนิคตอบคำถามสัมภาษณ์งานที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ อย่าพลาด!

    7 เทคนิคตอบคำถามสัมภาษณ์งานที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ อย่าพลาด!

    การสัมภาษณ์งานเป็นด่านสำคัญที่ทุกคนต้องเผชิญเมื่อหางานใหม่ ไม่ว่าคุณจะมีประสบการณ์การทำงานมากแค่ไหน การเตรียมตัวสัมภาษณ์และรู้จัก เทคนิคตอบคำถามสัมภาษณ์งาน ที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำให้คุณโดดเด่นและมัดใจเหนือผู้สมัครคนอื่นๆ วันนี้ Jobcadu Team จะมาแชร์ 7 เทคนิคที่ได้รับการแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในตลาดแรงงาน ซึ่งจะช่วยให้คุณมั่นใจและพร้อมตอบคำถามได้อย่างน่าประทับใจ ไม่ว่าคุณจะต้องเผชิญกับคำถามที่ท้าทายแค่ไหนก็ตาม เตรียมตัวให้พร้อม แล้วมาดูกันว่าเทคนิคที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำมีอะไรบ้าง! 🎯 เทคนิคที่ 1: ใช้เทคนิค STAR (Situation, Task, Action, Result) 🌟 เทคนิคนี้เป็นที่นิยมมากในการตอบคำถามสัมภาษณ์งาน โดยเฉพาะคำถามเชิงพฤติกรรม เช่น "เล่าถึงครั้งที่คุณต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในที่ทำงาน" ให้คุณเล่าเรื่องโดยเริ่มจาก Situation (สถานการณ์ที่เกิดขึ้น) เช่น "ในระหว่างโครงการที่สำคัญ ทีมงานพบปัญหาที่ไม่คาดคิด" ต่อด้วย Task (หน้าที่ของคุณ) เช่น "ฉันต้องหาทางแก้ปัญหาภายในเวลาอันสั้น" จากนั้น Action (การกระทำของคุณ) เช่น "ฉันได้รวบรวมทีมมาหารือและแบ่งงานเพื่อหาทางออก" และสุดท้าย Result (ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น) เช่น "โครงการสำเร็จลุล่วงได้ตรงเวลาและได้รับคำชมจากลูกค้า" ตัวอย่าง 1: คุณสามารถใช้เทคนิคนี้ในการตอบคำถามเกี่ยวกับความสำเร็จที่ผ่านมา เช่น "เล่าถึงความสำเร็จที่คุณภาคภูมิใจที่สุด" ตัวอย่าง 2: หรือใช้เมื่อถูกถามเกี่ยวกับการจัดการปัญหา เช่น "เล่าถึงครั้งที่คุณต้องเผชิญกับความล้มเหลวและคุณทำอย่างไร" เทคนิคที่ 2: แสดงความมั่นใจในตนเอง 💪 การแสดงความมั่นใจเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสร้างความประทับใจในระหว่างการสัมภาษณ์งาน ผู้เชี่ยวชาญจากยูทูปชาแนล The Companies Expert กล่าวว่าการสื่อสารด้วยความมั่นใจและการนั่งอย่างมีสติสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้สัมภาษณ์ได้ ตัวอย่าง 1: ในการตอบคำถามเกี่ยวกับจุดแข็งของคุณ ให้พูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ ฟังชัด เช่น "จุดแข็งของฉันคือความสามารถในการจัดการทีมและการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ" ตัวอย่าง 2: เมื่อถูกถามว่าทำไมคุณถึงอยากทำงานกับบริษัทนี้ ให้แสดงความตื่นเต้นและมั่นใจในคำตอบ เช่น "ฉันเชื่อว่าบริษัทนี้เป็นที่ที่ฉันสามารถพัฒนาทักษะและเติบโตไปพร้อมกับทีม" เทคนิคที่ 3: แสดงความเข้าใจในบริษัทและตำแหน่งงาน 🏢 การรู้จักบริษัทที่คุณสมัครงานและเข้าใจวัฒนธรรมองค์กรเป็นสิ่งสำคัญ คำถามอย่าง "ทำไมคุณถึงอยากทำงานกับเรา" ควรตอบด้วยข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าคุณได้ทำการบ้านมาอย่างดี ตัวอย่าง 1: "ฉันชื่นชมในความเป็นผู้นำของบริษัทในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ และเชื่อว่าทักษะของฉันในด้านการตลาดดิจิทัลจะช่วยให้บริษัทเติบโตได้อีก" ตัวอย่าง 2: "บริษัทนี้มีวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับนวัตกรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันมองหา และฉันอยากเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ" Tips : ลองดูโซเชียลมิเดีย โครงการ หรือข่าวในด้านดี รางวัลของบริษัท รีวิวของลูกค้า จุดแข็งของบริษัท เทคนิคที่ 4: ซักซ้อมการตอบคำถามล่วงหน้า 🎯 การฝึกฝนการตอบคำถามล่วงหน้าช่วยให้คุณรู้สึกมั่นใจมากขึ้นเมื่ออยู่ในสถานการณ์จริง ทำให้ดูเป็นธรรมชาติ คำพูดและคีย์เวิร์ดสำคัญจะทำให้คุณพูดได้อย่างคล่องแคล่ว กระชับ และตรงประเด็น ตัวอย่าง 1: ซักซ้อมกับเพื่อนหรือหน้ากระจกในการตอบคำถามเช่น "เล่าถึงตัวคุณให้ฟัง" ตัวอย่าง 2: ฝึกตอบคำถามเกี่ยวกับทักษะ เช่น "ทักษะที่คุณมีจะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในตำแหน่งนี้ได้อย่างไร" เทคนิคที่ 5: รักษาสายตาและการแสดงออก 👀 การรักษาสายตาและการแสดงออกเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสื่อถึงความมั่นใจและความจริงใจของคุณ ตัวอย่าง 1: เมื่อพูดถึงประสบการณ์การทำงาน ให้มองตรงไปที่ผู้สัมภาษณ์และยิ้มเมื่อเหมาะสม ตัวอย่าง 2: ในการตอบคำถามที่ยาก อย่าลืมรักษาความสงบและแสดงออกถึงความมั่นใจ เทคนิคที่ 6: ใช้ภาษากายให้เป็นประโยชน์ 🤝 ภาษากายที่ดีช่วยเสริมสร้างความมั่นใจและทำให้คุณดูเป็นมืออาชีพ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยายังกล่าวอีกว่า ภาษากายจะช่วยส่งเสริมคำพูดเรา หากเรายืดอก นั่งหลังตรง ทำให้ตนเองดูตัวใหญ่ขึ้นเล็กน้อยจะทำให้เรารู้สึกมั่นใจได้ ตัวอย่าง 1: นั่งตัวตรงและใช้ท่าทางมือเมื่ออธิบายคำตอบ ตัวอย่าง 2: หลีกเลี่ยงการเคาะโต๊ะหรือการขยับตัวมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้คุณดูไม่มั่นใจ เทคนิคที่ 7: แสดงความสนใจในโอกาสการพัฒนาอาชีพ 📈 ผู้สัมภาษณ์มักจะสนใจว่าคุณมีความตั้งใจที่จะเติบโตในบริษัทอย่างไร ตัวอย่าง 1: "ฉันมองว่าตำแหน่งนี้เป็นโอกาสที่ดีในการพัฒนาทักษะการจัดการและเติบโตในสายงาน" ตัวอย่าง 2: "ฉันสนใจที่จะมีส่วนร่วมในโครงการฝึกอบรมภายในบริษัทเพื่อเพิ่มความรู้และทักษะของตัวเอง" คำถามที่อาจพบบ่อย FAQs Q: เทคนิค STAR ใช้กับคำถามประเภทไหนดีที่สุด? A: เทคนิค STAR เหมาะสำหรับการตอบคำถามเชิงพฤติกรรม เช่น "เล่าถึงครั้งที่คุณต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในที่ทำงาน" Q: ฉันควรฝึกซ้อมการตอบคำถามบ่อยแค่ไหน? A: ควรฝึกซ้อมการตอบคำถามอย่างน้อย 2-3 ครั้งก่อนสัมภาษณ์ เพื่อให้คุณรู้สึกมั่นใจและพร้อมรับมือกับคำถามที่อาจเกิดขึ้น Q: การแสดงความมั่นใจในตนเองสำคัญอย่างไร? A: การแสดงความมั่นใจช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้สัมภาษณ์และทำให้คุณดูน่าเชื่อถือมากขึ้น เพราะ Trust และการทำให้ตัวคุณดูน่าไว้วางใจ ดูทำงานรับผิดชอบได้ คุณจะมีโอกาสมากขึ้น Q: ควรแสดงความสนใจในโอกาสการพัฒนาอาชีพเมื่อไหร่? A: ควรแสดงความสนใจเมื่อถูกถามเกี่ยวกับเป้าหมายในอนาคตหรือเมื่อคุณรู้สึกว่ามีโอกาสที่ดีในการเติบโตในบริษัท Q: ถ้าฉันไม่รู้คำตอบของคำถามจะทำอย่างไร? A: หากคุณไม่แน่ใจในคำตอบ ควรตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า "ฉันไม่แน่ใจ" และแสดงความตั้งใจที่จะเรียนรู้ หลายครั้งผู้สัมภาษณ์ก็อยากรู้ว่าคุณจะรับมือกับคำถามยาก ๆ อย่างไร บางรายอาจแสดงความไม่มั่นใจออกมา Q: การรักษาสายตาและรอยยิ้มสำคัญแค่ไหนในระหว่างการสัมภาษณ์? A: การรักษาสายตาช่วยสร้างความเชื่อมต่อกับผู้สัมภาษณ์และแสดงถึงความเป็นมิตรของคุณ Q: ภาษากายมีผลอย่างไรต่อการสัมภาษณ์? A: ภาษากายที่ดีช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของคุณให้ดูเป็นมืออาชีพและมั่นใจ ในบางอาชีพ Personality ในการสัมภาษณ์อาจจะเป็นจุดตาย เช่น อาชีพที่ต้องติดต่อกับลูกค้าโดยตรง ส่งท้าย การตอบ คำถามสัมภาษณ์งาน เป็นทักษะที่ต้องการการฝึกฝนและการเตรียมตัว เทคนิคที่เราแชร์ในวันนี้จะช่วยให้คุณสามารถตอบคำถามได้อย่างมั่นใจและสร้างความประทับใจให้กับผู้สัมภาษณ์ อย่าลืมฝึกซ้อมและเตรียมตัวล่วงหน้าเพื่อให้คุณพร้อมที่สุดสำหรับโอกาสที่มาถึง ✨ หากคุณต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการพัฒนาอาชีพและการหางาน สมัครเป็นสมาชิกฟรีที่ Jobcadu เพื่อไม่พลาดทุกเทคนิคที่ช่วยให้คุณประสบความสำเร็จ

    Sep 6, 2024
    Thumbnail for คำถามสัมภาษณ์งานที่ผู้สมัครงานต้องรู้

    คำถามสัมภาษณ์งานที่ผู้สมัครงานต้องรู้

    การเตรียมตัวสำหรับ คำถามสัมภาษณ์งาน เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการหางาน การตอบคำถามได้อย่างมั่นใจและชัดเจนจะช่วยให้คุณโดดเด่นและเพิ่มโอกาสในการได้รับงานที่คุณต้องการ บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อช่วยให้คุณเตรียมพร้อมสำหรับ คำถามสัมภาษณ์งาน ที่คุณอาจเจอ โดยจะนำเสนอข้อมูลที่จำเป็น เช่น ประเภทของคำถามที่พบบ่อย เทคนิคการตอบคำถาม และวิธีการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนถึงวันสัมภาษณ์จริง ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือมีประสบการณ์การทำงานมาก่อน การเตรียมตัวอย่างดีจะช่วยให้คุณตอบคำถามได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 1. ประเภทของคำถามสัมภาษณ์งาน คำถามสัมภาษณ์งาน มักจะแบ่งออกเป็นหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทต้องการการตอบที่แตกต่างกันไป - คำถามเกี่ยวกับประวัติและประสบการณ์: เป็นคำถามพื้นฐานที่ต้องการให้คุณเล่าเกี่ยวกับประวัติการทำงานและประสบการณ์ที่ผ่านมาของคุณ เช่น "คุณเคยทำงานที่ไหนมาก่อน?" คำถามประเภทนี้ต้องการให้คุณเชื่อมโยงประสบการณ์ที่ผ่านมากับตำแหน่งงานที่คุณสมัคร - คำถามเชิงพฤติกรรม: คำถามนี้จะมุ่งเน้นที่การประเมินพฤติกรรมของคุณในสถานการณ์ต่างๆ เช่น "เล่าถึงครั้งที่คุณเผชิญกับความท้าทายในที่ทำงานและคุณจัดการอย่างไร?" การตอบคำถามประเภทนี้ควรใช้เทคนิค STAR (Situation, Task, Action, Result) เพื่อให้คำตอบชัดเจนและมีโครงสร้าง - คำถามเชิงสถานการณ์: คำถามนี้จะให้สถานการณ์จำลองและถามคุณว่าจะตอบสนองอย่างไร เช่น "ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นในทีม คุณจะจัดการอย่างไร?" คำตอบของคุณควรแสดงให้เห็นถึงการคิดเชิงวิเคราะห์และการแก้ปัญหา - คำถามเกี่ยวกับทักษะและความสามารถ: เป็นคำถามที่ประเมินทักษะที่จำเป็นสำหรับตำแหน่งงาน เช่น "คุณมีความชำนาญในการใช้โปรแกรมนี้หรือไม่?" คำตอบของคุณควรยืนยันว่าคุณมีทักษะที่ตรงกับความต้องการของงาน 2. คำถามสัมภาษณ์งานที่พบบ่อย ในกระบวนการสัมภาษณ์งาน มีคำถามที่มักจะถูกถามบ่อยๆ และเป็นการทดสอบความสามารถในการตอบสนองของคุณ "เล่าเกี่ยวกับตัวคุณให้ฟังหน่อย": คำถามนี้เป็นการเปิดโอกาสให้คุณแนะนำตัวเอง ควรเน้นที่ประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่สมัครและจุดเด่นที่ทำให้คุณแตกต่างจากผู้สมัครคนอื่นๆ เช่น "ฉันมีประสบการณ์การทำงานด้านการตลาดออนไลน์มากกว่า 5 ปี ซึ่งทำให้ฉันมีความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า" "จุดแข็งและจุดอ่อนของคุณคืออะไร": คำถามนี้เป็นการทดสอบความเข้าใจตัวเองของคุณ ควรเลือกจุดแข็งที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงาน เช่น "จุดแข็งของฉันคือความสามารถในการจัดการโครงการที่มีความซับซ้อน" และจุดอ่อนที่สามารถปรับปรุงได้ เช่น "จุดอ่อนของฉันคือการจัดการเวลา แต่ฉันได้เริ่มใช้เครื่องมือจัดการเวลาเพื่อปรับปรุงตัวเองแล้ว" "ทำไมคุณถึงอยากทำงานกับบริษัทเรา": คำถามนี้มุ่งเน้นให้คุณแสดงความรู้เกี่ยวกับบริษัทและความตั้งใจของคุณ เช่น "ฉันชื่นชมวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์นวัตกรรม และฉันเชื่อว่าทักษะของฉันสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับทีมของคุณได้" "แผนการในอนาคตของคุณเป็นอย่างไร": คำถามนี้เพื่อดูว่าคุณมีเป้าหมายอย่างไรในอาชีพและว่าบริษัทสามารถเข้ากับเป้าหมายของคุณได้หรือไม่ เช่น "ในอนาคต ฉันตั้งใจที่จะพัฒนาทักษะการบริหารจัดการและเติบโตในตำแหน่งผู้นำ" 3. เทคนิคการตอบคำถามสัมภาษณ์งาน การเตรียมตัวอย่างดีจะช่วยให้คุณสามารถตอบ คำถามสัมภาษณ์งาน ได้อย่างมั่นใจและชัดเจน นี่คือเทคนิคที่จะช่วยคุณ การเตรียมตัวล่วงหน้า: การรู้จักบริษัทและตำแหน่งงานที่สมัครเป็นสิ่งสำคัญ ควรศึกษาประวัติของบริษัท วัฒนธรรมองค์กร และทักษะที่จำเป็นสำหรับงานนั้นๆ การเตรียมตัวนี้จะช่วยให้คุณตอบคำถามได้ตรงประเด็นและแสดงความรู้ที่เกี่ยวข้อง การใช้เทคนิค STAR: เทคนิค STAR (Situation, Task, Action, Result) เป็นวิธีที่ดีในการตอบคำถามเชิงพฤติกรรม โดยการเล่าเรื่องจากประสบการณ์ของคุณในลักษณะนี้จะช่วยให้ผู้สัมภาษณ์เข้าใจว่าคุณมีทักษะและประสบการณ์ในการจัดการกับสถานการณ์ที่คล้ายกันได้อย่างไร การแสดงความมั่นใจและท่าทางที่เหมาะสม: การแสดงความมั่นใจเป็นสิ่งสำคัญในการสัมภาษณ์งาน การนั่งตัวตรง มองตาผู้สัมภาษณ์ และการใช้ภาษากายที่เหมาะสมจะแสดงให้เห็นว่าคุณพร้อมและมั่นใจในการตอบคำถาม ที่สำคัญคืออย่าลืมยิ้มและรักษาท่าทางที่เป็นมิตร 4. คำถามที่ควรถามผู้สัมภาษณ์ การถาม คำถามสัมภาษณ์งาน กลับไปยังผู้สัมภาษณ์เป็นโอกาสที่ดีที่จะแสดงความสนใจในตำแหน่งและบริษัทที่คุณสมัคร นี่คือคำถามที่คุณควรถาม คำถามเกี่ยวกับตำแหน่งงาน: เช่น "ความสำเร็จในตำแหน่งนี้ถูกวัดผลอย่างไร?" คำถามนี้จะแสดงให้เห็นว่าคุณสนใจที่จะทำงานให้ได้มาตรฐานและต้องการเข้าใจถึงความคาดหวังของบริษัท คำถามเกี่ยวกับบริษัทและวัฒนธรรมองค์กร: เช่น "บริษัทนี้มีโอกาสในการพัฒนาและฝึกอบรมพนักงานอย่างไร?" คำถามนี้จะแสดงถึงความสนใจในอนาคตของคุณกับบริษัทและการเติบโตของคุณในบริษัทนั้น 5. ข้อควรระวังในการสัมภาษณ์งาน เมื่อสัมภาษณ์งาน มีบางสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อให้การสัมภาษณ์ของคุณเป็นไปได้อย่างราบรื่น สิ่งที่ไม่ควรพูดหรือทำ: หลีกเลี่ยงการพูดถึงนายจ้างหรือเพื่อนร่วมงานเก่าในทางที่ไม่ดี และอย่าพูดถึงเรื่องเงินเดือนหรือสวัสดิการตั้งแต่ต้น การหลีกเลี่ยงคำถามที่ไม่เหมาะสม: อย่าถามคำถามที่อาจถูกมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัวหรือไม่เกี่ยวข้องกับงาน เช่น "มีการทำงานล่วงเวลาบ่อยแค่ไหน?" ควรรอให้ผู้สัมภาษณ์เปิดประเด็นเหล่านี้ก่อน 6. การเตรียมตัวก่อนวันสัมภาษณ์ การเตรียมตัวล่วงหน้าจะช่วยลดความเครียดและเพิ่มความมั่นใจในวันสัมภาษณ์ การวิจัยเกี่ยวกับบริษัท: รู้จักบริษัทที่คุณกำลังจะไปสัมภาษณ์ ควรรู้ประวัติ ผลิตภัณฑ์ และวัฒนธรรมองค์กรของบริษัทนั้นๆ การเตรียมเอกสารที่จำเป็น: ตรวจสอบว่าคุณมีเอกสารที่จำเป็นทั้งหมด เช่น เรซูเม่ สำเนาใบประกาศนียบัตร และพอร์ตโฟลิโอ การฝึกซ้อมการตอบคำถาม: ฝึกตอบคำถามที่พบบ่อยใน คำถามสัมภาษณ์งาน กับเพื่อนหรือหน้ากระจก เพื่อให้คุณรู้สึกคุ้นเคยและมั่นใจ 7. คำแนะนำสำหรับการสัมภาษณ์ออนไลน์ การสัมภาษณ์ออนไลน์ต้องการการเตรียมตัวที่แตกต่างออกไปเล็กน้อยจากการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัว การเตรียมอุปกรณ์และสถานที่: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ของคุณ เช่น คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตทำงานได้ดี สถานที่ที่คุณใช้สัมภาษณ์ควรเงียบและไม่มีสิ่งรบกวน มารยาทในการสัมภาษณ์ผ่านวิดีโอ: แม้ว่าจะเป็นการสัมภาษณ์ออนไลน์ แต่ควรแต่งกายสุภาพและปฏิบัติตัวอย่างมืออาชีพ มองตรงที่กล้องเพื่อสร้างการเชื่อมต่อกับผู้สัมภาษณ์ และอย่าลืมยิ้ม 8. คำถามที่พบบ่อย (FAQs) คำถามที่พบบ่อยในการเตรียมตัวสำหรับ คำถามสัมภาษณ์งาน ควรแต่งตัวอย่างไรสำหรับการสัมภาษณ์งาน? แต่งตัวให้เหมาะสมกับตำแหน่งงานและบริษัท แม้ว่าจะเป็นการสัมภาษณ์ออนไลน์ การแต่งตัวที่สุภาพยังคงสำคัญ ควรมาถึงสถานที่สัมภาษณ์เมื่อไหร่? ควรมาถึงสถานที่สัมภาษณ์ก่อนเวลาอย่างน้อย 10-15 นาที เพื่อแสดงถึงความตรงต่อเวลาและความพร้อม ควรทำอย่างไรหากไม่รู้คำตอบของคำถาม? ถ้าคุณไม่รู้คำตอบของคำถาม ให้ตอบอย่างสุภาพและแสดงความตั้งใจที่จะเรียนรู้ แทนที่จะเดาหรือให้คำตอบที่ไม่แน่นอน 9. สรุป การเตรียมตัวตอบ คำถามสัมภาษณ์งาน เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้คุณมีความมั่นใจและประสบความสำเร็จ บทความนี้ได้สรุปเกี่ยวกับประเภทของคำถาม เทคนิคการตอบคำถาม และวิธีการเตรียมตัวที่เหมาะสม ขอให้คุณใช้คำแนะนำเหล่านี้ในการเตรียมตัวสัมภาษณ์อย่างเต็มที่ และอย่าลืมว่าการเตรียมตัวอย่างดีเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้คุณโดดเด่นในกระบวนการสัมภาษณ์งาน 🌟 “One important key to success is self-confidence. An important key to self-confidence is preparation.” — Arthur Ashe สิ่งที่สำคัญสำหรับความสำเร็จ คือความมั่นใจในตัวเอง ส่วนความสำคัญของการมีความมั่นใจในตัวเอง คือการเตรียมตัว

    Sep 5, 2024
    1/16
    บุคลิกภาพ
    ดูเพิ่มเติม
    Thumbnail for เสื้อสีมงคลปี 2569 ใส่แล้วดีทั้งด้านงาน การเงิน ความรัก และสุขภาพ มีสีอะไรมาดูกัน!

    เสื้อสีมงคลปี 2569 ใส่แล้วดีทั้งด้านงาน การเงิน ความรัก และสุขภาพ มีสีอะไรมาดูกัน!

    ปีใหม่ทั้งที ใคร ๆ ก็อยากเริ่มต้นด้วยพลังบวก  หนึ่งในเคล็ดลับที่หลายคนเชื่อว่าช่วยเสริมโชค คือ “การใส่เสื้อสีมงคล” เพราะนอกจากจะช่วยให้มั่นใจขึ้นแล้ว ยังถือเป็นพลังทางใจที่ดึงดูดสิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเรื่อง งาน เงิน ความรัก หรือสุขภาพ ทำไมการเลือกสีเสื้อถึงช่วยเสริมดวง สีเป็นสิ่งที่มีพลังในตัวเอง ทั้งในแง่จิตวิทยาและความเชื่อทางโหราศาสตร์ การเลือกสีเสื้อให้เหมาะกับพลังของปี จะช่วยให้เรารู้สึกมั่นใจ สดใส และมีแรงบันดาลใจในการเริ่มต้นสิ่งใหม่ ๆ โดยเฉพาะในปี 2569 นี้ ที่เป็นปีแห่ง “การเปลี่ยนแปลง” และ “การเติบโต” เสื้อสีมงคลประจำปี 2569 สีเสริมการงาน สีกรมท่า / สีเทา / สีขาว ช่วยเสริมความน่าเชื่อถือ เพิ่มพลังการสื่อสาร และดึงดูดโอกาสใหม่ ๆ ในสายอาชีพ เหมาะกับคนที่อยากเลื่อนตำแหน่ง หรือเริ่มงานใหม่ สีเสริมการเงิน สีเขียว / สีทอง / สีส้มอมชมพู สีแห่งความมั่งคั่ง การเจรจาต่อรอง และการหมุนเงินคล่อง ถ้าใส่วันสำคัญ เช่น วันปิดดีลหรือวันรับเงิน จะยิ่งเสริมพลังบวกให้กระเป๋าไม่แบนแน่นอน! สีเสริมความรัก สีชมพู / สีแดง / สีม่วงอ่อน เสริมเสน่ห์และพลังแห่งความรัก เหมาะทั้งคนมีคู่และโสด ช่วยให้เปิดใจ เจอคนที่ใช่ หรือปรับความสัมพันธ์ให้เข้าใจกันมากขึ้น สีเสริมสุขภาพ สีฟ้า / สีเขียวอ่อน / สีขาว ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ลดความเครียด และเพิ่มสมดุลให้กับร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะใครที่ทำงานหนักหรือพักผ่อนน้อย ควรใส่สีโทนอ่อนเพื่อเติมพลังชีวิต เคล็ดลับการใส่เสื้อสีมงคลให้ปัง เลือกสีให้ตรงกับ “เป้าหมายของวัน” เช่น ถ้าวันนี้ต้องพรีเซนต์งานใหญ่ → ใส่สีเสริมการงาน ไม่จำเป็นต้องใส่ทั้งตัว อาจแค่เลือก “เครื่องประดับ” หรือ “ผ้าพันคอ” สีมงคลก็ได้ ใส่ด้วยใจที่มั่นใจและคิดบวกที่สุด — เพราะพลังของใจคือสิ่งสำคัญที่สุด สรุป: เลือกเสื้อสีไหนดีในปี 2569 ปีนี้ “ใส่สีที่ชอบ แล้วทำสิ่งที่ใช่” คือคาถาแห่งความสำเร็จ สีเสื้อมงคลเป็นเพียง ตัวช่วยทางใจ ที่ทำให้เรารู้สึกพร้อมและมั่นใจขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การลงมือทำอย่างตั้งใจ และไม่หยุดพัฒนาตัวเอง เริ่มต้นปีใหม่ด้วยโอกาสใหม่ ๆ ถ้าคุณกำลังมองหางานที่ใช่และอยากเติบโตในสายอาชีพ หางานที่ตรงกับตัวคุณตอนนี้ได้เลยที่ www.jobcadu.com เพราะ “สีเสื้อช่วยเสริมดวงได้ แต่การลงมือหางาน คือสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง”

    Nov 18, 2025
    Thumbnail for ESFJ (นักให้คำปรึกษา): บุคลิกภาพที่อบอุ่นและใส่ใจทุกคน

    ESFJ (นักให้คำปรึกษา): บุคลิกภาพที่อบอุ่นและใส่ใจทุกคน

    ESFJ คืออะไร? ESFJ ย่อมาจาก Extraverted (E), Sensing (S), Feeling (F), Judging (J) เป็นหนึ่งใน 16 บุคลิกภาพจากแบบทดสอบ MBTI (Myers-Briggs Type Indicator) ที่เรียกว่า "The Consul" หรือ "นักให้คำปรึกษา" คนกลุ่มนี้เป็นที่รู้จักในฐานะผู้ที่มีจิตใจอบอุ่น ชอบช่วยเหลือผู้อื่น และมีความรับผิดชอบสูง พวกเขาใส่ใจความรู้สึกของคนรอบข้าง และมักจะเป็นคนที่ทำให้บรรยากาศในทีมหรือกลุ่มเป็นมิตรและผ่อนคลาย ESFJ คิดเป็นประมาณ 12% ของประชากรทั่วโลก ทำให้เป็นหนึ่งในบุคลิกภาพที่พบได้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะในผู้หญิง บุคลิกภาพหลักของ ESFJ 1. มนุษยสัมพันธ์ดีเยี่ยม ESFJ เป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ชอบสังสรรค์ และสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับเพื่อนร่วมงาน พวกเขาเป็นคนฟังที่ดี และมักจะเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นเมื่อมีใครในทีมไม่สบายใจ 2. ใส่ใจรายละเอียดและความต้องการของผู้อื่น พวกเขาชอบดูแลคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นการจำวันเกิดเพื่อนร่วมงาน การจัดงานปาร์ตี้ หรือการให้กำลังใจเมื่อใครสักคนประสบปัญหา 3. รักความเป็นระเบียบและโครงสร้าง ESFJ ชอบแผนงานที่ชัดเจน มีขั้นตอน และคาดการณ์ได้ พวกเขาทำงานได้ดีในสภาพแวดล้อมที่มีกฎเกณฑ์และความคาดหวังที่ชัดเจน 4. ซื่อสัตย์และรับผิดชอบ เมื่อ ESFJ รับปากอะไรไว้ พวกเขาจะทำให้สำเร็จ พวกเขาเป็นคนที่เชื่อถือได้และมักจะทำงานเกินความคาดหวังเพื่อให้ทุกคนพอใจ 5. ต้องการการยอมรับ ESFJ ต้องการรู้ว่าความพยายามของพวกเขาได้รับการชื่นชม การได้รับคำขอบคุณหรือคำชมเชยเป็นแรงจูงใจสำคัญสำหรับพวกเขา จุดแข็งของ ESFJ ในการทำงาน 1.สร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี ESFJ เป็นคนที่ทำให้ออฟฟิศมีชีวิตชีวา พวกเขาชอบจัดกิจกรรมสร้างทีม จัดงานเลี้ยง และทำให้ทุกคนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม 2.เชี่ยวชาญการทำงานเป็นทีม พวกเขาทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดีมาก รู้จักประสานงาน ฟังความคิดเห็น และหาทางประนีประนอมเพื่อให้ทุกคนมีความสุข 3. ใส่ใจรายละเอียดและมีความรับผิดชอบสูง ESFJ ไม่มีคำว่า "พอดี" พวกเขาทำงานอย่างละเอียดถี่ถ้วนและตรวจสอบทุกอย่างก่อนส่งมอบ 4.บริการลูกค้าระดับเทพ ด้วยความเอาใจใส่และความอดทน ESFJ เหมาะกับงานที่ต้องดูแลลูกค้าหรือให้คำปรึกษา 5.ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และนโยบายได้ดี พวกเขาเคารพโครงสร้างองค์กรและทำตามขั้นตอนที่กำหนดอย่างเคร่งครัด จุดที่ ESFJ ควรระวัง 1. ยากที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ESFJ ชอบความมีระเบียบ เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดหรือแผนเปลี่ยนบ่อย พวกเขาอาจรู้สึกเครียดหรือไม่สบายใจ 2. รับคำวิจารณ์ได้ยาก เนื่องจาก ESFJ ใส่ใจความรู้สึกของตัวเองและผู้อื่นมาก การถูกวิจารณ์อาจทำให้พวกเขารู้สึกเจ็บปวดหรือท้อแท้ แม้ว่าจะเป็นฟีดแบ็กเชิงสร้างสรรค์ก็ตาม 3.ใส่ใจความคิดเห็นของผู้อื่นมากเกินไป ESFJ ต้องการให้ทุกคนพอใจ บางครั้งอาจทำให้พวกเขาตัดสินใจผิดพลาดหรือลืมดูแลความต้องการของตัวเอง 4.ยากที่จะปฏิเสธ พวกเขามักจะรับงานมากเกินไปเพราะไม่อยากทำให้ใครผิดหวัง ส่งผลให้เกิดความเหนื่อยล้าหรือหมดไฟได้ 5.คิดเชิงปฏิบัติจนขาดความคิดสร้างสรรค์ ESFJ ชอบทำตามแบบแผนที่ได้ผลแล้ว อาจลังเลที่จะลองวิธีใหม่ๆ หรือคิดนอกกรอบ อาชีพที่เหมาะกับ ESFJ ESFJ เหมาะกับงานที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น ทำงานร่วมกับทีม และใช้ทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ ตัวอย่างอาชีพที่เหมาะสม: ด้านสุขภาพและการดูแล พยาบาล / ผู้ช่วยพยาบาล นักกายภาพบำบัด / นักกิจกรรมบำบัด เภสัชกร ผู้ดูแลผู้สูงอายุหรือเด็ก ด้านธุรกิจและการจัดการ HR / ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล Event Planner / ผู้จัดงาน Customer Success Manager Office Manager / ผู้จัดการสำนักงาน ด้านการศึกษา ครู / อาจารย์ (โดยเฉพาะระดับประถมและมัธยม) ที่ปรึกษานักเรียน / School Counselor ครูฝึกสอน / โค้ช ด้านการขายและบริการ ที่ปรึกษาการขาย / Sales Consultant เจ้าหน้าที่บริการลูกค้า พนักงานต้อนรับ / Receptionist Real Estate Agent ด้านสังคมและชุมชน นักสังคมสงเคราะห์ ผู้จัดการโครงการพัฒนาชุมชน Fundraiser / นักระดมทุน PR Officer / เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ วิธีทำงานร่วมกับ ESFJ สำหรับหัวหน้าทีม ให้คำชมและขอบคุณบ่อยๆ – แสดงความขอบคุณในสิ่งที่พวกเขาทำให้ (ESFJ จะมีกำลังใจขึ้นมาทันที) ให้แผนงานที่ชัดเจน – หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงแบบกะทันหันหรือไม่บอกเหตุผล ใช้ภาษาที่อ่อนโยนเมื่อมีการให้ฟีดแบ็ก – เน้นสิ่งที่ทำได้ดีก่อน แล้วค่อยพูดถึงสิ่งที่ต้องปรับปรุง เปิดโอกาสให้ทำงานเป็นทีม – ESFJ ทำงานได้ดีเมื่ออยู่ในทีมที่เข้ากันได้ดีเเละเป็นมิตร สำหรับเพื่อนร่วมงาน รับฟังและให้ความสำคัญ – ESFJ จะรู้สึกมีคุณค่าเมื่อได้รับการฟัง แสดงความขอบคุณ – คำว่า "ขอบคุณ" หรือ "เก่งมาก" จะช่วยทำให้ ESFJ มีกำลังใจมากขึ้น หลีกเลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์ต่อหน้าคนอื่น – ควรพูดคุยส่วนตัวถ้ามีข้อติชม สำหรับตัว ESFJ เอง เรียนรู้ที่จะปฏิเสธ – ไม่จำเป็นต้องทำให้ทุกคนพอใจตลอดเวลา รับฟีดแบ็กเชิงสร้างสรรค์ – จำไว้ว่าคำวิจารณ์ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่ดี แต่เป็นโอกาสในการเติบโต ให้เวลากับตัวเอง – การพักผ่อนและดูแลตัวเองก็สำคัญเท่ากับการดูแลผู้อื่น ลองเปิดใจกับสิ่งใหม่ – ความยืดหยุ่นและการทดลองกับสิ่งใหม่อาจนำไปสู่การค้นพบสิ่งดีๆ MBTI ที่เข้ากันได้ดีกับ ESFJ ISFP, INFP, ESFP, ESTJ — เข้าใจในด้านอารมณ์และร่วมมือกันได้ดี INTP, ISTP — แม้ต่างกันแต่เสริมกันได้ หากเปิดใจเรียนรู้วิธีคิดของกันและกัน MBTI ที่อาจเข้ากันยาก: INTJ, ENTJ — เพราะมีแนวทางที่เป็นเหตุผลและเน้นประสิทธิภาพมากกว่าอารมณ์ (แต่ไม่ใช่ว่าอยู่ด้วยกันไม่ได้ แค่ต้องเรียนรู้ที่จะสื่อสารกันตรงไปตรงมาและเข้าใจความต่างให้มากขึ้น) ESFJ คือหัวใจของทีมและองค์กร พวกเขาเป็นคนที่ทำให้สถานที่ทำงานรู้สึกอบอุ่น เป็นกันเอง และมีประสิทธิภาพ ด้วยความรับผิดชอบสูง ความใส่ใจในรายละเอียด และความปรารถนาที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ESFJ จึงเป็นบุคลิกภาพที่องค์กรทุกแห่งต้องการ แม้จะมีจุดอ่อนบางอย่าง เช่น ความยากในการปฏิเสธหรือรับคำวิจารณ์ แต่เมื่อ ESFJ เรียนรู้ที่จะดูแลตัวเองและสร้างสมดุลระหว่างการให้กับการรับ พวกเขาจะกลายเป็นผู้นำและเพื่อนร่วมงานที่มีคุณค่าอย่างแท้จริง อยากรู้ว่าคุณเป็นบุคลิกภาพแบบไหน?  ทำแบบทดสอบ MBTI ที่ Jobcadu เพื่อค้นพบจุดแข็งของคุณ และหางานที่เหมาะกับบุคลิกภาพของคุณจริงๆ เริ่มต้นค้นหาอาชีพในฝันของคุณวันนี้

    Nov 11, 2025
    Thumbnail for Extrovert คืออะไร มาดูวิธีการทำงานร่วมกับ Extrovert ให้มีประสิทธิภาพกัน

    Extrovert คืออะไร มาดูวิธีการทำงานร่วมกับ Extrovert ให้มีประสิทธิภาพกัน

    ในโลกการทำงานยุคนี้ เราต้องเจอกับเพื่อนร่วมงานหลากหลายสไตล์ ทั้งคนเงียบ สุขุม ไปจนถึงคนพลังล้น ชอบเข้าสังคม หนึ่งในบุคลิกยอดฮิตที่หลายคนพูดถึงคือ “Extrovert” คนที่มักเป็นศูนย์กลางของทีมและสร้างสีสันในที่ทำงานอยู่เสมอ แล้วเขามีข้อดีหรือความท้าทายอะไรบ้าง? ไปหาคำตอบกัน! ในโลกของการทำงานปัจจุบัน เราต่างต้องเจอกับคนหลากหลายสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นคนเงียบๆ สุขุม หรือคนที่ชอบคุย ชอบเข้าหาผู้อื่น   ซึ่งอีกหนึ่งบุคลิกยอดฮิตที่เรามักพบในที่ทำงานคือ "Extrovert"  คนที่เต็มไปด้วยพลัง สนุกกับการเข้าสังคม และมักเป็นศูนย์กลางของทีม แต่รู้ไหม? การทำงานกับคน Extrovert ก็สร้างผลกระทบเชิงบวกได้หากเราเข้าใจธรรมชาติของพวกเขาและรู้วิธีสื่อสารให้เหมาะสม เราจะค้นพบว่า “พลังของ Extrovert” สามารถกลายเป็นแรงขับเคลื่อนที่ทำให้ทีมประสบความสำเร็จได้อย่างไม่น่าเชื่อ Extrovert คืออะไร? Extrovert คือบุคคลที่มีพลังงานและแรงบันดาลใจจากการ “ปฏิสัมพันธ์กับผู้คน” พวกเขาชอบพูดคุย แบ่งปันความคิดเห็น และมักจะมีความมั่นใจเมื่อต้องทำงานในสังคมหรือทำงานร่วมกับคนอื่น ลักษณะนิสัยของคน Extrovert ชอบเข้าสังคม พบปะผู้คนใหม่ ๆ มีความมั่นใจในการพูดในที่สาธารณะ ตัดสินใจเร็ว และมักแสดงออกทางอารมณ์อย่างชัดเจน ได้พลังจากการอยู่ในกลุ่ม มากกว่าการอยู่คนเดียว มักชอบแสดงความคิดเห็น และรู้สึกดีเมื่อได้รับการตอบสนอง มองโลกในแง่ดีและพร้อมลุย คนที่มีบุคลิกแบบนี้มักจะเป็น “คนจุดประกายพลัง” ของทีม ช่วยให้บรรยากาศการทำงานไม่น่าเบื่อ และทำให้การประชุมหรือโปรเจกต์มีสีสันอยู่เสมอ MBTI ที่เป็น Extrovert ในแบบทดสอบ MBTI (Myers-Briggs Type Indicator) ตัวอักษรตัวแรก “E” หมายถึง Extroversion MBTI ที่เป็น Extrovert ได้แก่: ENTJ – ผู้นำโดยธรรมชาติ ชอบวางแผน คิดกลยุทธ์ ENFP – นักสร้างแรงบันดาลใจ มีความคิดสร้างสรรค์สูง ESFP – ชอบความสนุกสนาน มีเสน่ห์ และเป็นคน “ทำให้ทีมยิ้ม” ESTJ – คนมีระบบระเบียบ รักความชัดเจน และมุ่งผลลัพธ์ ENFJ – ผู้นำทางอารมณ์ เข้าใจคนรอบข้างเก่ง ESFJ – คนใจดี รักการช่วยเหลือ และใส่ใจความรู้สึกคนอื่น ข้อดีของการทำงานกับคน Extrovert สร้างบรรยากาศทีมที่สดใส: พวกเขามักเป็นคนเริ่มต้นการสนทนา ทำให้ทีมรู้สึกเป็นกันเองและเปิดใจในการทำงานร่วมกัน สื่อสารตรงไปตรงมา: Extrovert ไม่อ้อมค้อมและมักกล้าแสดงความคิดเห็น ซึ่งช่วยให้ทีมเข้าใจปัญหาและหาทางแก้ได้รวดเร็ว มีพลังในการขับเคลื่อนโปรเจกต์: เมื่อทีมเริ่มเหนื่อย คน Extrovert มักเป็นคนปลุกพลังและสร้างแรงจูงใจให้ทุกคนกลับมามีไฟอีกครั้ง สร้าง Connection ได้ดี: ด้วยความที่ชอบเข้าสังคม พวกเขามักมีเครือข่ายกว้าง ช่วยให้ทีมได้เจอโอกาสใหม่ ๆ เช่น พาร์ทเนอร์ ลูกค้า หรือโอกาสทางธุรกิจ ความท้าทายเมื่อทำงานร่วมกับ Extrovert แม้พลังของ Extrovert จะเป็นข้อดี แต่บางครั้งก็อาจกลายเป็น “แรงเกินพอดี” ได้หากไม่รู้จักบาลานซ์ พูดเยอะจนคนอื่นไม่มีโอกาสแสดงความคิดเห็น ตัดสินใจเร็วเกินไป โดยยังไม่คิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ชอบทำหลายอย่างพร้อมกันจนขาดสมาธิในบางช่วง บางครั้งอาจเผลอ “กลบเสียง” ของคน Introvert ที่พูดน้อยกว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ถ้าเรารู้จัก “เข้าใจธรรมชาติ” และใช้วิธีสื่อสารให้เหมาะกับพวกเขา วิธีทำงานร่วมกับ Extrovert ให้มีประสิทธิภาพ 1. เปิดใจฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น อย่าปิดกั้นเมื่อพวกเขาแสดงความคิดเห็นเยอะ เพราะสำหรับ Extrovert “การพูดคือการคิด” การฟังอย่างตั้งใจและร่วมแลกเปลี่ยน จะทำให้พวกเขารู้สึกว่าได้รับการยอมรับ และจะเปิดรับความคิดเห็นของคุณมากขึ้นด้วย 2. ใช้ทักษะการเข้าสังคมของเขาให้เป็นประโยชน์ ให้พวกเขาช่วยนำเสนอโปรเจกต์ ติดต่อพาร์ทเนอร์ หรือสร้างบรรยากาศในการประชุม Extrovert จะโดดเด่นที่สุดเมื่อได้อยู่ในพื้นที่ที่ต้อง “สื่อสารกับคน” 3. สร้างสมดุลในการสื่อสาร บางครั้งการพูดคุยของคน Extrovert อาจเร็วหรือยาวเกินไป คุณสามารถช่วย “เบรก” ด้วยการสรุปใจความสำคัญ หรือเสนอให้พักก่อนกลับมาคุยใหม่ เพื่อให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพและไม่หลุดประเด็น เคล็ดลับการสร้างทีมที่มีทั้ง Extrovert และ Introvert ให้ Extrovert นำเสนอ พูดคุย ประสานงาน และสร้างบรรยากาศ ให้ Introvert คิดเชิงลึก วางแผน วิเคราะห์ และเก็บรายละเอียด ใช้การประชุมแบบผสม: มีทั้งการพูดคุยสด และการเขียนความคิดเห็นในช่องทางออนไลน์ สร้างวัฒนธรรมที่ให้ “พื้นที่เท่ากัน” ในการแสดงความคิดเห็น เมื่อทั้งสองสไตล์ทำงานร่วมกันอย่างเข้าใจ ทีมจะได้ทั้ง พลัง ความคิดสร้างสรรค์ และความรอบคอบ การทำงานกับคน Extrovert ไม่ได้แปลว่าคุณต้องเปลี่ยนตัวเองให้เสียงดังหรือเข้าสังคมเก่งเหมือนพวกเขา สิ่งสำคัญคือการเข้าใจว่า “พลังของ Extrovert” มาจากการเชื่อมโยงกับคนรอบตัว หากเรารู้จักใช้พลังนั้นให้ถูกจุด ทีมจะเติบโตได้อย่างสมดุล สนุก และมีประสิทธิภาพมากขึ้นทุกวัน เพราะสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าเราจะเป็น Extrovert หรือ Introvert  การทำงานที่ดี คือการ “เคารพความต่าง” และ “เรียนรู้ที่จะเติบโตไปด้วยกัน” พร้อมหางานที่เหมาะกับบุคลิกของคุณแล้วหรือยัง? 🔗 ค้นหางานที่ใช่สำหรับคุณได้ที่ Jobcadu.com

    Oct 20, 2025
    Thumbnail for INFJ นักแก้ปัญหา MBTI ตัวแรร์ที่องค์กรต้องการตัว

    INFJ นักแก้ปัญหา MBTI ตัวแรร์ที่องค์กรต้องการตัว

    นักแก้ปัญหาเป็นหนึ่งในทักษะในการทำงานที่มีความสำคัญ โดยทักษะนี้ยังสามารถนำทางผู้อื่นไปสู่ทางออกได้? ซึ่งถือเป็นบุคลิกภาพที่หายากที่สุดในแบบทดสอบ MBTI (Myers-Briggs Type Indicator) INFJ ไม่ได้ไม่แค่นั่งเงียบ ๆ แต่ยังเป็นนักแก้ปัญหาที่ฝังอยู่ใน DNA อย่างเป็นธรรมชาติที่องค์กรต้องการสุด ๆ INFJ คืออะไร INFJ ย่อมาจาก Introversion, Intuition, Feeling, Judging พวกเขาคือผู้ให้คำปรึกษา (The Advocate) ซึ่ง MBTI ชนิดนี้มักถูกมองว่าเป็นคนลึกลับและเข้าใจยากในตอนแรก แต่เมื่อรู้จักแล้วจะพบว่าพวกเขามีโลกภายในที่ซับซ้อนและลึกซึ้ง INFJ นิสัยเป็นยังไง เข้าใจผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง (Empathic): พวกเขามีความสามารถในการอ่านและเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่นได้ดีเยี่ยม มีวิสัยทัศน์ (Visionary): INFJ ชอบคิดถึงอนาคตและมองเห็นความเป็นไปได้ต่างๆ ที่คนอื่นอาจมองข้ามไป มุ่งมั่นและมีอุดมการณ์ (Idealistic and Determined): เมื่อเชื่อมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง พวกเขาจะทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อทำให้มันเป็นจริง มีความคิดสร้างสรรค์ (Creative): ชอบใช้จินตนาการในการแก้ไขปัญหาและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ เป็นนักแก้ปัญหาโดยธรรมชาติ (Natural Problem-Solvers): ด้วยความสามารถในการมองเห็นภาพรวมและเจาะลึกรายละเอียด ทำให้พวกเขาสามารถหาทางออกที่ยั่งยืนได้ รักความสมบูรณ์แบบ (Perfectionistic): มีมาตรฐานสูงสำหรับตนเองและงานที่ทำ INFJ จุดเด่น จุดอ่อน จุดเด่น (Strengths): เป็นที่ปรึกษาและผู้ฟังที่ดีเยี่ยม: เข้าใจความรู้สึกผู้อื่นและให้คำแนะนำที่มีคุณค่า มีวิสัยทัศน์กว้างไกล: มองเห็นปัญหาและโอกาสจากมุมมองที่แตกต่าง มีความมุ่งมั่นและแรงจูงใจสูง: เมื่อตัดสินใจแล้วจะลงมือทำอย่างจริงจัง มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นสูง: สามารถเชื่อมโยงกับผู้อื่นได้ในระดับอารมณ์ มีความคิดสร้างสรรค์และแก้ไขปัญหาได้ดี: หาทางออกที่แปลกใหม่และมีประสิทธิภาพ จุดอ่อน (Weaknesses): Sensitive มากเกินไป: อาจจะรับความรู้สึกเชิงลบจากคนรอบข้างมาไว้กับตัวมากเกินไป แบกรับความรับผิดชอบมากเกินไป: มีแนวโน้มที่จะรับภาระของผู้อื่นมาแบกไว้ อาจจะเก็บตัวมากเกินไป: ต้องการเวลาในการชาร์จพลังงานและมักหลีกเลี่ยงการเข้าสังคมขนาดใหญ่ มีแนวโน้มที่จะ Burnout: ด้วยความทุ่มเทและใส่ใจมากเกินไป อาจทำให้หมดไฟได้ง่าย ยากที่จะเปิดใจ: แม้จะเข้าใจผู้อื่น แต่ก็ยากที่จะให้คนอื่นเข้าใจตนเองอย่างลึกซึ้ง ทำไม INFJ ถึงหายาก INFJ เป็นบุคลิกภาพที่หายากที่สุด โดยมีสัดส่วนประมาณ 1-2% ของประชากรทั้งหมด สาเหตุที่พวกเขาหายากอาจมาจากลักษณะนิสัยที่ผสมผสานกันอย่างเป็นเอกลักษณ์: พวกเขามีทั้งความเข้าอกเข้าใจผู้อื่น (Feeling) แต่ก็เป็นนักคิดเชิงกลยุทธ์ (Intuition) ที่มีวิสัยทัศน์ไกล นอกจากนี้ยังเป็น Introvert ที่ชอบการวางแผนและจัดระเบียบ (Judging) ซึ่งการรวมกันของลักษณะเหล่านี้ทำให้ INFJ โดดเด่นและไม่เหมือนใคร INFJ IQ สูงไหม แม้ว่า MBTI จะไม่ได้วัดระดับ IQ โดยตรง แต่ลักษณะนิสัยของ INFJ ที่เป็นนักคิดเชิงกลยุทธ์, มีวิสัยทัศน์กว้างไกล, และความสามารถในการเข้าใจความซับซ้อนของมนุษย์ มักบ่งชี้ถึง ศักยภาพทางสติปัญญาที่สูงโดยเฉพาะในด้าน EQ (Emotional Quotient) และ AQ (Adversity Quotient)  ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญอย่างยิ่งในการแก้ปัญหาและการทำงานร่วมกับผู้อื่น INFJ อาชีพ: องค์กรต้องการตัวมากเพราะเป็นนักแก้ปัญหา ด้วยความสามารถในการเข้าใจผู้อื่น, การมองเห็นภาพรวม, และการคิดเชิงกลยุทธ์ ทำให้ INFJ เป็นที่ต้องการอย่างมากในหลายองค์กร พวกเขาไม่ได้แค่มองเห็นปัญหา แต่ยังสามารถหาทางออกที่ยั่งยืนและมีมนุษยธรรม อาชีพที่เหมาะกับ INFJ มักจะเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือผู้อื่น การสร้างสรรค์ และการทำงานที่มีผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม: นักจิตวิทยา/ที่ปรึกษา (Psychologist/Counselor): ความสามารถในการเข้าใจผู้อื่นและให้คำแนะนำที่ดี นักสังคมสงเคราะห์ (Social Worker): ความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือและพัฒนาสังคม ครู/อาจารย์ (Teacher/Professor): ความรักในการแบ่งปันความรู้และสร้างแรงบันดาลใจ นักเขียน/บรรณาธิการ (Writer/Editor): ความคิดสร้างสรรค์และการสื่อสารที่ลึกซึ้ง นักวิจัย (Researcher): ความชอบในการเจาะลึกข้อมูลและค้นหาความจริง นักกลยุทธ์/ที่ปรึกษาองค์กร (Strategist/Organizational Consultant): การมองเห็นภาพรวมและนำเสนอทางออก ศิลปิน/นักออกแบบ (Artist/Designer): การแสดงออกทางความคิดสร้างสรรค์และอุดมการณ์ INFJ ความรัก และ INFJ Compatibility INFJ ความรัก มักเป็นคนจริงจังและทุ่มเท พวกเขามองหาความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและมีความหมาย ไม่ใช่แค่ผิวเผิน INFJ ต้องการคู่ชีวิตที่สามารถเข้าใจโลกภายในของพวกเขา และเปิดใจพูดคุยถึงความรู้สึกและความคิดที่ซับซ้อนได้ INFJ Compatibility: INFJ มักจะเข้ากันได้ดีกับบุคลิกภาพที่สามารถเติมเต็มซึ่งกันและกัน และมีความเข้าใจในความต้องการของ INFJ ได้แก่: ENFP (The Campaigner): มีความกระตือรือร้นและเปิดกว้าง ช่วยให้ INFJ รู้สึกสบายใจที่จะเปิดเผยตัวตน ENFJ (The Protagonist): มีความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นคล้ายกัน สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นได้ ENTP (The Debater): สามารถกระตุ้นความคิดของ INFJ และมองเห็นโลกในมุมมองใหม่ๆ INFJ-T คืออะไร? เมื่อคุณทำแบบทดสอบ MBTI อาจจะเจอคำว่า INFJ-T คำว่า "-T" ย่อมาจาก Turbulent ซึ่งบ่งบอกถึงลักษณะที่ อ่อนไหวต่อความเครียดมากกว่า (More Stress-Sensitive) และ มีความต้องการการยอมรับจากภายนอกมากกว่า (More Externally-Motivated) INFJ-T อาจจะมีความกังวลสูงกว่าและต้องการการยืนยันจากผู้อื่นเพื่อสร้างความมั่นใจ ในขณะที่ INFJ-A (Assertive) จะมีความมั่นใจในตัวเองสูงกว่าและจัดการกับความเครียดได้ดีกว่า INFJ Characters และ INFJ Personality Test คุณอาจพบเห็นตัวละครในภาพยนตร์หรือวรรณกรรมที่มีบุคลิกภาพ INFJ มากมาย ซึ่งมักจะเป็นตัวละครที่มีความลึกซึ้ง มีวิสัยทัศน์ และมักจะช่วยเหลือผู้อื่น ตัวอย่างเช่น: Aragorn จาก The Lord of the Rings Jon Snow จาก Game of Thrones Dumbledore จาก Harry Potter (บางคนอาจจัดอยู่ใน ENTJ แต่มีหลายคุณสมบัติของ INFJ) J.K. Rowling (เชื่อกันว่าเป็น INFJ) หากอยากรู้ MBTI ของตัวเอง ทาง Jobcadu ก็มี MBTI Test แล้วนะ มาลองทำกันได้ที่นี่เลย >> MBTI Test INFJ Meaning: มากกว่าแค่ตัวอักษร 4 ตัว INFJ meaning ไม่ได้เป็นเพียงแค่การรวมกันของตัวอักษร 4 ตัว แต่เป็นการเปิดเผยถึงบุคลิกภาพที่มีความลึกซึ้ง, มีวิสัยทัศน์, และมีหัวใจที่เปี่ยมด้วยความเห็นอกเห็นใจ พวกเขาคือผู้ที่สามารถมองเห็นศักยภาพในตัวผู้อื่นและในโลกใบนี้ INFJ คือ นักแก้ปัญหา ที่ไม่เพียงแค่แก้ไขในระดับผิวเผิน แต่ยังเจาะลึกถึงรากของปัญหา เพื่อนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนและดีขึ้น INFJ จึงเป็นบุคลิกภาพที่พิเศษและทรงคุณค่าอย่างยิ่งในสังคมและในองค์กร ด้วยความสามารถในการเข้าใจผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง, วิสัยทัศน์อันกว้างไกล, และความมุ่งมั่นที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลง พวกเขาคือ ตัวเร่งให้เกิดการแก้ปัญหา ที่องค์กรทุกแห่งต้องการ ไม่ว่าคุณจะเป็น INFJ หรือกำลังทำงานร่วมกับ INFJ การทำความเข้าใจในบุคลิกภาพนี้จะช่วยให้เราเห็นคุณค่าและศักยภาพอันยิ่งใหญ่ที่พวกเขามีต่อโลกใบนี้

    Aug 1, 2025
    Thumbnail for Function Cognitive Test คืออะไร? มารู้จักตัวเองให้มากขึ้นผ่านแบบทดสอบกัน

    Function Cognitive Test คืออะไร? มารู้จักตัวเองให้มากขึ้นผ่านแบบทดสอบกัน

    ทำไมต้องรู้จักตนเอง? การเข้าใจตนเองเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญในการพัฒนาตัวเองในด้านต่าง ๆ เช่น การทำงาน ความสัมพันธ์ หรือการใช้ชีวิตประจำวัน การเข้าใจว่าเรามีแนวโน้มคิด วิเคราะห์ และตัดสินใจอย่างไร จะช่วยให้เราสามารถพัฒนาตัวเองได้อย่างตรงจุด ซึ่งการรู้จักตนเองก็สามารถทำได้หลายทาง ไม่ว่าจะเป็นการปรึกษาแพทย์ การทำแบบทดสอบ MBTI, Ennegram Test และอื่น ๆ โดยการทำแบบทดสอบ Function Cognitive Test เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยให้เราเข้าใจตนเองได้ดีขึ้น Cognitive Function Test คืออะไร? Cognitive Function Test คือแบบทดสอบที่อิงกับแนวคิดของ Cognitive Functions ซึ่งเป็นกระบวนการที่สมองใช้ในการประมวลผลข้อมูล การตัดสินใจ และการตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ ซึ่งแนวคิดนี้ถูกพัฒนาขึ้นโดยนักจิตวิทยาชื่อ Carl Jung โดยได้ระบุไว้ว่ามี Cognitive Functions ทั้งหมด 8 ประเภท โดยฟังก์ชันเหล่านี้เป็นตัวกำหนดลักษณะและวิธีคิดของบุคคลต่าง ๆ ซึ่งความแตกต่างของ Cognitive Function ในแต่ละบุคคลส่งผลให้เกิดบุคลิกภาพ 16 แบบที่อยู่ในระบบ MBTI ความแตกต่างระหว่าง Cognitive Functions กับ MBTI ทั่วไป MBTI เป็นแบบทดสอบที่นิยมใช้เพื่อจำแนกบุคลิกภาพออกเป็น 16 ประเภท โดยอาศัยตัวอักษร 4 ตัว เช่น INTJ, ESFP และ ENTP อย่างไรก็ตาม MBTI ใช้โครงสร้างที่ง่ายกว่าและอาจไม่ได้ลงลึกในเชิงการทำงานของสมอง ในขณะที่ Function Cognitive Test มุ่งเน้นไปที่การทำงานของ Cognitive Functions โดยตรง ซึ่งสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับวิธีคิดและการตัดสินใจของแต่ละบุคคลได้ละเอียดมากขึ้น ผลของแบบทดสอบของ Cognitive Functions แบบทดสอบ Cognitive Functions จะมีผลลัพธ์ 8 ฟังก์ชันหลัก ได้แก่ 1.Introverted Thinking (Ti) & Extraverted Thinking (Te) Ti : คนที่ได้ผลลัพธ์นี้จะวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียดและให้ความสำคัญกับโครงสร้างของเหตุผลที่แม่นยำ จะไตร่ตรองข้อมูลก่อนตัดสินใจ โดยพยายามหาคำตอบที่ถูกต้องที่สุด Te : คนที่ได้ผลลัพธ์นี้มีแนวทางคิดที่เป็นระบบและเน้นผลลัพธ์ที่ชัดเจน ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วโดยใช้ข้อมูลที่เป็นรูปธรรม 2.Introverted Feeling (Fi) & Extraverted Feeling (Fe) Fi : คนที่ได้ผลลัพธ์นี้ตัดสินใจโดยอิงตามค่านิยมส่วนตัวและหลักคุณธรรมที่ตนเองยึดถือ ให้ความสำคัญกับความถูกต้องในมุมมองของตนเอง มากกว่าการทำตามมาตรฐานของสังคม Fe : คนที่ได้ผลลัพธ์นี้คำนึงถึงอารมณ์และความรู้สึกของผู้อื่นเป็นหลัก ให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และพยายามทำให้สภาพแวดล้อมรอบตัวกลมกลืนและเป็นที่ยอมรับของสังคม 3.Introverted Sensing (Si) & Extraverted Sensing (Se) Si: คนที่ได้ผลลัพธ์นี้มีแนวโน้มที่จะจดจำรายละเอียดจากอดีตและใช้ประสบการณ์เดิมเป็นแนวทางในการตัดสินใจ ให้ความสำคัญกับโครงสร้างที่คุ้นเคยและความมั่นคงในชีวิต Se : คนที่ได้ผลลัพธ์นี้มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งรอบตัวอย่างรวดเร็ว ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ชื่นชอบความตื่นเต้นและการลงมือทำในทันที 4.Introverted Intuition (Ni) & Extraverted Intuition (Ne) Ni : คนที่ได้ผลลัพธ์นี้สามารถมองเห็นภาพรวมและแนวโน้มในอนาคตได้อย่างแม่นยำ มีความสามารถในการวิเคราะห์เชิงลึกและคาดการณ์ผลลัพธ์ระยะยาวโดยเชื่อมโยงข้อมูลจากหลายแหล่ง Ne : คนที่ได้ผลลัพธ์นี้มีแนวคิดที่เปิดกว้างและชอบสำรวจไอเดียใหม่ ๆ และสามารถเชื่อมโยงแนวคิดต่าง ๆ เข้าด้วยกันได้อย่างสร้างสรรค์ ตัวอย่างพฤติกรรมของแต่ละฟังก์ชัน คนที่มี Ti เด่น อาจชอบตั้งคำถามเกี่ยวกับหลักการและตรรกะของสิ่งต่าง ๆ คนที่มี Fe เด่น อาจพยายามสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงานและดูแลความรู้สึกของเพื่อนร่วมงาน คนที่มี Ni เด่น อาจมีแนวคิดที่ลึกซึ้งและคาดการณ์แนวโน้มของอนาคตได้ดี คนที่มี Se เด่น อาจมีความสามารถในการสังเกตและปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างรวดเร็ว Function Cognitive Test ทำได้ที่ไหน? ปัจจุบันมีแหล่งทดสอบ Cognitive Functions ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เช่น แบบทดสอบภาษาอังกฤษ แบบทดสอบภาษาไทย ตัวอย่างการนำผลทดสอบไปใช้ในชีวิตประจำวัน ผลทดสอบของ Cognitive Functions จะช่วยให้เราสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้หลายด้าน เช่น ด้านการทำงาน คนที่มี Te (Extraverted Thinking) เด่นมักมีความสามารถในการบริหารจัดการและตัดสินใจบนพื้นฐานของเหตุผลและประสิทธิภาพ จึงเหมาะกับอาชีพอย่าง Project Manager หรือ Assistant Manager ในขณะที่คนที่มี Fi (Introverted Feeling) เด่นจะให้ความสำคัญกับคุณค่าภายในและอารมณ์ความรู้สึก เหมาะกับงานด้านศิลปะ การให้คำปรึกษา หรืองานที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรม เช่น นักจิตวิทยาหรือนักออกแบบ ด้านการสื่อสาร คนที่มี Ne (Extraverted Intuition) เด่นจะมีไอเดียสร้างสรรค์และสามารถแลกเปลี่ยนแนวคิดใหม่ ๆ ได้ดี เหมาะกับอาชีพนักการตลาด นักเขียน หรือที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ ส่วนคนที่มี Si (Introverted Sensing) เด่นจะให้ความสำคัญกับข้อมูลที่แม่นยำ นำผลลัพธ์จากประสบการณ์ตนเองนำมาปรับใช้เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพให้ดีที่สุด เหมาะกับอาชีพนักบัญชี นักวิเคราะห์ข้อมูล หรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายเอกสาร นอกจากนี้ การเข้าใจ Cognitive Functions ของตนเองยังช่วยให้เราพัฒนาจุดแข็ง ปรับปรุงจุดอ่อน และเข้าใจผู้อื่นได้ดีขึ้น ทำให้สามารถสื่อสารและทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หากสนใจหางานที่เหมาะกับคุณ สามารถเข้าๆไปสมัครงานได้ที่ Job Portal เลย การทำแบบทดสอบ Function Cognitive Test เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เราเข้าใจตนเองได้ดีขึ้น ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาทั้งด้านการทำงาน การสื่อสาร และการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น หากสนใจสำรวจตัวเองให้ลึกซึ้งขึ้น ลองทำแบบทดสอบดูก็อาจจะทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น และถ้าสนใจคอนเทนต์เพิ่มเติมเกี่ยวกับบุคลิกภาพและการพัฒนาตนเอง สามารถติดตามได้ที่ Career Portal

    Mar 27, 2025
    Thumbnail for 16 Personality Factor แบบทดสอบบุคลิกภาพ 16PF คืออะไร

    16 Personality Factor แบบทดสอบบุคลิกภาพ 16PF คืออะไร

    ช่วงนี้เห็นว่ามีแบบทดสอบมาให้ทำกันมากมายในเวอร์ชันภาษาไทย ไม่ว่าจะเป็น Archetype Test, Seasons of Love หรือ MBTI วันนี้ Jobcadu จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ 16 Personality Factor (16PF) ซึ่งเป็นแบบทดสอบบุคลิกภาพที่ได้รับการพัฒนาอย่างเป็นระบบและได้รับการยอมรับในทางจิตวิทยา แล้วแบบทดสอบนี้มีที่มาอย่างไร และมีบุคลิกภาพอะไรบ้าง มาดูกัน แบบทดสอบบุคลิกภาพ 16 Personality Factor คืออะไร แบบทดสอบ 16 Personality Factor (16PF) เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดบุคลิกภาพซึ่งพัฒนาโดย Dr. Raymond Cattell นักจิตวิทยาชาวอังกฤษในช่วงปี 1940 จุดประสงค์ของแบบทดสอบนี้คือ การระบุปัจจัยหลัก 16 ประการที่ส่งผลต่อบุคลิกภาพในแต่ละบุคคล และช่วยให้เข้าใจลักษณะนิสัย ความคิด และพฤติกรรมของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งสามารถนำไปใช้ในด้านการพัฒนาตนเอง การแนะแนวอาชีพ และการคัดเลือกบุคลากรได้อีกด้วย บุคลิกภาพ 16 Personality Factor มีอะไรบ้าง แบบทดสอบ 16PF ได้แบ่งบุคลิกภาพออกเป็น 16 ปัจจัยหลัก ซึ่งสามารถแสดงถึงลักษณะนิสัยของแต่ละบุคคลได้ดังนี้: Warmth (อบอุ่น - เย็นชา) → ระดับของความเป็นมิตรและความเข้าอกเข้าใจผู้อื่น Reasoning (ชอบใช้เหตุผล - ใช้สัญชาตญาณ) → ระดับของความสามารถในการวิเคราะห์และใช้เหตุผล Emotional Stability (มั่นคงทางอารมณ์ - อ่อนไหวง่าย) → ความสามารถในการควบคุมอารมณ์และความเครียด Dominance (ชอบควบคุม - ยืดหยุ่น) → ระดับของความเป็นผู้นำหรือความกล้าที่จะควบคุมสถานการณ์ Liveliness (กระตือรือร้น - สุขุม) → ระดับของเอเนอร์จี้และการเข้าสังคม Rule-Consciousness (เคร่งครัดกฎระเบียบ - ยืดหยุ่นกับกฎเกณฑ์) → ความเคร่งครัดต่อกฎระเบียบและความถูกต้อง Social Boldness (กล้าแสดงออก - ขี้อาย) → ระดับความมั่นใจและการเข้าสังคม Sensitivity (อ่อนไหว - มีเหตุผล) → ความสามารถในการรับรู้ เข้าใจอารมณ์ของตนเองและผู้อื่น Vigilance (ระแวดระวัง - ไว้วางใจง่าย) → ระดับของความระมัดระวังต่อสถานการณ์และบุคคลรอบตัว Abstractedness (เพ้อฝัน - อยู่กับความจริง) → ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ Privateness (เป็นส่วนตัว - เปิดเผย) → ระดับของการรักษาความลับและความเป็นส่วนตัว Apprehension (วิตกกังวล - มั่นใจในตนเอง) → ระดับของความมั่นใจและความเครียดที่เกิดขึ้น Openness to Change (ยืดหยุ่น - อนุรักษ์นิยม) → ความเต็มใจในการปรับตัวและยอมรับการเปลี่ยนแปลง Self-Reliance (พึ่งพาตนเอง - พึ่งพาผู้อื่น) → ระดับของพึ่งพาตนเองและการทำสิ่งต่าง Perfectionism (รักความสมบูรณ์แบบ - ยืดหยุ่นและง่าย ๆ ) → ระดับของความละเอียดถี่ถ้วนและต้องการให้ทุกอย่างสมบูรณ์ Tension (เคร่งเครียด - ผ่อนคลาย) → ระดับของความตึงเครียดและความสามารถในการจัดการกับความเครียด แบบทดสอบบุคลิกภาพ 16 Personality Factor เหมาะกับใคร 16PF เหมาะกับทุกคนที่ต้องการทำความเข้าใจตัวเองให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็น บุคคลทั่วไปที่ต้องการทำความเข้าใจตนเองและพัฒนาตนเอง นักเรียน นักศึกษา ที่ต้องการค้นหาแนวทางในการศึกษาและอาชีพที่เหมาะสม ผู้ที่กำลังมองหางาน หรือต้องการพัฒนาตนเองในสายอาชีพ ผู้ที่ต้องการพัฒนาความสัมพันธ์กับผู้อื่น ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ที่ต้องการใช้ในการคัดเลือกบุคลากร แบบทดสอบบุคลิกภาพ 16 Personality Factor ทำที่ไหน สามารถทำได้ที่นี่ แบบทดสอบบุคลิกภาพ 16 Personality Factor- ภาษาอังกฤษ 16PF ต่างจาก MBTI อย่างไร 1. พื้นฐานทางทฤษฎี 16PF: พัฒนาขึ้นโดย Raymond Cattell อ้างอิงจาก ทฤษฎีปัจจัยพื้นฐานทางบุคลิกภาพ (Factor Analysis) โดยอาศัยการวิจัยทางสถิติเพื่อระบุ 16 ปัจจัยบุคลิกภาพหลัก MBTI: พัฒนาจากแนวคิดของ Carl Jung และขยายโดย Isabel Briggs Myers และ Katharine Cook Briggs โดยอาศัยแนวคิดเรื่อง ประเภทบุคลิกภาพ (Psychological Types) ซึ่งแบ่งคนออกเป็น 16 แบบ ตาม 4 มิติหลัก 2. โครงสร้างของแบบทดสอบ 16PF: มี 16 ปัจจัยหลัก และมักใช้ในด้านจิตวิทยาองค์กร การจ้างงาน และการพัฒนาตนเอง MBTI: มี 4 มิติ และ 16 ประเภทบุคลิกภาพ ได้แก่ Extroversion (E) – Introversion (I) Sensing (S) – Intuition (N) Thinking (T) – Feeling (F) Judging (J) – Perceiving (P) 3. วิธีการวัดและผลลัพธ์ 16PF: ใช้วิธีวัดบุคลิกภาพแบบ ต่อเนื่อง (Continuum-based) ผลลัพธ์ไม่ได้แบ่งเป็นประเภท แต่เป็นระดับของแต่ละปัจจัย MBTI: ใช้วิธีแบ่งประเภทบุคลิกภาพแบบ ขั้วตรงข้าม (Dichotomy-based) ซึ่งกำหนดบุคลิกภาพเป็น 16 แบบชัดเจน 4. การใช้งาน 16PF: มักใช้ในการจ้างงาน การบริหารเเละประเมินศักยภาพของบุคคล การพัฒนาตัวเองเเละภาวะผู้นำ และการวิจัยทางจิตวิทยา MBTI: ใช้ในการพัฒนาตัวเอง การทำความเข้าใจนิสัยของคนในทีม และการแนะแนวอาชีพ แบบทดสอบ 16 Personality Factor (16PF) เป็นแบบทดสอบที่ช่วยให้เข้าใจบุคลิกภาพของตัวเองในเชิงลึกผ่าน 16 ปัจจัยหลัก ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาตนเอง การเลือกอาชีพ และการบริหารบุคลากรได้ หากคุณสนใจที่จะทำความเข้าใจตัวเองมากขึ้น ลองทำแบบทดสอบนี้ดู แล้วมาดูกันว่าคุณมีบุคลิกภาพแบบไหน!

    Mar 4, 2025
    Thumbnail for Enneagram Test แบบทดสอบบุคลิกของคนทั้ง 9 แบบ

    Enneagram Test แบบทดสอบบุคลิกของคนทั้ง 9 แบบ

    แบบทดสอบนพลักษณ์ Enneagram Test คือ Enneagram Test หรือแบบทดสอบนพลักษณ์ เป็นเครื่องมือทางจิตวิทยาที่ใช้วิเคราะห์บุคลิกภาพของคน โดยแบ่งออกเป็น 9 ประเภท ตามลักษณะนิสัยและแรงจูงใจหลักของแต่ละบุคคล แบบทดสอบนี้มีรากฐานมาจากแนวคิดโบราณและได้รับการพัฒนาโดยนักจิตวิทยาและนักวิชาการหลายคน โดยเฉพาะ Oscar Ichazo และ Claudio Naranjo ปัจจุบันถูกนำมาใช้ในหลากหลายวงการ ทั้งการพัฒนาตนเอง การทำงาน และการบริหารองค์กร Enneagram Test แบ่งบุคลิกของคนออกเป็นกี่ประเภท Enneagram Test แบ่งบุคลิกภาพของคนออกเป็น 9 ประเภทหลัก โดยแต่ละรูปแบบมีลักษณะเฉพาะ แรงจูงใจ และรูปแบบการคิดที่แตกต่างกันไป 1. ผู้ชอบความสมบูรณ์แบบ (The Perfectionist) ลักษณะเด่น: มีระเบียบวินัยสูง และมุ่งมั่นทำสิ่งต่าง ๆ ให้สมบูรณ์แบบ มีความละเอียดรอบคอบ มีหลักการ ตัวอย่างอาชีพที่เหมาะสม: นักบัญชี  ผู้ตรวจสอบบัญชี ครู นักวิเคราะห์ข้อมูล นักกฎหมาย 2. ผู้ให้ (The Giver) ลักษณะเด่น: มีความเห็นอกเห็นใจ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น เข้าใจความรู้สึกผู้อื่นได้ดี ตัวอย่างอาชีพที่เหมาะสม: ครู นักจิตวิทยา แพทย์ นักสังคมสงเคราะห์ พยาบาล 3. ผู้ไขว่คว้าในความสำเร็จ (The Performer) ลักษณะเด่น: มีเป้าหมายชัดเจน มุ่งมั่น ทะเยอทะยาน ชอบการแข่งขัน และต้องการประสบความสำเร็จ ตัวอย่างอาชีพที่เหมาะสม: นักธุรกิจ ผู้บริหาร นักการตลาด นักขาย 4. ศิลปิน (The Romantics) ลักษณะเด่น: มีความคิดสร้างสรรค์ อ่อนไหว เข้าใจอารมณ์ลึกซึ้ง ตัวอย่างอาชีพที่เหมาะสม: ศิลปิน นักออกแบบ นักเขียน  นักแต่งเพลง นักแสดง 5. นักคิด นักสำรวจ (The Observer) ลักษณะเด่น: ชอบวิเคราะห์และค้นคว้า รักการเรียนรู้ ชอบความเป็นส่วนตัว ตัวอย่างอาชีพที่เหมาะสม: นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย โปรแกรมเมอร์ 6. ผู้จงรักภักดี (The Guardian) ลักษณะเด่น: มีความรับผิดชอบสูง ซื่อสัตย์ และสนับสนุนคนรอบตัวอยู่เสมอ ตัวอย่างอาชีพที่เหมาะสม: ตำรวจ ทนายความ เจ้าหน้าที่รัฐ นักบริหารความเสี่ยง ผู้จัดการโครงการ เจ้าหน้าที่ความปลอดภัย 7. นักผจญภัย (The Optimist) ลักษณะเด่น: มองโลกในแง่ดี สนุกกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ และรักอิสระ ตัวอย่างอาชีพที่เหมาะสม: นักการตลาด ผู้จัดงานอีเวนต์ พิธีกร นักเดินทาง ยูทูบเบอร์ ไกด์ท่องเที่ยว อินฟลูเอนเซอร์ 8. ผู้นำ (The Leader) ลักษณะเด่น: เด็ดขาด ชอบความท้าทาย กล้าตัดสินใจ และมีความเป็นผู้นำสูง ตัวอย่างอาชีพที่เหมาะสม: ผู้บริหาร ผู้ประกอบการ ทนายความ นักการเมือง 9. ผู้รักสันติสุข (The Peacemaker) ลักษณะเด่น: รักความสงบ ใจเย็น ประนีประนอม เข้ากับผู้อื่นได้ดี ตัวอย่างอาชีพที่เหมาะสม:นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ ผู้ให้คำปรึกษา แบบทดสอบ Enneagram Test ทำที่ไหน หากต้องการทำแบบทดสอบ Enneagram Test สามารถเข้าไปทำได้ที่เว็บไซต์ต่อไปนี้: Enneagram Institute (ภาษาอังกฤษ) แบบทดสอบ Enneagram ภาษาไทย (ภาษาไทย) วิธีการนำ Enneagram Test มาใช้ในชีวิตประจำวัน 1.ใช้เป็นเครื่องมือในการทำความเข้าใจตนเอง รู้จุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง เข้าใจแรงจูงใจและพฤติกรรมของตนเอง 2.พัฒนาความสัมพันธ์กับผู้อื่น เข้าใจมุมมองและความต้องการของคนแต่ละประเภท ปรับตัวในการทำงานร่วมกับผู้อื่น 3.การพัฒนาตนเอง รู้จุดที่ควรปรับปรุง วางแผนพัฒนาตนเองได้ตรงจุด อย่างไรก็ตาม ควรตระหนักว่าแบบทดสอบนี้เป็นเพียงเครื่องมือช่วยในการทำความเข้าใจตนเองเบื้องต้น ไม่ควรยึดติดกับผลการทดสอบมากเกินไป เพราะแต่ละคนมีความซับซ้อนและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เห็นได้ว่าคนเรามีบุคลิกภาพที่หลากหลาย การทำความเข้าใจตนเองและผู้อื่นผ่านแบบทดสอบ Enneagram สามารถช่วยพัฒนาความสัมพันธ์และการทำงานร่วมกันได้ดียิ่งขึ้น อย่าลืมแชร์บทความนี้ให้คนรอบตัวแล้วมาทดสอบบุคลิกภาพกันว่าได้ไทป์ไหนบ้าง จะได้เข้าใจกันมากขึ้น สำหรับใครที่ชอบบทความเกี่ยวกับการพัฒนาตนเอง หรือแนะแนวอาชีพและอื่น ๆ ติดตามเราได้ที่ Career Portal

    Feb 24, 2025
    Thumbnail for มารู้จักกับ 4 บุคลิกในแบบทดสอบ DISC Personality Test กัน

    มารู้จักกับ 4 บุคลิกในแบบทดสอบ DISC Personality Test กัน

    DISC Personality Test คืออะไร? DISC Personality Test เป็นแบบทดสอบวิเคราะห์บุคลิกภาพที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยมีต้นกำเนิดจากงานวิจัยของ Dr. William Moulton Marston นักจิตวิทยาชาวอเมริกันที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ในช่วงปี 1920 โดยแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ได้แก่ D (Dominance), I (Influence), S (Steadiness) และ C (Conscientiousness) DISC ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเนื่องจากเป็นแบบทดสอบที่เข้าใจง่ายและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นในการพัฒนาตนเอง การทำงานร่วมกับผู้อื่น หรือการเลือกอาชีพที่เหมาะสม ประเภทของบุคลิกภาพทั้ง 4 ใน DISC แบบทดสอบ DISC แบ่งบุคลิกภาพออกเป็น 4 ประเภทหลัก ซึ่งประกอบไปด้วย D (Dominance): ผู้มีความเป็นผู้นำ มีความมุ่งมั่น ทะเยอทะยาน กล้าตัดสินใจ ชอบความท้าทาย และมุ่งเน้นผลลัพธ์ จุดเเข็ง: เป็นผู้นำที่สามารถผลักดันให้งานสำเร็จลุล่วงได้ตามเป้าหมาย I (Influence): ผู้มีอิทธิพลต่อผู้อื่น เป็นคนที่มีเสน่ห์ มองโลกในแง่ดี ชอบเข้าสังคม มีความคิดสร้างสรรค์ ชอบพูดคุย และสามารถโน้มน้าวใจผู้อื่นได้ดี จุดเเข็ง: สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น มีมนุษยสัมพันธ์ดี และทำงานเป็นทีมได้ดี S (Steadiness): ผู้ที่มั่นคงและมีความอดทน บุคคลที่มีบุคลิกแบบ S มักเป็นคนที่มีความใจเย็น ซื่อสัตย์ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น และให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระยะยาว จุดเเข็ง: เป็นผู้ฟังที่ดี เป็นที่ปรึกษาได้ และทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างราบรื่น C (Conscientiousness): ผู้ที่มีความละเอียดและรอบคอบ คนที่มีบุคลิกแบบ C มักเป็นคนที่มีความรอบคอบ มีตรรกะ และให้ความสำคัญกับรายละเอียด พวกเขาชอบการวิเคราะห์และการทำงานที่มีโครงสร้างชัดเจน จุดเเข็ง: ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีคุณภาพ และสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นระบบ ทำไม DISC Personality Test ถึงสำคัญ? ช่วยให้เข้าใจตนเอง: ทำให้รู้จักจุดแข็ง จุดอ่อน และความต้องการของตนเอง เพื่อนำไปพัฒนาตนเองได้อย่างตรงจุด ช่วยให้เข้าใจผู้อื่น: ทำให้เข้าใจพฤติกรรมและแรงจูงใจของผู้อื่น เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยในการเลือกอาชีพ: ช่วยให้ค้นพบอาชีพที่เหมาะสมกับบุคลิกภาพและความสนใจของตนเอง ช่วยในการพัฒนาทีม: ช่วยให้เข้าใจบทบาทและหน้าที่ของสมาชิกในทีม เพื่อสร้างทีมที่แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพ แบบทดสอบ DISC ออนไลน์ฟรี – ทดสอบตัวเองกันเลย! หากคุณต้องการลองทำแบบทดสอบ DISC สามารถเข้าร่วมการทดสอบออนไลน์ฟรีได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ที่นี่: DISC Personality Test – ภาษาไทย DISC Personality Test – ภาษาอังกฤษ DISC กับอาชีพ – แบบทดสอบช่วยให้คุณเลือกงานที่ใช่ได้อย่างไร? แบบทดสอบ DISC สามารถช่วยให้คุณค้นหาอาชีพที่เหมาะสมกับบุคลิกของคุณได้ ตัวอย่างเช่น D (Dominance): เหมาะกับอาชีพที่ต้องใช้ความเป็นผู้นำ การตัดสินใจ และการแก้ไขปัญหา เช่น ผู้บริหาร ผู้จัดการ นักธุรกิจ หรือทนายความ I (Influence): เหมาะกับอาชีพที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ การสื่อสาร และการสร้างความสัมพันธ์ เช่น นักการตลาด นักประชาสัมพันธ์ นักขาย พิธีกร หรือ นักเเสดง S (Steadiness): เหมาะกับอาชีพที่ต้องการความอดทนและความใส่ใจ การบริการ และการช่วยเหลือผู้อื่น เช่น งานบริการลูกค้า พยาบาล ครู อาจารย์ HR หรือนักสังคมสงเคราะห์ C (Conscientiousness): เหมาะกับอาชีพที่ต้องใช้ความละเอียดรอบคอบ การวิเคราะห์ และการวางแผน เช่น นักบัญชี วิศวกร นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย หรือโปรเเกรมเมอร์ อย่างไรก็ตาม การเลือกอาชีพไม่ได้ขึ้นอยู่กับบุคลิกภาพเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องพิจารณาถึงความสนใจ ทักษะ และประสบการณ์ของแต่ละบุคคลด้วย และเมื่อได้อาชีพที่อยากสมัครแล้ว แต่ไม่รู้จะสมัครงานที่ไหน สามารถเข้าไปสมัครงานหรือฝากเรซูเม่ได้ที่ Job Portal

    Feb 19, 2025
    Thumbnail for แบบทดสอบ กุญแจกลางใจ : Blooming key ไทป์ดอกไม้ยอดฮิตที่กำลังเป็นที่พูดถึงในโลกออนไลน์ในช่วงนี้

    แบบทดสอบ กุญแจกลางใจ : Blooming key ไทป์ดอกไม้ยอดฮิตที่กำลังเป็นที่พูดถึงในโลกออนไลน์ในช่วงนี้

    ในช่วงนี้ มีเทรนด์แบบทดสอบบุคลิกภาพที่กำลังไวรัลมากๆในโลกออนไลน์ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย นั่นคือ แบบทดสอบ ‘ กุญแจกลางใจ: Blooming Key ’ ของครีเอเตอร์ “Atom Pakon” ซึ่งเป็นแบบทดสอบวัดบุคลิกภาพของตัวเรา บอกว่าเรามีจุดเด่นและจุดอ่อนอะไรผ่านไทป์ดอกไม้ชนิดต่างๆ รวมทั้งมีกลอนน่ารักๆฮีลใจ และบอกว่าเราเหมาะกับคนที่เป็นดอกไม้ไทป์ไหนบ้าง ซึ่งวันนี้ Jobcadu ได้รวมเฉลยไทป์ดอกไม้ทั้งหมด 16 ชนิดด้วยกัน มาไว้ที่นี่หมดแล้ว มาดูไปพร้อมกันได้เลย คำตอบของ กุญแจกลางใจ : Blooming key มีแบบไหนบ้าง? 1.กุญแจเดซี่ : เอาใจใส่ ภักดี และ เป็นผู้คอยสนับสนุน 2.กุญแจทิวลิป : เปี่ยมไปด้วยพลัง เป็นธรรมชาติ และ เข้าสังคมเก่ง 3.กุญแจทานตะวัน : มีความทะเยอทะยาน มียุทธวิธี และ เป็นคนมั่นใจในตนเอง 4.กุญแจกุหลาบ : เข้าอกเข้าใจผู้อื่น เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ และ มีความเสียสละ 5,กุญแจป๊อปปี้ : มีความกระตือรือร้น เป็นผู้สร้างสรรค์ และ มีความเข้าอกเข้าใจผู้อื่น 6.กุญแจกล้วยไม้ : เป็นนักวิเคราะห์ ช่างสงสัย และ ช่างคิดค้น 7.กุญแจต้นโอ๊ค : มีความเป็นระเบียบ สามารถพึ่งพาได้ และ เป็นนักลงมือ 8.กุญแจไลแลค : เป็นคนลึกซึ้ง มีความเข้าอกเข้าใจ และ มีวิสัยทัศน์ 9.กุญแจลิลลี่ : ใส่ใจผู้อื่น ภักดี และ เข้ากับคนง่าย 10.กุญแจเยอบีร่า : มีความกระฉับกระเฉง รักการผจญภัย และ เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ 11.กุญแจไอริส : เป็นคนรอบคอบ เป็นอิสระ และ วิสัยทัศน์กว้างไกล 12.กุญแจฟอร์เก็ตมีน็อต : มีความเข้าอกเข้าใจ เป็นนักใฝ่ฝัน และ นักสร้างสรรค์ 13.กุญแจแดนดิไลแอน : ชอบสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ช่างสงสัย และ ปรับตัวเก่ง 14.กุญแจเบญจมาศ : เป็นคนซื่อสัตย์ มีความมุ่งมั่น และ เป็นระเบียบ 15.กุญแจกระบองเพชร : เป็นอิสระ แกร่งกล้า และ เป็นคนปรับตัวเก่ง 16.กุญแจบัตเตอร์คัพ : เป็นนักสร้างสรรค์ สบายๆ และ เป็นอิสระ เป็นไงอย่างไรกันบ้าง กับแบบทดสอบกุญแจกลางใจ ใครได้อันไหนกันบ้าง หากคนไหนที่สนใจอยากจะทดสอบแบบทดสอบตนเองในแบบอื่น ๆ ก็มีอีกมากมาย หรือหากสนใจบทความเกี่ยวกับพัฒนาตนเอง หรือเกี่ยวกับกาารทำงานก็สามารถเข้ามาที่ Career Portal ได้เลย เพราะมีบทความที่น่าสนใจมากมายให้ทุกคนได้เลือกอ่านอีกด้วย! อ้างอิง Atompakon PPTVHD36

    Feb 18, 2025
    Thumbnail for แบบทดสอบ My Type: Seasons of Love ความรักของคุณเป็นแบบไหน อ้างอิงสไตล์จากไทป์ของน้องหมาน้องแมว

    แบบทดสอบ My Type: Seasons of Love ความรักของคุณเป็นแบบไหน อ้างอิงสไตล์จากไทป์ของน้องหมาน้องแมว

    ทาสหมาทาสแมวต้องไม่พลาด กับการทำแบบทดสอบเพื่อค้นหาตัวเอง ซึ่งมีออกมามากมาย วันนี้ Jobcadu จึงพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ My Type: Seasons of Love แบบทดสอบบุคลิกที่มีหมาแมวพันธุ์ต่างๆ เป็น inspirtation มาดูกันเป็นยังไงบ้าง My Type: Seasons of Love คือแบบทดสอบอะไร? “Your Type Seasons of Love” เป็นแบบทดสอบที่ทำมาเพื่อบอกสไตล์ความรักของคุณ โดยเปรียบเทียบกับลักษณะนิสัยของ “สุนัข” และ “แมว” สายพันธุ์ต่างๆมากมาย ผลลัพธ์ที่ได้จะช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองในมุมมองใหม่ และอาจค้นพบ “คู่หู” ที่ใช่สำหรับคุณ คำตอบของ My Type: Seasons of Love มีแบบไหนบ้าง? 1.สุนัขพันธุ์ไซบีเรียน ไทป์สุนัขไซบีเรียน มีนิสัยกระตือรือร้นมาก ฉลาด คล่องแคล่ว เป็นอิสระ ซุกซน และขี้เล่น พวกมันมักจะเป็นมิตรที่ดีต่อสุนัขและสัตว์เลี้ยงสายพันธุ์อื่นๆ เข้ากับคนแปลกหน้าได้ อาชีพที่เหมาะกับไทป์นี้: Sales, ผู้ฝึกสุนัขหรือผู้ฝึกสัตว์, ไกด์ท่องเที่ยว, ครู, Marketing, Content Creator, นักธุรกิจ, พิธีกร, นักแสดง และ Software Developer หรือ อาชีพที่เกี่ยวกับไอที เป็นต้น 2.สุนัขตำรวจ ไทป์สุนัขตำรวจ มีนิสัยซื่อสัตย์ จงรักภักดี มีความกล้าหาญและกระตือรือร้น แข็งแรงว่องไว พลังเยอะ ชอบออกกำลังกายและทำกิจกรรม อาชีพที่เหมาะกับไทป์นี้: ตำรวจ, ทหาร, วิศวกร, โค้ชกีฬา, นักสำรวจ, นักกีฬา, เทรนเนอร์ฟิตเนส, นักดับเพลิง, นักกู้ภัย และ พยาบาล เป็นต้น 3.สุนัขพันธุ์โกลเด้น ไทป์สุนัขโกลเด้น มีนิสัยอารมณ์เย็น ฉลาด และมีเสน่ห์ และขี้เล่น สุภาพกับเด็กๆ และเข้ากันได้ดีกับสัตว์ตัวอื่น และคนแปลกหน้า สุนัขพันธุ์นี้ชอบที่จะทำให้เราชื่นชอบ จึงเป็นสาเหตุให้เขาตอบสนองต่อการฝึกได้ดีและเป็นที่นิยมในการเป็นสุนัขที่ให้ความช่วยเหลือ อาชีพที่เหมาะกับไทป์นี้: ครู, นักจิตวิทยา, ผู้จัดการฝ่ายบริการลูกค้า (Customer Service Manager), พิธีกร, PR (Public Relations), นักแสดง/นักร้อง/ศิลปิน และ นักให้คำปรึกษา (Assistance) เป็นต้น 4.แมวดำ ไทป์แมวดำ มีนิสัยขี้อ้อน รักสงบ ฉลาด อบอุ่นปลอดภัย เรียนรู้ไว มั่นใจในตัวเอง แต่จะมีความโลกส่วนตัวสูงบ้างในบางมุม อาชีพที่เหมาะกับไทป์นี้: นักเขียน/นักประพันธ์, ที่ปรึกษาด้านการเงิน (Financial Assistance), นักบัญชี, นักจิตวิทยา/นักบำบัด, นักวิจัย/นักวิทยาศาสตร์, นักแปลภาษา (Translator), นักออกแบบ (Designer), สัตวแพทย์, โปรแกรมเมอร์ และ นักให้คำปรึกษา (Assistance) เป็นต้น 5.แมวสามสี ไทป์แมวสามสี มีนิสัยค่อนข้างดื้อและดุ รักอิสระ ชอบส่งเสียงร้อง ค่อนข้างจะขี้รำคาญและร้องบ่นแบบไม่มีสาเหตุ มีมุมโปรดที่ชอบนอนเงียบ ๆ ลำพังคนเดียว ส่วนใหญ่เป็นตัวเมีย อาชีพที่เหมาะกับไทป์นี้: นักเขียน, นักแสดง/นักพูด, นักแปล(Translator), ผู้ประกาศข่าว, นักออกแบบแฟชั่น(Fashion Designer), ยูทูบเบอร์/บล็อกเกอร์, นักธุรกิจ/เจ้าของธุรกิจส่วนตัว, Creative, นักวิจัย, สัตวแพทย์ 6.แมวส้ม ไทป์แมวส้ม มีนิสัยรักอิสระ มั่นใจในตนเอง อบอุ่น ออกจะเป็นมิตรยิ่งกว่าแมวสีอื่นๆ ส่วนใหญ่เป็นตัวผู้ อาชีพที่เหมาะกับไทป์นี้: ผู้ประกาศข่าว, Project Manager, นักให้คำปรึกษา(Assistance), นักวิจัย, Marketing Director และ ที่ปรึกษา(Consultant) เป็นต้น ถ้าสนใจแบบทดสอบอื่นๆ หางานที่ใช่ หรือคอนเทนต์ที่เกี่ยวอาชีพและการพัฒนาตัวเอง สามารถเข้ามาศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ Career Portal

    Feb 17, 2025
    Thumbnail for รวม 8 แบบทดสอบไทป์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ชนิดของสัตว์ ประเภทดอกไม้ หรือ MBTI ที่กำลังเป็นที่นิยมเล่นกันมากในช่วงนี้

    รวม 8 แบบทดสอบไทป์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ชนิดของสัตว์ ประเภทดอกไม้ หรือ MBTI ที่กำลังเป็นที่นิยมเล่นกันมากในช่วงนี้

    ช่วงนี้เทรนด์แบบทดสอบไทป์ต่างๆกำลังมาแรง มีหลายๆช่องครีเอเตอร์ทำออกมามากมายจนเลือกทำแทบไม่ทัน เราจึงรวบรวมแบบทดสอบที่กำลังฮิตในช่วงนี้ ที่เราได้เห็นจากที่คนอื่นแชร์บ่อยๆลงในแอพ Instagram มาไว้ให้หมด เพื่อง่ายต่อการเข้าถึง จะมีอะไรบ้าง มาดูได้ที่นี่เลย ทำไมต้องทำแบบทดสอบ การทำแบบทดสอบเหล่านี้ ช่วยให้เราได้รู้ลักษณะนิสัยของเราในเบื้องต้น เหมือนได้รู้จักตัวเองท่ามกลางความหลากหลายในสังคม และช่วยชี้แนะให้เรารู้ว่าตัวเองเหมาะกับคนหรือสังคมแบบไหน สามารถปรับไลฟ์สไตล์ให้เข้ากับบุคคลิกตนเองได้ดียิ่งขึ้น 1.Your Type: Seasons of Love ช่วงวาเลนไทน์นี้ ไม่มีอะไรฮิตไปกว่าแบบทดสอบ “Your Type: Seasons of Love” ที่กำลังเป็นไวรัลไปทั่วโลกออนไลน์ มาค้นหาความเป็นหมาแมว รู้จักสไตล์ความรักของคุณไปพร้อม ๆ กันในบทความนี้ ผลลัพธ์จะบอกลักษณะนิสัยพื้นฐานของคุณในเรื่องความรัก, สไตล์การแสดงออก, รวมถึง “คู่หู” ที่อาจเข้ากับคุณได้ดี 2.กุญแจกลางใจ : Blooming key แบบทดสอบเชิงจิตวิทยาออนไลน์ที่ช่วยสำรวจตัวตนภายในจิตใจของคุณ พร้อมด้วยภาพวาดสวยๆ และดนตรีรื่นหู คำตอบที่เป็นตัวตนของคุณจะสะท้อนผ่านดอกไม้นานาชนิดได้อย่างสวยงาม นอกจากได้เล่นคำทำนายค้นหาตัวตนในจิตใจของคุณแล้ว เลื่อนลงมาอีกนิดยังมีเกมให้เราได้ตกแต่งกุญแจได้ตามใจต้องการ เช่น เลือกสีของพื้นหลัง เลือกกุญแจลักษณะต่างๆ เลือกดอกไม้ประดับกุญแจที่หลากหลายรูปแบบ เลือกดาว และใส่ข้อความ จากนั้นระบบก็จะแสดงคำทำนาย จากภาพที่คุณได้สร้างสรรค์กุญแจออกมาอย่างสวยงาม 3.Love Pawsona ‘Love Pawsona’ แบบทดสอบบุคลิกภาพในเชิงไทป์ของคนรักที่กำลังมาแรงในตอนนี้ ที่บอกผลลัพธ์บุคลิกภาพว่าในความสัมพันธ์คุณเป็นคนรักแบบไหนผ่านสัตว์ชนิดต่างๆ เช่น หนูแฮมสเตอร์ คาปิบาร่า เป็ด เป็นต้น เป็นแบบทดสอบรูปแบบแชทกับ Cupid และมีช้อยส์ให้เลือกตลอดการสนทนา (เป็นภาษาอังกฤษ) ซึ่งจะเป็นแนวคำถามเกี่ยวกับ นิสัยการออกเดท, รสนิยม และ วิธีการทรีตคนรัก บอกเลยว่าสนุกมาก ลองไปเล่นกัน 4.Deadline Always Exists โปรเจคที่มาด้วยคอนเซปต์และมุมมองความคิดในการออกมาชวนทุกคนคุยถึงวาระสุดท้ายของชีวิต หากมันมาอย่างที่คุณไม่ทันตั้งตัว เมื่อทุกวันนี้เราต่างใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบจนหลงลืมตัวเอง และลืมนึกไปว่าชีวิตของทุกคนก็มีเดดไลน์สำคัญคือ ‘ความตาย’ ถ้าเดดไลน์มาถึง เราจะเสียดายเรื่องอะไรบ้าง? จากธีสิสจบของ ‘ไนล์’ นิสิตจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เปลี่ยนเรื่องราวจากนิสัยผัดวันประกันพรุ่งของตัวเองที่ทำให้เสียดายเวลาบ่อยๆ มาสู่คำถามว่าหากวันหนึ่งเดดไลน์ของชีวิตมาถึง เขาจะรู้สึกเสียดายอะไรบ้าง ซึ่งเป็นแบบทดสอบในรูปแบบอนิเมชั่นจำลองสถานการณ์ ใครที่อินแบบทดสอบแนวนี้ อาจจะมีเสียน้ำตากันบ้าง 5.แบบทดสอบบาร์ลับ “แบบทดสอบบาร์ลับ” เป็นแบบทดสอบจากโปรเจกต์ Too Young 2 Love จากงาน Gear Festival สร้างโดยนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับ นิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นการคอลแล็บกันเพื่อสร้างเกมจำลองสถานการณ์ ค้นหาค็อกเทลที่สะท้อนตัวตนของคุณผ่านการตอบคำถามภายในบาร์ลึกลับแห่งหนึ่งที่เราเผลอหลุดเข้าไป เมื่อเริ่มเล่น คุณจะอยู่ในร้านบาร์ลับที่เปิดบริการอยู่ เริ่มต้นที่การกด ทำแบบทดสอบ เพื่อให้เกมดึงคุณเข้าสู่ตัวละครที่ต้องการไปพักผ่อนที่ไหนสักที่ 6.MBTI Personalities Test MBTI คือแบบทดสอบหาประเภทบุคลิกภาพรายบุคคล เพื่อดูว่าคุณเป็นคนที่มีบุคลิกภาพอย่างไร และมีอิทธิพลอย่างไรในชีวิตคนอื่น ผู้คนมักนิยมเลือกใช้แบบทดสอบนี้เพื่อดูว่าตนเองมีลักษณะนิสัยอย่างไรและควรพัฒนาตัวเองให้ด้านใดบ้าง หลายคนต้องเคยโดยถามว่าเรามี MBTI ประเภทอะไร ซึ่ง MBTI มีทั้งหมด 16 แบบ และในปัจจุบันเว็บไซต์แบบทดสอบบุคลภาพ MBTI มีให้เลือกทดสอบและใช้งานได้ฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 16Personalities เป็นเว็บไซต์ทดสอบบุคลิกภาพ MBTI ที่รองรับทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ใครที่อยากทำแบบสอบถามที่มีคำถามอย่างจริงใจ มารู้จักตัวเองให้มากขึ้น พร้อมพัฒนาตัวเองให้เป็นคนที่ดียิ่งขึ้นด้วยแบบทดสอบบนเว็บไซต์ 16Personalities ได้เลย 7.Archetypes Test Archetype คือแนวคิดที่พัฒนาโดย Carl Jung นักจิตวิทยาชื่อดัง ช่วยให้เข้าใจตนเองลึกซึ้งยิ่งขึ้น นอกเหนือจาก MBTI ,Enneagram และ DiSC การรู้ Archetype ของคุณ จะช่วยพัฒนาตนเอง ปรับปรุงความสัมพันธ์ และวางแผนอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทำแบบทดสอบจะเผยให้เห็นว่า Archetype ใดที่โดดเด่นในตัวเรา นำไปสู่การเข้าใจพฤติกรรม แรงจูงใจ และการตัดสินใจของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น เริ่มต้นการเดินทางค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเราด้วยแบบทดสอบนี้และปลดล็อกศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวเองกัน ซึ่ง Archetype มีทั้งหมด 12 แบบด้วยกัน 8.Roses Test: กุหลาบสีไหนที่ใช่เธอ แบบทดสอบนี้กำลังเพิ่งเป็นที่นิยมเล่นกันในโลกออนไลน์ต่อจากแบบทดสอบ Blooming key และ Love Pawsona ที่ได้กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้ ซึ่งจะนำคุณไปพบกับเหตุการณ์ลึกลับกลางสวนกุหลาบผ่านคำถามตามสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อค้นหาสีของดอกกุหลาบที่บ่งบอกลักษณะบุคลิกของคุณ และสีของดอกกุหลาบที่เข้ากับคุณ เพียงแค่กดปุ่ม “เริ่มกันเลย” ตัวแบบทดสอบจะนำเราไปพบกับคำถามต่าง ๆ ทั้งหมด 10 ข้อ ถ้าสนใจแบบทดสอบอื่นๆ หรือว่าชอบบบทความประเภทนี้ ฝากติดตาม Jobcadu ได้ในทุกแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรซูเม่ คอร์สเรียนออนไลน์และเรียนต่อปริญญาโท เราก็มีไว้หมดแล้ว หางานน่าสนใจมากมายได้ที่ Jobs จาก Jobcadu อ้างอิง Thematter Lemon8 Thairath Thethaiger PPTV36 Wongnai PPTVHD36

    Feb 17, 2025
    Thumbnail for แบบทดสอบ Archetype Test ผู้หญิง มาดูและเข้าใจตัวตนของตัวเองในรูปแบบสาว ๆ กัน

    แบบทดสอบ Archetype Test ผู้หญิง มาดูและเข้าใจตัวตนของตัวเองในรูปแบบสาว ๆ กัน

    Archetype หรือประเภทตัวตน เป็นแนวคิดเชิงจิตวิทยาที่ถูกพัฒนาขึ้นโดย Carl Jung นักจิตวิทยาชื่อดัง Archetype เป็นตัวแทนของพฤติกรรม ความคิด และแรงบันดาลใจที่สะท้อนตัวตนของมนุษย์ โดยสิ่งเหล่านี้เป็นแบบแผนพื้นฐานที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของทุกคน โดย Archetype ช่วยให้เราเข้าใจบทบาทและบุคลิกภาพที่แตกต่างกันของแต่ละคนมากขึ้น โดยก็ถูกแบ่งออกไปหลายแง่มุม วันนี้เราจะมาพูดถึง Archetype สำหรับผู้หญิง การแบ่ง Archetype ตามเพศมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้เข้าใจบทบาททางสังคม และอิทธิพลที่มีผลต่อการใช้ชีวิตในฐานะเพศหญิง การแยก Archetype ตามเพศไม่ได้หมายถึงการแบ่งแยก แต่เป็นการสร้างความเข้าใจถึงตัวตนและศักยภาพในแบบที่เฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้นนั่นเอง Archetype สำหรับผู้หญิง มีอะไรบ้าง? Archetype สำหรับผู้หญิงมีหลากหลายรูปแบบที่สะท้อนถึงบทบาทและลักษณะเฉพาะของผู้หญิงในชีวิตจริงและในเชิงจิตวิทยา แต่ละ Archetype มีคุณสมบัติและตัวอย่างบุคคลที่เป็นที่รู้จัก ซึ่งช่วยให้เราเข้าใจและเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น The Innocent (ผู้บริสุทธิ์) Archetype นี้สะท้อนถึงผู้หญิงที่มองโลกในแง่ดี มีความใสซื่อบริสุทธิ์ และเชื่อมั่นในความดีงามของทุกสิ่ง เธอเป็นตัวแทนของความหวังและความสุขที่แท้จริง เช่น Princess Diana ที่อุทิศชีวิตช่วยเหลือผู้คนด้วยหัวใจบริสุทธิ์ The Explorer (นักสำรวจ) ผู้หญิงที่รักการผจญภัยและอิสระ โดยชอบที่จะแสวงหาประสบการณ์ใหม่ ๆ และไม่กลัวที่จะออกนอกกรอบ เช่น Amelia Earhart ที่เป็นนักบินหญิงคนแรกที่บินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก The Hero (วีรสตรี) ตัวแทนของความกล้าหาญและการต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ผู้หญิงใน Archetype นี้มักยืนหยัดในสิ่งที่ตนเองเชื่อ เช่น Joan of Arc ที่อุทิศชีวิตเพื่อต่อสู้ในสงครามศักดิ์สิทธิ์ The Sage (ผู้รอบรู้) ผู้หญิงที่มีปัญญา ลึกซึ้ง และมุ่งเน้นการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตัวเองและผู้อื่น คนประเภทนี้มักเป็นที่ปรึกษาหรือผู้นำทางความคิด เช่น Marie Curie นักวิทยาศาสตร์ผู้ได้รับรางวัลโนเบลถึงสองครั้ง The Caregiver (ผู้ดูแล) คนประเภทนี้จะเต็มไปด้วยความรักและความเสียสละเพื่อดูแลผู้อื่น Archetype นี้มุ่งเน้นความสัมพันธ์ที่อ่อนโยนและการสนับสนุน เช่น Mother Teresa ผู้เป็นสัญลักษณ์ของการเสียสละและเมตตา The Ruler (ผู้ปกครอง) ผู้หญิงที่มีความเป็นผู้นำ มั่นใจในตัวเอง และสร้างความมั่นคงให้กับสังคมหรือองค์กร เช่น Margaret Thatcher อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงของอังกฤษ The Creator (ผู้สร้างสรรค์) คนประเภทนี้จะเป็นตัวแทนของพลังแห่งจินตนาการและการสร้างสิ่งใหม่ และชอบมักจะเปลี่ยนความคิดให้กลายเป็นความจริง เช่น Frida Kahlo ที่ใช้ศิลปะถ่ายทอดอารมณ์และความคิดส่วนตัว The Rebel (ผู้ต่อต้าน) Archetype นี้แสดงถึงผู้หญิงที่กล้าท้าทายกฎเกณฑ์และระบบเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง เช่น Malala Yousafzai นักเคลื่อนไหวที่ต่อสู้เพื่อสิทธิทางการศึกษาของเด็กผู้หญิง The Lover (ผู้หลงใหล) คนประเภทนี้จะมีความโดดเด่นด้านการแสดงความรัก ความสัมพันธ์ และเสน่ห์ Archetype นี้มักสร้างความอบอุ่นและหลงใหลในความงดงามของชีวิต เช่น Marilyn Monroe ผู้เป็นสัญลักษณ์ของเสน่ห์และความโรแมนติก The Magician (ผู้วิเศษ) ตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงและการสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่น เธอเชื่อในพลังของความเป็นไปได้ เช่น Oprah Winfrey ผู้เปลี่ยนชีวิตคนจำนวนมากด้วยเรื่องราวและพลังแห่งคำพูด The Warrior (นักรบ) Archetype ประเภทนี้จะมีความเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่ง มุ่งมั่น และพร้อมต่อสู้เพื่อเป้าหมาย เช่น Serena Williams นักเทนนิสหญิงที่ยืนหยัดในความสามารถและความเท่าเทียม The Jester (นักสร้างสีสัน) ผู้หญิงที่มีความสุขุม สร้างเสียงหัวเราะ และมองหาความสนุกในทุกสถานการณ์ เธอใช้พลังของอารมณ์ขันเพื่อช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด เช่น Ellen DeGeneres The Altruist (ผู้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม) Archetype นี้สะท้อนถึงผู้หญิงที่มุ่งเน้นการช่วยเหลือสังคม เธออุทิศชีวิตให้กับการพัฒนาคนรอบข้าง เช่น Melinda Gates ผู้มีบทบาทสำคัญในงานด้านมนุษยธรรม แนะนำแบบทดสอบ Archetype Test หากเพื่อน ๆ อยากค้นหา Archetype ของตัวเอง สามารถลองทำแบบทดสอบจากเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้ เช่น: แบบทดสอบ Archetype ภาษาไทย แบบทดสอบ Archetype English Test การทำความเข้าใจ Archetype ผู้หญิงไม่เพียงช่วยให้เรารู้จักตัวตนที่แท้จริง แต่ยังเสริมสร้างศักยภาพในด้านต่าง ๆ การเรียนรู้ Archetype จะช่วยให้กำหนดเป้าหมายในชีวิตได้อย่างเหมาะสมและชัดเจน หากอยากเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Archetype และวิธีค้นหาแบบทดสอบที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวเอง สามารถอ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่ คำแนะนำอาชีพ ได้เลย

    Nov 28, 2024
    Thumbnail for MBTI คืออะไร นำมาพัฒนาในการใช้ชีวิตและการทำงานของเราได้อย่างไร

    MBTI คืออะไร นำมาพัฒนาในการใช้ชีวิตและการทำงานของเราได้อย่างไร

    บุคลิกของคนนั้นมีหลากหลายรูปแบบมาก ๆ การแยกแยะบุคลิกก็ทำได้หลากหลายวิธี เช่น Archetype Test DISC และ MBTI (Myers-Briggs Type Indicator) ซึ่ง MBTI เป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมในการวิเคราะห์บุคลิกภาพและทำความเข้าใจตัวตนของแต่ละบุคคล MBTI ช่วยให้เรารู้จักกับตนเองและผู้อื่นได้ดียิ่งขึ้น โดยมีการแบ่งประเภทบุคลิกภาพเป็น 16 รูปแบบนั่นเอง MBTI คืออะไร? MBTI ย่อมากจาก Myers-Briggs Type Indicator เป็นแบบทดสอบที่ช่วยให้เราทราบถึงลักษณะบุคลิกภาพของตัวเอง โดยการแบ่งบุคลิกภาพออกเป็น 4 คู่ของพฤติกรรมหลัก ๆ ได้แก่: E (Extraversion) vs. I (Introversion): การมองโลกภายนอกหรือการมองภายในตัวเอง S (Sensing) vs. N (Intuition): การรับรู้ข้อมูลจากประสบการณ์หรือจากการจินตนาการ T (Thinking) vs. F (Feeling): การตัดสินใจตามเหตุผลหรือความรู้สึก J (Judging) vs. P (Perceiving): การจัดระเบียบชีวิตหรือการเปิดโอกาสให้กับความยืดหยุ่น จากการผสมผสานของแต่ละคู่ดังกล่าว จะทำให้เกิด 16 ประเภทบุคลิกภาพ ที่มีลักษณะเฉพาะตัว ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจพฤติกรรม และวิธีการทำงานของตัวเองและผู้อื่นได้ดีขึ้น 16 ประเภทบุคลิกภาพใน MBTI ISTJ (The Inspector): มีความรับผิดชอบและมีระเบียบ ชอบการทำงานที่ชัดเจนและเป็นระบบ ไม่ชอบการคาดเดา ชอบวิเคราะห์พฤติกรรม สิ่งแวดล้อมคนรอบข้าง ทำงานตรงเวล ไม่ชอบทำงานแบบดินพอกหางหมู ISFJ (The Protector): ใส่ใจในรายละเอียดและการดูแลคนอื่น รักเพื่อน มีความอดทนสูง ทุ่มเทให้กับคนรอบตัวและงานจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย มีพลังงานล้นเหลือ INFJ (The Advocate): มุ่งมั่นในค่านิยมและการช่วยเหลือผู้อื่น มีความคิดสร้างสรรค์ เปิดใจยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น มีคาแรกเตอร์ที่ชัดเจน INTJ (The Architect): มีความคิดในการวางแผนต่าง ๆ ได้อย่างดีเยี่ยม มุ่งมั่นในการบรรลุเป้าหมาย แต่เป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง เหมาะที่จะประกอบอาชีพ นักวิทยาศาสตร์ ISTP (The Virtuoso): ชอบการทดลองและทำกิจกรรมที่ท้าทาย ดูเป็นคนเข้าถึงได้ยาก รักอิสระ ไม่ชอบทำตามกฏเกณฑ์ และคาดเดาได้ยาก ISFP (The Composer): มีความคิดสร้างสรรค์ มีความเป็นศิลปินสูง ใช้ชีวิตอย่างสร้างสรรค์และเต็มไปด้วยความสนุกสนาน INFP (The Mediator): มีความคิดเชิงลึก มีความปรารถนาที่จะช่วยเหลือผู้อื่นและมีความสามารถในการสื่อสารได้อย่างดี INTP (The Thinker): มักสนใจในแนวคิดเชิงทฤษฎีและปรัชญา ชอบหาหลักฐานมาพิสูจน์ข้อเท็จจริงแต่บางทีก็ข้อเสียคือย้ำคิดย้ำทำ ESTP (The Dynamo): มีความกระตือรือร้น ชอบความท้าทาย ช่างสังเกตและจดจำรายละเอียดเล็ก ๆ น้อยได้ดี ESFP (The Performer): ชอบความสนุกสนานและเป็นอันที่รักในกลุ่มเพื่อน แต่มักจะอ่อนไหวกับอารมณ์ของผู้อื่น ENFP (The Campaigner): มีความคิดสร้างสรรค์ และเต็มไปด้วยแพชชันในการทำงานที่ตนเองรัก ซึ่งปกติคนประเภทนี้จะมีเพื่อนเยอะมาก ๆ เพราะเข้ากันได้กับคนหลาย ๆ ประเภท ENTP (The Debater): ชอบการโต้แย้ง ชอบเปรียบเทียบ ชอบถกเถียงในประเด็นต่าง ๆ จึงทำให้คนประเภทนี้เป็คนที่มีไหวพริบสูง ฉลาดและช่างสังเกต ESTJ (The Executive): เป็นผู้นำที่มีระเบียบและเน้นการปฏิบัติ มี Direction ในการตัดสินใจได้อย่างชัดเจน แต่ข้อเสียก็คือไม่ค่อยแคร์ความรู้สึกของผู้อื่น ESFJ (The Consul): ชอบการช่วยเหลือผู้อื่นและเป็นผู้ที่มีความสามารถในการให้คำปรึกษาได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องต่าง ๆ ENFJ (The Protagonist): มุ่งมั่นในการพัฒนาผู้อื่นและนำทีม แต่จะมีข้อเสียคือจะแคร์ความรู้สึกของผู้อื่นมากเกินไป หากไว้ใจใครก็จะแคร์มากเท่านั้น ENTJ (The Commander): เป็นผู้นำที่มุ่งมั่น เต็มไปด้วยกลยุทธ์ และมีทักษะในการตัดสินใจได้อย่างดีเยี่ยม หลังจากที่เข้าใจ MBTI ทั้ง 16 ประเภทแล้ว ของคุณเป็นแบบไหน มาลองทำแบบทดสอบ MBTI กัน คลิก ทำไม MBTI ถึงสำคัญ? MBTI ช่วยให้เราเข้าใจวิธีการที่คนแต่ละคนรับรู้และประมวลผลข้อมูล รวมถึงวิธีการที่แต่ละบุคคลตัดสินใจและดำเนินชีวิต MBTI เป็นเครื่องมือที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานเป็นทีม การเข้าใจตัวเองและผู้อื่นได้ดีขึ้น รวมถึงการพัฒนาทักษะในด้านการสื่อสารและการทำงานร่วมกัน MBTI ไทป์ไหนหายากที่สุด อ้างอิงจาก Wikijob กล่าวไว้ว่า INFJ เป็นประเภทบุคลิกภาพที่พบได้ยากที่สุด โดยมีเพียง 1.5% ของประชากรเท่านั้นที่มีบุคลิกภาพแบบ INFJ บุคคลที่ระบุตัวเองว่าเป็น INFJ ตามประเภทบุคลิกภาพของ Myers-Briggs มักถูกเรียกว่าเป็น “ที่ปรึกษา” เนื่องจากมีทักษะการฟังที่ดีและมีบุคลิกที่พอเหมาะพอดี เพราะเป็นคนที่คิดไตร่ตรองและรับรู้ได้อย่างลึกซึ้งถึงผลกระทบที่การกระทำของตนมีต่อผู้อื่น ทำให้พวกเขาเป็นผู้ร่วมงานที่ดี อย่างไรก็ตาม บางครั้งพวกเขาอาจดูเป็นคนที่สงบเงียบเกินไปในกลุ่ม จึงอาจต้องการการสนับสนุนเพื่อกระตุ้นให้แสดงความคิดเห็น การนำ MBTI ไปใช้ในชีวิตประจำวัน ในการทำงาน: การทำความเข้าใจประเภทบุคลิกภาพของตัวเองและเพื่อนร่วมงานสามารถช่วยให้การสื่อสารและการทำงานร่วมกันมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในความสัมพันธ์: MBTI ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมและความคาดหวังของคนใกล้ตัวได้ ผ่านการเข้าใจในตัวของคน ๆ นั้นได้อย่างดี ในการพัฒนาตัวเอง: ด้วยการรู้จักบุคลิกภาพของตัวเอง จะช่วยให้เราตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการเลือกงานที่เหมาะสมกับตัวเอง ข้อดีและข้อเสียของ MBTI ข้อดี: ช่วยเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเองและผู้อื่น ใช้ในการพัฒนาตนเองและการทำงานร่วมกับผู้อื่น สามารถใช้ในการเลือกอาชีพที่เหมาะสมกับบุคลิกภาพ ข้อจำกัด: บางครั้งไม่สามารถครอบคลุมทุกแง่มุมของบุคลิกภาพ อาจมีการจำกัดประเภทบุคลิกภาพที่เกิดจากการทดสอบแบบตัวเลือกเดียว การทำความเข้าใจระบบ MBTI ช่วยให้สามารถรู้จักตัวเองและผู้อื่นได้ดียิ่งขึ้น โดยการรู้ว่าคุณเป็นบุคคลแบบไหนใน 16 ประเภทบุคลิกภาพของ MBTI จะช่วยในการพัฒนาความสัมพันธ์ การทำงาน และการตัดสินใจในชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่าลืมว่า MBTI เป็นเครื่องมือหนึ่งในการพัฒนาตัวเองและเสริมสร้างความเข้าใจในโลกของการติดต่อสื่อสารและการทำงานร่วมกันอย่างมีความสุขและประสบความสำเร็จ

    Nov 6, 2024
    Thumbnail for 9 Archetype ของการดึงดูด: ปลดล็อกพลังในชีวิตการทำงานและส่วนตัว

    9 Archetype ของการดึงดูด: ปลดล็อกพลังในชีวิตการทำงานและส่วนตัว

    Robert Greene เขียนหนังสือ The Art of Seduction ในหัวข้อจิตวิทยาของการดึงดูดผ่านต้นแบบทั้ง 9 Archetype ซึ่งไม่เพียงแค่เกี่ยวกับเสน่ห์ในเชิงโรแมนติก แต่การเข้าใจ Archetype เหล่านี้สามารถช่วยให้คุณได้เปรียบ ไม่ว่าคุณจะพยายามโน้มน้าวเพื่อนร่วมงาน ชนะใจลูกค้า หรือเป็นผู้นำลูกทีมอย่างมีประสิทธิภาพ ลองทำแบบทดสอบ The Seduction Archetype ทำความเข้าใจ 9 Archetype ของการดึงดูดและชักจูง Archetype การดึงดูดทั้ง 9 ประเภทของ Greene แต่ละประเภทจะมีลักษณะเฉพาะและกลยุทธ์ที่ทำให้มันมีประสิทธิภาพในบริบทที่แตกต่างกัน นี่คือภาพรวมโดยย่อ: 1.The Siren: โดดเด่นด้วยการมีเสน่ห์และความลึกลับ Siren ใช้ความงามและปริศนาในการดึงดูดผู้คนรอบข้าง 2.The Rake: ขับเคลื่อนด้วยความหลงใหล Rake ไม่เคยหยุดยั้งในการแสวงหาสิ่งที่เขาต้องการ 3.The Ideal Lover: Archetype นี้มองถึงเป้าหมายที่ต้องการอย่างสมบูรณ์แบบ 4.The Dandy: Dandy มีเสน่ห์ผ่านความคลุมเครือและความไม่เป็นไปตามมาตรฐานสังคม 5.The Natural: ด้วยความไร้เดียงสาเหมือนเด็ก Natural ทำให้ผู้อื่นละทิ้งการกลไกการป้องกันตัวด้วยทัศนคติที่สนุกสนานและไม่ยึดติด 6.The Coquette: เจ้าแห่งการดึงดูดที่ทำให้ผู้อื่นต้องการอยู่ใกล้พวกเขามากขึ้นอยู่เสมอ 7.The Charmer: มีความชำนาญในการเข้าสังคมและมีน้ำใจ Charmer ชนะใจผู้คนด้วยความอบอุ่นและความใส่ใจ 8.The Charismatic: ความมั่นใจและพลังออร่าทำให้ Charismatic โดดเด่นและดึงดูดผู้คน 9.The Star: Stars ผสมผสานความธรรมดากับความพิเศษ ทำให้พวกเขาทั้งน่าสนใจและโดดเด่น The Siren: พลังแห่งการดึงดูดทางเพศ Archetype ของ Siren ใช้ความงามและความลึกลับในการดึงดูดความสนใจ ในสถานการณ์การทำงาน นี่อาจแปลเป็นการดึงดูดผู้ฟังในการนำเสนอหรือการเจรจาต่อรอง ด้วยการปรับสมดุลระหว่างเสน่ห์และความเป็นมืออาชีพ Sirens สามารถโน้มน้าวการตัดสินใจและผลลัพธ์ได้อย่างละเอียดอ่อนแต่มีประสิทธิภาพ จุดแข็งในสภาพแวดล้อมทางการทำงาน: Sirens สามารถใช้การปรากฏตัวที่ดึงดูดใจของพวกเขาในการดึงดูดความสนใจในที่ประชุม ทำให้ความคิดของพวกเขาดูน่าสนใจและมีอิทธิพลในการตัดสินใจสำคัญๆ The Rake: ความหลงใหลและการแสวงหาอย่างไม่หยุดยั้ง Rakes มีลักษณะเด่นด้วยความหลงใหลและความไม่หยุดยั้งในการแสวงหาสิ่งที่พวกเขาต้องการ พลังงานและความมุ่งมั่นที่ไม่ลดละของพวกเขาสามารถเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในสถานที่ทำงาน ซึ่งความกระตือรือร้นและพลังงานมักจะแปลเป็นผลการปฏิบัติงานที่สูงและแรงบันดาลใจให้กับทีม จุดแข็งในสภาพแวดล้อมทางการทำงาน: Rakes โดดเด่นในสภาพแวดล้อมที่ต้องการความพยายามอย่างไม่ลดละ ความสามารถในการไม่ถูกขัดขวางโดยอุปสรรคทำให้พวกเขามีค่าในบทบาทที่ต้องการความทนทาน เช่น การขาย การจัดการโครงการ หรือการเป็นผู้นำ The Ideal Lover: การสร้างจินตนาการ จุดแข็งของ The Ideal Lover อยู่ที่ความสามารถในการกลายเป็นสิ่งที่คนอื่นต้องการ ในโลกธุรกิจ Archetype นี้สามารถปรับตัวให้เหมาะสมกับความต้องการและความคาดหวังเฉพาะของลูกค้าหรือเพื่อนร่วมงาน ทำให้พวกเขามีประสิทธิภาพสูงในบทบาทที่ต้องการการปรับแต่งและการบริการลูกค้า จุดแข็งในสภาพแวดล้อมทางการทำงาน: Ideal Lovers สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและภักดีโดยการปรับตัวให้เข้ากับบุคลิกที่ผู้รับบริการหรือทีมงานต้องการ ความสามารถในการสร้างความพึงพอใจให้กับผู้อื่นทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จในบทบาทที่ต้องการการติดต่อกับลูกค้า The Dandy: เสน่ห์และความคลุมเครือ Dandies เติบโตได้ดีในความคลุมเครือและด้วยเสน่ห์ ในสถานที่ทำงาน Archetype นี้สามารถนำความคิดสร้างสรรค์และการคิดนอกกรอบมาสู่ทีม ทำให้พวกเขามีคุณค่าต่ออุตสาหกรรมที่ให้ความสำคัญกับนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์และความเป็นเอกลักษณ์ จุดแข็งในสภาพแวดล้อมทางการทำงาน: ด้วยการโดดเด่นและนำเสนอมุมมองที่ไม่เหมือนใคร Dandies สามารถสร้างแรงบันดาลใจและสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่สร้างสรรค์ ความสามารถในการท้าทายความคิดทั่วไปสามารถนำไปสู่การค้นพบที่ก้าวหน้าในกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือกลยุทธ์ทางการตลาด The Natural: การดึงดูดแบบไร้เดียงสาและสนุกสนาน Naturals ใช้ความไร้เดียงสาและความสนุกสนานของพวกเขาเพื่อสร้างความรู้สึกสบายและเปิดกว้าง ในสถานที่ทำงาน พวกเขาสามารถนำเสนอมุมมองใหม่และเสน่ห์ที่ทำให้พวกเขามีประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกับทีมและการเจรจาลูกค้า จุดแข็งในสภาพแวดล้อมทางการทำงาน: Naturals นำแนวคิดสร้างสรรค์และความสนุกสนานในการแก้ปัญหา ความสามารถในการลดความเครียดและสร้างความไว้วางใจอย่างรวดเร็วทำให้พวกเขาเหมาะสมในการทำงานเป็นทีมและการเจรจากับลูกค้า The Coquette: เจ้าแห่งการดึดดูด Coquettes เป็นผู้เชี่ยวชาญในการสร้างความคาดหวังในเชิงบวก ในโลกธุรกิจ นี่สามารถใช้ในการสร้างความตื่นเต้นให้กับโครงการหรือการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่โดยการเปิดเผยข้อมูลอย่างมีกลยุทธ์และการทำผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้มีความสนใจ จุดแข็งในสภาพแวดล้อมทางการทำงาน: Coquettes อาจเข้าใจจิตวิทยาและความต้องการของผู้คน สามารถจัดการความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการควบคุมข้อมูลและการส่งมอบในเวลาที่เหมาะสม The Charmer: การชนะใจด้วยความเมตตา Charmers มีความสามารถในการทำให้ผู้อื่นรู้สึกมีคุณค่าและได้รับความสนใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทรงพลังในทุกสภาพแวดล้อมการทำงาน ความอบอุ่นและความใส่ใจของพวกเขาสามารถสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่งและขจัดความขัดแย้ง ทำให้พวกเขาเหมาะสมในบทบาทการเป็นผู้นำและทรัพยากรมนุษย์ จุดแข็งในสภาพแวดล้อมทางการทำงาน: Charmers โดดเด่นในบทบาทที่ต้องการการทูตและการจัดการความสัมพันธ์ ความสามารถในการทำให้ผู้อื่นรู้สึกได้รับฟังและมีคุณค่าช่วยส่งเสริมความรู้สึกร่วมและความร่วมมือ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการเป็นผู้นำทีมและการจัดการลูกค้า The Charismatic: ออร่าและการชักชวน Charismatics มีเสน่ห์ดึงดูดผู้คนด้วยความมั่นใจและออร่าที่โดดเด่น ในสถานที่ทำงาน พวกเขาสามารถใช้การปรากฏตัวสร้างบรรยากาศในที่ทำงาน เพื่อเป็นผู้นำและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่น ทำให้พวกเขาเป็นผู้นำโดยธรรมชาติที่สามารถระดมทีมและขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงได้ จุดแข็งในสภาพแวดล้อมทางการทำงาน: Charismatics เป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพสูงในบทบาทการเป็นผู้นำ ซึ่งการเป็นผู้นำที่เป็นธรรมชาติและความสามารถในการสร้างแรงบันดาลใจทำให้ทีมมุ่งมั่นสู่เป้าหมายที่สูงส่ง การมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและการแสดงออกที่มั่นใจมักจะขับเคลื่อนโครงการให้ประสบความสำเร็จ The Star: ความน่าดึงดูดใจและความลึกลับ Stars ดึงดูดใจด้วยการผสมผสานความธรรมดากับความพิเศษ ในบริบทการทำงาน นี่อาจหมายถึงการสร้างแบรนด์หรือบุคลิกภาพที่ไม่เหมือนใครซึ่งทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่าเป็นแรงบันดาลใจและน่าสนใจ ทำให้พวกเขามีอิทธิพลในบทบาทที่ต้องการการพูดในที่สาธารณะหรือการสร้างแบรนด์ส่วนตัว จุดแข็งในสภาพแวดล้อมทางการทำงาน: Stars สามารถใช้การผสมผสานความพิเศษและความสามารถในการเชื่อมต่อกับผู้อื่นเพื่อเป็นบุคคลสำคัญภายในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการเป็นผู้นำทางความคิดหรือการจัดการลูกค้า ซึ่งบุคลิกภาพของพวกเขาจะเพิ่มมูลค่าให้กับแบรนด์และทีม ข้อพิจารณาด้านจริยธรรมและข้อควรระวัง การดึงดูดในบริบทใด ๆ เกี่ยวข้องกับกระบวนการที่เริ่มจากการดึงดูดใจไปจนถึงการสร้างอิทธิพลหรือควบคุม อย่างไรก็ตาม การรักษาสมดุลกับข้อพิจารณาด้านจริยธรรมเป็นสิ่งสำคัญ การดึงดูดไม่ควรข้ามเส้นเข้าสู่การบังคับหรือการบงการ; มันควรจะเกี่ยวกับประโยชน์ร่วมกันและการเคารพซึ่งกันและกัน คำถามที่พบบ่อย คนสามารถแสดงออกในหลาย ๆ Archetype ได้หรือไม่? ได้ หลายคนแสดงลักษณะของหลาย Archetype ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ The Art of Seduction นำไปใช้กับความสัมพันธ์ในยุคปัจจุบันได้อย่างไร? หลักการเหล่านี้สามารถปรับใช้ได้ทั้งในความสัมพันธ์ส่วนตัวและในสภาพแวดล้อมทางการทำงาน โดยเน้นที่การมีอิทธิพลและการดึงดูด การดึงดูดเกี่ยวข้องกับโรแมนติกเสมอหรือไม่? ไม่ การดึงดูดในกรอบของ Greene ครอบคลุมทุกด้านของชีวิต รวมถึงการทำงาน ขอบเขตทางจริยธรรมคืออะไร? การใช้เสน่ห์ดึงดูดควรเคารพในความเป็นอิสระและความยินยอมของผู้อื่น โดยหลีกเลี่ยงการบงการเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน บทสรุป การเข้าใจและนำ 9 Archetype การดึงดูดจาก The Art of Seduction มาใช้สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่ทรงพลังในการทำความเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์และการมีอิทธิพล ไม่ว่าจะเป็นในความสัมพันธ์ส่วนตัวหรือในสถานที่ทำงาน ด้วยการรับรู้ถึง Archetype เหล่านี้และจุดแข็งของพวกเขา คุณสามารถนำไปปรับใช้ทางสังคม และนำไปหางานด้วย Jobs จาก Jobcadu ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีจริยธรรม นอกจากนั้นยังมีแบบทดสอบสำหรับผู้หญิงด้วยนะ มาทำความเข้าใจได้ที่ลิงก์นี้เลย Archetype Test สำหรับสาว ๆ มาดูและเข้าใจตัวตนของตัวเองในรูปแบบสาว ๆ ลิงก์เพื่อศึกษาเพิ่มเติม Explore Robert Greene’s Work Understanding the Psychology of Attraction The Power of Influence in Leadership

    Sep 12, 2024
    Thumbnail for รู้จักแบบทดสอบ Archetype Test : 12 ต้นแบบ คุณมีต้นแบบแบบใด?

    รู้จักแบบทดสอบ Archetype Test : 12 ต้นแบบ คุณมีต้นแบบแบบใด?

    รู้จักแบบทดสอบ Archetype Test : 12 ต้นแบบ คุณมีต้นแบบแบบใด? ค้นพบ Archetype ที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณผ่านแบบทดสอบนี้ Archetype คือแนวคิดที่พัฒนาโดย Carl Jung นักจิตวิทยาชื่อดัง ช่วยให้เข้าใจตนเองลึกซึ้งยิ่งขึ้น นอกเหนือจาก MBTI ,Enneagram และ DiSC การรู้ Archetype ของคุณจะช่วยพัฒนาตนเอง ปรับปรุงความสัมพันธ์ และวางแผนอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทฤษฎีนี้เสนอว่าแต่ละคนมีลักษณะทางจิตวิทยาที่เป็นแม่แบบอยู่ในจิตใต้สำนึก การทำแบบทดสอบจะเผยให้เห็นว่า Archetype ใดที่โดดเด่นในตัวคุณ นำไปสู่การเข้าใจพฤติกรรม แรงจูงใจ และการตัดสินใจของคุณได้ดียิ่งขึ้น เริ่มต้นการเดินทางค้นพบตัวตนที่แท้จริงของคุณวันนี้ด้วยแบบทดสอบ Archetype ของเรา และปลดล็อกศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณ อะไรคือ Jungian Archetype? Jungian Archetype คือแนวคิดที่ Carl Jung เสนอว่าในจิตใต้สำนึกของมนุษย์มีลักษณะทางจิตวิทยาที่เป็นแม่แบบหรือ "Archetype" (อ่านว่า อาคีไทป์) ที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมและการตัดสินใจของเรา Jung แบ่ง Archetype ออกเป็นหลายประเภท แต่ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ 12 Archetype หลัก ซึ่งประกอบไปด้วย Innocent, Orphan, Hero, Caregiver, Explorer, Rebel, Lover, Creator, Jester, Sage, Magician, และ Ruler แต่ละ Archetype มีลักษณะเฉพาะตัวที่สะท้อนถึงการแสดงออกและการรับรู้ของบุคคล การรู้จัก Archetype ของตัวเองจะช่วยให้คุณเข้าใจว่าเหตุใดคุณจึงมีพฤติกรรมแบบใดในสถานการณ์ต่างๆ และสามารถปรับปรุงตัวเองให้ดียิ่งขึ้นได้ ทำไมควรทำ Archetype Test? การทำ Archetype Test ไทย มีประโยชน์เนื่องจากช่วยให้คุณสามารถค้นพบลักษณะทางจิตวิทยาที่ซ่อนอยู่ในตัวเอง และนำไปใช้ในการพัฒนาตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การรู้จัก Archetype ของตัวเองยังช่วยให้คุณสามารถเข้าใจและปรับปรุงความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ต้องการการสื่อสารและความเข้าใจที่ดี การทำแบบทดสอบนี้ยังช่วยให้คุณสามารถวางแผนอนาคตและการตัดสินใจในชีวิตได้อย่างมีหลักการและมั่นใจมากขึ้น แตกต่างจากแบบทดสอบบุคลิกภาพทั่วไปที่เน้นการวัดผลเป็นตัวเลข Archetype Test ช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของตัวตนและพฤติกรรมของคุณได้อย่างชัดเจน ประเภทของ Archetype หลักในทฤษฎีของ Carl Jung ทฤษฎีของ Carl Jung แบ่ง Archetype ออกเป็น 12 ประเภทหลัก ซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะตัวที่สะท้อนถึงวิธีการที่บุคคลแสดงออกและรับรู้โลก ต่อไปนี้คือลักษณะของ Archetype หลัก: 1.Innocent 🌟 ผู้ที่มองโลกในแง่ดีและมีความปรารถนาที่จะทำให้โลกเป็นสถานที่ที่ดีขึ้น แรงจูงใจหลัก: แสวงหาความสุขและความเรียบง่าย จุดแข็ง: มองโลกในแง่ดี มีความหวัง เชื่อมั่นในผู้อื่น จุดอ่อน: ไร้เดียงสา หลีกเลี่ยงความขัดแย้ง สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม: สภาพแวดล้อมที่สนับสนุนและเป็นบวก ไดนามิกความสัมพันธ์: ชอบความสงบ หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า 2.Orphan 🛡️ ผู้ที่มองเห็นความเป็นจริงในโลกและต้องการความเชื่อมั่นและการยอมรับจากผู้อื่น แรงจูงใจหลัก: แสวงหาความปลอดภัยและการยอมรับ จุดแข็ง: มองโลกตามความเป็นจริง เข้าอกเข้าใจผู้อื่น เข้มแข็ง จุดอ่อน: อาจมองโลกในแง่ร้าย กลัวการถูกทอดทิ้ง สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม: ชุมชนที่มีความมั่นคงและยอมรับกัน ไดนามิกความสัมพันธ์: ซื่อสัตย์ ให้ความสำคัญกับความเชื่อถือและการสนับสนุน 3.Hero 🦸 ผู้ที่มีความตั้งใจที่จะพิชิตทุกสิ่งและแสดงความกล้าหาญในทุกสถานการณ์ แรงจูงใจหลัก: แสวงหาความสำเร็จและความสามารถในการควบคุมสถานการณ์ จุดแข็ง: กล้าหาญ มุ่งมั่น ทำงานเชิงรุก จุดอ่อน: อาจทุ่มเทเกินไป เสี่ยงต่อการเหนื่อยล้า สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม: สภาพแวดล้อมที่ท้าทายและแข่งขัน ไดนามิกความสัมพันธ์: สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น นำด้วยตัวอย่างที่ดี 4.Caregiver 🤲 ผู้ที่มีความเมตตาและพร้อมที่จะช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ แรงจูงใจหลัก: แสวงหาการช่วยเหลือและดูแลผู้อื่น จุดแข็ง: ใจดี มีเมตตา เชื่อถือได้ จุดอ่อน: อาจเสียสละตนเอง ลืมดูแลตัวเอง สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม: บทบาทที่เน้นการบริการและการทำงานร่วมกัน ไดนามิกความสัมพันธ์: สนับสนุนผู้อื่น ใส่ใจความต้องการของคนรอบข้าง 5.Explorer 🌍 ผู้ที่มีความปรารถนาในการค้นพบโลกและประสบการณ์ใหม่ๆ แรงจูงใจหลัก: แสวงหาอิสรภาพและประสบการณ์ใหม่ๆ จุดแข็ง: ชอบการผจญภัย อยากรู้อยากเห็น เป็นอิสระ จุดอ่อน: ไม่อยู่นิ่ง หลีกเลี่ยงการผูกพัน สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม: โอกาสที่ไม่จำกัดและเปลี่ยนแปลงได้ ไดนามิกความสัมพันธ์: ส่งเสริมการเติบโต ให้ความสำคัญกับอิสระ 6.Rebel ⚡ ผู้ที่ไม่ชอบการถูกควบคุมและมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แรงจูงใจหลัก: แสวงหาการเปลี่ยนแปลงและต่อต้านสภาพแวดล้อมเดิมๆ จุดแข็ง: นวัตกรรม กล้าหาญ ไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง จุดอ่อน: อาจก่อให้เกิดความวุ่นวาย ต่อต้านโดยไม่มีเหตุผล สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม: สภาพแวดล้อมที่ยืดหยุ่นและไม่เป็นไปตามแบบแผน ไดนามิกความสัมพันธ์: กระตุ้นการเปลี่ยนแปลงในผู้อื่น 7.Lover 💖 ผู้ที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์และความรัก แรงจูงใจหลัก: แสวงหาความสัมพันธ์และความใกล้ชิด จุดแข็ง: มีความหลงใหล เข้าอกเข้าใจ ซื่อสัตย์ จุดอ่อน: อาจพึ่งพาผู้อื่นมากเกินไป กลัวการถูกปฏิเสธ สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม: สภาพแวดล้อมที่อบอุ่นและเน้นความสัมพันธ์ ไดนามิกความสัมพันธ์: เชื่อมต่ออย่างลึกซึ้ง ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ทางอารมณ์ 8.Creator 🎨 ผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์และมุ่งมั่นในการสร้างสิ่งใหม่ๆ แรงจูงใจหลัก: แสวงหาการสร้างสรรค์และนวัตกรรม จุดแข็ง: มีจินตนาการ วิสัยทัศน์ มีทรัพยากรในการสร้างสรรค์ จุดอ่อน: อาจมีความต้องการความสมบูรณ์แบบ สูงเกินไป สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม: สภาพแวดล้อมที่เปิดกว้างและไม่เป็นทางการ ไดนามิกความสัมพันธ์: สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น ให้คุณค่ากับความคิดริเริ่ม 9.Jester 🎭 ผู้ที่รักความสนุกสนานและสามารถหาความสุขจากทุกสถานการณ์ แรงจูงใจหลัก: แสวงหาความสนุกสนานและสร้างบรรยากาศที่เบาสบาย จุดแข็ง: อารมณ์ขัน สนุกสนาน ปรับตัวได้ดี จุดอ่อน: อาจถูกมองว่าเป็นคนผิวเผิน หลีกเลี่ยงปัญหาที่จริงจัง สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม: บรรยากาศที่มีพลังและผ่อนคลาย ไดนามิกความสัมพันธ์: นำความสุขมาให้ ใช้อารมณ์ขันในการเชื่อมต่อกับผู้อื่น 10.Sage 🧠 ผู้ที่มีความรู้และปรารถนาที่จะแบ่งปันความรู้ให้กับผู้อื่น แรงจูงใจหลัก: แสวงหาความจริงและความเข้าใจ จุดแข็ง: ฉลาด มีความรู้ ช่างวิเคราะห์ จุดอ่อน: อาจวิจารณ์มากเกินไป ไม่เชื่อมโยงกับอารมณ์ สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม: สภาพแวดล้อมที่เน้นการวิจัยและการเรียนรู้ ไดนามิกความสัมพันธ์: ให้คำแนะนำ มุ่งเน้นการเชื่อมต่อทางปัญญา 11.Magician 🔮 ผู้ที่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ด้วยความคิดและการกระทำ แรงจูงใจหลัก: แสวงหาการเปลี่ยนแปลงและการเปลี่ยนแปลง จุดแข็ง: วิสัยทัศน์ มีอิทธิพล สร้างสรรค์การเปลี่ยนแปลง จุดอ่อน: อาจเป็นคนเจ้าเล่ห์ มีอุดมคติเกินไป สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม: สถานที่ที่เน้นนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลง ไดนามิกความสัมพันธ์: มีอิทธิพลต่อผู้อื่น ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง 12.Ruler 👑 ผู้ที่มีความต้องการในการควบคุมและเป็นผู้นำ แรงจูงใจหลัก: แสวงหาการควบคุมและความมั่นคง จุดแข็ง: ความเป็นผู้นำ มีความรับผิดชอบ จัดการได้ดี จุดอ่อน: อาจเผด็จการ กลัวการสูญเสียการควบคุม สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม: บทบาทที่มีโครงสร้างและมีอำนาจ ไดนามิกความสัมพันธ์: นำพาผู้อื่น ให้ความสำคัญกับระเบียบและโครงสร้าง แต่ละ Archetype มีบทบาทที่แตกต่างกันในชีวิตของเรา การทำ Archetype Test จะช่วยให้คุณค้นพบว่า Archetype ใดที่เป็นลักษณะหลักในตัวคุณ วิธีการทำ Archetype Test การทำ Archetype Test เป็นกระบวนการที่ไม่ซับซ้อน คุณสามารถเริ่มต้นได้โดยการเข้าถึงเว็บไซต์ที่ให้บริการแบบทดสอบ Archetype ในภาษาไทยจากนั้นตอบคำถามที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมและทัศนคติของคุณในระยะเวลาประมาณ 4-6 นาที โดยคำถามในแบบทดสอบที่แอบคล้ายกับ MBTI ที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณสามารถระบุ Archetype หลักของคุณเมื่อทำแบบทดสอบเสร็จสิ้น คุณจะได้ทราบลักษณะเด่นและจุดอ่อนของคุณ แบบทดสอบ Archetype ภาษาไทย แบบทดสอบ Archetype English Test Tips : เพื่อผลลัพธ์ที่แม่นยำ ให้ตอบคำถามอย่างซื่อสัตย์ ไม่คิดมาก และเลือกคำตอบแรกที่เข้ามาในใจ การทำแบบทดสอบในช่วงเวลาที่คุณรู้สึกผ่อนคลายจะช่วยให้ได้ผลที่สะท้อนตัวตนที่แท้จริงของคุณมากที่สุด วิธีการนำผลลัพธ์จาก Archetype Test มาใช้ หลังจากที่คุณได้รับผลลัพธ์แล้ว คุณสามารถใช้ข้อมูลที่ได้รับเพื่อพัฒนาตนเองในหลายๆ ด้าน เช่น การปรับปรุงความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง การนำไปหางาน การทำงานร่วมกับทีม และการตัดสินใจในสถานการณ์ที่ต้องใช้การวิเคราะห์เชิงลึก การรู้จัก Archetype ของตัวเองยังช่วยให้คุณสามารถกำหนดเป้าหมายในชีวิตได้อย่างชัดเจนและมั่นใจมากขึ้น เช่น หากคุณมี Archetype เป็น Hero คุณอาจมีความสามารถในการเป็นผู้นำและการแก้ปัญหาที่ดี การนำผลลัพธ์ไปใช้ในทางที่ถูกต้องจะช่วยให้คุณสามารถพัฒนาตนเองและประสบความสำเร็จในชีวิตได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การรู้จัก Archetype ของคนรอบข้างยังช่วยให้คุณสามารถสื่อสารและทำงานร่วมกับพวกเขาได้ดียิ่งขึ้น โดยการใช้ผลลัพธ์จาก Archetype Test ในการปรับปรุงความสัมพันธ์และการทำงานเป็นทีม คำถาม : เราสามารถมีมากกว่า 1 Archetype ได้ไหม? คำตอบ : ใช่ เราสามารถมีมากกว่าหนึ่ง Archetype ได้ ซึ่งแม้จะมี Archetype หลักที่โดดเด่นกว่า (Dominance) แต่หลายคนก็มีการผสมผสานของหลาย Archetype ที่ส่งผลต่อบุคลิกภาพและการตัดสินใจของพวกเขา Archetype ต่างๆ อาจแสดงออกมาในบริบทหรือช่วงเวลาต่างๆ ของชีวิต และสามารถทำงานร่วมกันอย่างซับซ้อนได้ ยกตัวอย่างเช่น คนที่มี Archetype หลักเป็น Hero อาจขับเคลื่อนด้วยความต้องการที่จะพิชิตความท้าทาย แต่ก็มีส่วนที่เป็น Caregiver ที่แสดงความห่วงใยต่อผู้อื่น หรืออีกคนอาจมีทั้ง Explorer ที่รักการค้นพบสิ่งใหม่ๆ และ Lover ที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง การมีหลาย Archetype ทำให้บุคลิกภาพของคนเรามีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งอาจช่วยอธิบายการกระทำและการตอบสนองในสถานการณ์ต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น ข้อควรระวังในการทำแบบทดสอบ Archetype ฟรี แม้ว่า Archetype Test ฟรี จะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการค้นหาตัวตน แต่ก็มีข้อควรระวังที่ควรทราบ หนึ่งในนั้นคือความแม่นยำของผลลัพธ์ แบบทดสอบฟรีอาจไม่ได้มีความแม่นยำเท่ากับแบบทดสอบที่พัฒนาขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้น ควรใช้ผลลัพธ์เป็นแนวทางในการพัฒนาตนเองเท่านั้น นอกจากนี้ ควรระวังความน่าเชื่อถือของแหล่งที่มา ควรเลือกทำแบบทดสอบจากเว็บไซต์ที่ได้รับการยอมรับและน่าเชื่อถือ สุดท้าย ควรใส่ใจเรื่องความปลอดภัยในการให้ข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ควรให้ข้อมูลที่ละเอียดอ่อนโดยไม่จำเป็น การทำแบบทดสอบออนไลน์ควรตรวจสอบนโยบายความเป็นส่วนตัวของเว็บไซต์ก่อนเสมอ เพื่อป้องกันการนำข้อมูลของคุณไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง หมายเหตุ : ผู้เขียนได้ผลลัพธ์คนละแบบจากการทำเวอร์ชันภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ความแตกต่างระหว่าง Archetype, MBTI, และ Enneagram แม้ว่า Archetype, MBTI (Myers-Briggs Type Indicator) และ Enneagram ต่างก็เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสำรวจและเข้าใจบุคลิกภาพของคนเรา แต่ละเครื่องมือก็มีจุดเด่นและความแตกต่างที่เฉพาะเจาะจง: Archetype: พื้นฐานของทฤษฎี: Archetype เป็นแนวคิดที่พัฒนาโดย Carl Jung นักจิตวิทยาชาวสวิส โดย Archetype เป็นภาพลักษณ์ทางจิตวิทยาที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของมนุษย์ แต่ละ Archetype แสดงถึงลักษณะทั่วไปที่มนุษย์ทุกคนมี เช่น ฮีโร่ (Hero), นักสำรวจ (Explorer), และผู้สร้าง (Creator) ซึ่งแต่ละ Archetype มีบทบาทที่แตกต่างกันในชีวิตของเรา การใช้งาน: การทำ Archetype Test ช่วยให้คุณสามารถระบุลักษณะเฉพาะที่เป็นตัวตนของคุณ และสามารถนำไปใช้ในการเข้าใจพฤติกรรมของคุณในสถานการณ์ต่างๆ ลักษณะเด่น: Archetype เน้นที่การแสดงออกของบุคลิกภาพในระดับที่ลึกซึ้ง และเชื่อมโยงกับความเชื่อ ความฝัน และสัญชาตญาณของมนุษย์ MBTI (Myers-Briggs Type Indicator): พื้นฐานของทฤษฎี: MBTI ถูกพัฒนาขึ้นโดย Katharine Cook Briggs และ Isabel Briggs Myers โดยอิงจากทฤษฎีของ Carl Jung ในการแบ่งบุคลิกภาพออกเป็น 16 ประเภทหลัก ซึ่งเกิดจากการผสมผสานระหว่าง 4 มิติ ได้แก่ การมองโลก (Extroversion vs. Introversion), การรับรู้ (Sensing vs. Intuition), การตัดสินใจ (Thinking vs. Feeling), และการใช้ชีวิต (Judging vs. Perceiving) การใช้งาน: MBTI เป็นเครื่องมือที่นิยมใช้ในการปรับปรุงการทำงานเป็นทีม การสื่อสาร และการพัฒนาตนเอง ลักษณะเด่น: MBTI เน้นการวิเคราะห์บุคลิกภาพในมิติที่หลากหลายและเชิงโครงสร้าง ทำให้สามารถเข้าใจวิธีการคิดและการตัดสินใจของบุคคลได้อย่างชัดเจน Enneagram: พื้นฐานของทฤษฎี: Enneagram เป็นระบบที่แบ่งบุคลิกภาพออกเป็น 9 ประเภทหลัก โดยแต่ละประเภทมีแรงจูงใจ แรงขับเคลื่อน และกลไกการป้องกันตัวเองที่แตกต่างกัน Enneagram มีรากฐานมาจากแนวคิดทางจิตวิทยาและการพัฒนาจิตวิญญาณ การใช้งาน: Enneagram ใช้ในการสำรวจแรงจูงใจและความกลัวภายในตนเอง ซึ่งสามารถช่วยในการพัฒนาตนเองในระดับที่ลึกซึ้งและเข้าใจความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ดีขึ้น ลักษณะเด่น: Enneagram เน้นการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับแรงจูงใจภายในและกลไกการป้องกันตัวเอง ซึ่งช่วยให้บุคคลเข้าใจตนเองและคนอื่นในบริบทของความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน สรุป: Archetype มุ่งเน้นที่ลักษณะทางจิตวิทยาที่เป็นแม่แบบและการแสดงออกของบุคลิกภาพในระดับลึก MBTI ให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์บุคลิกภาพในมิติที่หลากหลายและเชิงโครงสร้าง Enneagram มุ่งเน้นที่การเข้าใจแรงจูงใจภายในและการพัฒนาจิตวิญญาณ อย่ารอช้า! เริ่มต้นการเดินทางค้นพบตัวตนของคุณวันนี้ด้วยการทำแบบทดสอบ Archetype และปลดล็อกศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณ ทำแบบทดสอบเลย! แต่นอกจากนั้นยังมี Archetype สำหรับผู้หญิงด้วยล่ะ แต่ว่ามันคืออะไร มาดูต่อได้ที่บทความนี้เลย Archetype Test สำหรับสาว ๆ มาดูและเข้าใจตัวตนของตัวเองในรูปแบบสาว ๆ กัน

    Sep 10, 2024
    Thumbnail for 7 อารมณ์และ EQ ในที่ทำงาน ถอดบทเรียนจาก InsideOut2

    7 อารมณ์และ EQ ในที่ทำงาน ถอดบทเรียนจาก InsideOut2

    เพราะขั้นแรกของการพัฒนา EQ คือการรับรู้การมีอยู่ของแต่ละอารมณ์... วันนี้เราจะมาสำรวจคุณค่าเเละลักษณะนิสัยของตัวละครแต่ละตัวจาก Inside Out โดยทำความรู้จัก เข้าใจและยอมรับเเต่ละอารมณ์ทั้งหมด มองเห็นคุณค่าของมันและสังเกตว่าเราสามารถพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญสำหรับการทำงานและความสำเร็จในเส้นทางอาชีพได้อย่างไร 1.ลั้ลลา (Joy) ตัวแทนของความสุขและความมองโลกในแง่ดี เธอนำพาพลังงานอันล้นเหลือมาสู่สถานที่ทำงาน ท่ามกลางห้องจิตใจส่วนลึกของนางเอก ความกระตือรือร้นของเธอจุดประกายแรงจูงใจ สร้างแรงบันดาลใจให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ และส่งเสริมสภาพแวดล้อมการทำงานในเชิงบวก เธอมองโลกในแง่ดีและเชื่อมั่นในตนเองว่าจะสามารถหาทางออกของปัญหาแต่ละอย่าง ซึ่งจะช่วยให้งานที่ทำมักออกได้ดีและทำให้บรรยากาศในทีมราบรื่นอีกด้วย โดยอ้างอิงจากทฤษฎี The Happiness Advantage 2.ว้าวุ่น (Anxiety) ตัวละครที่ถูกมองว่าเป็นอารมณ์เชิงลบ ที่สร้างความน่ารำคาญ แต่จริงๆแล้ว ความวิตกกังวลในปริมาณที่เล็กน้อยแต่พอดี สามารถช่วยให้เราเตรียมพร้อมอย่างรอบคอบและคาดการณ์ล่วงหน้าถึงปัญหา ที่อาจจะเกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น เมื่อทีมของคุณกำลังทำโครงการหนึ่ง ความกังวล จะช่วยให้เรามองเห็นความเสี่ยง (Risk)และการหาทางรับมือล่วงหน้า (Mitigation) ผลร้ายแรง worst outcome ที่เรารับมือได้ อย่างไรก็ตามคุณต้องเรียนรู้ที่จะรับรู้การมีอยู่ของมัน จับมันไปนั่งบนเก้าอี้แห่งการผ่อนคลาย เพราะหากใช้งานมันมากเกินไปจะส่งผลให้ระบบความคิดและการกระทำที่ผิดพลาด ทั้งยังส่งผลต่ออาการอย่าง Panic 3.เศร้าซึม (Sadness) ความเศร้า(ในเชิงบวก) จะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นและช่วยให้เข้าใจอารมณ์จากมุมมองของผู้อื่น เช่น เมื่อเพื่อนร่วมงานของคุณ กำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก ความเศร้าจะช่วยให้คุณแสดง ความเห็นอกเห็นใจ ให้กำลังใจ และเสนอความช่วยเหลือ ทั้งนี้เนื่องจากเรามีความเข้าใจและความลึกในอารมณ์ของเรา 4.ฉุนเฉียว (Anger) ในบางสถานการณ์ คุณจำเป็นต้องยืนหยัดเพื่อตัวเองและปกป้องสิทธิ์ ของคุณ "ความโกรธ" จะช่วยให้คุณแสดงออกอย่างมีพลัง กล้าพูดในสิ่งที่คุณต้องการ ขอบเขตที่คุณรับได้ สิ่งที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม คุณต้องใช้ความโกรธอย่างเหมาะสม มุ่งเน้นไปที่การพิจารณาและแสดงการมีอยู่ของปัญหา ไม่ใช่การตำหนิหรือโทษผู้อื่น 5.อิจฉา (Envy) ความอิจฉาริษยาเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ที่สรรหาสิ่งที่ทำให้ เรารู้สึกสบาย เอาตัวรอดโดยเทียบกับผู้อื่น หากใช้ในทางบวกสามารถกระตุ้นความมุ่งมั่นในการแข่งขัน เพื่อพัฒนาและเรียนรู้จากผู้อื่น (เเต่ก็เป็นดาบสองคม ควรฝึกยอมรับและยินดีกับผู้อื่น ใช้เเรงผลักดันในทางที่ถูกต้องเเละไม่ทำร้ายใคร) 6.อ๊ายอาย (Embarrassment) การก้าวข้ามความอาย จะช่วยการให้สื่อสารและทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่าง มีประสิทธิภาพ มั่นใจเเละกล้าที่จะเเสดงความคิดเห็น การให้พื้นที่ปลอดภัย (Safety net) ให้เพื่อนร่วมทีมคุณได้แสดงความสามารถ จะช่วยให้พวกเขาก้าวข้ามความเขินอายได้เช่นเดียวกัน 7.กลั๊วกลัว (Fear) ความกลัวเป็นกลไกเอาชีวิตรอด แต่ในที่ทำงานเมื่อคุณก้าวออกจากคอมฟอทโซน คุณจะได้เผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ ซึ่งอาจมาพร้อมกับความกลัว เพราะแค่คุณ "ไม่เคยทำมัน" การโอบกอดความกลัวทำให้คุณตระหนัก เรียนรู้ ฝึกฝนความสามารถ และพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น คุณสามารถเลือกที่จะหนีหรือบอกกับตัวเอง ปรึกษาหรือถามจากผู้ที่มีประสบการณ์หรือเชี่ยวชาญกว่า ยอมรับความจริงแล้วเผชิญหน้ามัน 8.หยะแหยง (Disgust) ความขยะเเขยงจะช่วยกระตุ้นให้คุณยึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้องปฏิบัติตาม หลักจริยธรรม และหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม เช่น เมื่อเพื่อนร่วมงานของคุณพยายามให้คุณเอาเปรียบลูกค้า ความขยะเเขยงจะช่วย ให้คุณปฏิเสธ ยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง และรักษาชื่อเสียงขององค์กร ในโลกการทำงานที่วุ่นวาย อารมณ์มักจะเป็นสิ่งที่ถูกมองข้ามเเละไม่ได้ถูกนับว่าเป็นส่วนสำคัญของการบรรลุผลลัพธ์ของงาน แต่ความจริงคือเรายังต้องทำงานกับผู้คน และขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ พวกเรามีขอบเขตการมีเหตุผลอย่างจำกัด และหลายครั้งการตัดสินใจ การกระทำถูกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ EQ หรือความฉลาดทางอารมณ์จึงเข้ามามีส่วนในมาตรวัดทักษะในด้านนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เหมือนอย่างที่ภาพยนตร์ของ Pixar เรื่อง "Inside Out 2" ที่สื่อออกมาให้เห็นได้อย่างยอดเยี่ยมผ่านการเป็นนักกีฬาของไรลี่ย์ ตัวละครเอกเด็กหญิงวัยรุ่นกลาง ๆ อารมณ์ของเราล้วนมีบทบาทสำคัญในการกำหนดความคิด พฤติกรรม และในที่สุดคือผลลัพธ์ทางวิชาชีพของเรา รู้จักตัวเอง รู้จักอารมณ์ มาปลดล็อคตัวตนของตัวเองผ่านภาพยนตร์ดีๆอย่าง Inside Out 2 เพื่อนำมาปรับใช้กับชีวิตส่วนตัวเเละการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

    Jun 24, 2024
    1/16
    การเติบโต
    ดูเพิ่มเติม
    Thumbnail for 7S McKinsey คืออะไร? โมเดลเข้าใจองค์กรแบบรอบด้านสำหรับคนทำงานยุคใหม่

    7S McKinsey คืออะไร? โมเดลเข้าใจองค์กรแบบรอบด้านสำหรับคนทำงานยุคใหม่

    ในโลกการทำงานที่เปลี่ยนเร็ว การเข้าใจ “องค์กรของเรา” สำคัญพอ ๆ กับการเข้าใจ “งานของเรา” การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและสภาวะตลาดที่คาดเดาได้ยาก ทำให้องค์กรต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา และคนทำงานก็จำเป็นต้องเข้าใจโครงสร้างและความพร้อมขององค์กรเพื่อที่จะสามารถทำงานร่วมและนำการเปลี่ยนแปลงนั้นไปสู่ความสำเร็จได้ หนึ่งในโมเดลคลาสสิกที่ช่วยให้เห็นภาพชัดเจนคือ McKinsey 7S Framework ซึ่งเป็นเครื่องมือวิเคราะห์องค์กรที่ถูกใช้มานานหลายทศวรรษ แต่ยังคงมีประสิทธิภาพในการทำความเข้าใจพลวัตขององค์กร โมเดลนี้สามารถนำไปใช้ได้ทั้งระดับองค์กร ทีม และแม้แต่ “การวิเคราะห์ตัวเอง” ในเชิงโครงสร้างการทำงานและเป้าหมายอาชีพ 7S McKinsey คืออะไร? 7S McKinsey คือโมเดลการจัดการที่พัฒนาโดยที่ปรึกษาจากบริษัท McKinsey & Company ในช่วงทศวรรษ 1980 โดย Robert H. Waterman Jr. และ Tom Peters โมเดลนี้ใช้สำหรับวิเคราะห์และพัฒนาองค์กรโดยมอง “องค์ประกอบ 7 ด้าน” ที่ต้องเชื่อมโยงและสอดคล้อง (Alignment) กัน 7S มีทั้งหมด 7 องค์ประกอบ ได้แก่: Strategy – กลยุทธ์ Structure – โครงสร้างองค์กร Systems – ระบบการทำงาน Shared Values – ค่านิยมร่วม Style – รูปแบบการบริหาร Staff – บุคลากร Skills – ทักษะ อธิบายแต่ละองค์ประกอบของโมเดล 7S (พร้อมตัวอย่างเข้าใจง่าย) 1.Strategy (กลยุทธ์): หมายถึงแผนการดำเนินงานที่ถูกกำหนดขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์เป้าหมายระยะยาวขององค์กร และการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาด ตัวอย่าง: บริษัทที่มุ่งเน้น นวัตกรรม (Innovation) จะมีกลยุทธ์ที่เน้นการลงทุนในแผนกวิจัยและพัฒนา (R&D) มากกว่าการใช้เงินส่วนใหญ่ไปกับการตลาดแบบดั้งเดิม 2.Structure (โครงสร้างองค์กร): หมายถึงการจัดแผนผังความสัมพันธ์ของอำนาจ หน้าที่ ความรับผิดชอบ และช่องทางการสื่อสารภายในองค์กร ตัวอย่าง: บริษัทสตาร์ทอัปมักใช้โครงสร้างแบบแบน (Flat Structure) เพื่อลดลำดับขั้นการตัดสินใจ ทำให้ทีมทำงานได้อย่างรวดเร็วและยืดหยุ่นกว่าบริษัทขนาดใหญ่ที่มีโครงสร้างแบบลำดับขั้น (Hierarchical Structure) 3.Systems (ระบบการทำงาน): หมายถึงขั้นตอน วิธีการ หรือเครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินงานประจำวัน ซึ่งรวมถึงกระบวนการทางธุรกิจทั้งหมด ตัวอย่าง: ระบบประเมินผลงาน (Performance Review System), Workflow การอนุมัติโครงการ, Software ภายในสำหรับจัดการลูกค้า (CRM), หรือระบบซัพพลายเชน 4.Shared Values (ค่านิยมร่วม): หัวใจของโมเดลนี้  หมายถึงสิ่งที่ทุกคนในองค์กรเชื่อและยึดถือร่วมกันอย่างลึกซึ้ง ซึ่งเป็นรากฐานของวัฒนธรรมองค์กร ค่านิยมที่เข้มแข็งจะชี้นำพฤติกรรมและการตัดสินใจของพนักงาน ตัวอย่าง: ค่านิยมหลัก เช่น “Customer First” (ให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอันดับแรก), “Team over Individual” (ทำงานเป็นทีมเหนือผลประโยชน์ส่วนตัว) หรือ “Trust & Transparency” (ความไว้วางใจและความโปร่งใส) 5.Style (สไตล์การบริหาร): หมายถึงลักษณะของผู้นำและผู้บริหารระดับสูงในการปฏิสัมพันธ์กับพนักงานและบรรยากาศโดยรวมในการทำงานร่วมกัน ตัวอย่าง: สไตล์แบบเปิดรับฟัง (Participative), สไตล์แบบสั่งการ (Authoritative), หรือสไตล์แบบโค้ชชิ่ง (Coaching) ซึ่งมีผลต่อขวัญและกำลังใจของพนักงาน 6.Staff (บุคลากร): หมายถึงคนในองค์กรทั้งหมด รวมถึงจำนวน คุณภาพ วิธีการสรรหา การพัฒนา และการดูแลพนักงาน ตัวอย่าง: การอบรมเพื่อสร้างผู้นำรุ่นใหม่ (Leadership Development Program), การบริหารความหลากหลายของบุคลากร (Diversity Management) หรือการดูแลสวัสดิการของพนักงาน 7.Skills (ทักษะ): หมายถึง ความสามารถหลักขององค์กรที่สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และความสามารถเฉพาะตัวของบุคลากร ตัวอย่าง: ความสามารถหลัก เช่น ทักษะทางเทคนิค (Technical Skills) ในการพัฒนา AI ของบริษัทเทคโนโลยี, ทักษะด้านการเจรจาต่อรองของทีมขาย หรือ Soft Skills เช่น การคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) ของทีมงาน ประโยชน์ของการใช้โมเดล 7S ในองค์กร การใช้โมเดล 7S ช่วยให้ผู้นำและผู้บริหารมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งและรอบด้านในการจัดการการเปลี่ยนแปลง ใช้ประเมินความพร้อม ก่อนเปลี่ยนกลยุทธ์ครั้งใหญ่ หรือก่อนการควบรวมกิจการ ใช้วิเคราะห์จุดแข็ง-จุดอ่อน ขององค์กรในแต่ละด้าน เพื่อระบุปัญหาที่แท้จริง สร้างความสอดคล้อง ระหว่าง “เป้าหมาย” กับ “วัฒนธรรมองค์กร” (Soft S’s) ซึ่งเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน ใช้ในการสื่อสาร และพัฒนาทีมงาน รวมถึงทีม HR, Leader และทีมบริหารให้มีภาษาและกรอบความคิดร่วมกัน ตัวอย่างการนำ 7S มาใช้จริง ตัวอย่างสมมติ: บริษัทที่ต้องการเปลี่ยนจากออฟไลน์สู่ดิจิทัล Strategy: เพิ่มช่องทางออนไลน์ Structure: ปรับทีมตั้ง Digital Team Systems: นำ CRM และระบบ Automation มาใช้ Shared Values: สนับสนุนการทดลองสิ่งใหม่ Style: ผู้นำเป็นโค้ชมากขึ้น Staff: จ้างคนสาย Data / Digital Skills: Upskill พนักงานเดิมให้ใช้เครื่องมือดิจิทัล ใช้กับ “พนักงาน” ได้ด้วย คุณสามารถใช้ 7S วิเคราะห์ตัวเอง เช่น Strategy = Career Goal Skills = ทักษะที่ต้องพัฒนา Style = วิธีการทำงานของเรา Shared Values = สิ่งที่เราเชื่อและหาในที่ทำงาน เคล็ดลับใช้ 7S ให้ได้ผลจริง ต้องมีการพูดคุยจริงในองค์กร ไม่ใช่ทำแค่เอกสาร เริ่มจากกำหนด Shared Values ให้ชัด เพราะเป็นแกนกลาง ทบทวนระบบและโครงสร้างทุก 6 เดือน ใช้คู่กับเครื่องมืออื่น เช่น SWOT, Balanced Scorecard เพื่อผลวิเคราะห์ที่สมบูรณ์ โมเดล 7S McKinsey เป็นเหมือน “แผนที่” ที่ทำให้เห็นว่าทุกส่วนขององค์กรเชื่อมโยงกันอย่างไร ไม่ใช่แค่เรื่องกลยุทธ์หรือโครงสร้างเท่านั้น แต่รวมถึงจิตวิญญาณขององค์กรอย่างค่านิยมและทักษะของคนด้วย การวิเคราะห์และสร้างความสอดคล้องของทั้ง 7 องค์ประกอบนี้ จะช่วยให้องค์กรมีความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลง และสามารถรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันได้อย่างยั่งยืน คนทำงานยุคใหม่ที่เข้าใจโครงสร้างและค่านิยมองค์กร จะสามารถเติบโต ปรับตัว และสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับองค์กรได้เร็วกว่า อยากพัฒนาทักษะด้านการบริหารและเข้าใจองค์กรเชิงกลยุทธ์มากขึ้น? ค้นหาคอร์ส พัฒนาทักษะอาชีพ และบทความดี ๆ สำหรับคนทำงานยุคใหม่ได้ที่ 👉 www.jobcadu.com

    Dec 2, 2025
    Thumbnail for Mind Mapping แผนที่ความคิดที่ทำให้ทุกอย่างชัดขึ้นในพริบตา ช่วยให้คุณทำงานเป็นระบบและคิดไอเดียได้เร็วขึ้น!

    Mind Mapping แผนที่ความคิดที่ทำให้ทุกอย่างชัดขึ้นในพริบตา ช่วยให้คุณทำงานเป็นระบบและคิดไอเดียได้เร็วขึ้น!

    ในยุคที่ข้อมูลล้นมือ การจัดระเบียบความคิดให้เป็นระบบไม่ใช่แค่ “ทักษะที่ดีมีไว้” แต่เป็น “ทักษะจำเป็น” สำหรับการเรียน การทำงาน และการวางแผนชีวิต หนึ่งในเครื่องมือที่ได้รับความนิยมที่สุดทั่วโลกก็คือ Mind Mapping หรือแผนที่ความคิด เทคนิคที่ช่วยให้คุณมองภาพรวมได้ชัด คิดต่อยอดได้เร็ว และวางแผนอย่างมีประสิทธิภาพ Jobcadu จะพาคุณไปรู้จัก Mind Mapping ตั้งแต่พื้นฐาน วิธีทำ ประโยชน์ ไปจนถึงตัวอย่างและเครื่องมือที่เหมาะสำหรับมือใหม่ Mind Mapping คืออะไร? Mind Map คือแผนภาพที่ช่วยจัดระเบียบข้อมูล โดยเริ่มจาก “หัวข้อกลาง” แล้วแตกแขนงเป็นหัวข้อย่อยลักษณะคล้ายโครงสร้างรังผึ้งหรือกิ่งไม้ ช่วยให้เราเห็นภาพรวมและความเชื่อมโยงของแต่ละไอเดียได้ชัดเจนกว่าการจดแบบลิสต์ธรรมดา ผู้ที่ทำให้ Mind Mapping กลายเป็นที่นิยมทั่วโลกคือ Tony Buzan นักเขียนและนักจิตวิทยาชาวอังกฤษ เขาสังเกตว่า “สมองมนุษย์คิดแบบรัศมี (Radiant Thinking)” คือกระจายออกไปเป็นกิ่งก้าน เมื่อเราจดด้วยภาพ เส้น สี และคำสำคัญ สมองจะจดจำได้ดีกว่าการเขียนตัวหนังสือเรียงยาว ๆ จึงเกิดเป็นเทคนิค Mind Mapping ที่ใช้กันจนถึงทุกวันนี้ ทำไม Mind Mapping จึงนิยมมาก? Mind Mapping ช่วยให้ข้อมูลที่ซับซ้อนกลายเป็นภาพที่เข้าใจง่าย ใช้ได้ทั้งการเรียน การประชุม วางแผนงาน ไปจนถึงการออกแบบกลยุทธ์ธุรกิจ หลักการสำคัญของการทำ Mind Mapping โครงสร้างแบบ Radiant Thinking: แตกข้อมูลจากแกนกลางเป็นกิ่งก้าน ใช้คำหลัก (Keywords): ไม่เขียนยาว ใช้คำสั้น ๆ ที่เห็นปุ๊บเข้าใจปั๊บ ใช้สี สัญลักษณ์ และภาพ: ทำให้จดจำง่ายและกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ มีลำดับชั้นของข้อมูล: จากหัวข้อหลัก → หัวข้อรอง → รายละเอียดย่อย ประโยชน์ของการทำ Mind Mapping Mind Mapping มีประโยชน์หลายด้าน ทั้งสำหรับนักเรียน คนทำงาน และผู้บริหาร เช่น ช่วยจัดระเบียบความคิด ให้ชัดเจน เพิ่มประสิทธิภาพการจำ และการทบทวน ทำให้คิดไอเดียใหม่ ๆ ได้ง่ายขึ้นเวลาประชุมหรือ Brainstorm วางแผนงานได้เป็นระบบ เห็นลำดับงานชัดเจน ใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารให้ทีมเข้าใจตรงกัน ลดเวลาในการทำงาน เพราะทุกอย่างถูกจัดโครงสร้างไว้แล้ว Mind Mapping ใช้ทำอะไรได้บ้าง? วางแผนงาน (Work Planning) ทบทวนหนังสือหรือเนื้อหาการเรียน ทำ Project Management วางกลยุทธ์ธุรกิจ เขียนบทความ/วางคอนเทนต์ วางแผนชีวิต (Life Planning / Goal Setting) สรุปหนังสือ Brainstorm แคมเปญการตลาด วิธีทำ Mind Mapping สำหรับมือใหม่ Step 1 : เลือกหัวข้อกลาง (Central Topic) Step 2 : แตกหัวข้อหลักเป็นกิ่งก้าน (Main Branches) Step 3 : แตกต่อเป็นหัวข้อย่อย (Sub-branches) เพื่อขยายไอเดีย Step 4 : ใช้สี รูปภาพ และสัญลักษณ์ เพื่อให้จำง่าย Step 5 : ทบทวนอีกครั้งว่าลำดับข้อมูลลื่นไหลหรือไม่ Step 6 : นำไปใช้งานจริง เช่น เขียนบทความ วางแผนโปรเจกต์ หรือจัดประชุม ตัวอย่าง Mind Mapping แบบง่าย Mind Map สำหรับเขียนบทความ: แตกเป็นโครงร่างหลัก เช่น หัวเรื่อง → อินโทร → พาร์ทย่อย → สรุป Mind Map สำหรับวางแผนโปรเจกต์: เช่น Objectives → Timeline → Task → ผู้รับผิดชอบ Mind Map สำหรับตั้งเป้าชีวิต: เช่น การเงิน สุขภาพ การงาน ความสัมพันธ์ การเรียนรู้ เครื่องมือทำ Mind Mapping (ทั้งฟรีและเสียเงิน) แบบออนไลน์ Canva Miro MindMeister XMind Figma FigJam แบบออฟไลน์ / ทำมือ สมุดจด ปากกาหลากสี กระดาษ A4 / A3 เทคนิคทำ Mind Mapping ให้มีประสิทธิภาพ หลีกเลี่ยงการใส่ข้อมูลเยอะเกินไป ใช้คำสั้น ๆ เพื่อดึงภาพจำ ใช้สีเพื่อแบ่งหมวดหมู่ นำ Mind Map ไปใช้งานจริง ไม่ใช่แค่ทำให้สวย อัปเดตทุกครั้งเมื่อไอเดียเปลี่ยน Mind Mapping เป็นเทคนิคที่ช่วยเปลี่ยนความคิดกระจัดกระจายให้กลายเป็นภาพที่เข้าใจง่ายในหน้าเดียว ช่วยให้เราคิดเป็นระบบ จัดลำดับงานได้ชัดเจน และต่อยอดไอเดียได้เร็วขึ้น ไม่ว่าจะใช้ในการเรียน ทำงาน หรือวางแผนชีวิต Mind Map ก็ช่วยให้คุณเห็นภาพรวมและตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากขึ้น ที่สำคัญคือเริ่มทำได้ทันที ทั้งแบบเขียนมือและแบบออนไลน์ ทำให้เป็นเครื่องมือที่เหมาะสำหรับทุกคนที่อยากพัฒนาทักษะการคิดและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในทุกวัน ค้นหาคอร์สอัปสกิล, ความรู้ด้านอาชีพ และเทคนิคการทำงานแบบมืออาชีพได้ที่ Jobcadu พร้อมเครื่องมือช่วยวางแผนเส้นทางอาชีพ ให้คุณก้าวหน้าได้อย่างมั่นใจ

    Nov 24, 2025
    Thumbnail for Entrepreneur คืออะไร? เส้นทางสู่การเป็นผู้ประกอบการยุคใหม่

    Entrepreneur คืออะไร? เส้นทางสู่การเป็นผู้ประกอบการยุคใหม่

    ในยุคที่เทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว “การเป็นผู้ประกอบการ” หรือ Entrepreneur กลายเป็นเส้นทางอาชีพที่หลายคนสนใจมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่ที่อยากเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง ฟรีแลนซ์ที่ต้องการโตเป็นแบรนด์ หรือคนทำงานประจำที่กำลังมองหาโอกาสใหม่ ๆ บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจอย่างละเอียดว่า Entrepreneur คืออะไร, ต้องมีทักษะอะไรบ้าง, และจะเริ่มต้นเส้นทางนี้ได้อย่างไร Entrepreneur คืออะไร? Entrepreneur คือ “ผู้ประกอบการ” ผู้ที่เห็นโอกาสทางธุรกิจ คิดสร้างไอเดียใหม่ และลงมือทำให้เกิดขึ้นจริง โดยยอมรับความเสี่ยงเพื่อแลกกับการเติบโตในอนาคต ไม่จำกัดว่าต้องเป็นบริษัทใหญ่เสมอไป อาจเป็นธุรกิจเล็ก ธุรกิจออนไลน์ หรือธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ความแตกต่างระหว่าง Entrepreneur / Self-employed / Freelancer Freelancer: ขายความสามารถ รับงานตามโปรเจกต์ รายได้ตามเวลาที่ลงแรง Self-employed: เจ้าของกิจการที่ทำงานเองเป็นหลัก เช่น ร้านกาแฟร้านเดียว คนทำอาหารเดลิเวอรี Entrepreneur: เน้นสร้างระบบ สร้างทีม สร้างโมเดลธุรกิจที่เติบโตได้ด้วยตัวเอง (Scalable) ผู้ประกอบการยุคใหม่ (Digital Entrepreneur, Tech Founder, Creator Entrepreneur) ยุคนี้ Entrepreneur ไม่ได้หมายถึงผู้เปิดบริษัทใหญ่เสมอไป แต่รวมถึง: Digital Entrepreneur: ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์สร้างธุรกิจ Tech Founder: พัฒนาสตาร์ทอัพหรือผลิตภัณฑ์เทคโนโลยี Creator Entrepreneur: คอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่ต่อยอดเป็นธุรกิจ คุณสมบัติของการเป็น Entrepreneur ที่แท้จริง 1. ความกล้าเสี่ยงอย่างมีการคำนวณ (Calculated Risk-taking): ผู้ประกอบการไม่ใช่คนเสี่ยงแบบไร้แผน แต่คือคนที่รู้ความเสี่ยง วิเคราะห์ข้อมูล และเลือกเสี่ยงในจุดที่คุ้มค่า 2. ทักษะการแก้ปัญหา + คิดเชิงธุรกิจ: มองปัญหาเป็นโอกาส วิเคราะห์ตลาด คู่แข่ง โมเดลรายได้ และต้นทุนได้อย่างเป็นระบบ 3. ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม: กล้าที่จะคิดต่างและสร้างสิ่งใหม่ แม้เพียงเล็กน้อย เช่น การนำ AI มาช่วยทำงานหรือสร้างบริการรูปแบบใหม่ 4. การบริหารคนและทรัพยากร: รู้วิธีจัดการทีม การเงิน เวลา และทรัพยากรที่มีจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด 5. Growth Mindset: เชื่อว่าทักษะพัฒนาได้ เรียนรู้จากความผิดพลาด และพร้อมปรับตัวเสมอ ประเภทของ Entrepreneur ที่พบบ่อย 1.Small Business Entrepreneur: เจ้าของร้าน ร้านอาหาร SME ธุรกิจบริการในชุมชน 2.Startup Founder: ผู้สร้างธุรกิจที่เน้นเทคโนโลยีและการเติบโตแบบรวดเร็ว (Scale-up) 3.Social Entrepreneur: ธุรกิจที่สร้างผลกระทบเชิงสังคม เช่น การศึกษา สิ่งแวดล้อม 4.Solopreneur / Creator / Influencer Entrepreneur: ทำธุรกิจคนเดียวโดยใช้ทักษะ การสร้างคอนเทนต์ และเครื่องมือออนไลน์เป็นหลัก 5.Franchise Entrepreneur: ซื้อแฟรนไชส์เพื่อนำระบบสำเร็จรูปมาทำธุรกิจ ทำไมปี 2025–2026 ถึงเป็นยุคทองของ Entrepreneur 1. เศรษฐกิจดิจิทัลเติบโต: ตลาดออนไลน์เติบโตจากอีคอมเมิร์ซ คอนเทนต์ และบริการดิจิทัลทุกประเภท 2. ต้นทุนเริ่มธุรกิจต่ำ: อุปกรณ์ไม่มาก เครื่องมือออนไลน์ฟรีหรือราคาถูก เช่น เว็บไซต์โค้ดน้อย ระบบจ่ายเงินสำเร็จรูป 3. AI ช่วยให้ทำงานคนเดียวได้เหมือนทีม: สร้างคอนเทนต์ ออกแบบ จัดการระบบลูกค้า วิเคราะห์ข้อมูล—all-in-one 4. ผู้บริโภคเปิดรับแบรนด์ใหม่: คนรุ่นใหม่ให้โอกาสแบรนด์เล็ก แบรนด์ท้องถิ่น และสินค้าที่มีคอนเซปต์เฉพาะกลุ่มมากขึ้น อยากเป็น Entrepreneur ต้องเริ่มยังไง? Step 1: วางไอเดียธุรกิจ (Problem → Solution → Market Fit) เริ่มจากปัญหาของลูกค้าจริง ไม่ใช่สิ่งที่เราคิดไปเอง Step 2: หา Insight ลูกค้า สัมภาษณ์ลูกค้า สำรวจพฤติกรรม วิเคราะห์พฤติกรรมตลาด Step 3: สร้างสินค้า/บริการเวอร์ชันทดลอง (MVP) เริ่มแบบเล็กที่สุด ใช้ต้นทุนน้อยที่สุด เพื่อนำไปทดสอบตลาดจริง Step 4: หาเงินทุนเริ่มต้น Bootstrap ลงทุนเอง Angel Investor Venture Capital Step 5: สร้างแบรนด์และการตลาด สร้างตัวตนบนออนไลน์ ทำคอนเทนต์ รันโฆษณา สร้างชุมชนลูกค้า Step 6: สเกลธุรกิจด้วย Tech + AI ระบบอัตโนมัติ Chatbot ระบบจัดการหลังบ้าน เทคโนโลยีช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ ทักษะจำเป็นของ Entrepreneur ยุคใหม่ Digital Marketing Data Literacy (การอ่านและใช้ข้อมูล) การขายและการเจรจา การบริหารเงินและวางแผนธุรกิจ Leadership & Communication ข้อดีของการเป็น Entrepreneur 1.อิสระในการทำงาน: กำหนดเวลาและรูปแบบชีวิตได้เอง 2. รายได้ไม่จำกัด: รายได้เติบโตตามความสามารถและการสเกลธุรกิจ 3.สร้างอิมแพ็กกับผู้คนหรือสังคม: สร้างคุณค่าและผลกระทบที่จับต้องได้ 4. ได้เรียนรู้ทักษะหลากหลาย: ธุรกิจคือสนามจริงที่ทำให้เติบโตเร็วที่สุด ความท้าทายที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ รายได้ไม่แน่นอน ความกดดันสูง ต้องบริหารทุกอย่างด้วยตัวเองในช่วงแรก มีความเสี่ยงที่ต้องวางแผนอย่างรอบคอบ ตัวอย่างธุรกิจที่เริ่มได้ง่ายในปี 2025 1.Online Coaching / Consulting: ใช้ความรู้เป็นรายได้ 2.E-commerce Brand: เริ่มจากสินค้าชิ้นเล็ก ๆ ก็ได้ 3.Digital Product: E-book, Template, คอร์สอบรม ฯลฯ 4.Homemade F&B: อาหาร เบเกอรี่ เครื่องดื่ม โฮมเมดคุณภาพสูง 5.Agency (Marketing / Content / Media Buying): เริ่มจาก 1 คนก็ทำได้ 6.AI Automation Service: ช่วยธุรกิจใช้ AI เพิ่มประสิทธิภาพ การเป็น Entrepreneur ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ยุคนี้คือยุคที่ทุกคนสามารถเป็นผู้ประกอบการได้ ต้นทุนเริ่มต้นต่ำ เครื่องมือพร้อม และความรู้หาได้ง่าย ๆ บนอินเทอร์เน็ต หากคุณมีไอเดีย ความกล้าลอง และพร้อมพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง โอกาสบนเส้นทาง Entrepreneur รอคุณอยู่เสมอ อยากเริ่มต้นเส้นทางผู้ประกอบการ?  ค้นหาทักษะ อบรม และข้อมูลอาชีพที่ช่วยให้คุณเติบโตได้ที่ www.jobcadu.com

    Nov 24, 2025
    Thumbnail for SWOT คืออะไร? เครื่องมือเข้าใจตัวเองและวางแผนชีวิตแบบคนทำงานยุคใหม่

    SWOT คืออะไร? เครื่องมือเข้าใจตัวเองและวางแผนชีวิตแบบคนทำงานยุคใหม่

    SWOT คืออะไร? SWOT คือเครื่องมือในการวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ที่ใช้ในการประเมินสถานการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นองค์กร โครงการ หรือแม้แต่ตัวบุคคล เพื่อให้เห็นภาพรวมของปัจจัยทั้งภายในและภายนอกที่มีผลต่อการบรรลุเป้าหมาย คำว่า SWOT มาจากอักษรย่อขององค์ประกอบ 4 ส่วน ได้แก่ S - Strengths (จุดแข็ง): ปัจจัยภายในที่เป็นประโยชน์และสร้างความได้เปรียบ W - Weaknesses (จุดอ่อน): ปัจจัยภายในที่เป็นข้อบกพร่องหรือข้อจำกัดที่ทำให้เสียเปรียบ O - Opportunities (โอกาส): ปัจจัยภายนอกที่เป็นสถานการณ์หรือแนวโน้มที่เราสามารถใช้ประโยชน์ได้ T - Threats (อุปสรรค): ปัจจัยภายนอกที่เป็นสถานการณ์หรือความเสี่ยงที่อาจส่งผลเสียต่อเรา การวิเคราะห์ SWOT ช่วยให้สามารถวางแผนกลยุทธ์โดยการนำจุดแข็งมาใช้ประโยชน์จากโอกาส จัดการกับจุดอ่อน และป้องกันหรือลดผลกระทบจากอุปสรรค การทำ SWOT ส่วนบุคคล (Personal SWOT) คืออะไร? การทำ SWOT ส่วนบุคคล (Personal SWOT Analysis) คือการนำแนวคิดการวิเคราะห์ SWOT มาประยุกต์ใช้กับตัวเราเอง เพื่อทำความเข้าใจศักยภาพและข้อจำกัดของตนเอง รวมถึงมองเห็นสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องในปัจจุบันและอนาคต การทำ SWOT ส่วนบุคคลจะช่วยให้เรา: รู้จักตนเองอย่างลึกซึ้ง ทั้งในแง่ทักษะ ความสามารถ และบุคลิกภาพ กำหนดเป้าหมายอาชีพ และการพัฒนาตนเองได้อย่างชัดเจนและเป็นจริง วางแผนการทำงาน และการตัดสินใจในชีวิตการงานได้อย่างมีกลยุทธ์ เพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ และลดความเสี่ยงหรือความผิดพลาด วิธีวิเคราะห์ SWOT ของตัวเอง การวิเคราะห์ SWOT ของตัวเองอย่างเป็นระบบจะแบ่งเป็น 2 ส่วนหลักคือ ปัจจัยภายใน (Strengths และ Weaknesses) และ ปัจจัยภายนอก (Opportunities และ Threats): การปรับใช้ SWOT กับการทำงาน การวิเคราะห์ SWOT จะมีประโยชน์อย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อเรานำผลลัพธ์ไปใช้ในเชิงปฏิบัติ เช่น วางแผนพัฒนาตนเอง (Self-Development Plan) – ใช้จุดแข็งต่อยอด เพิ่มโอกาสเรียนรู้ใหม่ ๆ การสื่อสารกับหัวหน้า / HR – ใช้ SWOT เป็นข้อมูลประกอบการวางแผนเส้นทางอาชีพ (Career Path) การบริหารเวลาและงาน – รู้จุดอ่อนของตัวเอง ช่วยให้จัดลำดับงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การประเมินผลงาน (Performance Review) – ใช้ SWOT ในการอธิบายพัฒนาการของตนเองอย่างชัดเจน เคล็ดลับการพัฒนาและต่อยอด SWOT ให้ได้ผล มองให้เป็นความจริง (Be Objective): การวิเคราะห์ต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง ให้ผู้อื่นที่ไว้ใจช่วยประเมินทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำที่สุด มุ่งเน้นที่การปฏิบัติ (Action-Oriented): ผลลัพธ์ของ SWOT ต้องนำไปสู่ แผนปฏิบัติการที่ชัดเจน ไม่ใช่แค่การจดรายการ เช่น แทนที่จะเขียนว่า "จุดอ่อน: จัดการเวลาไม่ดี" ให้เปลี่ยนเป็น "แผน: ลงทะเบียนเรียนคอร์สบริหารเวลา ภายใน 1 เดือน" ติดตามและปรับปรุง (Monitor and Update): สภาพแวดล้อมและตัวเราเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ควรทบทวนและปรับปรุงการวิเคราะห์ SWOT อย่างสม่ำเสมอ (เช่น ทุก 6 เดือน หรือเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตการงาน) ใช้จุดแข็งปิดจุดอ่อน (Leverage Strengths): ใช้จุดแข็งที่มีอยู่เพื่อช่วยลดผลกระทบหรือแก้ไขจุดอ่อน เช่น หากจุดแข็งคือ "การทำงานละเอียด" แต่จุดอ่อนคือ "นำเสนอไม่เก่ง" ให้ใช้ความละเอียดรอบคอบในการเตรียมสคริปต์การนำเสนอให้สมบูรณ์แบบที่สุด การปรับใช้ SWOT ของตัวเองกับการทำงานเป็นกระบวนการที่ช่วยให้เรามองเห็นศักยภาพและขีดจำกัดของตัวเองอย่างมีระบบ เมื่อเรารู้ว่าจุดแข็งคืออะไร ควรพัฒนาอะไร และโลกภายนอกเปิดโอกาสหรือมีความท้าทายใดอยู่ เราก็จะสามารถวางกลยุทธ์ในการทำงานและพัฒนาตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของ “คนทำงานยุคใหม่” ที่ไม่เพียงทำงานเก่ง แต่ยัง “เข้าใจตัวเอง” อย่างแท้จริง เปลี่ยนผลลัพธ์จากการวิเคราะห์ SWOT ของคุณให้กลายเป็นการเติบโตในสายอาชีพจริง ค้นหาเคล็ดลับ เครื่องมือ และงานที่ตรงกับเป้าหมายของคุณได้ที่ www.jobcadu.com

    Nov 4, 2025
    Thumbnail for HR Hero Summit 2025: เมื่อ “AI” ไม่ได้มาแทนที่คน  แต่คนที่ “ใช้ AI เป็น” ต่างหาก ที่จะพาองค์กรไปได้ไกลกว่า

    HR Hero Summit 2025: เมื่อ “AI” ไม่ได้มาแทนที่คน  แต่คนที่ “ใช้ AI เป็น” ต่างหาก ที่จะพาองค์กรไปได้ไกลกว่า

    ในยุคที่เทคโนโลยี AI กำลังเปลี่ยนแปลงทุกมิติของโลกการทำงาน คำถามใหญ่ที่หลายองค์กรกำลังเผชิญคือ “เราจะอยู่รอดได้อย่างไร ในวันที่ AI ฉลาดขึ้นทุกวัน?” งาน HR Hero Summit 2025 เวทีแห่งผู้นำ HR และเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดแห่งปี ภายใต้ธีม “Future by AI, Shaped by People” ได้จุดประกายคำตอบใหม่ให้กับวงการทรัพยากรมนุษย์และผู้บริหารธุรกิจอีกครั้ง ณ True Digital Park (Grand Hall) เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2025 ภายในงานรวบรวมทั้งเวทีความรู้สุดเข้มข้นผ่านการเผยอินไซต์จากผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าของประเทศไทย ที่ครอบคลุมกลยุทธ์ Talent, People Transformation, การประยุกต์ใช้ AI ในงาน HR ตั้งแต่การสรรหาจนถึงการวัดผลลัพธ์ บูธเทคโนโลยีจากแบรนด์ชั้นนำ และเวิร์กชอปที่ออกแบบมาเพื่อปลดล็อกศักยภาพ “คน” ให้พร้อมเติบโตไปพร้อมกับ AI สรุปจาก 3 Session ที่น่าสนใจ Impact Leadership: ผู้นำต้อง "นำ" องค์กรไปได้ไกลกว่า AI ใน Session Impact Leadership: Leading People Beyond AI ดร.สุทธิโสพรรณ ช่วยวงศ์ญาติ, Partner จาก Slingshot Group ได้ให้คำตอบสำหรับคำถามที่ผู้นำส่วนใหญ่ค้นหา: ผู้นำจะใช้ AI มาช่วยในการเปลี่ยนแปลงองค์กรได้อย่างไร? ดร.สุทธิโสพรรณชี้ว่า "Beyond AI" หมายถึงการไปได้ไกลกว่าเทคโนโลยี ซึ่งต้องอาศัยทักษะผู้นำที่สามารถนำพาองค์กรก้าวข้ามสิ่งที่เป็นอยู่ โดยเน้นย้ำว่า คำถามสำคัญไม่ใช่ว่า AI จะเข้ามาทำอะไร แต่เป็น “เรา” จะทำอย่างไรกับ AI ต่างหาก ผู้นำต้องนำองค์กร “ไปให้ไกลกว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่ตอนนี้” และเข้าใจ 3 แนวโน้มสำคัญที่จะกำหนดอนาคตองค์กร 1. Beyond Crisis: AI มาพร้อม “Polycrisis”  ความท้าทายหลายมิติ ทั้ง Climate Change, Talent Shortage และ Geopolitical Tension  สิ่งสำคัญคือผู้นำจะใช้เครื่องมือและทีมอย่างไรเพื่อผ่านวิกฤตเหล่านี้ไปด้วยกัน 2. Beyond Culture: วัฒนธรรมองค์กรไม่เพียงพออีกต่อไป สิ่งที่องค์กรต้องการคือ “Leadership Culture” คือการสร้างสภาพแวดล้อมที่คนกล้าให้ Feedback, กล้าตัดสินใจ และร่วมขับเคลื่อนเป้าหมายเดียวกัน 3. Beyond Mindset: ผู้นำยุคใหม่ต้องมี “Augmented Mindset”  มองไกล คิดสร้างสรรค์ และทำงานร่วมกับคนอื่นได้ดี “ผู้นำไม่จำเป็นต้องไปคนเดียว แต่ต้องพาทั้งองค์กรไปด้วยกัน” การบริหาร “การเมืองในองค์กร” ก็ไม่ใช่เรื่องลบ หากเข้าใจว่าเป้าหมายคือความสำเร็จร่วมกัน ผู้นำที่กล้าท้าทาย (Challenger Mindset) เปิดรับสิ่งใหม่ และปลูกฝังการเติบโต (Growth Mindset)  จะพาองค์กร “ไปได้ไกลกว่าเทคโนโลยี” Unlocking Human Potential with Agentic AI: The Future of People & Work คุณอภินันท์ รุดดิษฐ์, Co-founder & MD ของ SE Tech  ได้แชร์มุมมองจากประสบการณ์จริงว่า “AI ไม่ใช่ศัตรูของคน แต่คือเครื่องมือที่ช่วยให้เรากลับมาทำงานที่เป็นมนุษย์มากขึ้น” Agentic AI คือพัฒนาการขั้นต่อไปของ AI  ที่ไม่ใช่แค่ Chatbot ตอบคำถาม แต่สามารถ “รับโจทย์ วางแผน ดึงข้อมูล และลงมือทำงานอัตโนมัติได้” ช่วยจัดการงาน "กินพลังงาน" (งาน Routine ซ้ำ ๆ) เพื่อให้คนมีเวลาไปมุ่งเน้นงานเชิงกลยุทธ์และงานที่เป็นมนุษย์มากขึ้น คุณอภินันท์เน้นย้ำว่า "AI ไม่ได้มาแทนที่คน แต่ AI จะทำให้เราใช้ AI เก่งขึ้น" โดยเป้าหมายคือ: People + AI = Highest Organization Performance ตัวอย่างการทำงาน: Agentic AI สามารถสกรีน CV ด้วย Smart Framework และนัดสัมภาษณ์ผู้สมัคร ทำให้กระบวนการที่ใช้เวลา 2-3 วัน ลดเหลือเพียง 1 วัน ซึ่งช่วยลด HR Burnout ได้อย่างชัดเจน หลักการทำงานร่วมกับ AI: ต้องอยู่บนหลักการ Zero Trust (ความไว้วางใจเกิดจากความไม่ไว้วางใจ) คือการทบทวนและตรวจสอบผลลัพธ์ของ AI ทุกขั้นตอน เพื่อให้มั่นใจในความถูกต้องและประสิทธิภาพสูงสุด KPI ของ Agentic AI ที่ดีมี 5 ข้อ 1.Speed: ตอบสนองรวดเร็ว ลดเวลาทำงานซ้ำซ้อน 2.Accuracy: ข้อมูลถูกต้อง ลดความเครียดของทีม 3.Adoption: คนเลือกใช้ด้วยความเชื่อมั่น ไม่ใช่เพราะถูกบังคับ 4.Experience: ทุกคำตอบคือประสบการณ์ที่สร้างความไว้ใจ 5.Business: ประสิทธิภาพดีขึ้น รายได้เร็วขึ้น ต้นทุนลดลง “When people are unlocked, work becomes meaningful.”  เมื่อคนถูกปลดล็อก ศักยภาพขององค์กรก็จะเติบโตแบบไม่สิ้นสุด บทสรุปของเซสชันนี้คือ "ปัญหาคน จบที่เรา" ผู้นำ HR ต้องหันกลับไปมองพนักงาน แล้วถามว่างานที่ทำอยู่นั้นมีความหมายและคุณค่าเพียงพอต่อความสุขในการทำงานหรือไม่ Reskilling HR: เลือกใช้ AI ให้เป็น ไม่ใช่แค่ใช้ได้ คุณปฤณ จําเริญพานิช, Founder & CEO ของ AEIOU Solution ได้มาให้มุมมองเชิงปฏิบัติในเซสชัน Reskilling HR for the AI Age โดยชี้ว่า ไม่ต้องกลัวว่า AI จะมาแทนที่หรอก แต่ควรกลัวคนที่ใช้ AI เป็นต่างหาก เพราะ AI เป็นเพียงเครื่องมือขับเคลื่อน ไม่ต่างจากอินเตอร์เน็ต คุณปฤณแบ่งระดับการใช้ AI ออกเป็น 4 Level ตั้งแต่ AI Explorer (ช่วยแปล/สรุปข้อมูล) ไปจนถึง AI Transformer (มองเป็นกลยุทธ์) โดยเน้นย้ำเคล็ดลับสำคัญคือ: 1.แตก Job เป็น Task: สิ่งสำคัญที่สุดคือการ "แตก Job เป็น Task" และสร้าง Workflow เพื่อเลือกใช้ AI Tools ที่เหมาะสมกับแต่ละงาน 2.มนุษย์คือผู้ตรวจสอบ (Verification): AI เป็นเพียงผู้สร้างไอเดียเริ่มต้น แต่มนุษย์คือผู้ที่ต้อง Verification และใช้ความคิดสร้างสรรค์เข้าไปยกระดับผลงาน 3.การตั้งคำถามคือสกิลสำคัญ: คนที่ใช้ AI เก่งคือคนที่ "ตั้งคำถามเก่ง" และทำ Deep Conversation กับ AI เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำที่สุด คุณปฤณทิ้งท้ายว่า หลายองค์กรต้องกล้า "รื้อโมเดลเก่า" ที่เคยเป็นรถยนต์แล้วพัฒนาเป็นจรวด เพราะรูปแบบเดิมๆ อาจใช้ไม่ได้อีกต่อไปในยุคนี้ HR Hero Summit 2025 ไม่ใช่แค่งานสัมมนา แต่คือ เวทีรวมโซลูชัน HR ที่ครบที่สุดแห่งปี ผู้เข้าร่วมงานจะได้ครบทุกคำตอบเรื่อง HR ตั้งแต่กลยุทธ์ Talent, การ Transform องค์กร ไปจนถึงการประยุกต์ใช้ AI ในทุกมิติ พร้อมโอกาสสร้างเครือข่ายกับผู้นำด้านคนแบบใกล้ชิด งานในปีนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า “อนาคตของ HR” ไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวแต่ถูก “กำหนดโดยคน”  คนที่กล้าเรียนรู้ ปรับตัว และใช้เทคโนโลยีอย่างมีจริยธรรม เพราะในโลกแห่งอนาคต “AI อาจฉลาดกว่าเรา” แต่ “มนุษย์ที่เข้าใจคุณค่า ความคิดสร้างสรรค์ และหัวใจของผู้คน”  คือพลังที่แท้จริงในการสร้างองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน

    Oct 9, 2025
    Thumbnail for  ScaleFast Summit & Expo 2025: ปลดล็อกการเติบโตแบบติดสปีด สู่ผู้ประกอบการยุคใหม่

    ScaleFast Summit & Expo 2025: ปลดล็อกการเติบโตแบบติดสปีด สู่ผู้ประกอบการยุคใหม่

    งานสัมมนาธุรกิจที่ผู้ประกอบการตัวจริงไม่ควรพลาดอย่าง SCALE FAST Business Accelerator Summit & Expo 2025 ได้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ณ TRUE ICON HALL, ICONSIAM ชั้น 7 เมื่อวันที่ 30 กันยายน – 1 ตุลาคม 2025 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นพื้นที่แบ่งปันประสบการณ์และกลยุทธ์การ "Scale ธุรกิจให้โตไว" จากผู้นำทางธุรกิจรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการทุกระดับก้าวข้ามขีดจำกัดและเติบโตจากหลักล้านสู่พันล้านได้อย่างยั่งยืน Highlight ภายในงาน: 60+ Speaker & Sessions: พบกับเจ้าของธุรกิจตัวจริงกว่า 60 คน จากหลากหลายอุตสาหกรรม ที่มาแชร์ประสบการณ์การฝ่าวิกฤตและเคล็ดลับการ Scale ธุรกิจอย่างยั่งยืนจนเติบโตแตะหลักร้อยล้าน-พันล้าน 50+ Booths จาก Scale Up Expo: จัดแสดงโซลูชันธุรกิจที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณขยับจากผู้เล่นไปเป็นผู้นำ ครอบคลุมทุกระบบสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นบัญชี, การตลาด, HR, Logistics, และ Automation 200+ Attendee Exclusive Networking Night: โอกาสทองในการสร้างเครือข่ายกับนักลงทุนและเจ้าของธุรกิจทั่วประเทศ เพื่อต่อยอดโอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจ 20+ Workshop Sessions: เวิร์คช็อปแบบลงมือปฏิบัติจริงในหัวข้อสำคัญที่เจ้าของธุรกิจต้องรู้ เช่น การขาย, ระบบการบริหารคน, การตลาด, การใช้ข้อมูล, และการขยายทีม เพื่อให้ผู้เข้าร่วมสามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจได้ทันที Sessions ที่ Jobcadu ได้มีโอกาสเข้าร่วม 1.เจาะลึกกลยุทธ์ HAAB's: เมื่อขนมไข่ท้องถิ่น ทัชใจคนทั้งประเทศ หนึ่งใน Session ที่ได้รับความสนใจอย่างมากคือการนำเสนอของคุณจูเนียร์ ทัพไทย ฤทธาพรม ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ขนมไข่ชื่อดัง Haab ในหัวข้อ "HAAB's Heatwave : When Local Flavor Becomes a Lifestyle Icon" ซึ่งเผยเบื้องหลังการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ Haab จากขนมไข่ท้องถิ่น สู่การเป็นแบรนด์ที่สร้างกระแสติดปากคนทั่วประเทศ จุดเริ่มต้นจาก "ความเชื่อ" ที่ไม่ใช่ "ความชอบ" คุณจูเนียร์ได้แชร์เรื่องราวส่วนตัวว่าในวัยเด็กเป็นคนขี้อาย และไม่ได้มีความคิดที่จะทำธุรกิจอาหารเลย เพราะไม่ถนัดและทำไม่เป็น แต่เขามีความเชื่อมั่นในเรื่องอื่น ๆ มากกว่า เช่น e-commerce และ data for business ด้วยพื้นฐานที่เรียนจบด้านเศรษฐศาสตร์และเคยทำงานเป็น Business Analyst ให้กับ Amazon.com จุดเริ่มต้นของ Haab จึงไม่ได้มาจากความชอบในผลิตภัณฑ์ แต่มาจาก Co-founder (คุณมอส) ซึ่งเป็นคนสงขลาที่ต้องการผลักดัน "Project ขนมไข่" ในช่วงแรก คุณจูเนียร์ยังไม่เห็นดีมานด์ในตลาดขนมหวานเลย แต่หลังจากนั้น 1.5 ปี การกลับมาทบทวน (revisit) โปรเจกต์นี้ก็เกิดขึ้น เมื่อพบว่ามีร้านขนมไข่ร้านหนึ่งทำยอดขายได้เป็นหมื่นออเดอร์บน Shopee นั่นจึงเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า "ดีมานด์" มีอยู่จริง แม้จะยังไม่เข้าใจทั้งหมดว่าทำไมเทรนด์นี้ถึงเกิดขึ้น สูตรการ Scale ธุรกิจแบบมินิมัล สู่การขยายช่องทางการขายเเบบยั่งยืน คุณจูเนียร์เน้นย้ำถึงหลักการเริ่มต้นธุรกิจที่ว่า ควรเริ่มจาก Minimum Viable Product (MVP) หรือการทำในขนาดเล็กก่อน โดยให้ความสำคัญกับการ "Demand Research" ที่ไม่ใช่แค่ "Expected Demand" แต่ต้องเป็น "Actual Demand" ที่มีการพิสูจน์แล้ว ก้าวแรก: การทดลองตลาดด้วยงบประมาณจำกัด การทดลองเปิดบูธครั้งแรก ใช้เงินลงทุนเพียง 20,000 บาท บวกค่า Marketing 10,000 บาท สำหรับจ้าง KOL มารีวิว วันแรก ขายได้ 2,000 บาท แต่เพียง 1 สัปดาห์ ยอดขายก็พุ่งขึ้นเป็น 12,000 บาทต่อสัปดาห์ เพราะลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ บอกต่อ และการเลือก KOL ที่ตรง Target นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทีมงานมองหา "โมเดลทางธุรกิจ" ที่จริงจัง Turning Point: การสร้าง Brand Development และ Full Scale Event หลังจากเปิดร้านได้ 3 เดือน จุดเปลี่ยนสำคัญในการยืนระยะให้ได้ยาวคือการ Branding Development และการทำ Full Scale Event โดยในปีที่ผ่านมา Haab ออกอีเวนต์ไปถึง 205 ครั้ง เป้าหมายหลักไม่ใช่แค่ยอดขาย แต่คือการ "Test" เพื่อดูว่า "กลุ่มลูกค้าตัวจริง" อยู่ในห้างสรรพสินค้าใด หรือพื้นที่ใดบ้าง โดยเน้นย้ำว่า "ไม่เน้นกำไร แต่ก็ไม่ต้องการขาดทุน" การเติบโตแบบ Collaboration สู่การเป็น Global Brand คุณจูเนียร์เปิดเผยถึงกลยุทธ์สำคัญอีกข้อคือการ Collaboration กับแบรนด์อื่น ๆ ที่มีกลุ่มเป้าหมายสอดคล้องกัน เช่น ฉันจะกินชาไทยทุกวัน, Layers, Guss Damn Good, Bonnana เเละอีกหลายเเบรนด์เพื่อขยายฐานลูกค้าและสร้างการรับรู้ในวงกว้าง เพื่อช่วยให้แบรนด์สามารถยืนได้นาน Business Direction ของ Haab มุ่งเน้นไปที่: Domestic Growth via Franchise Model: การเติบโตในประเทศผ่านระบบแฟรนไชส์ Regional Expansion & Scale: การขยายไปในระดับภูมิภาค จากยอดขาย 150 ล้านบาทในปีที่แล้ว Haab ตั้งเป้าไว้ที่ 400-500 ล้านบาท ในปีนี้ พร้อมกับการขยายไปในต่างจังหวัด และต่างประเทศ ปัจจุบัน Haab มี 4 สาขาในมาเลเซีย รวมถึงการเปิดตัวแบรนด์ในเครืออย่าง Haroy เเละ Yogurbara ที่เปิดตัวในไทยและมีแผนจะขยายไปยังฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย "เราเกือบเป็น National Brand แล้ว แต่อยากให้เป็นระดับประเทศ อยากเป็น Global" คือวิสัยทัศน์ที่คุณจูเนียร์ส่งต่อ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า Haab กำลังก้าวข้ามจากการเป็นแค่ร้านขนมไข่สู่การเป็น Lifestyle Icon ที่พร้อมจะเติบโตไปทั่วโลก 2. La Glace: ปั้นแบรนด์ความงามให้ไวรัล ชนะใจ Gen Z ด้วย "พลังบวก" ใน Panel Discussion “Viral Beauty Branding: How La Glace Wins the Hearts of Gen Z” คุณไอติม (CEO) และ คุณเฟรนส์ฟรายส์ (COO) ได้เผยเส้นทางของ La Glace จากจุดเริ่มต้นที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ จนกลายเป็นแบรนด์ที่มียอดขายกว่า 420 ล้านบาทภายในสองปี จุดเริ่มต้นจาก "คำถาม" และ "ฐานลูกค้า" ทั้งสองเริ่มต้นธุรกิจขณะเป็นนักศึกษา ด้วยโจทย์ว่า "อะไรคือสิ่งที่คนถามถึงคุณมากที่สุด?" คำตอบคือ "เมคอัพ" คุณไอติมซึ่งเคยเป็นอินฟลูเอนเซอร์มาก่อน เริ่มจากการเป็นตัวแทนขาย จนกระทั่งตัดสินใจทำแบรนด์ของตัวเองด้วยความเชื่อมั่น แม้จะเจออุปสรรคในรอบแรกที่ขายไม่ได้เลย จนต้องถ่ายทอดความท้อแท้ผ่าน IG Stories ซึ่งกลายเป็นการสะสมฐานลูกค้าอย่างเป็นธรรมชาติ Turning Point คือเมื่อเพื่อนที่ร่ำรวยคนหนึ่งทักเรื่องหน้าผ่อง แต่ติเรื่องแพ็กเกจจิ้งที่ดูเชย นั่นทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจพัฒนาแบรนด์อย่างจริงจัง โดยการขอซื้อสูตรจากโรงงานและพัฒนา Branding ให้ทันสมัยขึ้น ความสำเร็จจึงเกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกเพราะ "มีฐานลูกค้าที่เชื่อใจอยู่แล้ว" แม้จะเคยโดนดราม่าเรื่องราคา (690 บาท) และการออกแบบ แต่พวกเขารับฟังและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนลูกค้าเปิดใจ กลยุทธ์การเติบโตที่มากกว่าแค่ "เครื่องสำอาง" La Glace ไม่ได้มองตัวเองเป็นเพียงแบรนด์เครื่องสำอาง แต่สื่อถึง "ความมั่นใจ" และการให้ทุกคน "สู้กับทุกปัญหา" แบรนด์จึงขาย "ฟีลลิ่ง" และ "Power" ให้กับลูกค้า ซึ่งเป็นข้อแตกต่างสำคัญที่ทำให้แบรนด์สามารถสู้กับคู่แข่งได้ กุญแจสู่ความเป็น Viral และการเข้าถึง Gen Z ความเข้าใจลูกค้าและแพลตฟอร์ม: คุณเฟรนส์ฟรายส์เสริมว่า กลยุทธ์สำคัญคือการพยายาม เข้าใจว่าลูกค้า (Gen Z) เสพสื่ออะไร และ เข้าใจเงื่อนไขของแต่ละ Platform พนักงานส่วนใหญ่ก็อยู่ในช่วงอายุ Gen Z ทำให้แบรนด์ส่งสารและแก่นสารถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด การบริหารคนแบบทีม "Avengers" (Growth Mindset): คุณไอติมเน้นว่าการคัดเลือกทีมงานนั้นสำคัญมาก โดยมองหาคนที่มี Growth Mindset, กล้าสู้, และเป็นผู้ให้ (Giver) La Glace มุ่งมั่นที่จะสร้างองค์กรที่ดีที่สุด ให้พื้นที่ในการเติบโตและเปิดโอกาสให้ทีมงานได้ออกไอเดียอย่างเต็มที่ ส่งผลให้ได้รับเรซูเม่กว่า 10,000 ใบ และมีอัตราการลาออกที่ต่ำมาก สวัสดิการที่ "ให้ใจ": สวัสดิการที่ดี เช่น เงิน 10,000 บาทเมื่อทำงานครบปี,โบนัสประจำปี, ลาวันเกิดพ่อแม่/แฟน, และการส่งต่อพลังบวกภายในทีม ทำให้พนักงานรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ "ลูกค้าต้องชนะเรา": หัวใจของการชนะใจ Gen Z คือการทำให้ลูกค้าเหนือความคาดหวัง หน้าที่ของแบรนด์คือการทำให้สิ่งที่ลูกค้าได้รับจากการเสียเงินนั้น ได้กลับมามากกว่าที่เสียไป ความไว้วางใจและการสนับสนุนจากลูกค้าคืออำนาจในการต่อรองกับ Suppliers เพื่อลดต้นทุนและ Scale up ต่อไป การขยายสู่ Offline แม้พฤติกรรมลูกค้าจะมักกลับไปซื้อออนไลน์ (เพื่อใช้โค้ด) La Glace ยังคงขยายสู่ร้านค้า Offline กว่าหมื่นสาขา โดยมีเป้าหมายที่ "ไปอยู่ทุกที่ของลูกค้า" และสร้างประสบการณ์ที่ลูกค้าสามารถทดลองสินค้าได้อย่างอิสระ 3. PAÑPURI: ถอดรหัส Thai Luxury Wellness จาก Slow Scale สู่ Global Brand คุณปราโมทย์ เดชะบุญศิริพานิช Managing Director ของ PAÑPURI ได้มาแบ่งปันกลยุทธ์ใน Session "Scent, Soul & Strategy : The Wellness Magnet" โดยยอมรับว่าเส้นทางของ PAÑPURI อาจเป็นแบบ "Scale Slow" เมื่อเทียบกับแบรนด์อื่น ๆ แต่มีเป้าหมายที่ชัดเจนคือการสร้างแบรนด์ไทยให้ไประดับโลกด้วยปรัชญา Wellness พลิกวิกฤตเป็นโอกาสและการ Transformation หลังโควิด PAÑPURI ยืนหยัดในฐานะแบรนด์ที่มุ่งเน้น Holistic Wellness หรือสุขภาพองค์รวม ซึ่งแตกต่างจากกระแส J-Beauty หรือ K-Beauty ที่เน้นความสวยงามเฉพาะหน้า แม้ในช่วงเริ่มต้นหลายปีก่อน Wellness จะยังไม่เป็นที่เข้าใจ แต่หลังโควิด-19 ความตระหนักรู้เรื่องนี้ก็เพิ่มขึ้นทั่วโลก ในช่วงวิกฤตที่เงินสดติดขัด PAÑPURI สามารถสร้าง Cash Flow ได้ถึง 4 ล้านบาทจากการผลิต เจลแอลกอฮอล์ การเอาตัวรอดครั้งนั้นกลายเป็นบทเรียนว่าต้องทำอย่างไรให้ดีกว่าเดิม จนนำไปสู่ Post Covid Transformation กลยุทธ์การ Transformation Don’t Follow The Big Guys: เลือกทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับแบรนด์ใหญ่ เพราะการทำตามอย่างมากก็แค่เสมอตัว PAÑPURI เลือกที่จะเก่งใน Segment ที่เล็กกว่า แต่เป็นจุดแข็งของตัวเอง Product Strategy (The Triangle of Truth): ผลิตภัณฑ์แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ Fine Fragrance, Bath Body & Hair, และ Skincare (รวมถึง Home Fragrance) โดยใส่ Value เข้าไปในผลิตภัณฑ์ ทั้งด้านคุณภาพ การออกแบบ Packaging โดยนักออกแบบเก่ง ๆ และเน้น Service ตามแบบฉบับ Thai Hospitality Stores & Experiences (Offline is the New Online): แม้โลกจะเปลี่ยนไปสู่ Online แต่ PAÑPURI ลงทุนใน Offline Store เพื่อสร้าง "ประสบการณ์" ให้ลูกค้าได้ทดลองกลิ่นและผลิตภัณฑ์จริง ๆ โดยแต่ละสาขาจะถูกออกแบบให้มี Concept ที่ไม่ซ้ำกัน สวยงาม และ "Instagammable" (เช่น สาขา Emquartier คอนเซปต์ Night Club / พัทยา คอนเซปต์เรือ) เพื่อดึงดูดลูกค้า Personalized & Experiential Retail: การให้บริการลูกค้าสามารถ ทดลองทำกลิ่นน้ำหอมกับครอบครัว ได้ที่ Emsphere & Emquartier สร้าง "Lifetime Customer" เพราะแบรนด์เชื่อว่า "Brand Story ไม่สำคัญเท่า Customer Story" การ Collaboration และวิสัยทัศน์ระดับโลก PAÑPURI สร้างสรรค์ Storytelling ในทุกแคมเปญ เช่น การ Collaborate กับ Jim Thomson โดยใช้เศษผ้ามาทำแพ็กเกจจิ้ง ซึ่งมีมูลค่าสูงและเป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้ยังมีการนำผลิตภัณฑ์ไปวางในร้านอาหาร Fine Dining กว่า 50 แห่งทั่วประเทศ วิสัยทัศน์ต่อไปของแบรนด์คือการก้าวสู่ระดับโลก ด้วยการขยายสาขา 40-50 แห่งทั่วเอเชีย รวมถึงการสร้างแคมเปญระดับโลก เช่น การเปิดตัวคอเลคชั่น “LOTUS ECLIPSE” ซึ่งมาจากชื่อซีรีส์ดังระดับโลก “The White Lotus” โดยมีเป้าหมายในการพา Thai Wellness Luxury ไปไกลในทุกมุมโลก 4. iHAVECPU: จากโลกออนไลน์สู่หน้าร้านจริง สูตรขยายธุรกิจคอมพิวเตอร์แบบติดสปีด คุณเปา พีรดนย์ เหมยากร เจ้าของแบรนด์ iHAVECPU ได้มาแบ่งปันเส้นทางการเปลี่ยนธุรกิจจากลูกเจ้าของ "กงสี" ที่กำลังจะแพ้ ให้กลายมาเป็นแบรนด์ไอทีที่เติบโตแบบไม่รอใคร ด้วยยอดขายที่พุ่งจาก 1,300 ล้านบาท (ปี 2023) เป็น 2,700 ล้านบาท (ปี 2025) สร้างตัวตนให้โดดเด่นท่ามกลางคู่แข่ง ท่ามกลางตลาดคอมพิวเตอร์ที่มีคู่แข่งมากมาย คุณเปาเริ่มต้นจากการขายของมือสอง ก่อนจะขยายสู่ Social Media โดยเน้นการ "สร้างตัวตน" ให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง Real & Relatable Branding: แทนที่จะสร้างภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบ คุณเปาเลือกที่จะเป็น "เจ้าพ่อคำคม" และนำเสนอตัวเองอย่าง "เรียล ๆ" ซึ่งทำให้ผู้คนเข้าถึงและจดจำได้ง่าย ลงคอนเทนต์ทุกแพลตฟอร์ม: ด้วยความเชื่อที่ว่า "ยิ่งคนรู้จักยิ่งสร้างโอกาสการขาย" iHAVECPU จึงลงคอนเทนต์ในทุกแพลตฟอร์มที่มี เพื่อให้คนเห็นแบรนด์ในวงกว้างที่สุด โดยต้อง เข้าใจธรรมชาติของแต่ละแพลตฟอร์ม ว่าควรลงคอนเทนต์แบบใด กลยุทธ์ Offline เสริม Online: เปิดร้านในจุดยุทธศาสตร์ ในขณะที่ร้านค้าอื่นมักจะเติบโตจากหน้าร้านสู่โลกออนไลน์ iHAVECPU เติบโตจาก Online จนต้องมีหน้าร้าน กลยุทธ์การเปิดร้าน (ปัจจุบันมี 16 สาขา) เน้นไปที่: พื้นที่ Stand Alone/ปั๊ม/Avenue: เลือกพื้นที่ที่ค่าเช่าไม่แพง และลูกค้ามีความตั้งใจเดินเข้ามาซื้ออยู่แล้ว ซึ่งมีโอกาสปิดการขายสูงถึง 70-80% แตกต่างจากการขายในห้างสรรพสินค้าที่ลูกค้าอาจแค่เดินดู Offline เพื่อเสริม Online: หน้าร้านจริงทำหน้าที่เป็นตัวเสริมความมั่นใจให้กับลูกค้าที่รู้จักแบรนด์จากโลกออนไลน์ สร้างความแตกต่างให้ "คอมที่เหมือนกัน" ในธุรกิจที่สินค้าอย่างคอมพิวเตอร์ถูกมองว่า "เหมือนกันทุกร้าน" iHAVECPU ใช้กลยุทธ์ในการสร้างความแตกต่างเพื่อเพิ่มอำนาจการตัดสินใจซื้อ: Collaboration: สร้างสรรค์สินค้าที่ไม่มีใครเหมือนด้วยการคอลแลปส์กับแบรนด์อื่น ในส่วนประกอบ เช่น แรม การ์ดจอ หรือคีย์บอร์ด โดยลูกค้าจะได้อุปกรณ์ที่มี "iHAVECPU" เป็นส่วนหนึ่ง Customization และ Accessories: การทำเคสและอุปกรณ์เสริมที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งยังไม่มีใครทำอย่างจริงจัง ช่วยให้ลูกค้าเชื่อมั่นว่าได้สินค้าที่เป็น ลิมิเต็ด และมีคุณค่า Expertise is Trust: สร้างความไว้วางใจด้วยการเป็น "ตัวจริง" ในสิ่งที่ขาย ต้อง "รู้ทุกอย่าง" ที่ทำ เพื่อให้เป็น Top of Mind ของลูกค้า การที่ CEO นำหน้ามาขายเอง ยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือและความทุ่มเทให้กับแบรนด์ คุณเปาทิ้งท้ายว่า การเริ่มต้นช้ากว่าคนอื่นด้วยเงินทุนและประสบการณ์ที่น้อยกว่า ทำให้ต้อง "Work Hard" ควบคู่ไปกับ "Work Smart" เพื่อให้ก้าวข้ามทุกอุปสรรคไปให้ได้ 5. White Story: เรื่องเล่าพันล้านจากเมนูอร่อยและ Local Insight คุณแวว วาศิณี สุรชาติชัยฤทธิ์ ผู้ก่อตั้ง White Story ได้แบ่งปันเส้นทางการพลิกธุรกิจจากคาเฟ่ขนาดเล็กสู่แบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่ตั้งเป้ารายได้ 800 ล้านบาทในปีนี้ ด้วยการเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของคนไทยอย่างลึกซึ้ง การปรับตัวจาก "คาเฟ่" สู่ "ร้านอาหารครอบครัว" จุดเริ่มต้นของ White Story มาจากคาเฟ่เล็ก ๆ ที่เน้นขายกาแฟและขนมเค้กย่านวงเวียนพระราม 5  แต่รายได้ไม่เป็นไปตามเป้า คุณแววได้แก้ปัญหาด้วยการ "คุยกับลูกค้าทุกวัน" เพื่อทำความเข้าใจ Local Insight การเพิ่มเมนูอาหารจานเดียว: ลูกค้าในย่านวงเวียนพระราม 5 เป็นกลุ่มที่หลังส่งลูกเสร็จ หรือครอบครัวที่เพิ่งย้ายมาอยู่ ซึ่งต้องการ อาหารจานเดียว ทำให้ White Story ตัดสินใจ เพิ่มเมนูอาหาร เพื่อตอบโจทย์ความต้องการนี้ การขยายสาขาตามเทรนด์: หลังน้ำท่วมใหญ่ ธุรกิจเลือกย้ายจากบ้านเก่าที่รีโนเวทไปสู่ Community Mall (The Walk ราชพฤกษ์) เพื่อเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้น และใช้พื้นที่ใหญ่ให้เกิดประสิทธิภาพ พลิกโฉมสู่ Grab & Go และ F.L.A.V.O.R. Framework จุดเปลี่ยนสำคัญคือการปรับภาพจำจากร้านอาหาร Dine-in สู่ Grab & Go โดยเริ่มต้นจาก "ขนมปัง" ด้วยการสังเกตเทรนด์ว่าคนไทยชอบเที่ยวญี่ปุ่น และมีตลาดร้านอาหารไทยในญี่ปุ่นเปิดตัวเยอะ จึงนำ "ขนมญี่ปุ่น" มาประยุกต์ให้ถูกปากคนไทย เช่น ขนมปังห่อไดฟุกุ เพราะอร่อย ทานง่าย เเละอิ่มนาน Make it F.L.A.V.O.R. Framework คือสูตรลับที่ใช้ในการพัฒนาสินค้าและการเติบโต: F - Fusion: ผสมผสานวัฒนธรรมหรือรสชาติที่ได้รับแรงบันดาลใจ L - Local Insight: อิงพฤติกรรม วัฒนธรรม หรือความชอบของคนไทย A - Aesthetic: ความสวยงาม ถ่ายรูปแล้วปัง V - Value Add: การเพิ่มคุณค่า เช่น ด้านสุขภาพ (ไม่ใส่สารกันเสีย) หรือบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ O - Occasion Fit: เหมาะสมกับโอกาสในการซื้อ เช่น เทศกาล หรือซื้อกินระหว่างเดินทาง R - Repeatability: อะไรที่ทำให้คนอยากกลับมาซื้อซ้ำ การ Scale คุณภาพด้วยครัวกลางและการขยายสาขา เพื่อคงคุณภาพแม้จะขยายสาขาอย่างรวดเร็ว (ปัจจุบันมี 104 สาขา) White Story เล็งเห็นถึงความสำคัญของ "ครัวกลาง" ในการ ควบคุม QA QC และการพัฒนาสินค้าให้ตรงตามเทรนด์และดีมานด์อย่างต่อเนื่อง ด้วยวิสัยทัศน์ที่อยากให้คนไทยทุกคนได้ทานอาหารที่ดี และความตื่นตัวด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้น ทำให้ White Story ประสบความสำเร็จในการขยายตัวไปทั่วกรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดใหญ่ ๆ โดยยังคงมุ่งมั่นที่จะขยายสาขาให้เข้าถึงลูกค้าทั่วประเทศมากที่สุด 6. Pramy: กลยุทธ์ปั้นแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงไทยสู่พันล้านและตลาดโลกใน 3 ปี คุณคริส ฐิติภัทร์ ยิมเศรษฐี เจ้าของแบรนด์อาหารแมวพรีเมียม Pramy ใช้พื้นฐานจากการจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Cambridge และการที่เคยทำงานที่ McKinsey & Company เข้ามาพลิกโฉมตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงที่หลายคนมองว่าเป็น Red Ocean จนสามารถทำยอดขาย 1,000 ล้านบาท ใน 3 ปี และส่งออกไป 25 ประเทศ แรงขับเคลื่อนและความเข้าใจตลาด คุณคริสมีแรงบันดาลใจจากการเลี้ยงแมว 3 ตัว และตระหนักว่าคนในยุค "Pet Parent" ยอมจ่ายแพงเพื่อให้ลูก ๆ ได้อยู่ด้วยนาน ๆ แต่ความรู้ยังมีจำกัดและมักจะเลือกผลิตภัณฑ์ที่แพงที่สุด ซึ่งอาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด 5 Key Lessons สู่ความสำเร็จ Differentiate: เสนอทางออกด้วยการใช้วัตถุดิบ Human Grade (ปลาเนื้อขาว) ซึ่งคนทานได้และไม่คาว พร้อมตั้งราคาให้ "เข้าถึงได้" (Accessible Price) แตกต่างจากคู่แข่งพรีเมียมรายอื่น ๆ Branding: เน้นภาพลักษณ์ที่ดูเป็นสากลและเข้าถึงได้ โดยการเน้นภาพ วัตถุดิบเนื้อสัตว์ บนบรรจุภัณฑ์ แทนที่จะใช้รูปแมวแบบทั่วไป เพื่อสื่อสารกับตลาดโลก Customer Obsession: ใน 3 ปีแรก คุณคริสอ่านข้อความและข้อติชมของลูกค้าทั้งหมด การรับฟังอย่างหมกมุ่นนี้เองที่ทำให้ Pramy ขยายผลิตภัณฑ์จาก 9 SKU สู่กว่า 100 สูตร ในปัจจุบัน รวมถึงการแตกไลน์สินค้าใหม่ (Lola & Co.) ที่มีราคาถูกลง Authenticity and Trust (No Over Claim): ใช้เวลาเป็นปีในการออกสินค้าใหม่ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคว่าสินค้ามีการวิจัยและพัฒนาอย่างจริงจัง ไม่ใช่การโอ้อวดสรรพคุณเกินจริง Quality is Key to Create Community: คุณภาพของสินค้าที่ใช้จริง (เช่น เคสแมวถูกทิ้งที่เป็นโรคผิวหนัง กลับมาขนฟูแข็งแรงหลังทาน Pramy) คือสิ่งที่สร้าง Community และเป็นหลักฐานที่ทรงพลังที่สุดในการพาแบรนด์ไปสู่ตลาดโลก ทาง Jobcadu ได้มีโอกาสเข้าฟัง 6 session ที่น่าสนใจ ซึ่งล้วนถ่ายทอดประสบการณ์ตรงจากผู้นำธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่แบรนด์ขนมท้องถิ่นจนถึงสินค้าระดับไลฟ์สไตล์และเทคโนโลยี ความรู้ที่ได้รับไม่เพียงสะท้อนแนวคิดการ “โตไว” แต่ยังตอกย้ำว่า การเติบโตทางธุรกิจต้องมาคู่กับความเข้าใจตลาด ความจริงใจกับลูกค้า และการสร้างทีมที่แข็งแรง ขอบคุณทาง ScaleFast ที่สร้างพื้นที่ดี ๆ ให้ผู้ประกอบการไทยได้มาแลกเปลี่ยน เรียนรู้ และต่อยอดธุรกิจร่วมกันอย่างเข้มข้นและสร้างสรรค์

    Oct 1, 2025
    Thumbnail for “ตั้งตัว Franchise & Investment 2025” งานใหญ่ที่รวมโลกแฟรนไชส์และการลงทุน

    “ตั้งตัว Franchise & Investment 2025” งานใหญ่ที่รวมโลกแฟรนไชส์และการลงทุน

    เมื่อวันที่ 18–20 กันยายน 2568 ณ ฮอลล์ 6 อิมแพค เมืองทองธานี ได้มีการจัดงาน “ตั้งตัว Franchise & Investment 2025” มหกรรมแฟรนไชส์และการลงทุนครั้งยิ่งใหญ่ ที่รวมเอาทั้งโซนสัมมนา แฟรนไชส์ชั้นนำ การให้คำปรึกษาธุรกิจ และ Business Matching มาไว้ในที่เดียว จุดหมายคือการสร้างโอกาสให้ผู้ที่มีความฝันอยากทำธุรกิจ ได้ก้าวจาก “พนักงานตัวเล็ก ๆ” สู่ “เจ้าของกิจการ” ภายในงานมีทั้ง Main Stage Sessions ที่เสริมความรู้จากนักธุรกิจตัวจริง, Franchise Consultant ให้คำปรึกษาแบบเจาะลึก, Franchise Exhibition รวมแฟรนไชส์ดังที่พร้อมเปิดโอกาสให้ลงทุน และ Redemption Activity แจกของรางวัลรวมมูลค่ากว่า 300,000 บาท Insight จาก 2 Session ที่ทาง Jobcaduได้มีโอกาสเข้าฟัง Session 1: What’s Next – เช็กเทรนด์ธุรกิจร้านอาหาร 2025 โดย คุณยิม ฐากูร ชาติสุทธิผล ผู้ร่วมก่อตั้ง FoodStory และหัวหน้าฝ่ายนวัตกรรม POS, LINE MAN Wongnai หนึ่งใน Session ที่น่าสนใจที่สุดคือการอัปเดต สถานการณ์ร้านอาหารไทยในยุคดิจิทัล ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจปี 2025 ยอดขายเฉลี่ยของร้านอาหารลดลงกว่า 14% จากปี 2023 ร้านเปิดใหม่ 30% มีรายได้ต่ำกว่าที่คาด และ กว่า 50% ปิดตัวในปีแรก ต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้น 25%, ค่าแรงเพิ่มขึ้น 5% แต่เพดานราคาขายไม่สามารถขยับได้ ทางรอดของร้านอาหารไทย ใช้เทคโนโลยี – POS/CRM/ระบบ Digital Ordering เพื่อเพิ่มยอดขาย ลด food waste และจัดการต้นทุน เข้าถึงแหล่งทุน – ร้านที่ไม่มีการจดทะเบียนกว่า 79% อาจพลาดโอกาสเงินกู้และสิทธิสนับสนุน ความช่วยเหลือจากภาครัฐ – เช่นโครงการ co-payment หรือสิทธิประโยชน์ SMEs เพื่อเสริมสภาพคล่อง Insight ลูกค้า 2025 72% ต้องการร้านที่มีช่องทางขายหลากหลาย (ไม่ใช่แค่หน้าร้าน) 66% ต้องการการชำระเงินที่สะดวก (QR, บัตร, e-wallet) 60% ให้ความสำคัญกับความเร็ว 43% ต้องการการจัดคิวที่เป็นระบบ เมนูขายดีปี 2025 ไก่ทอด, ส้มตำปูปลาร้า, ข้าวผัด, ข้าวมันไก่, กะเพราหมูกรอบ สุกี้ กลายเป็น rising star โตขึ้นกว่า 30% มัทฉะฟีเวอร์ ครองตลาด ครึ่งปี 2025 ยอดขายทะลุ 5 ล้านแก้ว จนวัตถุดิบขาดตลาด บทสรุป: ร้านอาหารไทยต้อง “กลับมามองลูกค้าเป็นศูนย์กลาง” ใช้เทคโนโลยีและข้อมูลเพื่อเข้าใจความต้องการจริง ๆ และสร้างความยั่งยืนในระยะยาว Session 2: Business with Purpose – เปลี่ยนจุดยืนให้เป็นจุดขาย โดย คุณที นที จรัสสุริยงค์ และ คุณระริน ธรรมวัฒนะ ผู้ร่วมก่อตั้ง Guss Damn Good อีกหนึ่งไฮไลต์บนเวทีคือเรื่องราวการเดินทางของ Guss Damn Good แบรนด์ไอศกรีม “Crafted Ice Cream” ที่สร้างจากแนวคิด “Story to Flavor” จุดเริ่มต้น ทั้งคู่พบกันที่ Babson College มหาวิทยาลัยที่ขึ้นชื่อเรื่องการสร้างผู้ประกอบการ ได้แรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมการกินไอศกรีมในบอสตัน แม้ในวันที่หิมะตก แต่คนยังต่อคิวเพราะ “มันทำให้คิดถึงหน้าร้อนที่รอคอย” ความท้าทายในวันแรก ตอนเปิดตัวใหม่ ๆ ไม่มีใครเชียร์ เพราะไอศกรีม scoop ล้วน ๆ ไม่สวยเหมือน dessert ถ่ายรูป แต่ทีมผู้ก่อตั้ง “เลือกเชื่อในจุดยืนตัวเอง” ราคา 95 บาท/สกูป เมื่อ 10 ปีก่อนถือว่าสูงมาก แต่พวกเขาเชื่อว่า “คุณค่ามาจากรสชาติและวัตถุดิบ ไม่ใช่ท็อปปิ้ง” จุดยืนคือพลังของแบรนด์ Brand Promise: Inspired by People Story Boston Culture Damn Good Place มากกว่า 100 Collaboration กับแบรนด์ดัง ทำให้ Guss Damn Good กลายเป็น ice cream ที่ไม่ใช่แค่ของหวาน แต่เป็น สิ่งที่สร้างบทสนทนาและความรู้สึก ถึงแม้บางรสชาติจะขายได้น้อย แต่ยังคงผลิตเพื่อเสริม Brand Identity มุมมองต่ออนาคต โปรเจกต์ Guss Grocery 2024–2025 ที่หยิบวัตถุดิบไทยที่ผู้คนผูกพัน (เช่น ปลากระป๋องปุ้มปุ้ย, ทาโร่, เอมร้อยห้าสิบ) มาพัฒนาเป็นไอศกรีม มุ่งเน้น Micro Creamery ผลิตแบบคราฟต์ในโรงงานเล็ก แต่คงคุณภาพและตัวตน ฝากข้อคิด: “ถ้าจุดยืนไม่ชัด แบรนด์จะส่งต่อความรู้สึกไม่ถึงที่สุด แต่ถ้าเชื่อตัวเอง 100% มันจะกลายเป็นจุดขายที่แข็งแรง” สรุป งาน ตั้งตัว Franchise & Investment 2025 ไม่ได้เป็นแค่งานแฟรนไชส์ธรรมดา แต่เป็นเวทีที่สะท้อนว่า ในทุกวิกฤติธุรกิจยังมีโอกาส ถ้า “ปรับตัวไวและฟังลูกค้า” จุดยืนที่ชัดเจน ไม่เพียงทำให้แบรนด์อยู่รอด แต่ยังทำให้เติบโตอย่างยั่งยืน จาก Insight ของธุรกิจร้านอาหาร และเรื่องเล่าของ Guss Damn Good นี่คือเครื่องพิสูจน์ว่า “ธุรกิจที่ยั่งยืน ต้องมีทั้งการมองอนาคต และการยึดมั่นในแก่นแท้ของตัวเอง” ขอบคุณสำหรับงานดี ๆ ที่สร้างทั้งแรงบันดาลใจและโอกาสให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ได้ตั้งตัวและเติบโตไปด้วยกัน

    Sep 20, 2025
    Thumbnail for The Next Humanity: เมื่อ AI กลายเป็นบททดสอบความเป็นมนุษย์

    The Next Humanity: เมื่อ AI กลายเป็นบททดสอบความเป็นมนุษย์

    ในโลกที่เทคโนโลยีกำลังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่สุดของยุคสมัย คำถามใหญ่ของสังคมไทยวันนี้คือ “เราจะกำกับทิศทางของ AI ด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ได้อย่างไร”  งานเสวนา The Next HumAnIty ที่จัดโดย ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) จึงเกิดขึ้นเพื่อเปิดพื้นที่สนทนา ค้นหาคำตอบ และจุดประกายสังคมไทยให้ใช้ คุณธรรมเป็นเข็มทิศ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดยั้งของโลกดิจิทัล และครั้งนี้ Jobcadu ก็ได้มีโอกาสเข้าร่วมงานด้วย ซึ่งเปิดให้ผู้สนใจเข้าฟังฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย เริ่มด้วยรศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม ได้เปิดเผยผลสำรวจล่าสุดว่า “ดัชนีชี้วัดคุณธรรมของคนไทยทั้ง 3 ช่วงวัย (13–24 ปี, 25–40 ปี และ 41 ปีขึ้นไป) อยู่ในระดับ ‘พอใช้’ เฉลี่ย 4.3 คะแนน ขณะที่ดัชนีทุนชีวิตอยู่ในระดับ ‘ดี’ มีคะแนนเฉลี่ยเกือบ 79% โดยเฉพาะกลุ่มวัย 41 ปีขึ้นไปที่มี ‘พลังตัวตน’ โดดเด่นที่สุด ส่วนในระดับภูมิภาค พบว่าภาคตะวันตกมีค่าเฉลี่ยสูงสุด อยู่ในระดับ ‘ดีมาก’ ที่ร้อยละ 80.41 สะท้อนถึงศักยภาพทุนชีวิตที่แข็งแรงและเป็นรากฐานสำคัญในการกำหนดทิศทางสังคมไทยในอนาคต” การจัดงานครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี AI ที่ส่งผลกระทบต่อทุกมิติของสังคม ตั้งแต่การทำงาน การใช้ชีวิต ไปจนถึงโครงสร้างเศรษฐกิจ แต่ขณะเดียวกันก็สร้างความท้าทายใหม่ๆ ทั้งด้านจริยธรรม ภัยคุกคามทางไซเบอร์จาก Deepfake และ AI Phishing รวมถึงคำถามสำคัญต่ออนาคตของแรงงานไทย ศูนย์คุณธรรมจึงเห็นความจำเป็นเร่งด่วนในการสร้าง “พื้นที่กลาง” เพื่อเปิดเวทีพูดคุยและหาทางออกอย่างมีส่วนร่วม เพื่อให้การพัฒนา AI เดินหน้าไปบนรากฐานของ คุณธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อสะท้อนหัวใจของการเสวนา รศ.นพ.สุริยเดว ได้ทิ้งท้ายด้วยคำถามสำคัญว่า “เรากำลังสร้างคนให้กลายเป็นหุ่นยนต์ หรือสร้างให้เป็นมนุษย์ที่เดินได้กันแน่?” พร้อมทั้งชี้ให้เห็นถึง 5 คุณสมบัติที่ทำให้มนุษย์แตกต่างและ AI ไม่สามารถแทนที่ได้ ได้แก่: ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) – การมองเห็นสิ่งใหม่และคิดนอกกรอบ แรงบันดาลใจ (Inspiration) – การปลุกพลังให้ผู้อื่นเดินตามฝัน ความใฝ่รู้ (Curiosity) – ความอยากเรียนรู้สิ่งใหม่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด คุณธรรม (Morality) – การยึดถือสิ่งที่ถูกต้องและมีจริยธรรม สายใยรักและความเอื้ออาทร (Loving Care) – ความห่วงใย ความผูกพัน และความเมตตาต่อกันในสังคม ทั้งหมดนี้ตอกย้ำว่า แม้ AI จะพัฒนาอย่างรวดเร็วและทรงพลังเพียงใด แต่สิ่งที่ทำให้มนุษย์มีคุณค่าและแตกต่าง คือ จิตใจ ความรัก และคุณธรรม ที่เทคโนโลยีไม่สามารถทดแทนได้ “เมื่อเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว คำถามต่อมาคือ…แนวโน้มใดบ้างที่จะกำหนดทิศทางของมนุษยชาติในยุคถัดไป?” เราจะพาไปเจาะลึกกันทีละหัวข้อ 1.Mega Trends 2025: 4 คลื่นใหญ่กำหนดอนาคตมนุษยชาติ ในเวที Trends to Watch คุณณัฐกร เวียงอินทร์ Head of Content & Branding, Future Trends ได้พูดเกี่ยวกับอนาคตผ่าน 4 เมกะเทรนด์สำคัญ ที่จะหล่อหลอมสังคมมนุษย์หลังปี 2025 Responsible AI – ปัญญาประดิษฐ์ที่ต้องรับผิดชอบต่อสังคม จากคดีความลิขสิทธิ์ที่ Anthropic ต้องจ่ายกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ ไปจนถึงภัย Deepfake และกรณี AI ที่สร้างโศกนาฏกรรมในชีวิตจริง ล้วนเป็นสัญญาณว่าโลกยังขาด “มาตรฐานและความรู้เท่าทัน” (AI Literacy) เพื่อนำ AI ไปใช้อย่างถูกต้องและปลอดภัย Sustainability Resilience – ความยั่งยืนเพื่อรับมือโลกเดือด จาก “เมืองฟองน้ำ” ที่อู่ฮั่น ไปจนถึง “Boston Climate Ready Plan” ทุกประเทศต่างต้องเร่งปรับตัวเพื่อรับมือภัยธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงขึ้น การสร้าง resilience จึงไม่ใช่แค่คำสวยหรู แต่เป็นยุทธศาสตร์เพื่อความอยู่รอดของเมืองและมนุษยชาติ Longevity Society – อายุยืนอย่างมีคุณภาพ แนวคิด “ยืนอย่างสุข” ไม่ได้หมายถึงเพียงการมีชีวิตยาวนาน แต่คือการมีสุขภาพกายและใจที่แข็งแรง อิงจากบทเรียนของชุมชนอายุยืนทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นโอกินาว่าที่กินมันม่วงเป็นอาหารหลัก หรือวัฒนธรรมการใช้ชีวิตเรียบง่ายที่ลดความเครียดลงได้อย่างมหาศาล Geopolitics 2.0 – เมื่อการเมืองโลกสั่นคลอน ความตึงเครียดระหว่างประเทศ ตั้งแต่รัสเซีย–ยูเครน ไปจนถึงตะวันออกกลาง ล้วนส่งผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและเกษตรกรรมโดยตรง ประเทศไทยจึงต้องเร่งใช้ AgriTech และ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต มิฉะนั้นจะไม่สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้ 2.AI at Work: นิยามใหม่ของงานและคนทำงาน อีกหนึ่งเวทีสำคัญคือ Deep Dive Panel: AI at Work โดยคุณแทนพงศ์ CPO, FutureSkill และคุณปฤณ CEO, AEIOU ที่ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า AI จะไม่มาแย่งงานมนุษย์ แต่จะ เปลี่ยนวิธีทำงาน ไปโดยสิ้นเชิง AI = Scale & Speed งานที่ต้องการความเร็วและปริมาณ AI ทำได้ดีกว่า เช่น การเขียน การแปล การสร้างคอนเทนต์ หรือการวิเคราะห์ข้อมูล Human = Sense & Soul งานที่ต้องใช้ความรู้สึก ความคิดสร้างสรรค์ และจิตวิญญาณ ยังเป็นพื้นที่ของมนุษย์ เช่น การสัมภาษณ์ผู้สมัครงาน หรือการออกแบบประสบการณ์ลูกค้า คุณแทนพงศ์เสนอว่า “มนุษย์ต้องเป็น AI Driver ไม่ใช่แค่ AI Passenger”  ต้องรู้เท่าทันข้อจำกัด เข้าใจอคติ (Bias) และใช้ AI อย่างมีวิจารณญาณ ขณะที่คุณปฤณย้ำว่า หนทางรอดคือการพัฒนาตัวเองให้เหนือกว่าค่าเฉลี่ยของ AI ไม่ว่าจะเป็นการฝึก Critical Thinking, Communication หรือการต่อยอด Domain Knowledge ของตนเอง 3.Digital Wisdom: เกราะป้องกันดิจิทัลของมนุษย์ ในเซสชัน Digital Shield: Building AI Literacy for All Generations คุณทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ และ รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ย้ำถึง “ภูมิคุ้มกันดิจิทัล” ที่ทุกคนควรมี นั่นคือการใช้ วิจารณญาณและคุณธรรม เป็นเกราะป้องกัน เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อข้อมูลเท็จหรือ Deepfake การรู้จัก “เสียงของตัวเอง” จึงเป็นทักษะใหม่ที่สำคัญ เพราะในยุคที่ AI เลียนแบบทุกอย่างได้หมด อัตลักษณ์และความไม่สมบูรณ์แบบของมนุษย์กลับกลายเป็นสิ่งล้ำค่า 4.Longevity Tech: AI กับสังคมอายุยืน ปิดท้ายโดย ผศ.นพ.จิรยศ จินตนาดิลก อายุรเเพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทางด้านการนอนหลับ MedPark Hospital และ คุณกัญจน์ภัสสร สุริยาแสงเพ็ชร์ CEO , Founder ของ Ooca ชี้ให้เห็นว่า AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสร้างสังคมผู้สูงวัยที่มีคุณภาพ เช่น การช่วยตรวจจับภาวะนอนไม่หลับ ความเหงา หรือการดูแลสุขภาพแบบ personalized แต่หัวใจสำคัญคือ AI ต้องไม่แทนที่มนุษย์ หากแต่เป็นผู้ช่วยในการยืด Health Span (ช่วงเวลาที่มีสุขภาพแข็งแรง) ไม่ใช่แค่ Life Span (ช่วงชีวิตที่ยืนยาว) บทสรุป: AI เป็นเพียงเครื่องมือ มนุษย์คือผู้กำหนดทิศทาง “The Next HumAnIty” คือสัญญาณสำคัญว่า อนาคตของ AI และสังคมไทยจะเดินไปทางใด ขึ้นอยู่กับ การเลือกของเรา หากเราร่วมกันใช้คุณธรรมเป็นเข็มทิศ AI ก็จะไม่ใช่ภัยร้าย แต่จะเป็นพลังสร้างสรรค์ที่พาเราก้าวสู่โลกใหม่อย่างมีคุณภาพ ยั่งยืน และไม่ทิ้งหัวใจความเป็นมนุษย์ ขอขอบคุณ ศูนย์คุณธรรม (Moral Space) ที่จัดงานเสวนาดี ๆ ครั้งนี้ขึ้นมา เพื่อจุดประกายให้สังคมไทยมองเห็นอนาคตของเทคโนโลยีผ่านเลนส์ของคุณธรรม และหากไม่อยากพลาด ข่าวสารงานดี ๆ บทความพัฒนาตัวเอง และเทรนด์โลกการทำงาน ติดตาม Jobcadu ไว้ได้เลย

    Sep 12, 2025
    Thumbnail for เรียน ป.โท อย่างไรให้คุ้ม! พร้อมแนะนำคณะที่ควรเรียนต่อป.โท เพื่อโอกาสที่ดีกว่า

    เรียน ป.โท อย่างไรให้คุ้ม! พร้อมแนะนำคณะที่ควรเรียนต่อป.โท เพื่อโอกาสที่ดีกว่า

    หลายคนคงมีคำถามติดอยู่ในใจว่า “เรียนต่อป.โทดีไหม?” หรือ “เรียนแล้วคุ้มจริงหรือเปล่า?” ความจริงคือ คำตอบไม่ได้ตายตัว เพราะบางสายงาน ปริญญาตรีก็เพียงพอแล้ว แต่บางสายงาน การมีปริญญาโทติดตัวเหมือนการได้ตั๋วพิเศษที่จะพาเราไปสู่โอกาสใหม่ ๆ ที่ป.ตรีอาจเข้าไม่ถึง บทความนี้เลยจะพาไปดูกันว่า ทำไมคนถึงเลือกเรียนป.โท มีอะไรต้องเตรียมตัว และคณะไหนที่เรียกได้ว่า “เรียนแล้วรุ่ง” มากกว่าจบแค่ป.ตรี ทำไมคนถึงเลือกเรียนป.โท? เหตุผลมีหลายแบบ บางคนอยากได้ตำแหน่งงานที่สูงขึ้น บางคนอยากเปลี่ยนสายงาน หรือบางคนก็แค่อยากพิสูจน์ตัวเองให้เก่งขึ้นในสายที่เรียนมา อีกอย่างที่หลายคนมองคือเรื่องเงินเดือน—เพราะต้องยอมรับว่าหลายองค์กรให้ค่าตอบแทนกับคนที่มีวุฒิสูงกว่าป.ตรี เรียนแบบไหนที่ใช่เรา? (รู้จักประเภทของหลักสูตร) สายวิจัยล้วน - เน้นทำธีสิส หนักไปทางวิชาการ เหมาะกับคนอยากต่อเอกหรือเป็นนักวิจัยจริงจัง เรียน + ทำวิจัย - ได้ทั้งเรียนทฤษฎีและลองทำวิจัยไปพร้อม ๆ กัน เรียนอย่างเดียว - จบด้วยโปรเจ็กต์หรือรายงาน เหมาะกับคนทำงานที่อยากเอาความรู้ไปใช้จริง ไม่ได้เน้นทำวิทยานิพนธ์ ขั้นตอนสมัครก็ไม่ยาก (แต่ต้องเตรียมเอกสารให้ครบ!) เริ่มจากเลือกมหาวิทยาลัยและคณะที่ใช่ → เช็กคุณสมบัติ → เตรียมเอกสารสำคัญอย่าง Transcript, SOP, Recommendation Letter → บางที่ก็ต้องสอบภาษาอังกฤษหรือสอบสัมภาษณ์เพิ่มเติม ใครที่อยากไปเรียนต่อต่างประเทศก็อาจต้องสอบ GRE/GMAT อีกด้วย หากกำลังหาข้อมูลการเตรียม CV สำหรับไปเรียนต่อสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ ที่นี่ ก่อนเรียนต่อ เตรียมตัวยังไงบ้าง? สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ ภาษาอังกฤษ เพราะแทบทุกหลักสูตรต้องใช้ ทั้งอ่านทั้งเขียน เรื่องถัดมาคือ การเงิน ควรวางแผนไว้ก่อนว่าจะเอาค่าเล่าเรียนและค่าครองชีพมาจากไหน และสุดท้ายคือ การทำวิจัย ลองอ่านบทความวิชาการในสายที่สนใจ เผื่อจะได้ไอเดียหัวข้อที่จะทำต่อ ค่าใช้จ่ายและทุน มีทางเลือกเยอะกว่าที่คิด ค่าเล่าเรียนป.โทในไทยอยู่ราว ๆ หลักแสนต้น ๆ ถึงครึ่งล้าน ส่วนถ้าไปต่างประเทศก็อาจแตะหลักล้าน แต่ก็ใช่ว่าต้องควักเองทั้งหมด เพราะมีทุนหลากหลายให้เลือก ทั้งทุนรัฐบาล ทุนมหาวิทยาลัย หรือทุนจากต่างประเทศ เช่น Fulbright, Erasmus+, DAAD เป็นต้น จบแล้วไปได้ดีกว่าป.ตรีจริงไหม? ขึ้นอยู่กับคณะและสายงาน แต่มีบางคณะที่เรียกได้ว่า “บวกแต้มต่อ” แน่นอน เช่น MBA (บริหารธุรกิจ) – ต่อยอดสู่ผู้จัดการหรือผู้บริหาร การเงิน/บัญชี/เศรษฐศาสตร์ – ได้งานในองค์กรใหญ่หรือสายการเงิน วิศวกรรม/ไอที – โดยเฉพาะ Data Science, AI, Cybersecurity ที่ตลาดต้องการสูง สายสุขภาพ (พยาบาล, สาธารณสุข, เภสัช) – เงินเดือนสูงขึ้นทันทีเมื่อเทียบกับป.ตรี กฎหมาย/รัฐศาสตร์/นโยบายสาธารณะ – เปิดประตูสู่งานภาครัฐและองค์กรระหว่างประเทศ หากมีเเพลนสนใจจะไปเรียนต่อต่างประเทศ สามารถเข้าไปดูลิสต์ประเทศที่น่าสนใจได้ที่นี่เลย เพื่อประกอบการตัดสินใจ การเรียนต่อป.โทไม่ใช่เรื่องที่ต้องทำเพราะใคร ๆ ก็ทำ แต่ควรถามใจตัวเองก่อนว่าอยากไปต่อเพื่ออะไร ถ้าเป้าหมายชัด มีความพร้อมด้านภาษาและการเงิน ป.โทก็เป็นการลงทุนที่คุ้มสุด ๆ เพราะนอกจากได้วุฒิการศึกษา ยังได้เครือข่ายใหม่ ๆ และโอกาสในการก้าวหน้าในอาชีพที่กว้างขึ้นกว่าเดิม สามารถเข้ามาศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Jobcadu

    Sep 2, 2025
    Thumbnail for เข้าใจธุรกิจง่ายขึ้นด้วยการทำความรู้จัก BMC เครื่องมือที่คนทำงานยุคใหม่ต้องใช้

    เข้าใจธุรกิจง่ายขึ้นด้วยการทำความรู้จัก BMC เครื่องมือที่คนทำงานยุคใหม่ต้องใช้

    BMC คืออะไร และมีที่มาอย่างไร BMC (Business Model Canvas) คือเครื่องมือที่ช่วยวางแผนและมองภาพรวมของโมเดลธุรกิจได้ในแผ่นเดียว พัฒนาโดย Alexander Osterwalder นักวิชาการด้านธุรกิจที่ต้องการทำให้การออกแบบธุรกิจเข้าใจง่ายขึ้น เห็นเชื่อมโยงทุกส่วนในภาพเดียวแทนที่จะเขียนแผนธุรกิจหนา ๆ หลายร้อยหน้า ความสำคัญของ BMC ต่อการทำธุรกิจและสตาร์ตอัป สำหรับ ผู้ประกอบการ/สตาร์ตอัป → BMC ช่วยมองเห็นว่าธุรกิจของเราจะสร้างคุณค่าอย่างไร ขายให้ใคร และสร้างรายได้จากตรงไหน สำหรับ คนทำงาน → BMC ไม่ได้ใช้แค่กับเจ้าของธุรกิจ แต่ยังช่วยให้พนักงานเข้าใจภาพรวม ว่าเรามีบทบาทอย่างไรในการสร้างคุณค่า ทำให้การทำงานเชื่อมโยงกับเป้าหมายองค์กรได้ชัดเจนขึ้น Business Model Canvas ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง? หลังจากที่เราได้รู้จักความหมายของ Business Model Canvas (BMC) กันแล้ว ลำดับถัดมาคือการเจาะลึกในรายละเอียดว่า “BMC” จริง ๆ แล้วมีส่วนประกอบอะไรบ้าง และแต่ละส่วนสำคัญต่อการทำธุรกิจอย่างไร 1. พาร์ตเนอร์หลัก (Key Partners) การมีพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจช่วยเสริมศักยภาพให้กับองค์กรได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้าน ทรัพยากร เทคโนโลยี เงินทุน หรือช่องทางการกระจายสินค้า การร่วมมือกับบุคคลที่สามหรือองค์กรอื่น ๆ จึงเป็นส่วนสำคัญในการลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสทางการตลาด เช่น ธุรกิจออนไลน์ที่ต้องมีพาร์ตเนอร์การขนส่งและระบบการชำระเงิน เพื่อทำให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่น 2. กิจกรรมหลัก (Key Activities) กิจกรรมที่ธุรกิจทำเพื่อให้การส่งมอบ Value หรือคุณค่า ให้ไปถึงมือลูกค้าได้จริง เช่น การผลิตสินค้า การพัฒนาบริการ การออกแบบผลิตภัณฑ์ หรือการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ ตัวอย่างเช่น ร้านอาหารที่มีลูกค้าแน่นและรอคิวนาน อาจพัฒนา “ระบบจองคิวออนไลน์” เพื่อแก้ปัญหาและเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้า 3. ทรัพยากรหลัก (Key Resources) ทรัพยาการในส่วนนี้ หมายถึงสิ่งที่ธุรกิจต้องมีเพื่อให้การขับเคลื่อนไปสู่ความสำเร็จ ซึ่งอาจเป็นทั้ง ทรัพย์สินทางกายภาพ (เครื่องจักร อาคารสำนักงาน), ทรัพย์สินทางปัญญา (สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า), และ ทรัพยากรมนุษย์ (ทีมงาน) 4. คุณค่าที่นำเสนอ (Value Proposition) หัวใจของ BMC อยู่ที่ “คุณค่า” ที่ธุรกิจสร้างขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ลูกค้า เราต้องตอบให้ได้ว่า สินค้าหรือบริการของเรามีจุดเด่นอะไร? สามารถแก้ Pain point ของลูกค้าได้ไหม? และแตกต่างจากคู่แข่งอย่างไร? เช่น ธุรกิจเดลิเวอรี่อาหารที่เน้น “ส่งเร็วใน 30 นาที” หรือแอปพลิเคชันที่ช่วย “ลดต้นทุนการทำงานขององค์กร” สิ่งเหล่านี้คือคุณค่าที่ดึงดูดลูกค้าได้จริง 5. ความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relationships) รูปแบบการสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า เช่น การให้ลูกค้าสมัครสมาชิก การให้บริการหลังการขาย การขอรีวิว หรือการถาม Feedback ของสินค้าและบริการ การสร้างคอมมูนิตี้ (เช่น กลุ่ม Facebook, LINE OA) การใช้ระบบอัตโนมัติ (Chatbot, Self-service platform) ทั้งหมดนี้คือการมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความผูกพันกับแบรนด์ 6. กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (Customer Segments) การทำธุรกิจจะประสบความสำเร็จไม่ได้เลย หากไม่เข้าใจว่า “ลูกค้าของเราคือใคร” การแบ่งกลุ่มลูกค้าตาม อายุ เพศ รายได้ อาชีพ พฤติกรรมการบริโภค หรือความต้องการเฉพาะ ช่วยให้โฟกัสกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายในการสื่อสารและทำการตลาด 7. ช่องทางจัดจำหน่ายและสื่อสาร (Channels) คือช่องทางการส่งมอบคุณค่าของสินค้าและบริการให้ถึงมือกลุ่มเป้าหมาย ช่องทางเหล่านี้อาจเป็นทั้ง ออนไลน์ (เว็บไซต์ อีคอมเมิร์ซ โซเชียลมีเดีย) และ ออฟไลน์ (หน้าร้าน ตัวแทนจำหน่าย) ซึ่งธุรกิจต้องเลือกช่องทางที่เหมาะสมกับสินค้าหรือบริการ รวมถึงพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย 8. แหล่งรายได้ (Revenue Streams) รายได้ของธุรกิจอาจมาจากหลายช่องทาง เช่น ค่าสมาชิก (Subscription) การขายตรง (Direct Sales) การให้เช่า หรือค่าบริการรายครั้ง รายได้จากโฆษณา การวิเคราะห์ Revenue Streams จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจรู้ว่า รายได้หลักอยู่ที่ไหน และจะต่อยอดสร้างรายได้ใหม่ ๆ ได้อย่างไร 9. โครงสร้างต้นทุน (Cost Structure) การเข้าใจโครงสร้างต้นทุนช่วยให้ธุรกิจวางแผนได้แม่นยำมากขึ้น แบ่งออกเป็น: ต้นทุนคงที่ (Fixed Costs): เช่น ค่าเช่าสำนักงาน เงินเดือนพนักงาน ต้นทุนผันแปร (Variable Costs): เช่น วัตถุดิบ ค่าแรงงานตามปริมาณผลิต ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ (Other Expenses): เช่น ค่าโฆษณา การตลาด หรือบริการจาก Outsource เมื่อธุรกิจเห็นภาพรวมต้นทุนทั้งหมด จะช่วยในการวิเคราะห์ความคุ้มค่า และหาทางปรับปรุงกระบวนการเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายได้ วิธีการเขียน BMC อย่างมีประสิทธิภาพ เริ่มจาก Customer Segments และ Value Propositions เพราะเป็นหัวใจหลัก ใช้โพสต์อิท/สติ๊กเกอร์ เพื่อยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยน เขียนให้สั้น กระชับ และเข้าใจง่าย อัปเดต BMC เรื่อย ๆ เพราะสภาพตลาดเปลี่ยนตลอดเวลา ตัวอย่าง BMC (เช่น ร้านกาแฟท้องถิ่น) Customer Segments: คนทำงานและนักเรียนในพื้นที่ Value Propositions: กาแฟคุณภาพ ราคาจับต้องได้ บรรยากาศอบอุ่น Channels: หน้าร้าน + แอปสั่งอาหาร Customer Relationships: บัตรสะสมแต้ม, โปรโมชัน Revenue Streams: การขายกาแฟและเบเกอรี Key Resources: พนักงานบาริสต้า, วัตถุดิบกาแฟ Key Activities: การชงกาแฟ, การทำการตลาด Key Partnerships: Supplier เมล็ดกาแฟ, แอปฟู้ดเดลิเวอรี Cost Structure: ค่าเช่าร้าน, ค่าจ้างพนักงาน, ค่าวัตถุดิบ ข้อดีและข้อเสียของการใช้ BMC ข้อดีของ BMC: เห็นภาพรวมธุรกิจใน 1 หน้า เข้าใจง่าย ใช้สื่อสารกับทีมได้ทันที ยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ ข้อเสียของ BMC: เป็นภาพรวม ไม่ลงรายละเอียดเชิงลึก อาจไม่ครอบคลุมประเด็นด้านกฎหมาย/การเงินที่ซับซ้อน ต้องใช้คู่กับการวิเคราะห์อื่น ๆ เช่น SWOT, Business Plan เครื่องมือออนไลน์ที่ช่วยทำ BMC ได้ง่าย Canva (มี Template ฟรี ใช้งานง่าย) Miro / MURAL (สำหรับทำงานร่วมกันแบบออนไลน์) Strategyzer (แพลตฟอร์มของผู้คิดค้น BMC เอง) BMC เกี่ยวข้องกับชีวิตคนทำงานอย่างไร เข้าใจภาพใหญ่: ไม่ว่าเราจะอยู่ฝ่ายไหน (HR, Marketing, Sales) เราจะเห็นชัดว่าบทบาทของเรามีผลต่อ Value Proposition และ Revenue Streams อย่างไร ใช้พัฒนาไอเดียส่วนตัว: ฟรีแลนซ์หรือคนที่คิดทำธุรกิจเล็ก ๆ สามารถใช้ BMC มาลองวางแผนก่อนได้ง่าย ๆ ช่วยวิเคราะห์องค์กรที่เราทำงานอยู่: เข้าใจจุดแข็ง จุดอ่อน และโอกาสของบริษัท → ทำให้ปรับตัวกับกลยุทธ์ขององค์กรได้ดีขึ้น BMC (Business Model Canvas) เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราเข้าใจธุรกิจในภาพรวมได้ง่ายและชัดเจน เหมาะกับทั้งผู้ประกอบการ สตาร์ทอัพ และคนทำงานทุกสายอาชีพ เพราะช่วยเชื่อมโยงบทบาทการทำงานกับคุณค่าที่องค์กรสร้างได้ดียิ่งขึ้น หากคุณอยากวางแผนธุรกิจใหม่ ๆ หรือเข้าใจการทำงานเชิงกลยุทธ์ BMC คือเครื่องมือที่ไม่ควรมองข้าม หากคุณอยากพัฒนาทักษะการทำงานและหาความรู้เรื่องการตลาด อาชีพ และการออกแบบเส้นทางสายงาน เข้าไปเรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ Jobcadu แพลตฟอร์มหางานที่มาพร้อมแหล่งความรู้สร้างแรงบันดาลใจ เพื่อการเติบโตในอาชีพของคุณ Reference

    Aug 25, 2025
    Thumbnail for สรุปครบ! PDPA คืออะไร ไม่ใช่แค่กฎหมาย แต่คือเรื่องใกล้ตัวของทุกคนในที่ทำงาน

    สรุปครบ! PDPA คืออะไร ไม่ใช่แค่กฎหมาย แต่คือเรื่องใกล้ตัวของทุกคนในที่ทำงาน

    PDPA คืออะไร? PDPA (Personal Data Protection Act) หรือ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล คือกฎหมายที่ออกมาเพื่อปกป้องสิทธิและความเป็นส่วนตัวของเจ้าของข้อมูล ไม่ให้ถูกเก็บ ใช้ เปิดเผย หรือนำไปใช้ในทางที่เจ้าของข้อมูลไม่ได้ยินยอม โดยกฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา ข้อบังคับ PDPA ใช้ได้กับใครบ้าง PDPA ไม่ได้จำกัดเฉพาะองค์กรใหญ่ แต่ครอบคลุมทุกหน่วยงานและบุคคลที่มีการจัดเก็บหรือใช้ข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ว่าจะเพื่อวัตถุประสงค์เชิงธุรกิจหรืออื่น ๆ ได้แก่: องค์กร บริษัท หน่วยงานราชการ ที่เก็บหรือใช้ข้อมูลของลูกค้า พนักงาน หรือคู่ค้า ผู้ประกอบการรายย่อย / ฟรีแลนซ์ ที่เก็บข้อมูลลูกค้า เช่น ชื่อ เบอร์โทร อีเมล บุคคลทั่วไป ที่มีการใช้ข้อมูลผู้อื่นในเชิงระบบ เช่น การเก็บข้อมูลเพื่อการตลาด การขาย หรือการโฆษณา ขอบเขตที่ PDPA คุ้มครอง PDPA คุ้มครองข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้ โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่: 1.ข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป ชื่อ–นามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทร อีเมล หมายเลขบัตรประชาชน เลขที่บัญชีธนาคาร ข้อมูลการทำงาน เงินเดือน 2.ข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว (Sensitive Data) เชื้อชาติ ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมือง ประวัติสุขภาพ ข้อมูลประวัติอาชญากรรม ข้อมูลชีวมิติ เช่น ลายนิ้วมือ ใบหน้า เสียง รสนิยมทางเพศ ถ้าเกิดว่ามีการละเมิด เราสามารถฟ้อง PDPA ได้ที่ไหน หากมีการละเมิดสิทธิ เช่น ข้อมูลรั่วไหล ถูกนำไปขาย หรือถูกใช้โดยไม่ได้รับความยินยอม สามารถดำเนินการได้ดังนี้: ร้องเรียนต่อคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC) ฟ้องร้องต่อ ศาลแพ่ง หรือศาลที่เกี่ยวข้อง เพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย ผู้กระทำผิดอาจได้รับโทษทั้งทางแพ่ง อาญา และปกครอง ขึ้นอยู่กับลักษณะความผิด PDPA เกี่ยวข้องกับชีวิตคนทำงานอย่างไร กฎหมายนี้มีผลกระทบต่อชีวิตการทำงานโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นลูกจ้าง นายจ้าง หรือคนทำงานสายอื่น ๆ เช่น: พนักงานทั่วไป → ข้อมูลเงินเดือน ประวัติการทำงาน เอกสารส่วนตัว จะต้องถูกเก็บและใช้อย่างปลอดภัย ฝ่ายบุคคล (HR) → ต้องระมัดระวังในการเก็บเรซูเม่ ใบสมัครงาน และข้อมูลพนักงานทั้งหมด ฝ่ายการตลาด/ฝ่ายขาย → การเก็บข้อมูลลูกค้า เช่น เบอร์โทร อีเมล พฤติกรรมการซื้อ ต้องได้รับความยินยอมก่อน ฟรีแลนซ์/คนทำงานออนไลน์ → การจัดเก็บข้อมูลลูกค้าผ่านแพลตฟอร์ม เช่น แบบฟอร์มสมัคร คอร์สออนไลน์ หรืออีเมล ต้องทำให้สอดคล้องกับ PDPA PDPA เป็นกฎหมายที่ออกมาเพื่อคุ้มครองสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลอย่างรอบด้าน ครอบคลุมทั้งข้อมูลทั่วไปและข้อมูลอ่อนไหว ทุกองค์กรและบุคคลที่มีการเก็บ ใช้ หรือเผยแพร่ข้อมูลต้องปฏิบัติตาม หากละเมิดสามารถฟ้องร้องได้ตามกฎหมาย สำหรับคนทำงาน PDPA ไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะเกี่ยวข้องตั้งแต่การเก็บข้อมูลพนักงาน ลูกค้า ไปจนถึงการทำธุรกรรมออนไลน์ ดังนั้น การเข้าใจและปฏิบัติตาม PDPA จะช่วยทั้งป้องกันความเสี่ยงทางกฎหมาย และสร้างความเชื่อมั่นให้กับองค์กรและลูกค้าได้อย่างยั่งยืน หากต้องการอัปเดตความรู้ด้านการทำงาน การตลาด และทักษะเพื่ออนาคต เข้าไปเรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ Jobcadu แพลตฟอร์มหางาน บทความเสริมทักษะเเละสร้างเเรงบันดาลใจด้านอาชีพเเละการพัฒนาตัวเองให้กับทุกคน

    Aug 25, 2025
    Thumbnail for ทีมเวิร์ค หัวใจสำคัญของความสำเร็จในองค์กรยุคใหม่ 

    ทีมเวิร์ค หัวใจสำคัญของความสำเร็จในองค์กรยุคใหม่ 

    ในโลกของการทำงานปัจจุบัน "ทีมเวิร์ค" (Teamwork) กลายเป็นหนึ่งใน Soft Skills ที่ทุกองค์กรมองหา เพราะการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เพียงแต่ช่วยให้บรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้น แต่ยังส่งเสริมการเติบโตของทั้งองค์กรและพนักงาน เรา Jobcadu จะพาไปหาคำตอบว่าคำว่าทีมเวิร์คคืออะไรเเละทำไมถึงสำคัญกับการทำงานในองค์กร ทีมเวิร์คคืออะไร? ทีมเวิร์ค คือ การทำงานร่วมกันของคนตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน โดยแต่ละคนจะใช้ความรู้ ความสามารถ ทักษะ และประสบการณ์ที่แตกต่างกัน มาเติมเต็มซึ่งกันและกัน เพื่อให้งานสำเร็จลุล่วงตามเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำไมทีมเวิร์คถึงสำคัญต่อองค์กร? เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน: การแบ่งงานตามความถนัดและการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทำให้งานเดินได้เร็วขึ้น เเละลดข้อผิดพลาดของชิ้นงาน มีมุมมองมากขึ้น: เมื่อผู้คนหลากหลายมารวมตัวกัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็น จะเกิดมุมมองใหม่ๆ นำทำให้การทำงานมีหลากหลายมิติ มีมุมมองและความสร้างสรรค์ในการทำงานมากขึ้น แก้ปัญหาได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ: การระดมสมองจากหลายๆ คน ช่วยให้มองเห็นปัญหาได้รอบด้าน และหาวิธีแก้ไขได้ดีกว่าการคิดคนเดียว สร้างขวัญและกำลังใจที่ดี: การได้ทำงานร่วมกับผู้อื่น ได้รับการสนับสนุน และรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ดี จะช่วยให้พนักงานมีความสุขในการทำงาน ลดความเครียด พัฒนาทักษะส่วนบุคคล: การทำงานเป็นทีมเปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ทั้ง Soft Skills และ Hard Skills จากเพื่อนร่วมงาน ทีมที่มีทีมเวิร์คที่ดีเป็นอย่างไร? เป้าหมายชัดเจน: ทุกคนในทีมเข้าใจและมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกันอย่างชัดเจน การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ: เปิดใจรับฟังและสื่อสารกันอย่างสม่ำเสมอ ความไว้วางใจและความเคารพซึ่งกันและกัน: สมาชิกในทีมเชื่อใจในความสามารถและเจตนาที่ดีของกันและกัน การสนับสนุนและช่วยเหลือกัน: พร้อมที่จะยื่นมือเข้าช่วยเมื่อเพื่อนร่วมทีมประสบปัญหา ไม่ปล่อยให้ใครทำงานหนักอยู่คนเดียว การรับผิดชอบร่วมกัน: ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาดีหรือไม่ดี ทุกคนในทีมพร้อมรับผิดชอบร่วมกัน มีภาวะผู้นำที่ดี: ผู้นำที่สามารถชี้นำ สร้างแรงบันดาลใจ และบริหารจัดการทีมให้ไปในทิศทางเดียวกัน ประโยชน์ของทีมเวิร์คที่ดี ประโยชน์ต่อตัวพนักงาน เพิ่มพูนความรู้และทักษะ: ได้เรียนรู้จากเพื่อนร่วมงานที่มีประสบการณ์หลากหลาย พัฒนาทักษะการสื่อสารและมนุษยสัมพันธ์: ได้ฝึกฝนการทำงานร่วมกับผู้อื่นที่มีความคิดเห็นแตกต่าง สร้างความมั่นใจในตนเอง: เมื่อเห็นผลงานที่เกิดจากการร่วมมือกัน ทำให้รู้สึกภูมิใจและมีคุณค่า ลดความเครียดและแรงกดดัน: การได้แบ่งเบาภาระและปรึกษาหารือกับทีม ช่วยให้จัดการความเครียดได้ดีขึ้น ประโยชน์ต่อองค์กร เพิ่มประสิทธิภาพ: ทำงานได้มากขึ้นในเวลาที่น้อยลง และได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ: การแลกเปลี่ยนความคิดนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆ แก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้: ปัญหาที่ยากลำบากสามารถแก้ไขได้ง่ายขึ้นด้วยการระดมสมอง ลดอัตราการลาออกของพนักงาน: พนักงานมีความสุข เครียดน้อยลงและผูกพันกับองค์กรมากขึ้น การสร้างทีมเวิร์คที่ดีไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็เป็นสิ่งที่ทุกองค์กรและพนักงานควรให้ความสำคัญ เพราะมันคือรากฐานสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จในองค์กร หากใครกำลังมองหางานในองค์กรที่ให้ความสำคัญกับทีมเวิร์คและพร้อมให้คุณเติบโตไปพร้อมกับทีม ลองเข้ามาค้นหางานคุณภาพจากหลากหลายบริษัทชั้นนำที่มีทีมเวิร์คที่ดีได้ที่ Jobcadu เลย

    Jul 14, 2025
    Thumbnail for Growth Mindset คืออะไร ทำไมเป็นหนึ่งในทักษะที่สำคัญในองค์กร

    Growth Mindset คืออะไร ทำไมเป็นหนึ่งในทักษะที่สำคัญในองค์กร

    Growth Mindset คืออะไร? ทำไมจึงเป็นหนึ่งในทักษะที่สำคัญในองค์กร ในโลกของการทำงาน ทักษะที่จำเป็นได้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หนึ่งในทักษะที่ได้รับความสนใจอย่างมากและกลายเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตขององค์กรคือ "Growth Mindset" ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่คำศัพท์ติดปาก แต่เป็นทัศนคติและชุดความคิดที่สามารถพลิกโฉมวิธีการทำงานและการพัฒนาบุคลากรไม่ว่าจะต่อตนเองและผู้อื่น มาทำความรู้จักกับ Growth Mindset อย่างละเอียดกัน Growth Mindset คืออะไร? Growth Mindset หรือ แนวความคิดที่โฟกัสไปถึงการเติบโต คือความเชื่อที่ว่าความสามารถ สติปัญญา และทักษะของเรานั้นสามารถพัฒนาและเติบโตได้ผ่านการเรียนรู้ ความพยายาม และความมุ่งมั่น ไม่ใช่สิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิดและเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ผู้ที่มี Growth Mindset จะมองความท้าทายเป็นโอกาสในการเรียนรู้ ความล้มเหลวเป็นบทเรียน และคำวิจารณ์เป็นสิ่งที่จะนำไปพัฒนาตัวเอง Growth Mindset มีความสำคัญอย่างไร? การมี Growth Mindset ในองค์กรนำมาซึ่งประโยชน์มากมาย ไม่ใช่แค่เพียงการพัฒนาบุคคล แต่ยังส่งผลต่อภาพรวมขององค์กรในหลายมิติ: ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง: พนักงานจะกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และพัฒนาทักษะอยู่เสมอ ไม่กลัวความผิดพลาด ทำให้องค์กรมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถทันสมัยอยู่ตลอดเวลา สร้างนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์: เมื่อพนักงานไม่กลัวที่จะลองผิดลองถูกและเปิดรับแนวคิดใหม่ ๆ ย่อมนำไปสู่การคิดค้นนวัตกรรมและโซลูชั่นใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจและองค์กร เพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัว: ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน องค์กรที่มี Growth Mindset จะสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ไม่ยึดติดกับวิธีการเดิม ๆ สร้างวัฒนธรรมองค์กรเชิงบวก: บรรยากาศการทำงานที่สนับสนุนการเรียนรู้ การให้กำลังใจ และการยอมรับความผิดพลาดในฐานะส่วนหนึ่งของกระบวนการ ทำให้พนักงานรู้สึกปลอดภัยและมีความสุขในการทำงาน ดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีคุณภาพ: องค์กรที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรย่อมเป็นที่น่าสนใจสำหรับผู้สมัครที่มีศักยภาพ และช่วยลดอัตราการลาออกของพนักงาน Growth Mindset มีอะไรบ้าง? (องค์ประกอบของ Growth Mindset) องค์ประกอบหลักของ Growth Mindset ได้แก่: เชื่อมั่นในการพัฒนา: มีความเชื่อว่าความสามารถและสติปัญญาพัฒนาได้ มองความท้าทายเป็นโอกาส: ไม่หลีกหนีความท้าทาย แต่เห็นเป็นโอกาสในการเรียนรู้ เปิดรับคำวิจารณ์: มองคำวิจารณ์เป็นประโยชน์ในการปรับปรุงตนเอง เรียนรู้จากความล้มเหลว: ไม่ท้อแท้กับความล้มเหลว แต่เรียนรู้จากมันเพื่อก้าวต่อไป พยายามและมุ่งมั่น: มีความพยายามและอุตสาหะในการบรรลุเป้าหมาย ชื่นชมความสำเร็จผู้อื่น: สามารถยินดีกับความสำเร็จของผู้อื่นและใช้เป็นแรงบันดาลใจ จะสร้าง Growth Mindset ได้อย่างไร? การสร้าง Growth Mindset ในองค์กรเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความสม่ำเสมอและมุ่งมั่น: ให้ความรู้และสร้างความเข้าใจ: จัดอบรมหรือเวิร์คช็อปเพื่ออธิบายแนวคิด Growth Mindset และประโยชน์ที่จะได้รับ ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต: สนับสนุนให้พนักงานเข้าร่วมการฝึกอบรม สัมมนา หรือเรียนรู้ด้วยตนเอง เปลี่ยนมุมมองต่อความผิดพลาด: สร้างวัฒนธรรมที่มองความผิดพลาดเป็นโอกาสในการเรียนรู้ ไม่ใช่สิ่งที่ต้องถูกลงโทษ ให้ฟีดแบ็กเชิงสร้างสรรค์: เน้นการให้ฟีดแบ็กที่ช่วยพัฒนาและชี้ให้เห็นถึงโอกาสในการปรับปรุง กำหนดเป้าหมายที่ท้าทายและเป็นไปได้: กระตุ้นให้พนักงานตั้งเป้าหมายที่ท้าทายแต่ยังสามารถทำได้ เพื่อให้เกิดความรู้สึกถึงความสำเร็จในการพัฒนา เป็นแบบอย่างที่ดี: ผู้นำในองค์กรควรเป็นผู้ที่มี Growth Mindset ที่ดี และแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการเรียนรู้และพัฒนา Fixed Mindset VS. Growth Mindset มีความแตกต่างกันอย่างไร? เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ลองพิจารณาความแตกต่างระหว่าง Fixed Mindset และ Growth Mindset: เห็นได้ว่าการมี Growth Mindset คือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดในตัวเอง เพราะจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้เราไม่เพียงแค่ "อยู่รอด" แต่ยังสามารถ "เติบโต" และ "โดดเด่น" ในสายอาชีพของคุณได้อย่างยั่งยืน และเตรียมพร้อมสำหรับทุกความท้าทายที่กำลังจะมาถึง หากกำลังมองหางานคุณภาพที่ใช้ Growth Mindset ในการขับเคลื่อนองค์กรและงานจากบริษัทชั้นนำ คลิ๊กเลย >> Jobcadu Jobs

    Jun 16, 2025
    Thumbnail for Interpersonal Skill คืออะไร? ทำไมทักษะนี้ถึงช่วยให้เราสามารถประสบความสำเร็จในอาชีพการงานมากขึ้น?

    Interpersonal Skill คืออะไร? ทำไมทักษะนี้ถึงช่วยให้เราสามารถประสบความสำเร็จในอาชีพการงานมากขึ้น?

    เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคนถึงสื่อสารเก่ง เข้ากับคนอื่นได้ง่าย และประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่าคนทั่วไป? คำตอบอยู่ที่ Interpersonal Skill หรือ ทักษะระหว่างบุคคล ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ทั้งในด้านการทำงานและชีวิตส่วนตัว ซึ่ง Jobcadu จะพาทุกคนเจาะลึกทักษะนี้เพื่อนำมาพัฒนาตัวเอง จะมีอะไรบ้างมาดูกันเลย! Interpersonal Skill คืออะไร? Interpersonal Skill หรือ ทักษะระหว่างบุคคล คือความสามารถในการสื่อสารและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นการพูด ฟัง เข้าใจความรู้สึกของคนรอบข้าง หรือการทำงานร่วมกันอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่าง 6 ทักษะย่อยๆ ได้ดังนี้ 1.การฟังอย่างตั้งใจ (Active Listening) ตั้งใจฟังคู่สนทนาโดยที่ไม่ขัดจังหวะหรือพูดสวนขณะที่เพื่อนร่วมงานกำลังพูดอยู่ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราสนใจฟัง และทำความเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูดจริงๆ นอกจากนี้ การมีทักษะการฟังผู้อื่นได้ดี จะช่วยลดความเข้าใจผิด และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นอีกด้วย 2.การทำงานเป็นทีม (Teamwork) สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นให้บรรลุเป้าหมายได้ เข้าใจและเคารพความคิดเห็นของเพื่อนร่วมทีม ไม่ตัดสินใครไปก่อน และเมื่อเวลาที่เจอปัญหาในงาน สามารถช่วยกันหาทางออกกับคนในทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3.ภาวะผู้นำ (Leadership) มีความสามารถในการเป็นผู้นำของทีม ตัดสินใจ และแก้ปัญหาได้อย่างรอบคอบ นอกจากนี้ยังสามารถสร้างบันดาลใจให้ผู้อื่น ช่วยให้ทีมสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถชี้แนะ ดึงศักยภาพและจุดแข็งของคนในทีมเอาออกมาใช้ให้ได้มากที่สุด 4.ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) มีความเข้าใจและรับรู้ถึงความรู้สึกของผู้อื่น จะช่วยให้เราสามารถสื่อสารและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงานได้ยิ่งขึ้น หรือบางครั้งลองชวนคนในทีมคุย ถามถึงปัญหาหรือข้อสงสัยที่เขากำลังติดขัด เพื่อให้เขาเล่าหรือระบายสู่เราฟัง ทำให้เขารู้สึกสบายใจและผ่อนคลายที่จะสนทนากับเรามากขึ้น 5.การแก้ไขความขัดแย้ง (Conflict Resolution) ทักษะนี้สามารถจัดการข้อขัดแย้งได้โดยที่ไม่ใช้อารมณ์ มุ่งเน้นที่การหาทางออกร่วมกันที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย และใช้คำพูดที่ประนีประนอม ไม่แสดงอำนาจโดยการกดดันหรือหยาบคายใส่คนในทีมเพื่อขู่ให้กลัว เพราะนอกจากปัญหาจะไม่ถูกแก้แล้ว เราอาจจะไม่ได้รับความไว้วางใจจากเพื่อนร่วมงานอีกต่อไป รวมถึงอาจก่อให้เกิดสถานการณ์ที่น่าอึดอัดในอนาคต 6.ความสามารถในการเจรจาต่อรอง (Negotiation) ใช้เหตุผลและทักษะการสื่อสารเพื่อหาข้อตกลงร่วมกัน ทำให้ทุกฝ่ายพอใจและลดปัญหาความขัดแย้งในที่ทำงาน แม้จะสนิทกับเพื่อนร่วมงาน แต่บางเรื่องในการทำงานควรมีการเจรจาข้อตกลงกันที่ชัดเจน ไม่ให้เกิดสถานการณ์ที่ถูกเอาเปรียบ ถือเป็นหนึ่งปัจจัยในการรักษาความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนร่วมงานหรือลูกค้าในระยะยาว วิธีพัฒนา Interpersonal Skill ในที่ทำงาน ฝึกการฟังเพื่อจับใจความ: ทุกครั้งที่ได้พูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน พยายามจับใจความสิ่งที่เขาต้องการสื่อ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราได้ฟังที่เขาพูดอยู่จริงๆ เมื่อผู้พูดเห็นว่าเรากำลังตั้งใจฟังในสิ่งที่กำลังพูดอยู่ เราก็จะได้รับความไว้วางใจจากอีกฝ่ายมากขึ้น ฝึกสื่อสารให้ชัดเจนและตรงประเด็น: ใช้คำพูดที่เข้าใจง่าย กระชับ และสุภาพ เพื่อลดความเข้าใจผิดในการรับสารของผู้ฟัง ฝึกเห็นอกเห็นใจเพื่อนร่วมงาน: พยายามเข้าใจความรู้สึกและมุมมองของเพื่อนร่วมงาน เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดี ความไว้วางใจในการทำงาน และเพื่อเสริมความน่าเชื่อถือให้ตัวเองด้วย จัดการความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์: ใช้เหตุผลในการพูดคุย หาทางออกที่เป็นกลาง และหลีกเลี่ยงการใช้อารมณ์ นอกจากนี้ยังเป็นการแสดงออกถึงความเป็นมืออาชีพในการทำงานและการมีวุฒิภาวะทางอารมณ์สูง ทำให้เพื่อนร่วมงานเชื่อถือในตัวเรามากขึ้น กล้าขอและรับฟังฟีดแบค: เปิดใจรับคำแนะนำจากเพื่อนร่วมงาน เพื่อนำไปปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น เพราะบางข้อควรปรับปรุงในตัวเอง ตัวเรามักมองไม่เห็น ต้องอาศัยผู้อื่นช่วยประเมินและแนะนำด้วยเช่นกัน ฝึกความมั่นใจและการแสดงออกอย่างเหมาะสม: กล้าพูดความคิดเห็นของตัวเองอย่างสุภาพและเคารพผู้อื่น เพื่อแสดงจุดยืนของตัวเองโดยที่ไม่ได้ข่มขู่หรือลดทอนคุณค่าของผู้อื่น เรียนรู้และพัฒนาตัวเองเสมอ : เข้าร่วมอบรม อ่านหนังสือ หรือดูวิดีโอเกี่ยวกับทักษะการสื่อสารและการทำงานร่วมกับผู้อื่น เพื่อเติม Input ให้ตัวเองได้แนวคิดหรือความรู้ใหม่ๆในการมาพัฒนาตัวเองสู่เวอร์ชั่นที่ดีขึ้น หากชอบบทความเกี่ยวกับทักษะการพัฒนาตัวเองในด้านต่างๆ รวมถึงค้นหางานที่ใช่และเหมาะกับตัวเอง สามารถเข้ามาศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ Jobcadu แหล่งรวมทักษะ โอกาส และงานคุณภาพต่างๆ ได้ในทุกช่องทาง!

    Mar 31, 2025
    Thumbnail for มารู้จักกับ CAT Tool เครื่องมือแปลภาษาสำหรับนักแปล

    มารู้จักกับ CAT Tool เครื่องมือแปลภาษาสำหรับนักแปล

    CAT Tools คืออะไร? CAT Tool (Computer-Assisted Translation Tool) คือซอฟต์แวร์ที่ช่วยนักแปลทำงานได้สะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย CAT Tool ไม่ใช่โปรแกรมแปลภาษาอัตโนมัติแบบ Google Translate แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยจัดเก็บและจัดการข้อความที่แปลแล้ว เพื่อให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ช่วยลดเวลาทำงานและทำให้การแปลมีความสม่ำเสมอมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการแปลซ้ำ ๆ และช่วยให้งานแปลมีคุณภาพที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง CAT Tools ทำงานโดยใช้หลักการของหน่วยความจำการแปล (Translation Memory - TM) ซึ่งช่วยให้เราสามารถบันทึกคำแปลที่เคยใช้แล้ว และนำกลับมาใช้ใหม่เมื่อมีประโยคหรือข้อความที่คล้ายกันในการแปลครั้งต่อไป นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์อื่น ๆ เช่น การจัดการคำศัพท์ (Terminology Management) การตรวจสอบคุณภาพการแปล (Quality Assurance - QA) และการทำงานร่วมกันแบบออนไลน์ ทำไมต้องใช้ CAT Tools? การใช้ CAT Tool มีข้อดีหลายประการที่ช่วยให้การแปลมีประสิทธิภาพมากขึ้นและลดความซับซ้อนในการทำงาน ดังนี้: ช่วยประหยัดเวลา เนื่องจากสามารถนำข้อความที่เคยแปลแล้วมาใช้ซ้ำได้ ทำให้ไม่ต้องแปลประโยคเดิมซ้ำหลายครั้ง เพิ่มความแม่นยำ ในการใช้คำศัพท์และสำนวน เพราะมีระบบหน่วยความจำการแปล (TM) ที่ช่วยให้การแปลสอดคล้องกันตลอดทั้งเอกสาร รองรับไฟล์หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Word, Excel, PowerPoint, PDF และ HTML ทำให้เราสามารถทำงานกับไฟล์ประเภทต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น ช่วยทำงานเป็นทีมได้ง่ายขึ้น ด้วยฟีเจอร์การแชร์ฐานข้อมูลคำแปลและการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ ทำให้ทีมงานสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยจัดการโครงการแปล โดยมีเครื่องมือช่วยติดตามความคืบหน้า แบ่งส่วนงาน และกำหนดระยะเวลาส่งมอบงานอย่างเป็นระบบ ลดข้อผิดพลาดในการแปล ด้วยฟีเจอร์ตรวจสอบคุณภาพ (QA) ที่ช่วยแจ้งเตือนเมื่อมีปัญหาด้านการแปล เช่น การแปลที่ไม่สอดคล้องกัน การสะกดคำผิด หรือการใช้คำที่ไม่ถูกต้อง CAT Tools เสียเงินมั้ย? มีตัวไหนบ้าง? CAT Tools มีทั้งแบบเสียเงินและแบบฟรี ขึ้นอยู่กับความต้องการและงบประมาณของเรา ตัวอย่าง CAT Tools แบบเสียเงิน: SDL Trados Studio – หนึ่งในเครื่องมือยอดนิยมสำหรับนักแปลมืออาชีพ รองรับฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น การจัดการคำศัพท์และการทำงานร่วมกันแบบออนไลน์ memoQ – ใช้งานง่าย มีอินเทอร์เฟซที่เป็นมิตรกับผู้ใช้ และมีฟีเจอร์ช่วยให้การแปลรวดเร็วขึ้น Wordfast – มีทั้งเวอร์ชันเดสก์ท็อปและออนไลน์ รองรับไฟล์หลายรูปแบบ และสามารถทำงานร่วมกับ TM ได้อย่างมีประสิทธิภาพ Déjà Vu – เป็น CAT Tool ที่มีระบบช่วยให้การแปลมีความแม่นยำมากขึ้น ด้วยระบบการค้นหาข้อความและการจัดการหน่วยความจำที่ดี ตัวอย่าง CAT Tools ฟรี: OmegaT – เป็นโอเพ่นซอร์ส ใช้งานได้ฟรี และรองรับหลายแพลตฟอร์ม MateCat – เครื่องมือแปลออนไลน์ที่ไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ ใช้งานฟรีและรองรับไฟล์หลายประเภท Smartcat – ผสมผสานระหว่าง CAT Tool และระบบแปลอัตโนมัติ ใช้งานได้ฟรีและรองรับการทำงานร่วมกันแบบออนไลน์ CAT Tool เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักแปลที่ช่วยให้การแปลมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และแม่นยำมากขึ้น ด้วยระบบหน่วยความจำการแปล การจัดการคำศัพท์ และฟีเจอร์การตรวจสอบคุณภาพการแปล ทำให้งานแปลมีความสอดคล้องและลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น เราสามารถเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับความต้องการของเรา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือแบบฟรีหรือเสียเงิน หากเราต้องการพัฒนาคุณภาพงานแปลและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน CAT Tool เป็นเครื่องมือที่ควรมีติดตัวอย่างแน่นอน นอกจากนั้นเรายังมีบทความที่น่าสนใจอื่น ๆ อีกมากมาย สามารถติดตามเราได้ที่ Career Portal

    Jan 30, 2025
    Thumbnail for รวมแหล่งเรียนรู้ Prompt Engineering: เขียน Prompt ChatGPT สร้างคำสั่ง AI ฉบับสมบูรณ์ที่สุดในไทย

    รวมแหล่งเรียนรู้ Prompt Engineering: เขียน Prompt ChatGPT สร้างคำสั่ง AI ฉบับสมบูรณ์ที่สุดในไทย

    แหล่งเรียนรู้สำหรับการเขียน Promp บน ChatGPT, Claude, Gemini และ AI ที่ดีที่สุด มีให้เลือกศึกษาทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ (+ท้ายบทความมี 6 คอร์สฟรี พร้อมลิงก์!) Article บทความภาษาไทยคู่มือการเขียน Prompt : Prompting ChatGPT 1. บทความ DataRockie - Prompt Engineering 101 คู่มือพื้นฐานการเขียน Prompt สำหรับใช้งาน ChatGPT และ Generative AI 2. บทความ Skooldio - 8 งานที่ช่วยได้ด้วย ChatGPT Prompts ตัวอย่างไอเดียและ Use Cases การใช้งาน ChatGPT Prompts ในสายงานต่าง ๆ 3. Ultimate Python - การใช้งาน ChatGPT Prompting อธิบายการใช้งาน ChatGPT พร้อมแนวทางการปรับแต่ง Prompt 4. Framework ในการเขียน Prompt อธิบายการใช้เขียน Prompt โดยใช้ framework บน Claude พร้อมแนวทางการปรับแต่ง Prompt ให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ 5. บทความ New Zenler - ChatGPT Prompts สำหรับการตลาด การประยุกต์ใช้ Prompt ในงานด้านการตลาดและการโฆษณา พร้อม Prompt คำสั่งภาษาไทยกว่า 30 แบบ บทความภาษาอังกฤษ: ChatGPT Prompting Techniques 1. Prompt Engineering - OpenAI คู่มือจาก OpenAI ทีมผู้พัฒนา ChatGPT สำหรับการออกแบบและเขียน Prompt 2. Prompt Engineering Guide แนะนำเทคนิคขั้นสูงสำหรับการสร้าง Prompt ที่มีประสิทธิภาพ 3. Real World Prompting - Claude (GitHub Repository) ตำราการ Prompt สุดล้ำ จาก Anthropic ทีมผู้พัฒนาโมเดล Claude และตัวอย่างการสร้าง Prompt ใช้งานจริงในสถานการณ์ต่าง ๆ 4. 5 เทคนิคพิสูจน์แล้วสำหรับการเขียน Prompt โดย Mike Taylor วิดีโอภาษาไทย: Prompting ChatGPT อย่างมืออาชีพ สอนวิธีเขียน Prompt ที่ดี ให้ ChatGPT ช่วยคุณทำงานได้จริง! Prompt Engineering Basics วิดีโอสอนพื้นฐานการสร้าง Prompt ที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น Live Prompt Engineering 101 Upskil @Weekend Prompt Engineering Techniques เทคนิคการสร้าง Prompt ขั้นสูงในภาษาไทย เทคนิคการ Prompt และการใช้งาน CHAT GPT AI ศาสตร์ กับ Skooldio 'AI ศาสตร์' รายการจาก Skooldio ที่พาทุกคนเรียนรู้ศาสตร์และศิลป์ของการใช้ AI วิดีโอภาษาอังกฤษ: ChatGPT Prompting Guide Prompt Engineering Overview บทนำเกี่ยวกับการสร้าง Prompt อย่างมีประสิทธิภาพ Crash Course on ChatGPT for Beginners วิดีโอแนะนำพื้นฐานสำหรับผู้เริ่มต้นใช้งาน ChatGPT คอร์สเรียนภาษาไทย: Prompt Engineering สำหรับ ChatGPT Skooldio - Getting Started with AI and ChatGPT คอร์สเริ่มต้นการใช้งาน AI และ ChatGPT สำหรับงานธุรกิจ SkillLane - ChatGPT Prompt Engineer คอร์สแนะนำการใช้งาน ChatGPT สำหรับสร้าง Prompt ในงานต่าง ๆ คอร์สเรียนภาษาอังกฤษ: Prompting ChatGPT อย่างมีประสิทธิภาพ ChatGPT for Everyone (ฟรี) คอร์สเรียนฟรีสำหรับการสร้าง Prompt ขั้นพื้นฐาน Prompt Engineering Specialization - Coursera คอร์สเรียนระดับกลางสำหรับการใช้งาน Prompt Generative AI: Prompt Engineering Basics - Coursera คอร์สสำหรับเรียนรู้ Generative AI และ Prompting คอร์สเรียนอื่น ๆ Learn ChatGPT by DataCamp (ฟรี) - คลิกที่นี่ Learn How to Use ChatGPT - Codecademy (ฟรี) - คลิกที่นี่ The Complete Prompt Engineering for AI Bootcamp - Udemy - คลิกที่นี่ ChatGPT Complete Guide: Learn Generative AI, ChatGPT & More - คลิกที่นี่ AI Python for Beginners - DeepLearning.AI (ฟรี) - คลิกที่นี่ บทความนี้รวบรวมแหล่งเรียนรู้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นบทความ วิดีโอ หรือคอร์สเรียน ทั้งฟรีและพรีเมียม เพื่อช่วยให้คุณพัฒนาทักษะการสร้าง Prompt สำหรับโมเดลภาษาอย่าง ChatGPT และอื่น ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ อย่าลืมแชร์บทความนี้เก็บไว้เพื่อใช้งานในอนาคต!

    Dec 3, 2024
    1/16
    แรงบันดาลใจ
    ดูเพิ่มเติม
    Thumbnail for Exclusive Interview with K.Ple “ที่นี่คือที่ทำงานที่ให้คุณลองผิด ลองถูก และเติบโตได้จริง ฟังจากผู้นำฝ่าย People ของ Bitkub”

    Exclusive Interview with K.Ple “ที่นี่คือที่ทำงานที่ให้คุณลองผิด ลองถูก และเติบโตได้จริง ฟังจากผู้นำฝ่าย People ของ Bitkub”

    ในโลกการทำงานที่ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแทบทุกวัน คุณเปิ้ล ปิยะนุช ลิมาภรณ์วณิชย์ คือหนึ่งในผู้นำด้าน People Strategy ที่สะท้อนภาพองค์กรยุคใหม่ได้อย่างชัดเจน เธอมีประสบการณ์ด้าน HR ยาวนานเกือบ 25 ปี ผ่านการทำงานในหลายอุตสาหกรรม ก่อนก้าวเข้าสู่บทบาท Group Chief People Officer แห่ง Bitkub ที่เธอทำงานมากว่า 2 ปี ซึ่งเธอบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่ “น่าสนใจ แปลกใหม่ และท้าทายทุกวัน” เพราะอุตสาหกรรมนี้ไม่เหมือนที่ไหน ทั้งเรื่องเทคโนโลยีและ digital asset ที่หมุนเร็วอย่างยิ่ง วัฒนธรรมองค์กร Bitkub: เชื่อในความหมายของงาน และมุ่งไปให้ไกลกว่าเดิม ที่ Bitkub พนักงานถูกเรียกว่า Bitkubers สะท้อนความรู้สึกเป็นหนึ่งใน ecosystem เดียวกัน ทุกคนทำงานภายใต้แนวคิดสำคัญขององค์กรคือ "Believe and Beyond"  มีความเชื่อ ศรัทธา และกล้าที่จะไปให้ไกลกว่าขอบเขตที่ตั้งไว้ เพราะงานในโลกเทคโนโลยีและสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นเฉพาะทางและส่งผลกระทบกับผู้ใช้จริง Bitkub จึงมุ่งสร้างทั้งแพลตฟอร์ม และ องค์ความรู้ (Knowledge) เพื่อให้ทั้งพนักงานและองค์กรเติบโตอย่างยั่งยืน บทบาทของผู้บริหาร: ผลักดันการเติบโตของพนักงานอย่างเป็นรูปธรรม คุณเปิ้ลเน้นเสมอว่า “ผู้บริหารคือแรงขับเคลื่อนสำคัญ” ไม่ใช่แค่กำหนดทิศทาง แต่ต้องทำให้พนักงานรู้สึกว่าไม่ได้เดินลำพัง  Bitkub จึงให้ความสำคัญกับการ reskill และ upskill เพราะงานในอุตสาหกรรมนี้เฉพาะทางมาก นอกจากทักษะแล้ว เรื่อง รายได้และสวัสดิการ ก็ต้องแข่งขันได้ และต้องช่วยให้พนักงานเติบโตทั้งอาชีพและชีวิต สวัสดิการที่แตกต่าง: ดูแลทั้งกาย ใจ และไลฟ์สไตล์ Bitkub ให้ความสำคัญกับสวัสดิการทั้ง รูปธรรม (Physical) และ นามธรรม (Emotional & Lifestyle) สวัสดิการรูปธรรมที่หาได้ยากในองค์กรอื่น Capsule นอนแบบ ergonomics ช่วยให้พนักงาน Power Nap เพื่อเติมพลัง ห้องนวดพร้อมหมอนวดผู้พิการทางสายตา 5–6 ท่าน ที่ประจำอยู่ในออฟฟิศ โซนสำหรับพักผ่อน/อ่านหนังสือ (Literation Zone) เพื่อเติมแรงบันดาลใจ ส่วนสวัสดิการเชิงนามธรรมที่เข้าใจไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ คือก่อนจะปล่อยสวัสดิการใด ๆ ทีม HR จะถาม “น้องอยากได้อะไร?” จากนั้นจึงคัดสรร perks และส่วนลดมาให้พนักงาน ไฮไลต์ล่าสุดคือ พันธมิตรกับ Tinder มอบ Gold Subscription ให้พนักงาน เพราะเข้าใจว่าคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์และคุณภาพชีวิต พาร์ทเนอร์กับแอปพบแพทย์ออนไลน์ เดือนตุลาคมจัดเป็น Mental Health Month มีกิจกรรมตรวจสุขภาพเชิงลึก เช่น body fat analysis เพื่อให้พนักงานดูแลตัวเองมากขึ้น ทั้งหมดนี้สะท้อนคอนเซปต์ Work-Life Integration ที่ Bitkub เชื่อว่า “ชีวิต” สำคัญไม่แพ้ “งาน” ลดช่องว่างผู้บริหารเเละพนักงาน ด้วยโปรแกรม Coffee Chat อีกหนึ่งโปรแกรมที่ได้รับความนิยมคือ Coffee Chat with C-levels พนักงานสามารถนัดเวลามาพูดคุยกับผู้บริหารที่อยากเจอได้โดยตรง เพื่อแชร์ความเห็น คำถาม หรือหาแรงบันดาลใจ เป็นพื้นที่ที่ลดช่องว่างและเพิ่มความใกล้ชิดระหว่างพนักงานกับผู้บริหารอย่างแท้จริง เป้าหมายต่อไป: สร้างวัฒนธรรม AI Learning Organization สำหรับทิศทางปีถัดไป Bitkub ต้องการผลักดันให้พนักงานเป็น AI Adoptors ไม่ใช่แค่รู้จักเครื่องมือ แต่ต้องใช้งานได้จริงและทำให้งานดีขึ้น โปรแกรมสำคัญ เช่น KUBERNATOR  รวมผู้เชี่ยวชาญ AI ประจำแต่ละทีม ที่ผ่านการอบรมเชิงลึกเพื่อนำ AI มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและยกระดับการทำงานได้จริงในทุกแผนก จัด AI Camp ให้น้อง ๆ เรียนรู้เครื่องมือ AI ระดับ Advanced นำ AI มาทำ Process Optimization พร้อมทดลอง Plug-in tools ใหม่ ๆ เพื่อดูผลแบบเป็นรูปธรรม Bitkub ต้องการเป็นเวทีให้พนักงานเรียนรู้ แสดงศักยภาพ และเติบโตไปพร้อมกับเทคโนโลยี ทิ้งท้ายถึงคนรุ่นใหม่: ทักษะสำคัญที่สุดในการทำงาน คุณเปิ้ลฝากถึงน้อง ๆ ที่กำลังเริ่มต้นทำงานว่า  “Resilience คือหัวใจ เพราะโลกทุกวันนี้เปลี่ยนเร็ว ล้มได้ แต่ต้องลุกให้เร็ว” หลายครั้งน้องทำงาน 6 เดือนแล้วรู้สึกไม่ใช่ ไม่ได้แปลว่าไม่เก่ง Bitkubเปิดโอกาสให้ ย้ายแผนก เพื่อหาสิ่งที่ใช่กว่า เพราะองค์กรเชื่อว่าศักยภาพของคนจะเปล่งประกายได้เมื่ออยู่ถูกที่ อยากเป็นหนึ่งใน Bitkubers? Bitkub คือองค์กรที่ลงทุนกับคนจริง ๆ เปิดโอกาสให้เติบโตทั้งในงาน ชีวิต และทักษะใหม่ ๆ ถ้าอยากเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ขับเคลื่อนโลกเทคโนโลยีไปข้างหน้า ติดตามโอกาสและไลฟ์สไตล์ของทีมงานได้ที่ 📌 IG: @lifeatbitkub 📌 TikTok: @babygreenblood

    Nov 26, 2025
    Thumbnail for “ธุรกิจไทยยุคใหม่ จะอยู่รอดได้ ต้องเข้าใจคนให้ลึกกว่าเทคโนโลยี และกล้าที่จะเปลี่ยนก่อนที่โลกจะเปลี่ยนเรา” สาระสำคัญจากสองเวทีใหญ่ในงาน Bitkub Summit 2025

    “ธุรกิจไทยยุคใหม่ จะอยู่รอดได้ ต้องเข้าใจคนให้ลึกกว่าเทคโนโลยี และกล้าที่จะเปลี่ยนก่อนที่โลกจะเปลี่ยนเรา” สาระสำคัญจากสองเวทีใหญ่ในงาน Bitkub Summit 2025

    ในยุคที่โลกธุรกิจเปลี่ยนเร็วกว่าเคย “การอยู่รอด” ไม่ใช่เรื่องของทุนมากหรือน้อยอีกต่อไป แต่คือ “ความเข้าใจในคนและความกล้าในการปรับตัว” สองเวทีสุดเข้มจาก Bitkub Summit 2025 — Shark Restage 2026 และ Thai SMEs Reshape 2026 ได้ถอดบทเรียนล้ำค่าจากผู้นำธุรกิจรุ่นใหม่และรุ่นใหญ่ของไทย ว่าทางรอดของเศรษฐกิจไทยอยู่ที่ “การสร้างคุณค่า” ไม่ใช่ “การแข่งขันราคา” สรุปเวที Panel Discussion: Thai SMEs Reshape 2026 “ทางรอดของผู้ประกอบการไทยยุคใหม่” ในงาน Bitkub Summit 2025 ปีนี้ หนึ่งในเวทีที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคงหนีไม่พ้น “Thai SMEs Reshape 2026” เวทีที่ได้รวบรวมสุดยอดผู้ประกอบการ SMEs ไทยที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในตลาด Red Ocean เพื่อมาเผยกลยุทธ์และแนวคิดในการสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด ประกอบด้วย คุณนัทธมน พิศาลกิจวนิช (สุกี้ตี๋น้อย), คุณพชร จิราธิวัฒน์ (Potato Corner), คุณพีรดนย์ เหมยากร (iHAVECPU) และ คุณวริษฐา สืบพันธ์วงษ์ (MizuMi) Suki Teenoi จากร้านบุฟเฟ่ต์เล็ก ๆ สู่ธุรกิจที่มียอดขายแตะ 9,000 ล้านบาทภายใน 8 ปี คุณเฟิร์นเล่าว่า จุดเปลี่ยนคือ “วันหนึ่งเราไม่อยากเป็นแค่เจ้าของร้าน แต่ต้องการเป็นธุรกิจที่เติบโตได้จริง”  เธอมองการขยายสาขาไม่ใช่แค่การเพิ่มจำนวนร้าน แต่คือการ “โตไปพร้อมกับคนของเรา” เพราะสุกี้ตี๋น้อยมีพนักงานจำนวนมากที่ต้องดูแล “เราไม่สามารถหยุดอยู่ที่เดิมได้ เพราะเรามีคนอีกหลายร้อยชีวิตที่ต้องโตไปด้วยกัน” ตอนนี้สุกี้ตี๋น้อยบุกตลาดภาคอีสานอย่างต่อเนื่อง และมีแผนเปิดภาคใต้ในปีหน้า ทุกครั้งที่เปิดสาขาใหม่แล้วเห็นลูกค้ามีความสุข มันคือ “รางวัลที่ยิ่งกว่ากำไร” แม้จะเติบโตเร็ว แต่เธอก็ยังมองว่า “ธุรกิจยังไม่สำเร็จ” เพราะความท้าทายของเฟิร์นคือ “จะทำอย่างไรให้โตอย่างยั่งยืน”  ไม่ใช่แค่ร้านอาหารตามกระแส แต่เป็นแบรนด์ที่อยู่ในใจคนไทยได้อีกหลายสิบปีข้างหน้า Potato Corner จากนักแสดงสู่ผู้บริหารแฟรนไชส์มันฝรั่งทอดระดับโลก คุณพีชเล่าว่าจุดเริ่มต้นของ Potato Corner เป็นเพียง “โปรเจกต์สนุก ๆ กับเพื่อน” ที่อยากเปิดร้านอาหาร แต่เมื่อเริ่มจริงจัง เขากลับพบว่านี่คือธุรกิจที่ต้องใช้การคิดและวางระบบอย่างลึกซึ้ง คุณพีชพูดถึงการ “localize” ธุรกิจแฟรนไชส์ต่างชาติให้เข้ากับคนไทยว่าเป็นหัวใจสำคัญ แม้ Potato Corner จะมี 4 รสชาติหลักจากต้นฉบับ แต่ทีมไทยต้องทำ R&D เองเพื่อให้รสชาติเข้ากับคนไทยมากที่สุด “ตลาดไทยไม่เหมือนใคร เราต้องเข้าใจคนไทยให้ลึกถึงพฤติกรรมและรสนิยม” อีกหนึ่งมุมที่น่าสนใจคือเรื่อง Personal Branding คุณพีชมองว่า การมีชื่อเสียงอาจช่วยได้ในช่วงเริ่มต้น แต่เขาอยากให้ธุรกิจอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง “วันหนึ่งถ้าไม่มีเรา ธุรกิจต้องไปต่อได้ นั่นคือแบรนด์ที่แท้จริง” iHAVECPU คุณเปาคือภาพแทนของ “SME ที่สร้างจากศูนย์”  เขาเริ่มต้นจากความฝันเรียบง่าย  “อยากรวยและมีอิสรภาพทางการเงิน”  แต่สิ่งที่ทำให้เขาต่างจากคนอื่นคือ เขา “ลงมือทำทันที” ด้วยสิ่งที่ถนัด คือการประกอบคอมพิวเตอร์ ในยุคที่ตลาดเต็มไปด้วยเจ้าใหญ่ ๆ เปาเลือกทางที่แตกต่าง  ทำ “คอมประกอบพร้อมใช้” ที่ลูกค้าซื้อแล้วใช้ได้เลย เหมือนบริการ “instant PC”  นั่นคือจุดกำเนิดของ iHAVECPU “ผมไม่แข่งเรื่องราคา แต่แข่งเรื่องความเชื่อถือ” สิ่งที่ทำให้แบรนด์นี้เติบโตอย่างก้าวกระโดด คือ Personal Branding ที่จริงใจและมีพลัง  คุณเปาไลฟ์สดขายคอมแบบไม่ปักตะกร้า แต่ให้ความรู้ พูดคุยเหมือนเพื่อน แทรกคำคม และค่อย ๆ สร้างความเชื่อมั่น วันนี้ iHAVECPU มียอดขายกว่า 2,700 ล้านบาท และคุณเปายังย้ำว่า “CEO ต้องลงมือเองก่อนเสมอ เพราะนั่นคือสิ่งที่สร้างความเชื่อมั่นให้ทั้งลูกค้าและทีมงาน” MizuMi จากมนุษย์เงินเดือนสู่ผู้ก่อตั้งแบรนด์สกินแคร์ไทยที่เติบโตในตลาดที่แข็งอย่าง “Red Ocean”  คุณหนุยเล่าว่า เธอเริ่มจากความเชื่อเล็ก ๆ ว่า “คนไทยก็สร้างแบรนด์สกินแคร์ระดับโลกได้” เธอเริ่มด้วยสินค้าชิ้นเดียว  คือครีมกันแดด Mizumi เพื่อให้ผู้บริโภค “จำแบรนด์ได้ทันที” “เราอยากเป็นแบรนด์ไทยที่คนจำได้ และยืนเคียงข้างแบรนด์ต่างชาติได้อย่างภาคภูมิ” Mizumi ใช้เวลา 5 ปีเต็มกว่าจะเติบโตและเป็นที่รู้จัก  คุณหนุยย้ำว่า “ธุรกิจที่ดีต้องไม่รีบ แต่ต้องคิดรอบด้าน”  เธอเลือกแนวทาง “ช้าแต่ชัวร์” ทำทุกอย่างเองตั้งแต่ต้น ทั้งวิจัยสินค้าและการตลาด ในยุคนี้ Mizumi นำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยด้านมาร์เก็ตติ้ง สร้าง Visual และคอนเทนต์ที่เข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้รวดเร็ว “AI ทำให้ทีมเราทำงานเร็วขึ้นมาก สร้างคอนเทนต์ใหม่ได้ทุกเดือน ซึ่งถ้าไม่มีเทคโนโลยี เราคงทำไม่ได้” กลยุทธ์การหาช่องว่างในตลาด Red Ocean จุดร่วมสำคัญของทุกแบรนด์คือการค้นหา “ช่องว่าง” และทำในสิ่งที่คู่แข่งไม่ทำ เพื่อสร้างโอกาสในตลาดที่มีการแข่งขันสูง: 1.Blue in Red Ocean (iHAVECPU): คุณเปาเน้นย้ำว่าการแข่งขันด้านราคา (Price War) นั้นเหนื่อยและไม่ยั่งยืน กลยุทธ์คือการสร้าง “Blue in Red” ด้วยการ Add Value ในส่วนของโปรโมชั่นและคอนเทนต์ ต้อวสร้างความเชื่อถือและความมั่นใจ ผ่าน Personal Branding โดยการ ไลฟ์สดให้ความรู้ และขายแบบ “ขายที่ไม่ขาย” (Give and Take) ลูกค้าอาจไม่ได้ซื้อทันที แต่จะนึกถึงแบรนด์นี้เมื่อพร้อม 2.Localization และ R&D (Potato Corner): คุณพีชมองว่าตลาดไทยมีความพิเศษและมี Preference ชัดเจน แม้เป็นแฟรนไชส์ระดับโลก แต่ต้อง Localize อย่างมาก ทำ R&D และทดสอบรสชาติอย่างเข้มข้นจนเจอจุดที่คนไทยชอบ และต้อง In-House การทำแคมเปญการตลาดที่ดุดันเพื่อให้แตกต่าง 3.Quality Over Price และ Dermatological Testing (Mizumi): คุณหนุย เน้นย้ำ 3 เรื่องหลัก: Quality Over Price: ใช้เทคโนโลยีญี่ปุ่นเพื่อให้สินค้ามีคุณภาพเกินราคาที่ผู้บริโภคจ่าย Accessibility: เน้นการจัดจำหน่ายให้เข้าถึงคนง่ายที่สุด ไม่ใช่แบรนด์อินดี้ Confidence: มี Dermatology Testing เพื่อสร้างความมั่นใจในคุณภาพ และการเริ่มธุรกิจอย่าง “ช้าแต่ชัวร์” เพื่อลดความเสี่ยงจากการเป็น Nobody AI และ Technology: AI คือตัวช่วย ไม่ใช่ตัวแทน ทั้งสี่ธุรกิจเห็นตรงกันว่า AI และเทคโนโลยีไม่ใช่สิ่งที่มาแทนที่ "คน" แต่เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน: Suki Teenoi: ใช้ POS และ Technology หลังบ้านในการ ปิดความเสี่ยงเรื่องการโกง และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ทำให้ขยายสาขาโดยใช้คนน้อยลงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น MizuMi: ใช้ AI อย่างเข้มข้นในฝั่ง Marketing โดยเฉพาะการสร้าง Visual Cartoon Characters และ Artwork ใหม่ ๆ อย่างรวดเร็ว เพื่อรองรับการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ทุกเดือน และดึงดูด Gen Z iHAVECPU: ใช้ AI และ ERP ในการจัดการ Back Office เช่น การ Suggestion คำตอบ Chatbot (Super Admin), การจัดซื้อ Inventory และ Logistics Potato Corner: ใช้ AI ช่วย Lean Cost ในบางส่วน เช่น การทำ Graphic Direction หรือ Simulation Artwork เพื่อให้เห็นภาพรวมก่อนเริ่มจริง ทิ้งท้าย เมื่อถามว่า “ถ้าให้เริ่มใหม่อีกครั้ง จะเลือกทำธุรกิจเดิมไหม?”  ทุกคนตอบเหมือนกัน  “ใช่” เพราะแม้ธุรกิจจะเหนื่อยและเต็มไปด้วยความเสี่ยง แต่พวกเขาทุกคน “รักในสิ่งที่ทำ” และนั่นคือเชื้อไฟที่ทำให้พวกเขายังเดินต่อได้ทุกวัน คำแนะนำจาก 4 ผู้ประกอบการถึงคนทำธุรกิจไทย คุณพีช: “นี่คือช่วงเวลาที่ SMEs จะโตเร็วที่สุด อย่ากลัว ต้องมี Agility และลงมือ” คุณหนุย: “ปรับตัวให้เร็ว เรียนรู้ให้เร็ว และต้องวิเคราะห์ความเสี่ยงให้เป็น” คุณเปา: “ธุรกิจทุกวันนี้แข่งสูง ต้องเด่นจริง ๆ อย่าหยุดพัฒนาตัวเอง” คุณเฟิร์น: “ต้องชัดเจนว่าเราทำธุรกิจเพื่ออะไร เพราะเป้าหมายคือสิ่งเดียวที่ทำให้เราไม่ยอมแพ้” “Thai SMEs Reshape 2026” ไม่ใช่แค่เวทีแชร์ประสบการณ์ แต่คือพื้นที่ที่ทำให้เราเห็นว่า การทำธุรกิจไม่ใช่แค่แพชชั่น แต่คือการหาช่องว่างที่คนอื่นไม่เห็น แล้วลงมือทำอย่างมีวินัย ทั้ง 4 วิทยากรพิสูจน์แล้วว่า คนไทยก็สามารถสร้างแบรนด์ให้ยั่งยืนได้ ถ้ามี “หัวใจนักสู้” และ “ความเข้าใจในผู้คน” “เพราะความสำเร็จของธุรกิจ ไม่ได้อยู่ที่ใครเริ่มก่อน แต่อยู่ที่ใครไม่ยอมแพ้ก่อนต่างหาก” สรุปเวที Panel Discussion: Shark Restage 2026 : ล่าธุรกิจไทย โตไกลสู่เวทีโลก เวทีนี้ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ของงาน Bitkub Summit ปีนี้ ที่เรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อย เพราะได้สามผู้นำทางธุรกิจของไทยมาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองอย่างเข้มข้น ได้แก่ คุณชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ, คุณกฤษณ์ ศรีชวาลา และ คุณท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ภาวะเศรษฐกิจ : เจ็บนานและโอกาสที่ลดลง ในการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็นช่วงที่หนักที่สุดในรอบ 40 ปี คุณกฤษณ์ ศรีชวาลา ชี้ให้เห็นว่าปัญหาหลักคือ "กระแสการเงิน" (Flow) ในระบบการเงินไทยที่ถูกล็อก ทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์เติบโตได้ยาก ทั้งยังถูกซ้ำเติมด้วยกฎหมายที่ทำให้การซื้อขายฝืดเคือง คุณกฤษณ์มองว่าแม้ในอดีตวิกฤตจะหนักแต่ฟื้นตัวเร็ว (เช่น ต้มยำกุ้ง, โควิด) แต่ช่วง 2-3 ปีหลังโควิดนี้ กลับเป็นภาวะ "เจ็บน้อยแต่เจ็บนาน" ที่ทำให้นักลงทุนต้องระมัดระวัง ในทางตรงกันข้าม คุณท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา กลับมีมุมมองที่น่าตกใจ โดยเตือนว่า "ปีนี้อาจเป็นปีที่ดีที่สุด และหลังจากนี้จะแย่ลงเรื่อยๆ" คุณท๊อปชี้ไปที่เทรนด์ระยะยาวจากเวที World Economic Forum ที่บอกว่า "Old Economy ไม่มี Premium เหลือแล้ว" กลายเป็น Red Ocean ที่มีการเติบโตติดลบ (เมื่อรวมเงินเฟ้อ) ในขณะที่ Digital Service และ AI กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ความท้าทายของประเทศไทยคือ หากไม่สามารถ Reskill/Upskill ทรัพยากรมนุษย์ได้ จะนำไปสู่การตัดราคา และที่น่ากังวลคือปัญหา Aged Economy โดยยกตัวอย่างข้อมูลการเกิดของเด็กใหม่ที่ลดลงเหลือเพียง 4 แสนคนต่อปี ทำให้ Consumption หายไปถึงครึ่งหนึ่ง Aging Society กับทางรอดของธุรกิจไทย คุณกฤษณ์เสริมว่า การที่คนไทยอายุยืนขึ้นแต่มีลูกน้อยลง ทำให้เรากำลังเข้าสู่ Old Economy อย่างเต็มตัว ซึ่งไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะแย่ แต่ “ต้องมองหาโอกาสใหม่ในพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป” “วันนี้คนใช้เงินกับสุขภาพ ความเป็นอยู่ และความยั่งยืน มากกว่าของฟุ่มเฟือย” ธุรกิจสาย Wellness, Longevity และ Health จึงเป็นแนวทางใหม่ที่น่าจับตา เพราะตอบโจทย์สังคมสูงวัยที่ยังมีกำลังจ่ายและให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิต ด้านคุณท๊อปเสริมว่า เทรนด์ Aged Economy เป็นเรื่องทั่วโลก แต่การจะยกระดับไปสู่ Premium Economy ได้ ต้องมี “โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล” ที่แข็งแรง เขายกตัวอย่างอุตสาหกรรม Tourism & Hospitality ที่ต้องเปลี่ยนจากการจับตลาดหรู ไปสู่ตลาด “สุขภาพและการใช้ชีวิตระยะยาว” ซึ่งสามารถสร้าง Value Added ได้มากกว่า “เด็กรุ่นใหม่ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ แต่ไปวิ่ง เข้าร่วม Run club ไปซาวน่า สนใจเรื่องสุขภาพ ถ้าเราออกแบบธุรกิจที่ตอบโจทย์กลุ่มนี้ จะสร้าง S-Curve ใหม่ให้ประเทศได้” จาก Old Economy สู่ New Economy – บทเรียนจากจีน คุณชนาพรรณมองว่า ประเทศไทยสามารถเรียนรู้จาก “โมเดลจีน” ที่เปลี่ยนผ่านจาก Old Economy สู่ New Economy ได้สำเร็จ เพราะเขาลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลไว้แน่นก่อน แล้วค่อยต่อยอดธุรกิจใหม่ๆ เธอเล่าตัวอย่างของอินโดนีเซีย ที่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่าง Nickel (แร่สำหรับผลิตแบตเตอรี่รถ EV) ให้เกิดมูลค่าเพิ่มด้วยการแปรรูป แทนที่จะขายวัตถุดิบดิบๆ “ประเทศไทยเองส่งออกยางพาราเป็นหลัก ถ้าเราดึงนักลงทุนมาช่วยแปรรูปให้เกิดมูลค่าเพิ่ม เราก็จะขยับจากผู้ขายวัตถุดิบไปเป็นผู้สร้างนวัตกรรมได้เหมือนกัน” DNA ธุรกิจไทยสู่ Global Stage เมื่อพูดถึงคุณสมบัติของนักธุรกิจไทยที่สามารถ Scale ไป Global ได้ จุดแข็งที่เห็นชัดคือ: Hospitality & Service Mind: คุณกฤษณ์ มองว่าการบริการและอัธยาศัยไมตรีคือจุดเด่นที่ AI ไม่สามารถแทนที่ได้ เป็น "Physical Touch" ที่มีเสน่ห์ดึงดูด และสอดคล้องกับเทรนด์ Wellness ความพร้อมและการบริหารจัดการ: คุณชนาพรรณ ย้ำถึงความสำคัญของการ "เข้าใจตลาด" ที่จะไป และ "ความสามารถในการแข่งขัน" สตาร์ทอัพที่คิดจะไป Global ต้องใหญ่และพร้อมจริง รวมถึงการ "บริหารจัดการ Supply Chain" ในยุคสงครามการค้า/สงครามจริง ให้สินค้าถึงมือลูกค้าอย่างแน่นอนและรักษาความเป็น Thai Authentic การลงทุนในอนาคต: Top 3 Sectors หากต้องเลือกลงทุนในธุรกิจใหม่ ผู้บริหารทั้งสามท่านเลือกจากจุดแข็งและเทรนด์ของโลก: 1.คุณท๊อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา เลือก Longevity / Health เนื่องจากประเทศไทยกำลังเข้าสู่ Super Aging Economy อย่างเต็มตัวภายใน 5 ปี และ Hospitality คือจุดแข็งของเรา ท่านมองว่าควรลงทุนในสิ่งที่ประเทศแข็งแรง แต่ต้องเพิ่ม Health Curve/Value Added เข้าไป 2.คุณชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ เห็นด้วย และเสริมว่าแนวทางที่น่าจับตาอีกอย่างคือ Green Energy และ Climate Tech เพราะคนรุ่นใหม่ทั่วโลกเริ่ม “ซื้อสินค้าด้วยความเชื่อ” และอยากสนับสนุนสิ่งที่ช่วยโลก 3.คุณกฤษณ์ ศรีชวาลา: เลือก Lifestyle Sport / Back to Basic ในยุคที่คนมีเวลาว่างจากงานมากขึ้น (จากการเข้ามาของ AI) ผู้คนจะต้องการใช้ Quality Time ในการทำกิจกรรมและเล่นกีฬา สนามกีฬา หรือสถานที่ที่รองรับ Lifestyle Sport จะกลายเป็นเทรนด์สำคัญ บทเรียนชีวิตและจุดเปลี่ยนของผู้นำ คุณกฤษณ์บอกว่า การทำธุรกิจไม่มีใครไม่พลาด มันคือการ "หลับๆ ตื่นๆ" ตลอดเวลา แต่สิ่งสำคัญคือการ “รู้ตัวและปรับตัวให้ทัน” เพราะหลายเหตุการณ์ เช่น โควิด หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ล้วนสอนให้เราต้องเตรียมแผนสำรองไว้เสมอ คุณชนาพรรณ แบ่งปันมุมมองที่น่าจดจำว่า “ไม่มีใครทำธุรกิจ 30 ปีโดยไม่พลาด แต่เราต้องทำให้ทุกความผิดพลาดเป็น Quality Mistake พลาดได้ แต่ต้องพัฒนาได้” เธอทิ้งท้ายด้วยประโยคที่โดนใจว่า “กล้าที่จะออกจากสิ่งที่ไม่ใช่ เพื่อไปอยู่ในสิ่งที่ใช่ คือ Turning Point ที่แท้จริงของชีวิต” ส่วน คุณท๊อป เล่าอย่างตรงไปตรงมาว่า เขาเองก็เคยพลาดในการบริหารเงินสด และเคยเติบโตผิดจังหวะ แต่บทสรุปที่สำคัญที่สุดคือ "มันไม่ได้อยู่ที่ใครมาก่อน แต่มันอยู่ที่เราอยู่นานแค่ไหน" หาก Macro Trend มาถูกทาง การอดทนและอยู่รอดในวงการได้นานคือกุญแจสำคัญสู่ชัยชนะ ทั้งสามคนร่วมกันถอดบทเรียน เศรษฐกิจไทยในยุคเปลี่ยนผ่าน ความท้าทายของธุรกิจในประเทศ และเส้นทางที่ภาคธุรกิจไทยจะก้าวไปสู่ “เวทีโลก” ได้อย่างยั่งยืน ติดตามเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับอาชีพและธุรกิจได้ที่ Jobcadu

    Oct 27, 2025
    Thumbnail for “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น ไลฟ์ร้อยล้าน” บทเรียนแรงบันดาลใจสำหรับคนทำงานยุคใหม่

    “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น ไลฟ์ร้อยล้าน” บทเรียนแรงบันดาลใจสำหรับคนทำงานยุคใหม่

    จากเวทีเพลง สู่เวทีชีวิตการทำงาน ปรากฏการณ์ “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น ไลฟ์ร้อยล้าน” กลายเป็นไวรัลครั้งใหญ่บนโลกโซเชียล จากศิลปินลูกทุ่งหญิงที่เคยยืนบนเวทีคอนเสิร์ต วันนี้เธอกลายเป็นแม่ค้าสุดพลังที่ไลฟ์ขายของจนยอดวิวพุ่งทะลุหลักล้าน และสร้างยอดขายถล่มทลายเเบบฉฉุดไม่อยู่ สิ่งที่ผู้คนตกหลุมรัก ไม่ใช่แค่ความสนุกของการขาย แต่คือ พลังงานบวก ความขยันไม่รู้จักเหนื่อย และความจริงใจ สิ่งที่เจนนี่ทำ มันไม่ได้เป็นแค่เรื่องของการขายของ แต่มันคือการโชว์ให้เห็นว่า คนธรรมดาคนหนึ่ง ถ้าตั้งใจทำอะไรสักอย่างอย่างเต็มที่ ก็สามารถสร้างปรากฏการณ์ได้จริง เจนนี่ = ตัวแทนของคนทำงานที่ “สู้ด้วยพลังใจ” เจนนี่ในวันนี้ไม่ใช่แค่ศิลปินอีกคน เธอคือผู้ประกอบการ นักสื่อสาร และแรงบันดาลใจที่เดินบนเส้นทางใหม่อย่างไม่กลัวล้ม ไม่กลัวเหนื่อย เธอมี "เสียง" ที่สื่อสารกับคนฟังได้ดี มี "วิสัยทัศน์" ที่มองเห็นโอกาสก่อนใคร และที่สำคัญ มี "ความกล้า" ที่จะลองทำในสิ่งที่คนอื่นยังไม่เคยทำเเละคิดสิ่งใหม่ๆที่คนอื่นไม่เคยคิดมาก่อน เหมือนคนทำงานยุคนี้ที่ต้องแบกหลายบทบาทไปพร้อมกัน บางทีเราต้องเป็นทั้ง "คนนำเสนอ" ที่พูดให้คนฟัง "คนขาย" ที่โน้มน้าวให้คนเชื่อ และ "คนวางแผน" ที่คิดหาทางรอดให้ทั้งทีม 3 บทเรียนจาก “เจนนี่ ไลฟ์ร้อยล้าน” ที่คนทำงานนำไปใช้ได้จริง 1. อย่ากลัวที่จะเปลี่ยน เพราะการปรับตัวคือทักษะที่ล้ำค่าที่สุดในยุคปัจจุบัน เส้นทางของเธอพิสูจน์ว่า การยืดหยุ่น คือสิ่งที่ทำให้เราอยู่รอดในยุคที่โลกหมุนเร็วแบบนี้ เธอไม่ได้ติดอยู่กับความสำเร็จเก่า ๆ แต่กล้าที่จะก้าวออกมา ทดลองสิ่งใหม่ แม้จะดูไม่เข้ากับภาพลักษณ์เดิมก็ตาม สำหรับเรา นี่คือการเน้นย้ำว่า อย่ากลัวที่จะเปลี่ยนบทบาท เมื่อโอกาสเดินเข้ามา เพราะบางทีสิ่งที่เราคิดว่าเป็น "ก้าวถอยหลัง" อาจกลายเป็น "จุดเริ่มต้นใหม่" ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม 2. ฟังคนฟัง เข้าใจคนดู เหมือนคุยกับเพื่อน คนดูไลฟ์เจนนี่บอกว่า รู้สึกเหมือนคุยกับเพื่อนหรือพี่สาวมากกว่าดูแม่ค้าขายของ เธอไม่ได้แค่ขาย แต่เธอฟังคำถาม หัวเราะไปด้วยกัน และตอบโต้อย่างเป็นธรรมชาติ นี่คือจุดเด่นที่ทำให้คนรู้สึกว่าเธอเข้าใจเเละรู้ว่าคนดูต้องการอะไรจริง ๆ สำหรับคนทำงาน นี่คือบทเรียนเรื่อง Empathy การเข้าใจความรู้สึกของคนรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นเจ้านาย ลูกค้า หรือเพื่อนร่วมงาน การทำงานไม่ใช่แค่ทำตามหน้าที่ แต่คือ การรับรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร และเราจะช่วยได้อย่างไร 3. วินัยและความสม่ำเสมอ คือกุญแจสำคัญ ไม่มีใครเห็นผลลัพธ์ร้อยล้านในวันเดียว เจนนี่ไลฟ์แทบทุกวัน ด้วยพลังเต็มร้อยเหมือนวันแรก และความสม่ำเสมอนั่นเองที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ชมและลูกค้า สำหรับคนทำงานทั่วไป “ความต่อเนื่อง” คือสิ่งที่แปลงความตั้งใจให้กลายเป็นผลลัพธ์จริงได้ในระยะยาว คำว่า “ได้หมดถ้าสดชื่น” ของเจนนี่ ไม่ได้หมายถึง “ต้องทำได้ทุกอย่าง” แต่มันคือ “กล้าทำทุกอย่างที่ทำได้ให้ดีที่สุด” นี่คือหัวใจของ Growth Mindset แนวคิดของคนยุคใหม่ที่พร้อมเรียนรู้ ปรับตัว และลงมือทำ ไม่ว่าเราจะเป็นพนักงานออฟฟิศ แม่ค้า ฟรีแลนซ์ หรือเจ้าของกิจการ บทเรียนจาก "เจนนี่ ไลฟ์ร้อยล้าน" กำลังบอกเราว่า พลังใจ ความสม่ำเสมอ และความจริงใจ คือสิ่งที่สร้างคุณค่าของคนทำงานได้จริง ถ้าเราทำงานด้วยความตั้งใจ ไม่ยอมแพ้ และยิ้มได้ทุกวัน โลกก็จะเห็นเรา เหมือนที่โลกเห็นเจนนี่วันนี้ พร้อมจะเริ่มต้นเส้นทางของคุณแล้วหรือยัง? 🔗หางานที่ใช่สำหรับคุณตอนนี้ได้ที่ Jobcadu.com

    Oct 16, 2025
    Thumbnail for Exclusive Interview with Mutant | เอเจนซี่ที่ไม่ได้ทำแค่ PR แต่แก้โจทย์ธุรกิจจริง

    Exclusive Interview with Mutant | เอเจนซี่ที่ไม่ได้ทำแค่ PR แต่แก้โจทย์ธุรกิจจริง

    เมื่อพูดถึง PR Agency ที่มาแรงในเอเชีย หนึ่งในชื่อที่ได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์ระดับโลกไม่ว่าจะเป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำหรือผู้ให้บริการสตรีมมิ่งแถวหน้ารวมถึงแบรนด์สายการบินอย่าง Scoot ตลอดจนองค์กรชั้นนำอีกมากมาย คือ Mutant Communications บริษัท Strategic Communications Agency ที่ก่อตั้งขึ้นในสิงคโปร์เมื่อปี 2012 และได้ขยายสาขาไปยังหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย Mutant ไม่ได้มองการทำประชาสัมพันธ์เพียงแค่เรื่อง “สื่อ” แต่เป็นการ ใช้ PR และการสื่อสารเพื่อแก้โจทย์ทางธุรกิจจริง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างยอดขาย การดึงดูดคนเก่งเข้ามาร่วมงาน การยกระดับภาพลักษณ์ ไปจนถึงช่วยธุรกิจระดมทุน บทความนี้จะพาไปสำรวจเบื้องหลังของ Mutant เอเจนซี่ด้านการสื่อสารและการประชาสัมพันธ์ที่โดดเด่นและเติบโตอย่างรวดเร็ว ผ่านบทสัมภาษณ์สุดพิเศษกับผู้ก่อตั้งและ CEO คุณ K.Joseph Barratt และคุณชนิดาภา จงปติยัตต์ (คุณเชอร์รี่) ผู้อำนวยการของ Mutant Thailand จุดเริ่มต้นของ Mutant คุณโจเซฟเล่าว่า แรงบันดาลใจในการก่อตั้ง Mutant มาจากความไม่พอใจที่เคยพบเจอในการทำงานเอเจนซี่อื่นๆ ในอดีต เขาต้องการสร้างเอเจนซี่ที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาทางธุรกิจที่แท้จริงให้กับลูกค้า แทนที่จะมุ่งเน้นแค่การเผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์เพียงอย่างเดียว สำหรับเขาแล้ว Public Relations (PR) เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งในการช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโต ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มยอดขาย, ดึงดูดพนักงานที่มีคุณภาพ, สร้างโปรไฟล์ให้เป็นที่รู้จัก, หรือแม้แต่ช่วยในการระดมทุน ส่วนชื่อ "Mutant" มาจากความชื่นชอบส่วนตัวในภาพยนตร์ X-Men และแนวคิดเรื่อง "วิวัฒนาการและการกลายพันธุ์" (Evolution and Mutation) คุณโจเซฟมองว่าอุตสาหกรรมนี้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลา ดังนั้นการที่ Mutant จะยืนหยัดอยู่แถวหน้าได้ จำเป็นต้องปรับตัวและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ไขความท้าทายใหม่ๆ ให้กับลูกค้า ความท้าทายในวันแรก ในช่วงแรก Mutant ต้องแข่งขันกับเอเจนซี่ระดับอินเตอร์ที่ครองตลาดอยู่แล้ว การสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าไม่ใช่เรื่องง่าย คุณโจเซฟจึงเลือกทางที่ต่างออกไป คือ การลงทุนกับคน โดยการจ้างนักเขียนหรือคนเก่งที่มีประสบการณ์ เพื่อสร้างผลงานที่ทำให้ลูกค้าประทับใจตั้งแต่เริ่มต้น อีกหนึ่งความท้าทายคือเรื่องเงินทุนและกระแสเงินสด คุณโจเซฟเล่าว่าใน 2 ปีแรกเขาไม่ได้รับเงินเดือนเลย และต้องทำงานหนักถึง 7 วันต่อสัปดาห์ การเติบโตของ Mutant จึงเป็นแบบ Organic Growth คือค่อยๆ ขยายทีมไปพร้อมกับการเพิ่มจำนวนลูกค้า และยังคงรักษาแนวคิดนี้ไว้จนถึงปัจจุบัน วัฒนธรรมองค์กร Mutant ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในบริษัทที่น่าทำงานที่สุดในเอเชีย และเพิ่งคว้ารางวัล Best Asian Agency to Work For จากเวที PRovoke Media’s SABRE Awards คุณโจเซฟเล่าว่า สำหรับวัฒนธรรมองค์กรในวันนี้ Mutant ให้ความสำคัญกับบุคลากรเป็นอันดับแรก การดูแลพนักงานอย่างดีทำให้พวกเขามีความสุขและทุ่มเทในการทำงาน ซึ่งส่งผลดีต่อลูกค้าและนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ Mutant ยังให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพการทำงาน (High Performance) ควบคู่ไปกับวัฒนธรรมที่ดี เพราะทั้งสองสิ่งนี้ต้องไปด้วยกันเพื่อที่จะสร้างผลลัพธ์ที่ดีที่สุด การเติบโตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบัน Mutant มีสำนักงานในสิงคโปร์ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย รวมไปถึงฟิลิปปินส์ และเตรียมเปิดตัวที่เวียดนามภายในปีหน้า คุณโจเซฟมองว่าในยุคที่เทคโนโลยีและ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญ Mutant มีความได้เปรียบในฐานะเอเจนซี่อิสระ ที่สามารถปรับตัวและเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วกว่าบริษัทขนาดใหญ่ บทบาทของผู้อำนวยการ Mutant Thailand: คุณเชอร์รี่ คุณเชอร์รี่ (ชนิดาภา จงปติยัตต์) ผู้อำนวยการของ Mutant Thailand ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า Mutant ไม่ได้ให้บริการแค่ PR เท่านั้น แต่ยังมีบริการด้านอื่นๆ เช่น โซเชียลมีเดีย, การฝึกอบรมสำหรับผู้บริหาร และแบรนดิ้ง ซึ่งในตลาดไทยเน้นงาน PR เป็นหลัก การบริหารจัดการทีม คุณเชอร์รี่กล่าวว่าหน้าที่สำคัญของเธอคือการ "Lead by Example" คือการเป็นตัวอย่างที่ดีในการรับมือกับความท้าทายและนำพาให้ทีมก้าวผ่านไปได้ นอกจากนี้ Mutant ยังมีโปรแกรม Mutant Mentorship เพื่อช่วยพัฒนาทักษะของพนักงานผ่านการฝึกอบรมแบบลงมือปฏิบัติจริง และยังได้นำ Productivity Tools ที่พัฒนาขึ้นเองมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้เร็วขึ้นและดีขึ้น ความร่วมมือระหว่างประเทศ ปัจจุบัน Mutant มีสำนักงานใน 5 ประเทศหลัก ได้แก่ สิงคโปร์, ไทย, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ การทำงานแบบ "Cross-Market" จึงเป็นดีเอ็นเอที่สำคัญของ Mutant คุณเชอร์รี่กล่าวว่ามีการส่งพนักงานจากแต่ละประเทศไปช่วยงานกัน เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และเรียนรู้วัฒนธรรมการทำงานที่แตกต่าง ทำให้การทำงานของทุกคนเป็นไปในทิศทางเดียวกัน Mutant Thailand: Trusted Business Partner Mutant Thailand เปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงต้นปี 2024 และในมุมมองของคุณเชอร์รี่ เธอต้องการให้ลูกค้าจดจำ Mutant ในฐานะ "Trusted Business Partner" ที่เป็นมากกว่าแค่เอเจนซี่ทั่วไป เมื่อได้รับโจทย์จากลูกค้า Mutant จะไม่ทำตามทันที แต่จะตั้งคำถาม เพื่อทำความเข้าใจถึงเป้าหมายทางธุรกิจที่แท้จริง ตลอดจนปัญหาที่ลูกค้าพบเจอ และนำเสนอโซลูชันที่สามารถช่วยให้ลูกค้าบรรลุเป้าหมายเหล่านั้นได้ คำแนะนำสำหรับคนรุ่นใหม่ในสายงาน PR สำหรับคนรุ่นใหม่ที่สนใจทำงานในวงการ PR คุณเชอร์รี่ให้คำแนะนำว่าทักษะที่สำคัญคือ ความอยากรู้อยากเห็น (Curiosity) และ ทัศนคติเชิงบวก (Can-Do Attitude) ที่ไม่ย่อท้อต่อปัญหา รวมถึงความอดทนและความสามารถในการปรับตัวอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้การเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learner) ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะโลกของ PR มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา คุณเชอร์รี่ทิ้งท้ายด้วยการเชิญชวนให้คนรุ่นใหม่เข้ามาสัมผัสประสบการณ์การทำงานที่ Mutant ซึ่งนอกจากจะท้าทายและสนุกสนานแล้ว ยังเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญกับคนและการรับฟัง ซึ่งช่วยให้พนักงานเป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีขึ้นได้ทั้งในชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว “PR Agency คือโลกที่หมุนไว เต็มไปด้วยความท้าทายและการเรียนรู้ทุกวัน แต่ก็สนุกและได้โอกาสทำงานกับแบรนด์ระดับโลก ที่ Mutant เราให้คุณค่ากับทุกเสียง ทุกไอเดีย และจะช่วยให้คุณเติบโตเป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีที่สุด” บทสรุป ตลอดกว่า 12 ปี Mutant เติบโตจากเอเจนซี่เล็ก ๆ ในสิงคโปร์ จนกลายเป็นหนึ่งใน PR Agency ชั้นนำของเอเชีย เบื้องหลังความสำเร็จนี้มาจาก “คน” วัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแรง และความเชื่อมั่นว่า PR ต้องช่วยแก้โจทย์ทางธุรกิจได้จริง วันนี้ Mutant Thailand กำลังเดินหน้าสานต่อวิสัยทัศน์นี้ เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับตลาดไทย และพร้อมก้าวไปสู่อนาคตที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม

    Sep 29, 2025
    Thumbnail for Exclusive Interview with K. Pui “จากวิกฤตโควิด สู่การ Scale Up ครั้งใหญ่ บทเรียนธุรกิจจากคุณปุ้ย ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ GoWabi”

    Exclusive Interview with K. Pui “จากวิกฤตโควิด สู่การ Scale Up ครั้งใหญ่ บทเรียนธุรกิจจากคุณปุ้ย ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ GoWabi”

    เมื่อพูดถึงการดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการนวด สปา ทำผม หรือแม้กระทั่งการตรวจสุขภาพและฟิตเนส หลายคนอาจคุ้นเคยกับชื่อ GoWabi แอปพลิเคชันที่รวมบริการความงามและสุขภาพครบวงจรไว้ในที่เดียว แต่รู้หรือไม่ว่า จุดเริ่มต้นของแพลตฟอร์มนี้มาจาก “ปัญหาการจองร้านทำผมของชาวต่างชาติ” เราได้มีโอกาสพูดคุยกับ คุณปุ้ย–วิภาวี วงศ์สิริศักดิ์ CCO & Co-Founder ของ GoWabi ถึงเส้นทางตลอด 9 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่จุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ไปจนถึงการเป็นหนึ่งใน Health & Wellness Super App ของไทยในวันนี้ จุดเริ่มต้นจาก Pain Point เล็ก ๆ สู่แพลตฟอร์มใหญ่ ย้อนกลับไปเมื่อ 9 ปีก่อน GoWabi เริ่มจาก pain point ที่ดูเหมือนเรื่องเล็ก แต่สร้าง impact ได้มหาศาล “ตอนนั้น Co-Founder อีกสองท่านเป็นชาวสวีเดนและรัสเซีย เขามีปัญหาแค่จะหาร้านทำผม โทรไปก็ไม่สะดวก ไม่เข้าใจภาษา บางทีก็ไม่ได้คิว ผมของต่างชาติก็ไม่เหมือนคนไทย เลยอยากหาช่างที่เหมาะสม” คุณปุ้ยเล่า โจทย์คือทำไมไม่มีเครื่องมือที่ “กดแล้วจองได้เลย” ดูรายละเอียดร้านได้ จ่ายเงินได้ทันทีโดยไม่ต้องโทรจองให้ยุ่งยาก นี่จึงกลายเป็นจุดกำเนิดของ GoWabi ตอนเริ่มแรก ทีมงานยังโฟกัสที่ผู้ชายด้วยการหาพาร์ทเนอร์บาร์เบอร์ช็อป แต่ไม่นานก็ขยายสู่หมวดร้านนวด ออนเซน และต่อยอดไปสู่คลินิกความงาม เพราะมองเห็นกำลังซื้อของผู้หญิงที่อยากสวย อยากมั่นใจ จนปัจจุบัน GoWabi ไม่ได้มีแค่บริการความงาม แต่ยังรวมถึง โรงพยาบาล, Health Check-up, วัคซีน, และคลาสฟิตเนส เพื่อตอบโจทย์ “Health & Wellness” อย่างแท้จริง “เรารู้สึกว่าความสวยและสุขภาพคือการมอบความมั่นใจจากภายใน พอเราส่องกระจกแล้วรู้สึกสวย มันคือวันที่ complete จริง ๆ” บททดสอบครั้งใหญ่: Covid-19 เส้นทางของสตาร์ทอัพไม่มีวันราบรื่น และหนึ่งในบททดสอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือช่วง Covid-19 “ตอนนั้นร้านนวด ร้านสปาในแอปถูกปิดหมด ขายอะไรไม่ได้เลย ถือว่าเป็นช่วงที่หนักที่สุด” คุณปุ้ยเล่า “เราเลยลองหาทางออก เช่น ทำ Coupon Buy Now, Use Later ให้ลูกค้าซื้อเก็บไว้ก่อน เพื่อให้ร้านมีเงินหมุน หรือขายแพ็กเกจตรวจโควิดผ่านคลินิกพาร์ทเนอร์ในราคาย่อมเยา เพราะตอนนั้นหาที่ตรวจยากและแพงมาก” แม้ต้องเผชิญวิกฤติ แต่ GoWabi ยังยืนหยัดได้โดยไม่ปลดพนักงานแม้แต่คนเดียว และยังช่วยร้านค้าพาร์ทเนอร์ให้ก้าวผ่านวิกฤติไปด้วยกัน “เรารู้สึกดีใจมากที่ร้านค้าขอบคุณเราที่พยายามหาทางช่วยเขา” ก้าวต่อไป: จากแอปจองสู่แพลตฟอร์ม Health & Wellness เมื่อผ่านวิกฤติโควิด วันนี้ GoWabi กลายเป็นมากกว่าแอปจองร้านสปา แต่พัฒนาสู่การเป็น Health & Wellness Ecosystem ร่วมมือกับโรงพยาบาลและคลินิก ขยายพาร์ทเนอร์ไปยัง SME และแบรนด์ใหญ่ เปิดตัวระบบ POS (Point of Sale) สำหรับร้านค้า ลดการจดคิวบนกระดาษ ทำให้เจ้าของร้านจัดการธุรกิจง่ายขึ้น พร้อมดู Insight และ Data แบบครบวงจร เตรียมพัฒนา AI Chat Support และ Line Chatbot ช่วยร้านค้าในการจองคิว “เราต้องการให้ GoWabi เป็นเครื่องมือที่ทำให้ทั้งผู้ใช้และร้านค้าสะดวกขึ้น และตอบโจทย์เทรนด์การดูแลสุขภาพที่กำลังมาแรง” Culture ที่ GoWabi: Freedom + Responsibility เมื่อถามถึงวัฒนธรรมองค์กร คุณปุ้ยเล่าว่า GoWabi เชื่อใน DNA เดียวกัน มากกว่ากฏระเบียบที่เคร่งครัด “เราไม่ได้จำกัดกรอบว่าพนักงานต้องทำงานแบบไหน ถ้าวันเสาร์ลูกค้าทักมา จะตอบทันทีหรือตอบวันจันทร์ก็แล้วแต่การจัดการของแต่ละคน ไม่มีใครผิด ทุกคนมี mindset และ vision เดียวกันอยู่แล้ว” GoWabi เชื่อในการให้อิสระ พร้อมความรับผิดชอบ พนักงานทุกคนไม่เพียงทำงานตามหน้าที่ แต่ “ทำด้วยใจ” ทิ้งท้าย สุดท้าย คุณปุ้ยฝากว่า  “อย่าลืมดาวน์โหลดแอป GoWabi เอาไว้ในมือถือ เรามีดีลและส่วนลดปัง ๆ เยอะมาก ครอบคลุมทั้งสวย สุขภาพ และฟิตเนส อยากให้ทุกคนตื่นเช้ามาแล้วเปิด GoWabi เพื่อเลือกสิ่งที่ทำให้คุณมั่นใจขึ้นในทุก ๆ วัน” จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ สู่การเป็น Health & Wellness Super App ของไทย GoWabi ไม่ได้แค่เปลี่ยนการจองร้านให้สะดวกขึ้น แต่ยังช่วยสร้าง “วันที่ complete เเละมั่นใจ” ให้กับผู้คนจำนวนมาก

    Sep 18, 2025
    Thumbnail for 7 ผู้ประกอบการไทยเปิดใจ: เส้นทางสู่ความสำเร็จที่แตกต่างในงาน Bitkub Meetup 2025 ครั้งที่ 7

    7 ผู้ประกอบการไทยเปิดใจ: เส้นทางสู่ความสำเร็จที่แตกต่างในงาน Bitkub Meetup 2025 ครั้งที่ 7

    “ การสร้างสตาร์ทอัพ ไม่ได้เริ่มจากเงิน แต่เริ่มจากความเชื่อ ความพยายาม และการเรียนรู้จากความผิดพลาด ” นี่คือสารหลักจากเวที Bitkub Meetup ครั้งใหญ่แห่งปี ภายใต้หัวข้อ “Rebuilding Thailand Startup Spirit” ที่บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ปจัดขึ้น เพื่อเปิดพื้นที่ให้เหล่ายูนิคอร์นและผู้ประกอบการไทยรุ่นใหม่ได้แลกเปลี่ยนมุมมอง เส้นทางธุรกิจ และบทเรียนสำคัญสู่ความสำเร็จ ตลอดงาน ผู้ฟังจะได้ดื่มด่ำไปกับการบรรยายจากหลากหลายเวที ตั้งแต่ The Unicorn Stage ที่รวบรวมผู้ก่อตั้งบริษัทระดับยูนิคอร์นของไทย ไปจนถึง Rising-Star Entrepreneurs & Startups Stage ที่จุดประกายให้คนรุ่นใหม่กล้าฝันและกล้าลงมือ Session 1:  Rising-Star Entrepreneurs & Startups Stage 1.อูน Diamond Grains: "เราเป็นป่า เราเป็นดิน" ทำไมต้องแตกหลายแบรนด์? คุณอูนตอบชัดเจน "มันลดความเสี่ยงได้มากกว่า ถ้าเรากระจายธุรกิจมาอยู่ในหลาย industry แล้วมันสนุกด้วย" ด้วยทีมเดียวกัน 200 คน บริหารหลายแบรนด์ได้สำเร็จ คุณอูนแชร์มุมมองที่แตกต่างว่าธุรกิจไม่ควรมีแค่ KPI ที่ตัวเลข แต่คือการสร้าง "ระบบนิเวศน์" ที่แข็งแรงในองค์กร เธอเชื่อว่าพนักงานต้องมีสุขภาพจิตที่ดี และมองว่าปัญหาไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่คือโอกาสที่ทำให้เราเติบโต พร้อมเปรียบเทียบธุรกิจเป็นป่าที่ต้องดูแลดินให้ดี เพื่อให้ทุกต้นกล้าเติบโตอย่างแข็งแรงและเป็นสุข เคล็ดลับการบริหารคน: "เราไม่เชื่อว่าเอาคนเก่งมาใช้ความเก่ง แต่ต้องเอาคนเก่งมาพัฒนาให้เก่งขึ้นในโปรเจ็กต์ของเรา" ให้พนักงานทดลองใช้สินค้าทุก SKU ที่บ้าน เข้าใจสินค้าก่อนทำคอนเทนต์ "ต้องตื่นมาแล้วมีความสุขให้ได้ ชีวิตเราไม่ได้มีแค่งาน" "เรื่องที่สำคัญคือต้องมี healthy relationship กับปัญหา ปัญหาคือเรื่องผิดปกติ แต่จริงๆมันไม่ได้ผิดปกติ เพราะปัญหาทำให้เราโต" 2.CK Fastwork: "กล้าที่จะฝัน อย่ากลัวที่จะล้มเหลว" คุณ CK จาก Fastwork ย้ำชัดถึงปรัชญาการบริหารทีมที่เน้น "การจ้างคนที่เก่งที่สุดมาทำงานด้วย" เพราะคนเก่งไม่จำเป็นต้องบริหาร แค่ชี้เป้าหมายให้ชัดเจนและให้พวกเขาได้ลองผิดลองถูกเอง แต่ในฐานะผู้นำต้อง involve และ follow-up เพื่อตามหาปัญหาที่แท้จริง เป้าหมายใหญ่ของ Fastwork: อยากให้ Fastwork สำคัญจนประเทศขาดไม่ได้ ปัจจุบันเป็นแอปยอดดาวน์โหลดอันดับ 1 แล้ว เคล็ดลับการหา Product Market Fit: "สิ่งที่ต้องตามหาในวงการสตาร์ทอัพคือ product market fit ถ้าเราอัดเงิน SEM ยิงแอด เราจะได้ fake user growth จุดที่ยากคือทำให้ user growth ด้วยโปรดักต์จริงๆ ของดีจริงมันไม่ต้องทำการตลาดก็ได้" 3.คุณเปา iHAVECPU: "ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน" คุณเปา iHaveCPU ผู้สร้างอาณาจักรจากเงินทุน 40,000 บาท สู่ธุรกิจ 3 พันล้านบาท บอกว่าไม่มีสูตรลับความสำเร็จ แต่เป็นเรื่องของ "ความพยายามและการสะสมประสบการณ์" พร้อมย้ำว่าเขาเป็นมวยรองที่ต้องเก่งกว่ายักษ์เสมอ ถอดบทเรียนการทำธุรกิจ: แนวคิดการทำงาน: "งานตามเงิน เงินตามงาน" ถ้าคุณเก่งมากกว่าคนอื่น คุณก็มีสิทธิได้เงินมาก การบริหารคน: ยอมรับในความแตกต่างของพนักงาน และมองว่าการเป็นพนักงานประจำไม่ใช่เรื่องแย่ เพราะรายได้มั่นคง และได้ความรู้ สิ่งสำคัญที่สุด: "มีวินัยและซื่อสัตย์กับตัวเอง" 4.คุณปุ้ย Gowabi: "อดทน มันอธิบายได้ด้วยคำเดียว" คุณปุ้ย Gowabi เชื่อในการจ้างคนที่มี "แพชชั่น" แม้จะไม่มีประสบการณ์ เพราะคนกลุ่มนี้เหมือนน้ำไม่เต็มแก้ว พร้อมที่จะเรียนรู้ และมีพลังขับเคลื่อนที่เงินซื้อไม่ได้ การทำงานกับ Gen Z: "เงินก็ซื้อไม่ได้แล้วสำหรับ Gen Z อยู่ที่ว่าเราให้หน้าที่อะไรเขา ทำให้เขาเติบโตรึเปล่า" ความภาคภูมิใจ: การได้ช่วยร้านต่อขนตาที่มีแค่เตียงเดียว ขยายสาขาได้ นั่นคือสิ่งยิ่งใหญ่กว่าตัวเลขและเม็ดเงิน Session 2: “The Unbreakable Unicorns” 1.คุณยอด LINE MAN WONGNAI:  "ความบ้าและความอยากรวย" คุณยอดจาก LINE MAN WONGNAI เผยว่าจุดเริ่มต้นของเขาคือ "ความบ้า" และความอยากรวยล้วนๆ แต่ความบ้าที่ว่ามาพร้อมความพยายามที่ยาวนานกว่า 15 ปี การมองเห็นโอกาส: 15 ปีที่แล้ว แค่คิดว่าอยากทำเว็บรีวิวร้านอาหาร ไม่เคยคิดว่าต้องทำ food delivery, payment, POS เคล็ดลับการเติบโต: "ตอนที่เริ่มพาร์ทเนอร์กับไลน์แมนใหม่ๆ เราแชร์ database ไม่คิดเงิน ขอ revenue sharing ในอนาคต แทนที่จะทำงานระยะสั้น ระยะยาวเราก็เป็นเหมือน owner" การเลือกคนทำงาน: "เลือกคนทำงานที่มีศีลธรรมเหมือนกัน พร้อมจะทำงานหนัก ไม่ใช่ว่าเข้ามาแล้วอยากรีบที่จะไป" 2.คุณท็อป Bitkub: "จงเชื่อ แล้วเราจะเห็น" คุณท๊อป Bitkub เล่าถึงการใช้ความรู้ด้านประวัติศาสตร์การเงินเพื่อ "เชื่อมโยงจุดต่างๆ ในอดีต" (Connecting the dots) ทำให้เขาเห็นโอกาสที่คนอื่นมองไม่เห็น และสามารถบุกเบิกตลาดคริปโตในไทยได้สำเร็จ ช่วงที่ยากที่สุด: "ผ่านช่วง war time ที่ต้องอดทนจนไม่มีเงินเดือนจ่ายให้ตัวเอง 10 เดือน และเหลือเงินก้อน 2 เดือนสุดท้าย" สิ่งสำคัญที่เรียนรู้: "อุปสรรคมีอยู่ทุกธุรกิจ สิ่งสำคัญคือการพักผ่อนให้เพียงพอ และเชื่อว่าสุขภาพสำคัญที่สุด" การสร้าง Trust: "แต่ละบริษัทไม่เหมือนกัน เราข้ามมาเฟส 3 เลย สร้างสถาบันการเงิน แล้วถ้ามันไม่มี trust ก็จบ" 3.คุณคมสันต์ Flash Express: "สิ่งที่ทำให้สำเร็จคือเพราะเราไม่รู้" คุณคมสันต์ Flash Express บอกว่าความสำเร็จของเขามาจากการที่ "ไม่รู้" พอไม่รู้เลยไม่กลัวที่จะลองทำในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้าทำ "เราเห็นที่จีนทำแล้วสำเร็จ แต่ยังไม่รู้นะว่าเขาทำยังไง เลยลองอะแด็ปมาทำในไทย" ปัญหาของการมีเงินมาก: "อุตสาหกรรมมันใหญ่เพราะมันเป็นโครงสร้างพื้นฐาน เงินเข้ามาเยอะๆ แต่ใช้ไม่เป็น บริหารไม่เป็น เพราะไม่เคยเจอเงินเยอะ มันหนักกว่าตอนไม่มีเงินอีก" ข้อคิด: "ทุกเสตจของการเติบโตล้วนมีราคาที่ต้องจ่าย วันนี้ที่รู้คือสุขภาพสำคัญมาก แต่วันที่ไม่มีทางเลือก คุณต้องเอาเวลาลงทั้งหมด ไม่มีทางอื่นนอกจาก All in" ที่สุดแล้ว เส้นทางของผู้ประกอบการไม่มีสูตรสำเร็จแน่นอน แต่มีหลักการเดียวที่ทุกคนยืนยัน: "ทำให้เต็มที่ในแต่ละวัน พยายาม ทำในระยะเวลาที่ยาว ก็จะผ่านมันมาได้" งาน "Rebuilding Thailand Startup Spirit" ได้พิสูจน์แล้วว่า ผู้ประกอบการไทยไม่ได้ขาดแคลนไอเดีย แต่สิ่งที่เราต้องการคือการแบ่งปันประสบการณ์จริง เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้และเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางที่ไม่ง่าย แต่คุ้มค่าแน่นอน

    Aug 22, 2025
    Thumbnail for ไขความลับการเรียนรู้แบบเจาะลึกสไตล์ Barbara Oakley: เคล็ดลับจากผู้ที่สร้างแรงบันดาลใจให้ ทอย DataRockie

    ไขความลับการเรียนรู้แบบเจาะลึกสไตล์ Barbara Oakley: เคล็ดลับจากผู้ที่สร้างแรงบันดาลใจให้ ทอย DataRockie

    ในรายการ The Master ได้เชิญ คุณทอย เจ้าของเพจ DataRockie และผู้เชี่ยวชาญด้าน Data Analytics มาร่วมพูดคุยถึงแรงบันดาลใจและทักษะการเรียนรู้ที่สำคัญ โดยเฉพาะจากเรื่องราวของ บาบาร่า โอ๊คลี่ (Barbara Oakley) ศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโอ๊คแลนด์ มิชิแกน ซึ่งเป็นผู้สร้างสรรค์คอร์สชื่อดัง Learning How to Learn ที่มีผู้เรียนทั่วโลกกว่า 3 ล้านคน เรื่องราวชีวิตของบาบาร่า โอ๊คลี่ 1.ความล้มเหลวในวัยเด็ก บาบาร่าเคยเป็นคนที่ไม่ถนัดวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ในช่วงประถมถึงมัธยมต้น เนื่องจากวิชาเหล่านี้มีลักษณะการเรียนแบบ Sequential ซึ่งต้องเข้าใจพื้นฐานก่อนจึงจะต่อยอดได้ ทำให้เธอรู้สึกว่า “ตัวเองไม่เหมาะกับการเรียนวิชานี้” 2.การค้นพบตัวเองในวัยผู้ใหญ่ แม้ชีวิตเริ่มต้นจากความสนใจด้านภาษาและวัฒนธรรม (เรียนภาษารัสเซียและทำงานเป็นนักแปลในกองทัพ) แต่จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อเธอได้สัมผัสกับงานด้านวิศวกรรม เธอรู้สึกว่าถ้าเธอเข้าใจคณิตศาสตร์ได้ ชีวิตจะมีโอกาสและความหลากหลายมากขึ้น 3.ก้าวข้ามขีดจำกัด บาบาร่าตัดสินใจกลับไปเรียนมหาวิทยาลัยอีกครั้งในวัย 26 ปี เพื่อศึกษาวิศวกรรมศาสตร์จนจบปริญญาเอก และปัจจุบันเป็นศาสตราจารย์ที่เชี่ยวชาญในสายงานที่เธอเคยล้มเหลวมาก่อน เคล็ดลับการเรียนรู้ของบาบาร่า โอ๊คลี่ บาบาร่าพัฒนาแนวคิด “เรียนอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ” โดยมีหลักสำคัญที่ช่วยเพิ่มพลังการเรียนรู้ 1.เข้าใจระบบสมอง สมองคนเรามีโหมดการคิด 2 แบบ • Focused Mode: ใช้สมาธิอย่างหนักเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า • Diffuse Mode: ปล่อยให้สมองผ่อนคลายและทำงานในเบื้องหลัง หากคุณติดปัญหาการเรียน ให้พักสมองด้วยการทำกิจกรรมอื่น เช่น เดินเล่นหรือฟังเพลง ซึ่งช่วยให้เกิดไอเดียใหม่ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2.การออกจาก Comfort Zone การเรียนรู้เรื่องยากและการเผชิญสิ่งใหม่เป็นการพัฒนาตัวเองที่แท้จริง บาบาร่าเป็นตัวอย่างที่ดีในการพาตัวเองออกจากความคุ้นชิน เช่น การทำงานในสถานที่ห่างไกลอย่างแอนตาร์กติกา 3.เรียนรู้ผ่านการสอน บาบาร่าเน้นว่า “การสอนคือวิธีเรียนรู้ที่ดีที่สุด” การถ่ายทอดความรู้ให้คนอื่นเป็นการฝึกกระบวนการคิดและทำให้เข้าใจเนื้อหาลึกซึ้งยิ่งขึ้น บทเรียนจากคุณทอย คุณทอยเล่าว่าเขาได้แรงบันดาลใจจากบาบาร่ามากมาย และนำแนวคิดเหล่านี้มาปรับใช้ในชีวิตการทำงาน เช่น: • การพักผ่อนอย่างเหมาะสมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ (นอนเมื่อเหนื่อยและกินเมื่อหิว) • การตั้งคำถามสำคัญเวลาเรียน: เราเรียนรู้อย่างไร และจะถ่ายทอดต่ออย่างไร? • การหาโอกาสออกจาก Comfort Zone เช่น การเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ในสายงาน ความสำเร็จของบาบาร่าและแรงบันดาลใจระดับโลก คอร์ส Learning How to Learn ไม่เพียงสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้เรียนทั่วโลก แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การศึกษาเป็นเรื่องที่ทุกคนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เรื่องราวของบาบาร่า โอลี่ เป็นเครื่องเตือนใจว่า “ความล้มเหลวในอดีตไม่ใช่อุปสรรค หากเราเปิดใจเรียนรู้และกล้าที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง”

    Dec 19, 2024
    Thumbnail for ชาร์คประพล ผ่านพ้นวิกฤตมาได้อย่างไร และกลายมาเป็นนักลงทุนพันล้าน? มาเรียนรู้กลยุทธ์การมองวิกฤตให้เป็นโอกาส

    ชาร์คประพล ผ่านพ้นวิกฤตมาได้อย่างไร และกลายมาเป็นนักลงทุนพันล้าน? มาเรียนรู้กลยุทธ์การมองวิกฤตให้เป็นโอกาส

    เปิดใจเศรษฐี Shark Tank: เบื้องหลังความสำเร็จและมุมมองเศรษฐกิจ ในวงการการลงทุนระดับประเทศ ชื่อของ ประพล พิรินจินดา ไม่ใช่ชื่อที่ใครจะมองข้ามได้ง่ายๆ ด้วยการทุ่มทุนกว่า 200 ล้านบาท ในโครงการ Shark Tank ทำให้เขากลายเป็นนักลงทุนที่ถูกจับตามองที่สุดในซีซันที่ผ่านมา แต่คำถามที่ทุกคนอยากรู้คือ “เขาทำได้อย่างไร?” และ “เราจะสร้างความมั่งคั่งเหมือนเขาได้หรือไม่?” ในบทสัมภาษณ์สุดพิเศษนี้ ประพลเผยถึงจุดเริ่มต้นจากวัยเด็กที่ไม่มีความฝันเป็นเศรษฐี แต่มีหัวใจรักการเรียนรู้และทดลองสิ่งใหม่ๆ จนก้าวเข้าสู่โลกของการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ และกลายเป็นผู้นำด้านการเงินที่เชื่อมั่นในพลังของ Long-Term Mindset ความลับของเศรษฐีพันล้าน “ถ้าคุณมี 10 บาท คุณต้องกล้าลงทุนทั้ง 10 บาท ถ้าคุณมั่นใจว่ามันไม่แพ้” ประพลเผยถึงปรัชญาในการลงทุนที่ช่วยให้เขาเปลี่ยนเงินหลักล้านเป็นหลักพันล้าน ด้วยการเลือกลงทุนในธุรกิจที่ยั่งยืน (sustainable) ซึ่งแม้ในภาวะตลาดผันผวน เขาก็ยังคงมั่นใจว่า “เงินที่อยู่เฉยๆ เท่ากับเงินที่เสียโอกาส” ตลาดหุ้นไทย: ศูนย์กลางที่น่าจับตามอง ในมุมมองของประพล ตลาดหลักทรัพย์ในไทยยังคงมีศักยภาพสูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียน แม้จะมีความท้าทายจากดอกเบี้ยของสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก แต่โครงสร้างของตลาดไทยยังคงแข็งแรง โดยเฉพาะในด้านการเคลื่อนย้ายเงินทุนระดับสากล อย่างไรก็ตาม เขาเตือนนักลงทุนว่า “อย่าตามกระแสมากเกินไป” และย้ำถึงความสำคัญของวินัยในการลงทุน ว่าเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน Money Mastery: หนังสือแห่งความมั่งคั่ง เพื่อแบ่งปันความรู้และประสบการณ์กว่า 5 ปีในการลงทุน ประพลได้เขียนหนังสือ Money Mastery ที่เขาเปรียบเสมือน “ยาสามัญประจำบ้าน” สำหรับทุกคนที่อยากมีอิสรภาพทางการเงิน พร้อมเคล็ดลับการสร้างรายได้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว “หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ช่วยแค่ให้คุณรวยเงิน แต่ยังช่วยให้คุณมั่งคั่งในชีวิต ทั้งด้านสุขภาพ เวลา และความสุข” เขากล่าว นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต: ความเห็นที่ไม่ธรรมดา เมื่อถามถึงนโยบายการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต ประพลให้มุมมองที่น่าสนใจว่า “การใส่เงินในระบบเปรียบเสมือนการปล่อยน้ำเข้าสู่เขื่อนใหญ่ ถ้าจัดการให้ดี เงินนี้จะหมุนเวียนกลับมาเป็นประโยชน์ แต่ถ้าไม่ ก็เหมือนน้ำที่ไหลลงทะเล” ประสบการณ์ชีวิตและวิกฤติที่หนักที่สุด ประพลเคยประสบวิกฤติทางธุรกิจครั้งใหญ่เมื่อลงทุนในหุ้นกู้ของรัฐวิสาหกิจ (การบินไทย) ด้วยความเชื่อมั่นในเครดิตและความปลอดภัย แต่ผลกลับไม่เป็นไปตามคาด เงินทุนกว่า 400 ล้านบาทสูญหาย ธุรกิจจึงอยู่ในภาวะล้มละลายและถูกคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สั่งให้แก้ปัญหาภายใน 7 วัน ด้วยความร่วมมือของครอบครัว เพื่อน และพันธมิตร ทำให้สามารถระดมทุนได้และกอบกู้ธุรกิจกลับมาได้สำเร็จ บทเรียนสำคัญจากการลงทุน วินัยและการบริหารการเงิน: ธุรกิจ SME หรือ Startup ต้องมีวินัยในเรื่องการจัดการรายได้และการเสียภาษี อย่าหลงระเริงใช้จ่ายเกินตัว หรือกระจายการลงทุนเร็วเกินไปจนสูญเสียโฟกัส การบริหารภาษี: แนะนำให้บริหารภาษีอย่างถูกต้อง ไม่หลบเลี่ยง เพราะการทำบัญชีให้โปร่งใสจะช่วยเพิ่มมูลค่าของธุรกิจในระยะยาวและเปิดโอกาสให้สามารถดึงดูดนักลงทุนได้ง่ายขึ้น ความยั่งยืนในธุรกิจ: อย่ารีบขยายหรือแตกไลน์ธุรกิจจนกว่าธุรกิจหลักจะแข็งแรงเพียงพอ มุมมองการลงทุนใน Startup • เวลาประเมินธุรกิจใหม่ ๆ จะดูปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความเติบโต ศักยภาพเทคโนโลยี เทรนด์อนาคต และความยั่งยืน • พิจารณาทั้งตัวธุรกิจและทีมผู้ก่อตั้ง เช่น บุคลิก ความกระตือรือร้น และความตั้งใจ • บางครั้งอาจใช้กลยุทธ์การ “จิตวิทยา” ในการต่อรองราคา เพื่อสร้างโอกาสให้ตนเองได้ดีลที่ดีที่สุด ข้อเสนอแนะและแรงบันดาลใจสำหรับ SME ไทย • ควรเลิกมองตนเองเป็น SME แต่ตั้งเป้าหมายให้ใหญ่ขึ้นเหมือน Startup ที่ไร้ขีดจำกัด • ประเทศไทยมีศักยภาพสูงทั้งในด้านเทคโนโลยี โครงสร้างพื้นฐาน และคนรุ่นใหม่ พร้อมเข้าสู่เวทีโลกอย่าง Globalization • การใช้เทคโนโลยี เช่น AI และข้อมูลจำนวนมาก สามารถช่วยให้ธุรกิจเติบโตและแข่งขันได้อย่างรวดเร็ว บทสัมภาษณ์ของชาร์กประพลในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่บทสัมภาษณ์ แต่เป็นการเปิดประตูสู่ความคิดของนักลงทุนผู้ประสบความสำเร็จที่สุดคนหนึ่งของไทย สำหรับใครที่ฝันอยากจะมีอิสรภาพทางการเงิน การเริ่มต้นที่ “ล้านแรก” อาจยากที่สุด แต่ประพลยืนยันว่า เมื่อคุณมีวินัย รู้จักเรียนรู้ และมีความกล้า คุณจะสามารถสร้างความมั่งคั่งที่ยั่งยืนได้อย่างแน่นอน _____________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________ In Thailand’s investment world, the name Prapol Pirinjinda is hard to overlook. With an investment of over 200 million baht in Shark Tank, he has become one of the most talked-about investors in recent seasons. But the big questions are: “How did he do it?” and “Can we achieve wealth like him?” In this exclusive interview, Prapol shares his journey from a childhood without dreams of becoming rich to his love for learning and trying new things. This eventually led him into the stock market and made him a financial leader with a strong belief in the power of a long-term mindset. The Secrets of a Billionaire “If you have 10 baht, you must be willing to invest all 10 if you’re confident it won’t fail,” Prapol shares his philosophy. He turned millions into billions by investing in sustainable businesses. Even in uncertain market conditions, he believes, “Money left idle is money losing opportunities.” Thailand’s Stock Market: A Hub to Watch According to Prapol, the Thai stock market remains one of the strongest in Southeast Asia, despite challenges like U.S. interest rates and global economic trends. He emphasizes the importance of discipline in investing, warning against blindly following trends, and sees this as a cornerstone of sustainable wealth. Money Mastery: A Guide to Financial Freedom To share his five-plus years of investment experience, Prapol wrote Money Mastery, which he calls a “household necessity” for anyone seeking financial independence. The book offers tips for building both short-term and long-term wealth. “This book isn’t just about money; it’s about wealth in all aspects of life—health, time, and happiness,” he says. Digital Wallet Policy: A Unique Perspective When asked about the government’s digital wallet initiative, Prapol compares it to “pouring water into a large dam.” If well-managed, it can bring benefits to the economy. If not, it risks becoming wasted potential. Lessons from Life’s Biggest Challenges Prapol once faced a major business crisis after investing 400 million baht in state enterprise bonds (Thai Airways) due to overconfidence in their credit rating. When things didn’t go as planned, his business was on the brink of bankruptcy. He had just seven days to recover, as ordered by regulators. With the help of family, friends, and partners, he managed to raise funds and revive his business successfully. Key Lessons in Investment 1. Discipline and Money Management: SMEs and startups must manage income and taxes responsibly. Avoid overspending or diversifying investments too quickly. 2. Tax Management: Keep transparent accounts and pay taxes properly. This can increase the long-term value of your business and attract investors. 3. Business Sustainability: Strengthen your core business before expanding or diversifying. Insights into Investing in Startups • Evaluate factors like growth potential, technology, future trends, and sustainability. • Assess both the business and the founding team’s passion and commitment. • Use negotiation tactics, sometimes psychological, to secure the best deals. Advice and Inspiration for Thai SMEs • Stop seeing yourself as just an SME—think big, like startups without limits. • Thailand has high potential in technology, infrastructure, and young talent to compete globally. • Utilize technology like AI and big data to grow and thrive in the competitive landscape. This interview with Shark Prapol opens a window into the mind of one of Thailand’s most successful investors. For those dreaming of financial freedom, he reminds us that the hardest part is earning your first million. With discipline, learning, and courage, he assures that sustainable wealth is within reach.

    Dec 19, 2024
    Thumbnail for คำสารภาพจากยูนิคอร์น: ท๊อป จิรายุส คมสันต์ ลี ตอนที่ 1 – ความประมาทที่เกือบทำให้ทุกอย่างพัง | The Secret Sauce

    คำสารภาพจากยูนิคอร์น: ท๊อป จิรายุส คมสันต์ ลี ตอนที่ 1 – ความประมาทที่เกือบทำให้ทุกอย่างพัง | The Secret Sauce

    การเติบโตของธุรกิจในยุคดิจิทัล: บทเรียนจากผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จ การเติบโตของธุรกิจในยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้ประกอบการรุ่นใหม่หลายรายที่สามารถประสบความสำเร็จในธุรกิจยุคดิจิทัลได้มักมีการเรียนรู้จากความท้าทายที่ต้องเผชิญและการปรับตัวในสภาวะที่ไม่แน่นอนอย่างต่อเนื่อง ในบทความนี้เราจะสรุปประสบการณ์จากการสัมภาษณ์ของสองผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จอย่าง คุณคมสันต์ ลี ผู้ก่อตั้ง Flash Express และ คุณท๊อป จิรายุส ผู้ก่อตั้ง Bitkub ซึ่งทั้งสองได้แบ่งปันบทเรียนจากการเติบโตของธุรกิจในช่วงเวลาที่รวดเร็วและท้าทาย 1. ความท้าทายในการเติบโตของธุรกิจในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ทั้ง Flash Express และ Bitkub ต่างก็เผชิญกับความท้าทายที่หลากหลายระหว่างการขยายตัวของธุรกิจ โดยเฉพาะในช่วงที่ธุรกิจต้องเติบโตในช่วงเวลาที่สั้นมาก เช่น ในช่วงที่เกิดวิกฤตโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อทุกด้านทั้งด้านต้นทุนและการดำเนินงาน คุณคมสันต์ ลี กล่าวถึงความท้าทายที่ Flash Express ต้องเผชิญเมื่อการขนส่งและบริการโลจิสติกส์กลายเป็นสิ่งจำเป็นในช่วงการระบาดของโควิด-19 การต้องรับมือกับ ต้นทุนที่สูงขึ้น เช่น ค่าน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้บริษัทต้องหากลยุทธ์เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน โดยไม่ส่งผลกระทบต่อลูกค้า ในขณะที่คุณท๊อปได้พูดถึงวิกฤตที่ Bitkub ต้องเผชิญในช่วงที่ตลาดคริปโตได้รับความนิยมอย่างมากในไทย ซึ่งทำให้เกิดความท้าทายในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำธุรกรรมที่มีความซับซ้อนและต้องรับมือกับการปรับตัวทางกฎหมาย และปัญหาทางการเงินต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากความผันผวนของตลาดคริปโต 2. การปรับตัวในช่วงวิกฤตและบทเรียนจากการเรียนรู้ ทั้งสองผู้ประกอบการให้ความสำคัญกับการปรับตัวอย่างรวดเร็วและการเรียนรู้จากความท้าทายที่เกิดขึ้น คุณคมสันต์เล่าว่า ในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 เขาต้องตัดสินใจที่สำคัญหลายครั้ง เช่น การ ปิดคลังสินค้า เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส ซึ่งแม้จะเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก แต่ได้รับการสนับสนุนจากทีมงานและลูกค้า ทำให้ธุรกิจยังคงสามารถดำเนินไปได้ ในด้านของคุณท๊อป การที่ Bitkub ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากภาวะตลาดที่ผันผวนและความไม่แน่นอนของกฎหมายในบางประเทศ เป็นการทดสอบความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวขององค์กร เขายอมรับว่า ความล้มเหลวและการปรับแผนในช่วงเวลาที่วิกฤตเกิดขึ้น เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้บริษัทสามารถเรียนรู้และฟื้นตัวจากความผิดพลาดได้ 3. การออกแบบองค์กรและความสำคัญของการสร้างทีมที่แข็งแกร่ง ทั้งสองผู้ประกอบการได้พูดถึงความสำคัญของการ ออกแบบองค์กร (Organization Design) ที่มีความยืดหยุ่นและสามารถรองรับการเติบโตของบริษัทได้ดี การออกแบบองค์กรไม่ใช่เพียงแค่การสร้างโครงสร้างของทีมงานหรือการแบ่งแยกหน้าที่ให้ชัดเจนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่มีความยืดหยุ่นและส่งเสริมการทำงานร่วมกัน คุณคมสันต์เน้นย้ำถึงการสร้างทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญในหลากหลายด้านเพื่อให้สามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว และมองเห็นปัญหาจากมุมมองที่หลากหลาย คุณท๊อปก็พูดถึงการบริหารทีมว่าในการขยายธุรกิจ ต้องเน้นการสร้างทีมที่มีความเข้าใจร่วมกันและสามารถทำงานได้ดีภายใต้ความกดดัน เพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตไปพร้อม ๆ กับการปรับตัวต่อสถานการณ์ใหม่ ๆ 4. การกระจายอำนาจและการสร้างการตัดสินใจที่รวดเร็ว อีกหนึ่งบทเรียนที่ทั้งสองผู้ประกอบการกล่าวถึงคือการกระจายอำนาจภายในองค์กรในช่วงที่ธุรกิจเริ่มเติบโตขึ้น เมื่อบริษัทขยายตัว การตัดสินใจไม่ควรจำกัดอยู่แค่ผู้บริหารสูงสุด แต่ควรกระจายไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ในองค์กรเพื่อให้การตัดสินใจสามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ การสร้างโครงสร้างที่ decentralized ทำให้ทุกคนในองค์กรสามารถมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้ทันที คุณคมสันต์เล่าถึงการที่ Flash Express ให้ความสำคัญกับการกระจายการตัดสินใจไปยังฝ่ายต่าง ๆ ภายในบริษัท โดยเฉพาะในการบริหารจัดการงานที่ต้องการการตัดสินใจเร็ว การกระจายอำนาจไม่เพียงแต่ช่วยให้สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้ทันท่วงที แต่ยังช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน 5. การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมการเติบโต การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดี เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการเติบโตอย่างยั่งยืนของธุรกิจ การที่ทีมงานทุกคนมีความรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร จะช่วยให้พนักงานมีแรงจูงใจและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีเป็นสิ่งสำคัญในการสนับสนุนให้พนักงานสามารถพัฒนาทักษะและมีความสุขในการทำงาน คุณท๊อปกล่าวว่าในช่วงที่ Bitkub เติบโตอย่างรวดเร็ว พวกเขามุ่งเน้นที่การสร้างทีมงานที่มีความเข้าใจ และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพนักงาน เพื่อให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้างธุรกิจและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจที่สำคัญ 6. การพัฒนาเทคโนโลยีและการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว การนำเทคโนโลยีใหม่ มาปรับใช้ในธุรกิจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คุณคมสันต์และคุณท๊อปต่างเห็นพ้องว่า การนำ Web 3.0, บล็อกเชน, และ AI (ปัญญาประดิษฐ์) มาใช้จะช่วยให้ธุรกิจมีความทันสมัยและสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้เร็วขึ้น ในกรณีของ Bitkub, คุณท๊อปมองว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนจะช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการกับการเงินในโลกดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ขณะที่คุณคมสันกล่าวถึงการใช้เทคโนโลยีที่มีความทันสมัยเพื่อช่วยให้ Flash Express สามารถจัดการกับข้อมูลการขนส่งได้แม่นยำและรวดเร็ว 7. การมองไปข้างหน้า: การสร้างความยั่งยืนในธุรกิจ ทั้งคุณคมสันต์และคุณท๊อปเห็นว่า การเติบโตที่ยั่งยืนเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าแค่การเติบโตในระยะสั้น โดยต้องมองไปข้างหน้าถึงการพัฒนาองค์กรในระยะยาว ทั้งในเรื่องของการ พัฒนาผลิตภัณฑ์, การปรับตัวทางเทคโนโลยี, และการสร้าง กลยุทธ์ที่รองรับการเติบโตในอนาคต _______________________________________________________________________________________________________________________________________________________ Business Growth in the Digital Era: Lessons from Successful Young Entrepreneurs Growing a business in today’s fast-changing world isn’t easy. Many young entrepreneurs who succeed in the digital age learn to adapt to challenges and uncertainties. This article highlights key lessons from two successful entrepreneurs: Khomsan Lee, founder of Flash Express, and Topp Jirayut, founder of Bitkub. They share their experiences of overcoming challenges and growing their businesses during fast-paced and difficult times. 1. Challenges in a Rapidly Changing Era Both Flash Express and Bitkub faced various challenges while expanding their businesses, especially during short and intense periods like the COVID-19 crisis. • Flash Express: Khomsan shared how logistics became essential during the pandemic. Rising costs, like fuel prices, forced the company to develop strategies to stay competitive without affecting customers. • Bitkub: Topp discussed how the rising popularity of cryptocurrency in Thailand brought challenges like complex transactions, adapting to legal changes, and managing financial risks from volatile markets. 2. Adapting During Crises and Key Lessons Quick adaptation and learning from challenges were crucial for both entrepreneurs. • Khomsan: During the pandemic, he made difficult decisions, like temporarily closing warehouses to prevent the spread of the virus. These actions, although tough, gained support from his team and customers, allowing the business to continue. • Topp: Bitkub faced uncertainty from fluctuating markets and legal changes. Topp emphasized learning from failures and adjusting plans as essential to recovering and moving forward. 3. Building a Flexible Organization and Strong Teams Both highlighted the importance of organizational design and team strength. • Khomsan: He emphasized creating teams with diverse skills to handle change and solve problems from multiple perspectives. • Topp: He focused on team management, ensuring everyone worked well under pressure and shared a common understanding, which helped the business grow and adapt to new situations. 4. Decentralizing Decision-Making As businesses grow, decision-making should not be centralized. • Flash Express: Khomsan explained that decentralizing decisions to different departments allowed faster responses to challenges and increased organizational flexibility. • Bitkub: Topp highlighted how empowering teams to make decisions helped Bitkub adapt quickly and stay competitive. 5. Creating a Positive Company Culture A strong company culture is essential for sustainable growth. • Khomsan: A positive culture motivates employees and creates an environment where they feel part of the organization, boosting efficiency and satisfaction. • Topp: During Bitkub’s rapid growth, building strong relationships within teams ensured everyone contributed to business decisions and felt valued. 6. Using Advanced Technology Adopting new technologies is critical in a fast-evolving world. • Khomsan: He highlighted using modern technologies to improve logistics, enabling accurate and fast delivery. • Topp: He saw blockchain as a tool for managing digital finance more securely and efficiently while incorporating Web 3.0 and AI to modernize their operations. 7. Focusing on Sustainable Growth Both emphasized that sustainable growth is more important than short-term gains. • Long-term strategies: Developing products, adapting to new technologies, and planning for future growth were identified as essential for lasting success. These lessons from Flash Express and Bitkub show that adaptability, teamwork, and a focus on sustainability are key to thriving in the digital era.

    Dec 19, 2024
    Thumbnail for "วิธีค้นหาความชอบที่แท้จริง" บทเรียนจากการท่องโลกของ ALAN BUS | We Mahidol (ALAN BUS "Discovering What You Love" by Exploring the World and Yourself)

    "วิธีค้นหาความชอบที่แท้จริง" บทเรียนจากการท่องโลกของ ALAN BUS | We Mahidol (ALAN BUS "Discovering What You Love" by Exploring the World and Yourself)

    มาทำความรู้จักกับ“อลัน” กับหน้าที่ลีดเดอร์วง BUS (Because Of You I Shine) วง Boy band T-Pop ที่มาแรงมากในตอนนี้ Q: อลันคือใคร และมีความสามารถหรือทักษะอะไรบ้าง? A: อลันเป็นหนุ่มรุ่นใหม่ที่มีทักษะโดดเด่นด้านภาษาและเทคโนโลยี สามารถพูดได้หลายภาษา ได้แก่ อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น และไทย ปัจจุบันกำลังศึกษาในสาขา Creative Technology ที่มหาวิทยาลัย MUIC ซึ่งเลือกเพราะความสนใจในเทคโนโลยีและการออกแบบ ทักษะด้านภาษานี้ช่วยให้อลันปรับตัวได้ดีในสภาพแวดล้อมต่างๆ และเข้าถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง Q: ชีวิตของอลันในสิงคโปร์มีผลอย่างไร? A: อลันใช้ชีวิตในสิงคโปร์ประมาณ 3 ปี ในช่วงแรกรู้สึกคิดถึงบ้านและไม่กล้าคุยกับเพื่อนใหม่ แต่ก็พยายามปรับตัวโดยเริ่มต้นบทสนทนาด้วยคำถามเล็กๆ อย่างการถามถึงเมนูโปรด จากนั้นจึงค่อยๆ สร้างมิตรภาพที่แน่นแฟ้นกับเพื่อนๆ ประสบการณ์นี้ทำให้เติบโตในด้านการใช้ชีวิตและการเข้าสังคม โดยมองเพื่อนที่สิงคโปร์เป็น “ครอบครัวที่เขาเลือกเอง” Q: เพราะอะไรอลันถึงตัดสินใจหยุดเรียนเพื่อทำ Gap Year? A: อลันต้องการสำรวจความสนใจของตัวเอง เขาจึงหยุดเรียนเพื่อทำ Gap Year ช่วงนี้ได้ลองสอนเด็กที่อยากไปเรียนต่อสิงคโปร์ และติววิชาเลขกับภาษาอังกฤษซึ่งช่วยให้เข้าใจบทบาทของครู นอกจากนี้ยังได้ทำงานเบื้องหลังในกองถ่ายโฆษณาและ MV ซึ่งทำให้เขาค้นพบความสนใจในงานศิลปะการถ่ายภาพและวิดีโอมากขึ้น Q: มุมมองต่อการทำ Gap Year? A: อลันรู้สึกสบายใจกับการไม่ต้องเดินตามเส้นทางที่คนอื่นมักเดิน เขาเชื่อว่าเส้นทางของแต่ละคนแตกต่างกัน ช่วงพักนี้ทำให้มีโอกาสสำรวจโลกและตัวเองมากขึ้น ทำให้มั่นใจว่าสิ่งที่เลือกเรียนคือสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ เป็นเวลาที่เขาได้เรียนรู้และรู้จักตัวเองอย่างเต็มที่ Q: อะไรทำให้อลันก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง? A: หลังจาก Gap Year อลันเริ่มต้นทำงานเบื้องหลังก่อนจะมีโอกาสได้เข้าร่วมการแคสซีรีส์และโครงการ “789 Survival” ที่ต้องเรียนรู้ทั้งการแสดง ร้องเพลง และเต้น แม้ว่าจะไม่มีประสบการณ์มาก่อน การเข้าวงการนี้ทำให้เขาได้พัฒนาทักษะใหม่ๆ และได้ทำงานร่วมกับทีมมืออาชีพซึ่งช่วยให้เขาปรับตัวและเรียนรู้ได้มากขึ้น Q: อลันมีบทบาทอย่างไรในฐานะ Leader ของกลุ่ม? A: ในการเป็น Leader อลันเน้นการนำพาทุกคนไปในทิศทางเดียวกันโดยใช้การสื่อสารและการสนับสนุนแทนการใช้อำนาจ ปรับวิธีสื่อสารให้เหมาะสมกับบุคลิกและความต้องการของแต่ละคน พร้อมเปิดใจคุยกับเพื่อนๆ เพื่อสร้างความเป็นทีม โดยมีเพื่อนๆ คอยให้กำลังใจและช่วยเหลือเมื่อเผชิญความท้าทาย Q: วิธีรับมือกับคำวิจารณ์เชิงลบในโลกออนไลน์อย่างไร? A: อลันมองคำวิจารณ์เชิงลบเป็นแรงผลักดันในการพัฒนาตัวเอง เชื่อว่าคำวิจารณ์เหล่านี้สามารถทำให้เขาเรียนรู้และปรับปรุงตัวได้ดีขึ้น จัดสรรเวลาเพื่อบริหารทั้งการเรียนและการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดในทุกด้าน Q: ประสบการณ์ทั้งหมดนี้มีผลอย่างไรต่อการพัฒนาตัวเอง? A: จากการใช้ชีวิตในต่างประเทศ การทำงานเบื้องหลัง การเป็นศิลปิน และการรับมือกับความท้าทายต่างๆ ทำให้อลันเติบโตและค้นพบเส้นทางที่ต้องการเดิน ประสบการณ์ทั้งหมดนี้ทำให้เขามีความเป็นนักเรียนรู้ตลอดชีวิตและมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาตนเองในทุกๆ ด้าน _______________________________________________________________________________________________________________________________________________________________ Talking with “Alan” and his role as the leader of the popular T-Pop boy band BUS (Because Of You I Shine) Q: Who is Alan, and what skills does he have? A: Alan is a young man with strong language and technology skills. He speaks English, Chinese, Japanese, and Thai. Currently, he’s studying Creative Technology at MUIC because of his interest in technology and design. His language abilities help him adapt to different environments and deeply understand diverse cultures. Q: How did Alan’s life in Singapore impact him? A: Alan lived in Singapore for about three years. At first, he felt homesick and shy around new friends, but he started adjusting by beginning conversations with small questions, like asking about favorite foods. Over time, he built close friendships, seeing his friends in Singapore as “the family he chose.” This experience helped him grow in life and social skills. Q: Why did Alan decide to take a gap year? A: Alan wanted to explore his interests, so he took a gap year. During this time, he taught students who wanted to study in Singapore and tutored math and English, which helped him understand the role of a teacher. He also worked behind the scenes in ads and music videos, which sparked his interest in photography and video art. Q: What’s Alan’s perspective on taking a gap year? A: Alan feels comfortable not following the usual path and believes that everyone has their own unique journey. The gap year gave him time to explore the world and himself, helping him be sure about what he really wants to study. It was a time for him to fully learn about and understand himself. Q: How did Alan enter the entertainment industry? A: After his gap year, Alan began working behind the scenes before getting a chance to join casting for a series and the “789 Survival” project, where he learned acting, singing, and dancing. Despite having no prior experience, working in this industry helped him develop new skills and work with a professional team, which taught him how to adapt and learn. Q: What is Alan’s role as the leader of the group? A: As the leader, Alan focuses on guiding everyone in the same direction through communication and support rather than authority. He adjusts his communication style to fit each member’s personality and needs, and he’s open to conversations with his teammates to build a strong team spirit. His friends provide encouragement and support whenever challenges arise. Q: How does Alan handle negative comments online? A: Alan views negative comments as motivation to improve. He believes these comments help him learn and become better. He manages his time to balance studying and working, aiming to achieve the best results in everything he does. Q: How have these experiences affected his personal growth? A: Living abroad, working behind the scenes, being an artist, and handling challenges have all helped Alan grow and find his path. These experiences made him a lifelong learner with a commitment to developing himself in every aspect.

    Nov 13, 2024
    Thumbnail for เงินสด หุ้นและอสังหา : สรุปเวทีดีเบตงาน Bitkub Summit 2024

    เงินสด หุ้นและอสังหา : สรุปเวทีดีเบตงาน Bitkub Summit 2024

    สรุปเนื้อหาสดจากเวทีดีเบตสุดเข้มข้นในงาน Bitkub Summit 2024 ภายใต้หัวข้อ "Cash vs Stock vs Real Estate Investments เปิดแผนที่ขุมทรัพย์การลงทุนแห่งอนาคต" เพื่อให้คนไทยได้รับชมความรู้ด้านสินทรัพย์ แง่มุมและตกผลึกด้วยตนเองจากประสบการณ์ของตัวจริงในการลงทุน โดยวันนี้ทางทีม Jobcadu ขอสรุปสาระสำคัญความเห็นต่าง ข้อเท็จจริงและจุดเหมือนของ Speaker แต่ละท่าน โดยขอละความมันส์ ความสนุก อารมณ์ก่อนและหลังเกมไว้ยูทูปช่องหลักของ Bitkub Exchange สรุปสาระสำคัญและหมัดเด็ดจากการดีเบต ดร.โสภณ - อสังหาริมทรัพย์ > ลูกจ้าง,การประกอบกิจการ > การเทรดหุ้นและคริปโต ดร.โสภณมองว่าการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เป็นตัวเลือกที่สร้างความมั่นคงในระยะยาว มูลค่าทรัพย์สินมีโอกาสเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสามารถต่อยอดไปสู่การสร้างแบรนด์ส่วนตัวได้ การเริ่มต้นลงทุนไม่จำเป็นต้องใช้เงินทุนสูง สามารถศึกษาที่ดิน ตลาดและโครงการ หรือเริ่มจากกองทุน REIT กับเป็นนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ก่อนได้ ดร.โสภณเตือนให้ "ค่อยๆ สะสมทุน" และ "ไม่ลงทุนแบบหวัง Easy Money" ซึ่งอาจเสี่ยงสูงและไม่ยั่งยืน การซื้อบ้านไม่ควรมองว่าเป็นหนี้สิน ควรมองว่าเป็นการลงทุนโดยการปล่อยเช่าให้ตัวเองได้ อีกทั้งยังสามารถสร้างกระแสเงินสดจากการปล่อยเช่าโดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่ แม้จะยังไม่ปิดกั้นโอกาสในการลงทุน Bitcoin แต่แนะนำให้พิจารณาการลงทุนที่สอดคล้องกับบุคลิกของตนเองมากกว่า คุณดิว - กระแสเงินสด > หุ้น > อสังหาริมทรัพย์ คุณดิวไม่ได้แนะนำที่สินทรัพย์ใดเป็นพิเศษ แต่เขาเน้นความสำคัญของการมีกระแสเงินสดที่ดี ซึ่งช่วยให้มีอิสระในการเลือกลงทุนโดยไม่กดดันเรื่องผลตอบแทนระยะสั้น เขาเชื่อว่าควรลงทุนในสินทรัพย์ที่คุณถนัด เขาเห็นด้วยว่าคนรวยไม่ถือเงินสด แต่เก็บไว้ใช้ช้อนโอกาส เขาเริ่มต้นลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ โดยซื้ออพาร์ทเม้นท์ใกล้มหาวิทยาลัยและนำรายได้ไปต่อยอดการลงทุนในหุ้น ต่อมาจึงศึกษาและลงทุนในหุ้นปันผลที่สร้างกระแสเงินสด 5-7% โดยไม่ต้องรับมือกับปัญหาด้านการจัดการคน เน้นว่าการซื้อบ้านควรสอดคล้องกับความมั่นคงในชีวิตและไม่ควรรีบตัดสินใจถ้ายังไม่พร้อม เคยลงทุนในคริปโต แต่ปัจจุบันยังไม่มีความเห็นต่อ Bitcoin คุณ CK - ตราสารหนี้ > หุ้น, บิทคอยน์ > อสังหาฯ และเงินสด CK มองว่าตราสารหนี้ของสหรัฐฯ เป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยและให้ผลตอบแทนสูงที่ 4.75% และอาจพิจารณาการลงทุนในหนี้ธนาคารซึ่งดีกว่าการถือเงินสด เขาลงทุนในหุ้นตั้งแต่อายุ 14 ผ่าน Bull และ Bear market ตลาดหุ้นสหรัฐ ฯ มีการเติบโตสูง โดย S&P โต 500% และ NASDAQ โต 800% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่เตือนให้ศึกษาโมเดลธุรกิจและ P/E ratio ของหุ้น โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม AI และกลุ่มนางฟ้า ซึ่งยังอยู่ในช่วงการเติบโตแบบ S-Curve และยังไม่สามารถสร้างรายได้จาก AI CK ชี้เห็นว่าอสังหาริมทรัพย์มีจุดอ่อนคือสภาพคล่องต่ำและกำลังเผชิญกับเทรนด์จากไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่อยู่ในเมืองมากขึ้น เขายกตัวอย่างกรณีที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่น ซึ่งมีบ้านร้างจำนวนมาก CK มองว่าบ้านเป็นหนี้สิน เพราะการผ่อนบ้านทำให้เราเสพติดเงินเดือนและอาจไม่กล้าที่จะเสี่ยงกับโอกาสในการสร้างธุรกิจหรือทำตามความฝัน Bitcoin ไม่ใช่ผู้ร้าย ขณะที่เงินสดคือหนี้ของรัฐบาลและสะท้อนความน่าเชื่อถือและความสามารถในการใช้หนี้ของรัฐฯ ------------------------------------------ สรุปเงินสด หุ้น และอสังหาริมทรัพย์ ลงทุนอะไรดี (แบบไทม์ไลน์) ก่อนเริ่มช่วงดีเบต คุณ CK และคุณหนุ่ยกล่าวชมความกล้าของดร.โสภณที่ตอบรับคำเชิญ โดยเจ้าตัวกล่าวว่าต้องการนำเสนอมุมมองที่แตกต่างในงานที่คาดว่าคนกว่า 99% ค่อนข้างเอียงไปทางการลงทุนในหุ้นและคริปโตฯ ยกที่ 1 : ของดร.โสภณ - ดร.โสภณ มองว่าทำธุรกิจที่ตัวเองสนใจ น่าจะมีความสุขมากกว่าการนั่งมองกราฟ ขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างการเทรดหุ้น หรือคริปโต - ดร.โสภณนำเสนอว่า การเป็นลูกจ้างก็สามารถมีความสุขได้เหมือนกัน หลายคนอยากมีอิสรภาพทางการเงิน การหวัง Easy money อาจทำให้เราใจร้อน และเผชิญกับความเสี่ยงและโอกาสที่จะล้มเหลวสูงขึ้น - เขาหยิบยกผลสำรวจมาอ้างอิงว่าคนเล่นบิทคอยน์ 70% มองว่าตัวเองล้มเหลวในตลาดลงทุน 20% เสมอตัว และ 10% สามารถเอาชนะตลาด - หลายคนยอมเสี่ยงเพราะมองว่าตัวเองไม่มีอะไรสูญเสีย อยากรู้สึกทันสมัย ยิ่งมีกูรูมาแนะนำ ยิ่งทำให้เราฮึกเหิมอยากลงทุน เขามองว่า "ค่อย ๆ สะสมทุน" และ "รอคอยโอกาส" อย่าไปลงทุนโฉ่งฉ่างอาจไม่ใช่สิ่งที่นำไปสู่ความสำเร็จ - การลงทุนในอสังหา ฯ สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดี มีแต้มต่อและสร้างแบรนด์ดิ้งของตัวเองได้ - เขายังบอกอีกว่า การลงทุนในอสังหาฯ ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากทุนสูง สามารถเริ่มจากการศึกษา เรียนรู้ตลาดก่อน หรือเป็นนายหน้าอสังหา ฯ ธุรกิจรีโนเวท ทำอพาร์ทเม้นต์ หรือหากอยากลงทุน สามารถเลือกจากกองทุน REIT หรือโทเค่น ยกที่ 1 : ของคุณดิว "ผมลงทุนในสิ่งที่ตัวเองถนัด แต่ผมเป็นพ่อค้าที่คอยมองโอกาสตลอดเวลา" คุณดิวกล่าว - คุณดิวเคยเล่นคริปโต ฯ ยอมรับว่าหากเข้าถูกจังหวะมีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงกว่า โดยเฉพาะคนทุนน้อย แต่เมื่อเทียบข้อดีและข้อเสีย เขามองว่าหุ้นยังสามารถดูปัจจัยพื้นฐาน การประกอบกิจการ - เขาไม่ปฏิเสธอสังหา ฯ - คุณดิว เห็นด้วยกับคุณ CK ว่า "คนรวยไม่ถือเงินสด" แต่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับ "เงินสดคือหนี้" โดยคนรวยมักเก็บเงินสดไว้รอตักตวงโอกาส - คุณดิวแชร์ว่าเขาโชคดีที่ได้พาร์ทเนอร์จากต่างประเทศในการทำธุรกิจฟาร์มปลาคาร์พ จากจุดแข็งที่เขามีวินัยและทำงานหนัก - เมื่อเขาได้เงินปันผลก้อนนึงจากธุรกิจ เขานำเงินก้อนกว่า 30 ล้านบาทไปลงทุนซื้ออพาร์ทเม้นที่ติดมหาวิทยาลัยเพื่อปล่อยเช่า อีกทั้งเขาไม่มีความรู้เรื่องหุ้น - เมื่อบริหารไปพักนึง ได้กระแสเงินสดจากค่าเช่า และ re-invest ซื้อตึก จนมีมากกว่า 1,000 units เขาเริ่มมองช่องทางอื่นที่มาหักลบข้อเสียของการต้องดีลกับปัญหาเรื่องคน การดูแลบริหารอพาร์ทเม้น - เขาเริ่มมองถึงการจัดพอร์ทโฟลิโอการลงทุน ขายอสังหาฯ ออกครึ่งนึง แล้วไปลงทุนหาหุ้นปันผล แต่เขาย้ำว่าจุดแข็งของเขาตอนนั้นคือมีกระแสเงินสดที่ดี สามารถรอได้ มองผลตอบแทนที่ 5-7% ไม่จำเป็นต้องเทรดรายวันและไม่อยากเสียเงินต้น - จนสุดท้ายเขาตกผลึกได้ว่า ลงทุนในหุ้นนั้นสบาย ไม่ต้องวุ่นวายกับคนเหมือนธุรกิจปล่อยเช่าอพาร์ทเม้น ยกที่ 1 : ของคุณ CK - CK เริ่มจากแปรญัตติโดยอธิบายความหมายของเงินในทางบัญชี คือ Cash (เงินที่อยู่ในธนาคาร) กับ Cash Equivalent (เงินที่อยู่ในตราสารหนี้ของอเมริกา) - ถ้าคุณลงทุนกับตราสารหนี้สหรัฐ คุณจะไม่เสียเงินต้น และได้ดอกเบี้ยอยู่ที่ 4.75% เป็นโอกาสที่ดีมาก - ถ้าไม่นับ Bitcoin ผู้ชนะคือหุ้น 10 ปีที่ผ่านมา S&P โตอยู่ที่ประมาณ 500% และ NASDAQ อยู่ที่ 800% - ขณะที่อสังหาริมทรัพย์ CK บอกว่า Landscape นั้นเปลี่ยนไปหลังจากปี 2008 โดยเขาชี้ให้เห็นถึง 1 ข้อเสีย และ 1 เทรนด์ที่กำลังเกิดขึ้น นั่นคือ อสังหาริมทรัพย์นั้นมีความคล่องตัวน้อย และคนรุ่นใหม่เปลี่ยนวิถีชีวิต - คุณ CK ชวนคิดว่า พ่อแม่ของเราส่วนใหญ่มีบ้าน ขณะที่เราชอบอยู่ในเมือง ถ้าหากว่าวันนึงพ่อแม่ของเราเสียชีวิตไป เราจะกลับไปอยู่บ้านนั้นไหม - CK มองว่าเทรนด์ในอีก 50 ปีคือเราจะมีบ้านร้างจำนวนมาก ซัพพลายของบ้าน(มือสอง)จะเพิ่มขึ้น ขณะที่ดีแมนด์หรือความต้องการจะลดลง โดยเขาได้หยิบกรณีที่เกิดขึ้นแล้วในญี่ปุ่น ซึ่งข้อเสียคือมันขายไม่ได้หากไม่มีผู้ซื้อ - ตรงกันข้ามกับหุ้น ที่มี market maker ที่สร้าง Liquidity ตลอดเวลา ทำให้เราได้อิสระ สามารถ Take loss และ profit ได้คล่องตัว - บ้านเป็นหนี้สิน เนื่องจากตอนซื้อเงินผ่อน บ้านเป็นทรัพย์สินของธนาคาร หากตกงาน โดน AI disrupt เราอาจไม่สามารถผ่อนบ้านได้ และต้องขายทิ้ง - หนี้ที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่อเมริกา และค่าใช้จ่ายและหนี้ของรัฐมาจากการออกพันธบัตร และทุก ๆ ปีรัฐบาลมี Budget deficit หรือค่าใช้จ่ายที่มากกว่าการจัดหารายได้ของรัฐ ยิ่งทำให้ภาระการจ่ายดอกเบี้ยให้กับผู้ถือพันธบัตรสูงขึ้น เงินสดที่เราถืออยู่นั้นจึง represent หนี้และความน่าเชื่อถือของรัฐ หากรัฐไม่สามารถจ่ายภาระดอกเบี้ย ความเชื่อมั่นจะหดหาย เงินสกุลนั้นจะไม่มูลค่าเหมือนกรณีที่อาร์เจนติน่า เป็นต้น - การที่ดร.โสภณบอกว่า Warren Buffet ถือเงินสดนั้น จริง ๆ แล้ว CK บอกว่าเขาถือ Cash Equivalent ซึ่งก็คือตราสารหนี้ หรือพันธบัตร 10 ปีของอเมริกา ยกที่ 2 : ดร.โสภณ - เงินเฟ้อที่ไทยจริง ๆ ไม่ได้สูงขนาดนั้น โดยถัวเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 0.6% - บ้านว่างที่ญี่ปุ่นมีอยู่กว่า 8 ล้านหน่วย แต่ไม่สามารถรื้อได้เนื่องจากภาษีแพง แต่มีการสร้างบ้านใหม่เกือบ 1 ล้านหน่วยทุกปี - เขายังแย้งว่า บ้านไม่ใช่หนี้สิน เพราะชื่อบนโฉนดเป็นของเรา สามารถนำไปปล่อยเช่า หากเราซื้อแล้วผ่อนก็เหมือนเช่าตัวเองอยู่ที่ 6-7% ตาม market range และอาจได้ ROI หากราคาบ้านเพิ่มขึ้น เขากล่าวอ้างตัวเลขจากธนาคารแห่งประเทศไทยว่าดัชนีราคาบ้านและที่ดินยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ยกที่ 2 : คุณดิว - เขาแย้งว่า ดร.โสภณ อาจลืมคิดเรื่องดอกเบี้ย ซื้อหรือเช่า อยู่ที่ความจำเป็นในตอนนั้น หากมีเงินดาวน์มากกว่า 50% มีงานที่มั่นคง มั่นใจว่าไม่ย้ายจากตรงนี้ และพร้อมก็สามารถลงทุนได้ แต่หากเป็นเด็กจบใหม่ อาจมีการเปลี่ยนงาน บ้านจะกลายเป็นห่วงได้ - การเล่นอสังหา หากคุณเป็นคนมีเงิน สามารถเก็งที่ในเมือง แต่ที่ไกล ๆ นั้น ในไทยมีข้อเสียเนื่องจากมีที่เยอะ เก็งได้ยาก รวมทั้งชุมชนหรือถนนอาจโตไปคนละทางกับที่ที่เราไปเก็ง - สินทรัพย์ที่เขาแนะนำให้ดูมี 2 อย่างในสถานการณ์โลกปัจจุบันคือ ทองคำ กับหุ้น จากสงครามและเทรนด์ใหญ่ ยกที่ 2 : คุณ CK - คุณ CK เล่นหุ้นตั้งแต่อายุ 14 มีประสบการณ์ ความเจ็บปวดและความสำเร็จในตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่เขาเสนอว่านาทีนี้ควรลงทุนในหนี้ เนื่องจาก 10 ปีก่อน ตราสารหนี้มีอัตราตอบแทนอยู่ใกล้ 0 ขณะที่ตอนนี้อยู่ที่ 4.75% แต่ที่หุ้นทุกวันนี้ขึ้นมันคือจังหวะของ S-Curve ใหม่ที่เรียกว่า AI เพียงแต่ว่า ในหุ้นกลุ่มนางฟ้าขณะนี้นอกจาก NVIDIA ยังไม่มีบริษัทใดที่สามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำได้จาก AI มันจึงมีลักษณะเหมือน Bubble - ต่อไปรายได้ของ Google จาก Search Engine อาจได้รับผลกระทบจากการเข้ามา Generative AI ที่คนไม่ต้องเข้าไปค้นหาข้อมูลจาก Google อีกต่อไป - ยิ่งทำให้เขามองว่า Safe Heaven จริง ๆ คือหนี้ของรัฐและหนี้ของธนาคาร ยกที่ 3 : ดร.โสภณ - เขาไม่ถือหุ้นเลย - ที่ผ่านมาเขาค่อนข้างต่อต้าน Bitcoin แต่ก็พูดว่าไม่ปิดกั้นในอนาคต - ราคาของที่ดินและบ้านของกรุงเทพโต 10% ต่อปี ภูเก็ต 7% หากมีสงคราม ดร.ไม่แน่ใจว่า Bitcoin จะยังใช้ได้ไหม แต่จากประสบการณ์ส่วนตัว ตอนที่เขมรแตกในช่วงสงครามเย็น พวกเขาเอาทองมาแลกข้าวที่ชายแดน ทองสามารถถูกแลกเปลี่ยนในยามจำเป็น ยกที่ 3 : คุณซีเค - CK บอกว่า การชักชวนให้คนรุ่นใหม่ซื้อบ้านนั้นไม่ดี - ยกตัวอย่างจากจีนที่กำลังมีปัญหาวิกฤติจากการสร้างบ้านและคอนโดจำนวนมาก - สำหรับเขา อสังหาริมทรัพย์มีหลายเกรด Class 1: Single Family Home หรือบ้าน คอนโด นั้นไม่ดี เพราะบ้านไม่สร้างเงินให้กับเรา ไม่มีคนซื้อ เพราะคนในประเทศไม่มีคนซื้อแล้ว โดยยกตัวอย่างจากนโยบายของอดีตนายกฯ เราต้องดู Market Rate จากค่าเช่า ยิ่งสร้างขึ้น ราคาจะคงที่ การซื้อบ้านจะทำให้เรากลัว ไม่มีอิสระในการตัดสินใจและเสพติดเงินเดือน หากมีความฝันที่ไม่อยากเป็นพนักงานเงินเดือน ไม่ควรซื้อบ้าน ค่าใช้จ่ายที่สูงที่สุดของบ้านคือค่าเสียโอกาส Class 2: Multi-Family อย่างอพาร์ทเม้นท์ เนื่องจากสร้างกระแสเงินสดให้เรา Class 3: อสังหาฯ ที่ดีที่สุด คือที่ดินเกษตรกรรม เนื่องจากประเทศมีทรัพยากรที่จำกัด 2 อย่าง คือประชากรและที่ดิน โอกาสที่ดีที่สุดคือที่ดินเกษตรกร ไม่ใช่การสร้างบ้านและการซื้อบ้าน - เขาย้ำว่า เขาไม่ได้ห้ามซื้อบ้าน แต่อย่ารีบซื้อ ซื้อตอนพร้อมดังที่คุณดิวบอก ยกปิดท้ายกับหมัดก่อนกลับบ้าน - คุณดิวยังคง Neutral ต่อการเลือกเลือกสินทรัพย์ เพราะสำหรับเขา เขาต้องการสร้าง Passive Income และการลงทุน เขามองว่าคุณไม่มีวันมีอิสระทางการเงินจริง ๆ หากตอนนอนหลับไม่มีแต้มต่อที่สร้างกระแสเงินสดเข้ากระเป๋าคุณได้ เนื่องจากคนเรามีชั่วโมงการทำงานจำกัด 8-12 ชม ถ้าคุณสามารถหาเงินตอน work day หรือ weekend คุณชนะ คุณดิวกล่าว - Bitcoin เขาขอไม่ออกความเห็น ดร.โสภณ - ดร.โสภณ แย้งกลับว่า การซื้อบ้าน ไม่ใช่ว่าปล่อยผ่อนยาว ๆ 30 ปี ควรจะรีบปิดให้เร็วที่สุดเพื่อขยายไปหาลงทุนทำอย่างอื่นต่อ - ขณะที่ในไทยไม่มีปัญหาขาดแคลนที่อยู่อาศัยเหมือนประเทศกำลังพัฒนา จีนมีบ้านร้าง 50 ล้านหน่วย ญี่ปุ่น 8-9 ล้านหน่วย จริงๆ สถานการณ์ในไทยไม่ได้แย่ ปีนี้ Developer ผลิตที่อยู่อาศัยออกมาใหม่ 60,000 กว่าหน่วย - ถ้าไม่มีคนเช่า เราต้องถัวเฉลี่ยคิดเป็น Occupancy rate ไม่ใช่คิดแค่ 0% หรือ 100% แบบ Binary - ดร.โสภณให้คำแนะนำเกี่ยวกับการทำการเกษตร นั้นไม่ดีเนื่องจากหากคุณไม่รู้วิธีดูที่ดิน และวิธีการทำการเกษตร อาจจะจมไปเลย - เขาหยิบอ้างข้อมูลของผู้ลงทุนใน Bitcoin ว่ามีเพียง 0.03% ของผู้ลงทุนที่ ถือ Bitcoin เกินจำนวนกว่า 50% อาจสามารถกำหนดราคาขึ้นลงได้ มีคนประสบความสำเร็จแค่ 10% สามารถลองเล่นเป็นประสบการณ์ ตามแฟชั่น แต่ในระยะยาวเขามองว่าไปประกอบอาชีพที่สร้างสรรค์ อาจถูกจริตคุณมากกว่า คุณ CK - คุณ CK เสนอว่า การที่ดร.โสภณกล่าวหาบิทคอยน์ โดยเฉพาะการเป็นเครื่องมือของอาชกร การฟอกเงิน เขามองว่าผู้ร้ายจริง ๆ คือเงินสด การทุจริต คอรัปชั่น การโกงนั้นใช้เงินสดซึ่งไม่สามารถจับมือใครดมได้ ร้านค้าสามารถใช้หนีภาษี เนื่องจาก track ไม่ได้ คำแนะนำส่งท้าย - คุณ CK พูดถึงการที่โลกเราเปลี่ยนเร็วมาก ๆ ขณะที่วิธีเก่า ๆ อาจจะยังใช้ได้อยู่แต่คนรุ่นใหม่ควรลองศึกษาวิธีใหม่ ๆ ที่เร็วกว่า เพราะเราอาจเป็นคนที่ถูกรั้งท้ายได้ - ขณะที่ดร.โสภณในวัย 66 ปีแนะนำคนรุ่นใหม่ว่า ต้องพยายามศึกษาเองจริง ๆ จุดอ่อนบางครั้งคือเชื่อเมนเทอร์ ใช้วิจารณญาณดี ๆ ค้นคว้าด้วยตัวเราเอง จุดเหมือนในคำแนะนำ ดูเหมือนว่า speaker ทั้ง 3 ท่านจะมีความเห็นในสินทรัพย์ที่ต่างกันออกไป แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาดูเหมือนจะเห็นตรงกันคือ "การลงทุนเพื่อสร้างกระแสเงินสด" ส่วนจะเป็นสินทรัพย์ประเภทใด ความเสี่ยงขนาดไหน ผู้ลงทุนควรศึกษาด้วยตนเอง ขอบคุณทาง Bitkub ที่จัดงานในรูปแบบดีเบตที่ช่วยให้คนไทยได้เข้าถึงแง่มุมต่าง ๆ ในด้านการลงทุนของแต่ละสินทรัพย์

    Oct 22, 2024
    Thumbnail for 7 บทเรียนจากคุณ Hein Van Gastel กับประสบการณ์ 30 ปี ใน Supply Chain เเละ Logistics ที่สายอาชีพอื่นก็ฟังได้!

    7 บทเรียนจากคุณ Hein Van Gastel กับประสบการณ์ 30 ปี ใน Supply Chain เเละ Logistics ที่สายอาชีพอื่นก็ฟังได้!

    สัมภาษณ์ Hein Van Gastel: 30 ปีแห่งประสบการณ์ Supply Chain & Logistics ที่คุณต้องรู้ Hein Van Gastel ผู้เชี่ยวชาญชาวดัตช์ที่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรม Supply Chain และ Logistics กว่า 30 ปี ครอบคลุมถึง 15 ประเทศทั่วโลก ได้เล่าถึงบทเรียนสำคัญในการทำงานและคำแนะนำที่น่าสนใจสำหรับผู้เริ่มต้นอาชีพ "ถ้ามีคนมาบอกว่าคุณจะได้ทำงานในตำแหน่งปัจจุบันเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ผมคงจะไม่เชื่อ" คุณ Hein กล่าว 1. การให้ความสำคัญกับลูกค้า: กุญแจสู่ความสำเร็จ Hein เน้นว่า “ลูกค้า” คือศูนย์กลางของทุกกระบวนการ ความสำเร็จใน Supply Chain ไม่ได้มาจากการวางแผนเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเข้าใจและทำงานย้อนกลับจากความต้องการของลูกค้า (Reverse Engineer) เพื่อให้ทุกขั้นตอนสอดคล้องและตอบสนองความต้องการได้อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพ 2. การเรียนรู้ต่อเนื่อง: พัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดนิ่ง Hein เล่าว่า การเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นสิ่งสำคัญในอาชีพ Supply Chain เพราะเป็นอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องทำให้เราสามารถท้าทายแนวทางการทำงานแบบเดิมๆ และปรับตัวเข้ากับนวัตกรรมใหม่ได้อยู่เสมอ เขาย้ำว่า เขามาถึงจุดนี้ได้เพราะเขาพยายามที่จะใฝ่หาองค์ความรู้ใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรมอยู่เสมอ 3. ความคาดหวังของลูกค้ายุคปัจจุบัน ลูกค้าในปัจจุบันมีความต้องการสูงขึ้น ไม่เพียงแต่คาดหวังการจัดส่งที่รวดเร็วและสินค้าคุณภาพ 100% แต่ยังต้องการบริการที่ดีเยี่ยมและความสะดวกสบายในการทำธุรกรรม ซึ่งการบริหารจัดการ Supply Chain ต้องมีความยืดหยุ่นเพื่อรองรับความคาดหวังเหล่านี้ 4. บทเรียนจากความผิดพลาด Hein แบ่งปันประสบการณ์ความผิดพลาดในช่วงเริ่มต้นอาชีพ ซึ่งช่วยให้เขาเรียนรู้ถึงความสำคัญของการมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ นอกเหนือจากฝ่าย Supply Chain ทั้งการผลิต การเงิน เนื่องจากสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับฝ่าย Supply Chain อาจไม่ใช่สิ่งที่ธุรกิจ หรือฝ่าย Finance ต้องการ 5. จุดเปลี่ยนในอาชีพ: การเลือกเส้นทาง Hein เคยเผชิญทางแยกในอาชีพ เขาแชร์ว่าเคยนั่งเรียนภาษาและใช้ SQL ในการจัดการข้อมูล หัวหน้าของเขาถามว่าจะเป็นคนเขียน ค้นหาข้อมูล หรือจะเป็นคนที่คอยดูแลโครงการ สุดท้ายเขาเลือกเส้นทางที่ทำให้เขาได้ทำงานกับผู้คน และกำหนดทิศทางการทำงานของทีมโปรแกรมเมอร์แทน เพราะเห็นว่าเป็นเส้นทางที่ตรงกับความสนใจและจุดแข็งของเขามากกว่า 6. ความกังวลบางครั้งก็เป็นเรื่องดี Hein บอกว่าเขามีความสงสัยอยู่เสมอ และความสงสัยในหลางครั้งก็เป็นเรื่องที่ดีในการคิดใหม่ การหาแผนรองรับ หรือการประเมินอีกครั้ง เขาชี้ให้เห็นว่าความไม่แน่นอนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในทุกอาชีพ เขาแนะนำให้กล้าเผชิญกับความท้าทายและลงมือทำ เพราะการกระทำจะช่วยขจัดความกลัวและความกังวลที่มากเกินไป ซึ่งถ้าเป็นไปได้คุณควรจำแนกระหว่างความกังวลกับความกลัว 7. คำแนะนำสำหรับบัณฑิตจบใหม่ สำหรับบัณฑิตจบใหม่ Hein มีคำแนะนำว่า อย่ากังวลมากเกินไปในช่วงเริ่มต้นอาชีพ ชีวิตจะมีทางออกเสมอหากคุณมีความตั้งใจที่ถูกต้อง และที่สำคัญ อย่าปล่อยให้ใครมาทำลายความฝันของคุณ

    Oct 17, 2024
    Thumbnail for สัมภาษณ์คุณธัญญ่า Community Lead ของ SCBX (Exclusive Interview with K.Tanya)

    สัมภาษณ์คุณธัญญ่า Community Lead ของ SCBX (Exclusive Interview with K.Tanya)

    สัมภาษณ์คุณธัญญ่า Community Lead ของ SCBX (Exclusive Interview with K.Tanya)

    Oct 17, 2024
    Thumbnail for 8 ความลับที่ชาวยิวสอนลูกหลาน สู่การเป็นมหาเศรษฐี (8 Secrets That Jews Teach Their Children to Become Billionaires) |

    8 ความลับที่ชาวยิวสอนลูกหลาน สู่การเป็นมหาเศรษฐี (8 Secrets That Jews Teach Their Children to Become Billionaires) |

    ทำไมมหาเศรษฐีและคนที่ประสบความสำเร็จระดับโลกหลายคน เช่น Mark Zuckerberg เจ้าของ Facebook, ผู้ก่อตั้ง Google, หรือ Steven Spielberg ผู้กำกับชื่อดัง ล้วนแต่เป็นชาวยิว? The Insider ได้รวบรวมงานวิจัยจากหลายแหล่งทั่วโลก เพื่อสรุป 8 หลักคำสอนของชาวยิวที่นำไปสู่ความมั่งคั่งและประสบความสำเร็จ ซึ่งสามารถนำไปปรับใช้ในการพัฒนาตัวเอง ธุรกิจ หรือสอนลูกๆ ได้ 1. การรักษาทรัพย์: การหาเงินเป็นสิ่งสำคัญ แต่การเก็บรักษาทรัพย์ให้เป็นเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่า เน้นการออมและการลงทุนในทรัพย์สินที่มีมูลค่า 2. การหาเงินเป็นสิ่งสำคัญของมนุษย์: เงินสามารถใช้แลกสิ่งที่จำเป็นและสร้างความยอมรับในสังคม จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการประสบความสำเร็จ 3. สร้างกำไรจากการขายของน้อยชิ้น: เน้นขายสินค้าให้กับลูกค้าที่มีศักยภาพ และสามารถสร้างกำไรจากสินค้าน้อยชิ้นได้ 4. ลงมือทำจึงจะประสบความสำเร็จ: ต้องใช้ศักยภาพของตัวเองให้เต็มที่และอย่ากลัวที่จะเสี่ยงทำสิ่งใหม่ๆ 5. ใช้สมองมากกว่าแรงกาย: ชาวยิวเน้นใช้สติปัญญาและการคิดเพื่อสร้างมูลค่าให้กับงานและชีวิต 6. ชื่นชอบตัวเลขและคำนวณทุกอย่าง: ชาวยิวเน้นการวางแผนและคำนวณตัวเลขในทุกกระบวนการเพื่อลดความเสี่ยง 7. ให้ความสำคัญกับเพื่อนที่ดี: เลือกเพื่อนและพันธมิตรทางธุรกิจที่ดี เพื่อช่วยให้ประสบความสำเร็จ 8. ไม่ทิ้งสมบัติให้ลูกหลาน แต่ทิ้งสติปัญญา: ชาวยิวสอนลูกหลานให้คิดหาโอกาสและสร้างธุรกิจด้วยตัวเองแทนการพึ่งพาทรัพย์สมบัติ ______________________________________________________________________________________________________________________________________ Why are many billionaires and world-renowned successful people, such as Mark Zuckerberg, the owner of Facebook, the founders of Google, or the famous director Steven Spielberg, all Jewish? The Insider gathered research from various sources worldwide to summarize 8 Jewish teachings that lead to wealth and success. These principles can be adapted for personal growth, business, or teaching children. 1. Preserving wealth: Earning money is important, but keeping it is even more crucial. Focus on saving and investing in valuable assets. 2. Money is important for humans: Money can be exchanged for necessities and helps gain social acceptance, making it a key factor in success. 3. Profit from selling fewer items: Focus on selling to high-potential customers and making a profit from fewer but more valuable items. 4. Success comes from action: Use your potential fully and don’t be afraid to take risks or try new things. 5. Use your brain more than your body: Jewish teachings emphasize using intelligence and thinking to add value to work and life. 6. Love numbers and calculate everything: Plan and calculate every process to reduce risks. 7. Value good friends: Choose good friends and business partners who can help you succeed. 8. Leave wisdom, not wealth, to your children: Teach children to create opportunities and businesses themselves, rather than relying on inherited wealth.

    Oct 17, 2024
    Thumbnail for ถ้าผมมีเงิน 70 บาท โดยบิล เกตต์

    ถ้าผมมีเงิน 70 บาท โดยบิล เกตต์

    มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก แนะวิธีเริ่มธุรกิจง่ายๆ หากมีรายได้น้อย (จน)!! อีกหนึ่งแนวทางที่พูดถึงการแก้ปัญหาความจนโดยบิล เกตส์ (Bill Gates) อดีตมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกหลายปีซ้อน เจ้าของธุรกิจชื่อดังอย่าง Microsoft บิล เกตส์นำเสนอแก้ปัญหาความยากจนมาจากการศึกษาและวิเคราะห์ชีวิตผู้คนที่เผชิญกับความอดอยากในแถบแอฟริกาตะวันตก โดยเขาได้ใช้ความรู้พื้นฐานในเรื่องของปศุสัตว์และธุรกิจ อธิบายออกมาให้เข้าใจง่ายว่า “ถ้าผมมีเงิน 70 บาท ผมจะใช้ชีวิตยังไงน่ะเหรอ สำหรับผม ผมจะเลี้ยงไก่ครับ” เขาเขียนลงในบล็อกของตัวเอง โดยให้เหตุผลว่า 1. เลี้ยงไก่ เลี้ยงง่ายค่าใช้จ่ายไม่เยอะ หากินเองได้ หากให้อาหารดี ไก่ก็จะโตเร็วขึ้น เมื่อไก่เพิ่มขึ้นก็ทำกรงเพิ่มตามจำนวน วัคซีนของไก่ก็ราคาถูก 2. เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่า เริ่มต้นจากแม่ไก่เพียง 5 ตัว และพ่อไก่ 1 ตัว เพียง 3เดือนก็สามารถเพิ่มจำนวนไก่ได้ถึง 40 ตัว เมื่อขายออกไปตัวละ 175 บาท ก็สามารถสร้างรายได้ 35,000 บาทต่อปี 3. ไข่ไก่ดีมาก มีสารอาหารดี เป็นทางออกของโรคขาดสารอาหาร และหากบางครอบครัวสามารถบริหารจัดการได้ดีก็ปล่อยให้ไข่ฟักออกมา เลี้ยงไก่ให้โตแล้วนำไปขายจากนั้นจึงนำเงินที่ได้ไปซื้ออาหารที่มีประโยชน์อย่างอื่น 4. มันช่วยส่งเสริมสตรี เนื่องจากการเลี้ยงไก่ต่างจากเลี้ยงวัวหรือแกะ ผู้หญิงสามารถเลี้ยงไก่ใกล้บ้านและพวกเขามักจะนำเงินที่ได้มาลงทุนในครอบครัวและความเป็นอยู่ บิล เกตส์เชื่อว่า ไม่มีการลงทุนใดที่ไม่ได้ผลตอบแทนกลับมา การเลี้ยงไก่ก็เหมือนการสอนคนให้จับปลาแต่หากคุณไม่ได้อยู่ใกล้แม่น้ำหรือยังไม่พร้อมจะสอนใคร ก็เริ่มจากการให้ไก่กับเขาก่อน แล้วค่อยสอนให้เลี้ยงและดูแลมันให้เป็นน่าจะดีกว่า เพราะหากเหล่าคนรวยเอาแต่บริจาคเงินสักวันเงินมันก็ต้องหมดไปเหมือนทุกที ________________________________________________________________________________________________________________________________ Another great idea about solving poverty comes from Bill Gates, the former world’s richest man and the founder of Microsoft. Bill Gates got his idea to solve poverty by studying and analyzing the lives of people facing hunger in West Africa. He used basic knowledge of livestock and business to explain his ideas in a simple way. He wrote on his blog, “If I had 70 baht, how would I live? For me, I would raise chickens.” He explained why: 1. Raising chickens is easy and inexpensive. They can find food themselves, and if you feed them well, they grow faster. As you get more chickens, you can build more coops. Chicken vaccines are also cheap. 2. It’s a worthwhile investment. Starting with just five hens and one rooster, in three months, you can have up to 40 chickens. If you sell each chicken for 175 baht, you could earn about 35,000 baht per year. 3. Chicken eggs are nutritious and can help solve malnutrition. If families manage well, they can let the eggs hatch, raise the chickens, and sell them, then use the money to buy other nutritious food. 4. It empowers women because chickens are small and typically stay close to home. Women who sell chickens are likely to reinvest the profits in their families. Bill Gates believes that every investment brings returns. Raising chickens is like teaching someone to fish, but if you’re not near a river or can’t teach them yet, start by giving them chickens and then teach them how to take care of them. If rich people only donate money, that money will eventually run out as always.

    Sep 20, 2024
    Thumbnail for ระบบสร้างคนรวย สินค้าสร้างคนชั้นกลาง ความมั่นคงทำให้รวยเร็ว โดยคุณพิชัย จาวลา

    ระบบสร้างคนรวย สินค้าสร้างคนชั้นกลาง ความมั่นคงทำให้รวยเร็ว โดยคุณพิชัย จาวลา

    บทสัมภาษณ์นี้พูดถึงแนวคิดและมุมมองทางเศรษฐกิจและประสบการณ์ที่ผ่านมาของคุณพิชัย จาวลา การเปลี่ยนแปลงในด้านการลงทุน โดยเฉพาะในเรื่องของการลงทุนในที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ ที่ผ่านมาในช่วงเวลาต่างๆ เราอาจพบว่ามีความเข้าใจผิดในวิธีการตัดสินใจลงทุน ซึ่งในบางครั้งก็เกิดจากการตามกระแสของคนส่วนมาก เช่น การซื้อที่ดินในช่วงที่ราคากำลังบูม โดยเฉพาะในช่วงปี 2530-2533 เมื่อมีการบูมขึ้นอย่างมากในพื้นที่นอกเมือง ทำให้คนซื้อที่ดินในสวนเกษตร ที่นาหรือป่าเขาในราคาที่สูง แต่ภายหลังเมื่อเศรษฐกิจตก ราคาที่ดินในพื้นที่เหล่านั้นกลับตกลงไปอย่างมาก ในขณะที่ที่ดินในเมืองหรือย่าน CBD นั้นมีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความเข้าใจผิดนี้สะท้อนให้เห็นว่าการตามกระแสโดยไม่พิจารณาอย่างถี่ถ้วน อาจทำให้เราต้องเผชิญกับการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า นอกจากนี้ ในธุรกิจโรงแรมยังสะท้อนให้เห็นอีกด้วยว่าการวางแผนที่ขาดการวิเคราะห์ตลาดที่แท้จริง เช่น การสร้างโรงแรมใหญ่เกินไปในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้ธุรกิจต้องเผชิญกับความท้าทายในการทำกำไร ความคิดเรื่อง mindset ในการลงทุนที่สำคัญในยุคปัจจุบันก็ยังถูกเน้นถึงความสำคัญของการทำให้ได้เปรียบทางต้นทุนและการแข่งกับคู่แข่งที่มีมากขึ้น ซึ่งสมัยก่อนคนยังไม่รู้มากนักในเรื่องนี้ แต่ปัจจุบันถึงแม้คนส่วนมากจะรู้เรื่อง mindset แต่กลับไม่สามารถนำไปใช้ได้เต็มที่เพราะความเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันที่สูง ในช่วงเริ่มต้นของ B2 โรงแรม การเติบโตและขยายสาขาเป็นไปอย่างรวดเร็วเพื่อสร้างแบรนด์ให้แข็งแรงและเป็นที่รู้จัก โดยเน้นการเปิดสาขาหลายแห่ง แม้จะมีข้อเสียในด้านการบริหารจัดการ เช่น งบประมาณที่สูงขึ้น หรือคุณภาพการดูแลไม่ทั่วถึง แต่ก็ยังมีกำไรมากกว่าเปิดสาขาเดียว เมื่อธุรกิจเริ่มโตขึ้น ความสำคัญของทำเลเริ่มเด่นชัดขึ้น เมื่อมีคู่แข่งมากขึ้น การเลือกทำเลที่ดีจึงส่งผลต่อรายได้ในระยะยาว ในการขยายธุรกิจ B2 ผู้ก่อตั้งให้ความสำคัญกับการสร้างมาตรฐานสูงขึ้นเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน แม้ว่าต้นทุนการก่อสร้างจะเพิ่มขึ้น 30% แต่ก็ยังยืนยันในการลงทุนเพิ่มเพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง นอกจากนี้ การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งเน้นให้ธุรกิจมีเสถียรภาพในด้านรายได้และรายจ่าย การใช้ leverage ทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพทำให้สามารถขยายกิจการได้โดยไม่เพิ่มความเสี่ยง _______________________________________________________________________________________________________ This interview discusses the economic views and past experiences of Mr.Pichai Chawla. It touches on changes in investment, especially in land and real estate. In the past, there have been misunderstandings in investment decisions, sometimes due to following trends. For example, people bought land when prices were booming, especially between 1987-1990, when land in rural areas skyrocketed. People bought farmland or forest land at high prices, but when the economy crashed, the land prices in those areas dropped significantly. In contrast, land in urban or CBD areas kept rising in value. This misunderstanding shows that following trends without careful consideration can lead to unwise investments. In the hotel business, planning without proper market analysis, like building a hotel too large for the location, can make it hard to earn a profit. The importance of having the right investment mindset is highlighted, especially today, where it's crucial to control costs and compete effectively. In the past, this wasn’t well understood. Even though people are more aware of the need for a good mindset now, they often struggle to fully apply it due to rapid changes and tough competition. In the early stages of B2 Hotel, growth and expansion happened quickly to build a strong brand. The company opened many branches, which helped profits despite challenges like higher budgets and inconsistent quality control. As the business grew, location became more important. With more competitors, choosing the right location had a long-term impact on revenue. When expanding B2, the founder focused on raising standards to stay competitive. Even though construction costs increased by 30%, they decided to invest more to stand out from competitors. Risk management was also important, ensuring the business remained stable in terms of income and expenses. Effective financial leverage allowed the company to grow without increasing risk.

    Sep 9, 2024
    1/16
    แรงบันดาลใจ
    Exclusive Interview with K.Ple “ที่นี่คือที่ทำงานที่ให้คุณลองผิด ลองถูก และเติบโตได้จริง ฟังจากผู้นำฝ่าย People ของ Bitkub”

    Exclusive Interview with K.Ple “ที่นี่คือที่ทำงานที่ให้คุณลองผิด ลองถูก และเติบโตได้จริง ฟังจากผู้นำฝ่าย People ของ Bitkub”

    “ธุรกิจไทยยุคใหม่ จะอยู่รอดได้ ต้องเข้าใจคนให้ลึกกว่าเทคโนโลยี และกล้าที่จะเปลี่ยนก่อนที่โลกจะเปลี่ยนเรา” สาระสำคัญจากสองเวทีใหญ่ในงาน Bitkub Summit 2025

    “ธุรกิจไทยยุคใหม่ จะอยู่รอดได้ ต้องเข้าใจคนให้ลึกกว่าเทคโนโลยี และกล้าที่จะเปลี่ยนก่อนที่โลกจะเปลี่ยนเรา” สาระสำคัญจากสองเวทีใหญ่ในงาน Bitkub Summit 2025

    “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น ไลฟ์ร้อยล้าน” บทเรียนแรงบันดาลใจสำหรับคนทำงานยุคใหม่

    “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น ไลฟ์ร้อยล้าน” บทเรียนแรงบันดาลใจสำหรับคนทำงานยุคใหม่

    Exclusive Interview with Mutant | เอเจนซี่ที่ไม่ได้ทำแค่ PR แต่แก้โจทย์ธุรกิจจริง

    Exclusive Interview with Mutant | เอเจนซี่ที่ไม่ได้ทำแค่ PR แต่แก้โจทย์ธุรกิจจริง

    Exclusive Interview with K. Pui “จากวิกฤตโควิด สู่การ Scale Up ครั้งใหญ่ บทเรียนธุรกิจจากคุณปุ้ย ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ GoWabi”

    Exclusive Interview with K. Pui “จากวิกฤตโควิด สู่การ Scale Up ครั้งใหญ่ บทเรียนธุรกิจจากคุณปุ้ย ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ GoWabi”

    การเติบโต
    7S McKinsey คืออะไร? โมเดลเข้าใจองค์กรแบบรอบด้านสำหรับคนทำงานยุคใหม่

    7S McKinsey คืออะไร? โมเดลเข้าใจองค์กรแบบรอบด้านสำหรับคนทำงานยุคใหม่

    Mind Mapping แผนที่ความคิดที่ทำให้ทุกอย่างชัดขึ้นในพริบตา ช่วยให้คุณทำงานเป็นระบบและคิดไอเดียได้เร็วขึ้น!

    Mind Mapping แผนที่ความคิดที่ทำให้ทุกอย่างชัดขึ้นในพริบตา ช่วยให้คุณทำงานเป็นระบบและคิดไอเดียได้เร็วขึ้น!

    Entrepreneur คืออะไร? เส้นทางสู่การเป็นผู้ประกอบการยุคใหม่

    Entrepreneur คืออะไร? เส้นทางสู่การเป็นผู้ประกอบการยุคใหม่

    SWOT คืออะไร? เครื่องมือเข้าใจตัวเองและวางแผนชีวิตแบบคนทำงานยุคใหม่

    SWOT คืออะไร? เครื่องมือเข้าใจตัวเองและวางแผนชีวิตแบบคนทำงานยุคใหม่

    HR Hero Summit 2025: เมื่อ “AI” ไม่ได้มาแทนที่คน  แต่คนที่ “ใช้ AI เป็น” ต่างหาก ที่จะพาองค์กรไปได้ไกลกว่า

    HR Hero Summit 2025: เมื่อ “AI” ไม่ได้มาแทนที่คน  แต่คนที่ “ใช้ AI เป็น” ต่างหาก ที่จะพาองค์กรไปได้ไกลกว่า

    แบนเนอร์โฆษณา

    ศึกษาในสภาพแวดล้อมระดับโลก เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญระดับโลก

    💡 โปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่ออนาคต:

    ปริญญาโทใน AI และสิ่งอำนวยความสะดวกข้อมูล

    ⏳ การรับสมัครเปิดแล้ว! อย่าพลาดโอกาสของคุณในการเข้าร่วมการเรียนรู้ที่ยอดเยี่ยม

    เร็ว ๆ นี้

    ความเป็นอยู่ที่ดี
    ดูเพิ่มเติม
    Thumbnail for มื้อกลางวันกินอะไรดี?  คู่มือ 5-Minute Offix สำหรับชาวออฟฟิศ

    มื้อกลางวันกินอะไรดี? คู่มือ 5-Minute Offix สำหรับชาวออฟฟิศ

    “วันนี้กินอะไรดี?” ชาวออฟฟิศส่วนใหญ่เจอเหตุการณ์นี้ทุกวัน ทั้งที่จริงแล้วการเลือกเมนูมื้อกลางวันไม่ควรเป็นความเครียด แต่ความจริงคือ การตัดสินใจเล็ก ๆ ระหว่างวันสามารถดึงพลังงานสมองได้มากอาจทำให้เหนื่อยล้าโดยไม่รู้ตัว หรือที่เรียกว่า decision fatigue บทความนี้เป็นคู่มือแบบอ่านเพียงไม่กี่นาที แต่ช่วยให้คุณตัดสินใจมื้อกลางวันได้เร็วขึ้น และยังรู้สึกดีขึ้นหลังอาหารด้วย ทำไมหลายคนถึง “ไม่รู้จะกินอะไรดี” เวลาพักเที่ยง แม้ร้านอาหารจะอยู่รายรอบออฟฟิศ แต่หลายคนกลับ คิดไม่ออก ว่าจะสั่งอะไร นี่คือเหตุผลหลัก ๆ มีดังนี้: 1. เมนูซ้ำจนเบื่อ กินเมนูเดิมทุกวันจนหมดความรู้สึกตื่นเต้นกับอาหารกลางวัน สมองจะเริ่มปฏิเสธการตัดสินใจ และวนกลับไปที่ความคิด “อะไรก็ได้…แต่กินอะไรดีล่ะ?” 2. พักเที่ยงสั้น รีบกินรีบกลับ เวลาที่จำกัดทำให้ต้องรีบคิดรีบสั่ง ผลลัพธ์คือมักเลือกแบบเดิม 3. เมนูที่หนักเกินไปทำให้ “ง่วงบ่าย” ถ้ากินของทอด น้ำมันเยอะ หรือมื้อใหญ่จนเกินไป ระดับน้ำตาลจะเหวี่ยง ทำให้ช่วงบ่ายไม่สดชื่น 4. ภาวะ decision fatigue หลังจากตัดสินใจเรื่องงานมาทั้งเช้า พอถึงเวลาเที่ยง สมองจะอยากเลือกอะไรที่ง่ายที่สุด แม้จะไม่ดีที่สุด 3 เมนูแนะนำสำหรับวันนี้ ด้านล่างคือ 3 เมนูที่ช่วยให้คุณมีพลังงานช่วงบ่ายแบบไม่หนักท้อง พร้อมคำอธิบายและแคลอรีโดยประมาณ เมนูที่ 1: ข้าวกะเพราไก่ไข่ต้ม + แตงกวา แคลอรี: ~450–520 kcal เมนูสุดคลาสสิกของคนไทย รสเผ็ดหอมพริกกระเทียม ผัดไก่นุ่ม ไข่ต้มยางมะตูม เสิร์ฟคู่กับแตงกวาเย็น ๆ ช่วยลดเลี่ยน ทำไมเหมาะกับช่วงบ่าย? โปรตีนจากไก่ทำให้อิ่มนาน เผ็ดเล็กน้อยช่วยกระตุ้นให้ตื่นตัว ไข่ต้มเพิ่มไขมันดี ทำให้พลังงานค่อย ๆ ปล่อย แตงกวาช่วยให้มื้ออาหารสดชื่น ย่อยง่าย อิ่มพอดี ไม่หนักจนง่วง เมนูที่ 2: ก๋วยเตี๋ยวเรือเนื้อ แคลอรี: ~350–450 kcal น้ำซุปเข้มข้น หอมเครื่อง เนื้อเปื่อยกำลังดี กินคู่กับผักบุ้ง ถั่วงอก หรือพริกป่นหอม ๆ เป็นเมนูที่อิ่มแบบไม่หนักท้องจนเกินไป ทำไมเหมาะกับช่วงบ่าย? น้ำซุปร้อน ๆ ช่วยให้รู้สึกปลุกพลัง โปรตีนจากเนื้อช่วยให้ไม่หิวบ่อย คาร์โบไฮเดรตเบา ๆ ไม่ทำให้ง่วง ย่อยง่ายกว่ามื้อข้าวใหญ่ เหมาะมากในวันที่มีประชุมติด ๆ กัน เพราะกินเสร็จไม่หนักท้อง เมนูที่ 3: ข้าวยำไก่แซ่บ แคลอรี: ~420–500 kcal ไก่ย่างหรือไก่กรอบแบบแคลอรีคุมได้ คลุกกับยำสไตล์แซ่บ ๆ มีผักสด บวกข้าวพอดีจาน ทำให้เป็นมื้ออร่อยแบบสดชื่น ทำไมเหมาะกับช่วงบ่าย? รสเปรี้ยว–เผ็ดช่วยลดอาการง่วงได้ดี มีผักหลากหลายช่วยให้รู้สึกเบาสบาย ข้าวในปริมาณพอดีช่วยไม่ให้พลังงานตก ไก่ให้โปรตีนสูง อิ่มนาน ไม่อยากของหวานตาม เป็นมื้อที่ “สดชื่น + อิ่มกำลังดี” เหมาะมากสำหรับวันที่ต้องใช้สมอง เมนูเหล่านี้ช่วยเพิ่มพลังงานช่วงบ่ายได้อย่างไร ไม่ใช่มื้อหนักจนร่างกายต้องใช้พลังย่อย รสเผ็ดเล็กน้อยช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญ โปรตีนสูงทำให้พลังงานนิ่ง มีผักช่วยให้ไม่รู้สึกแน่นท้อง เหมาะกับคนที่มีประชุมหรือทำงานยาวในช่วงบ่าย 3 ทริคตัดสินใจเมนูมื้อกลางวันให้เร็วขึ้น TIP 1: “1 คนเสนอ 3 เมนู → ช่วยให้ทีมเลือกได้ไวขึ้น” หมุนเวียนกันในทีม แต่ละวันให้ 1 คนมีหน้าที่เสนอ 3 ตัวเลือกก่อนเที่ยง ช่วยลดเวลาการถกเถียงได้เกือบครึ่ง TIP 2: สร้าง “ลิสต์ร้านอร่อยประจำออฟฟิศ” เก็บไว้ใน Google Drive ระบุว่า “อร่อย – ทำเร็ว – ส่งไว” เวลาหิวมากก็เปิดลิสต์  เเละเลือกได้ทันทีโดยไม่ต้องคิดเยอะ TIP 3: “20 นาทีทอง” ห้ามกินที่โต๊ะทำงาน ย้ายไปนั่ง pantry หรือเดินไปซื้อ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ จะช่วยให้ สมองปลอดโปร่ง ระบบย่อยดีขึ้น เเละพลังกลับมาเต็มที่ พร้อมกลับมาโฟกัสงานช่วงบ่าย ทริคเสริม: ดูแลตัวเองช่วงบ่ายให้สดชื่นกว่าเดิม เดินเล่นเบา ๆ หลังอาหาร 5–10 นาที ดื่มน้ำมากขึ้น โดยเฉพาะถ้ากินเผ็ด เลี่ยงน้ำหวานที่ทำให้ง่วงเร็ว ยืดเหยียดร่างกายสลับกับการลุกเดิน เพียงปรับพฤติกรรมเล็ก ๆ ชีวิตการทำงานของคุณจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สรุป: มื้อกลางวันที่ดี = บ่ายที่ productive การเลือกอาหารกลางวันไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เพราะมันส่งผลโดยตรงต่อ: พลังงาน สมาธิ อารมณ์ ความสำเร็จในงานช่วงบ่าย มื้อกลางวันที่ดีคือการลงทุนกับพลังงานช่วงบ่ายของคุณ เลือกเมนูที่อิ่มพอดี ไม่ง่วง และช่วยให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพ สามเมนูวันนี้ — กะเพราไก่ไข่ดาว, ก๋วยเตี๋ยวเรือเนื้อ, ข้าวยำไก่แซ่บ  คือไอเดียที่ตอบโจทย์ทั้งความอร่อยและสุขภาพ อ่านบทความ Well-being เพิ่มเติมได้ที่ Jobcadu เพื่อทำงานอย่างมีพลังในทุกวัน

    Nov 19, 2025
    Thumbnail for เลขประจําตัวผู้เสียภาษี ดูจากไหน? รู้ไว้ใช้ได้หลายเรื่องกว่าที่คิด

    เลขประจําตัวผู้เสียภาษี ดูจากไหน? รู้ไว้ใช้ได้หลายเรื่องกว่าที่คิด

    เคยสงสัยไหมว่า “เลขประจำตัวผู้เสียภาษีคืออะไร?” หรือ “จะดูเลขนี้ได้จากที่ไหน?” เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยสงสัยในเรื่องนี้ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะเลขประจำตัวผู้เสียภาษี (Tax Identification Number) เป็นข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน การเงิน และชีวิตประจำวันของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เงินเดือน ฟรีแลนซ์ หรือเจ้าของกิจการ รู้ไว้ก่อน ดีกว่าแน่นอน! เลขประจำตัวผู้เสียภาษีคืออะไร และมีกี่ประเภท เลขประจำตัวผู้เสียภาษี คือหมายเลข 13 หลัก ที่กรมสรรพากรกำหนดให้กับผู้มีหน้าที่เสียภาษีทุกคน เพื่อใช้ระบุตัวตนในการติดต่อเรื่องภาษี โดยเลขนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่ บุคคลธรรมดา : ใช้เลขบัตรประชาชน 13 หลักเป็นเลขผู้เสียภาษี นิติบุคคลหรือบริษัท : ได้รับเลขประจำตัวผู้เสียภาษีที่กรมสรรพากรออกให้โดยเฉพาะ ใครต้องมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีบ้าง? ทุกคนที่มีรายได้ ไม่ว่าจะจากเงินเดือน การทำอาชีพอิสระ หรือการทำธุรกิจ จำเป็นต้องมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษี เพื่อใช้ยื่นภาษีและทำธุรกรรมต่างๆ ตามกฎหมาย โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ภาษีต้องใช้เลขนี้ในการ ยื่นภาษีประจำปี ด้วย เลขประจำตัวผู้เสียภาษีใช้ทำอะไรได้บ้าง เลขผู้เสียภาษีไม่ได้มีไว้แค่ “ยื่นภาษี” เท่านั้น แต่ยังใช้ในการ เปิดบัญชีธนาคารในนามบริษัท ออกใบกำกับภาษี ลงทะเบียนธุรกิจ ทำธุรกรรมกับหน่วยงานภาครัฐ เรียกได้ว่าเป็นรหัสสำคัญของชีวิตทางการเงินที่ทุกคนควรรู้จักและเก็บรักษาไว้ให้ดี วิธีดูเลขประจำตัวผู้เสียภาษี จากบัตรประชาชน :  สำหรับบุคคลทั่วไป เลขประจำตัวประชาชน 13 หลักก็คือเลขผู้เสียภาษีของคุณ จากเอกสารกรมสรรพากร : หากเป็นนิติบุคคล สามารถดูได้จากหนังสือรับรองการจดทะเบียนภาษี จากระบบออนไลน์ของกรมสรรพากร (RD) :  เข้าไปที่เว็บไซต์ของกรมสรรพากร (rd.go.th) แล้วเข้าสู่ระบบเพื่อดูข้อมูลของคุณได้ง่ายๆ วิธีตรวจสอบเลขประจำตัวผู้เสียภาษีด้วยตนเอง ถ้าไม่แน่ใจว่าเลขที่มีใช่เลขที่ถูกต้องไหม สามารถตรวจสอบผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร โดยกรอกชื่อและข้อมูลพื้นฐาน ระบบจะช่วยยืนยันว่าเลขดังกล่าวตรงกับฐานข้อมูลจริงหรือไม่ สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย เพราะ “เลขผู้เสียภาษี” คือกุญแจสำคัญในการจัดการเรื่องการเงินและภาษีของเรา การรู้และตรวจสอบเลขนี้ให้ถูกต้อง จะช่วยป้องกันปัญหาทางเอกสาร และทำให้การยื่นภาษีเป็นเรื่องง่ายกว่าที่คิด และถ้าอยากเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำงานและการจัดการภาษี? เข้าไปที่ Jobcadu เพื่อดูบทความและคอร์สอัปสกิลด้านการเงินและอาชีพได้เลย!

    Nov 17, 2025
    Thumbnail for รวมประโยคสุดคิ้วท์ อวยพรเพื่อนร่วมงาน ฉบับภาษาอังกฤษ

    รวมประโยคสุดคิ้วท์ อวยพรเพื่อนร่วมงาน ฉบับภาษาอังกฤษ

    รวมประโยคอวยพรวันเกิดภาษาอังกฤษสำหรับเพื่อนร่วมงาน ประโยคสั้นๆ ใช้ได้ทุกโอกาส Happy Birthday! Wishing you a day full of joy and success. สุขสันต์วันเกิด! ขอให้วันนี้เต็มไปด้วยความสุขและความสำเร็จ  สุขสันต์วันเกิดนะ! ขอให้วันนี้เป็นวันที่เต็มไปด้วยความสุขและเรื่องดีๆ ทั้งเรื่องงานและชีวิตเลย Hope your day is as awesome as you are at work! ขอให้วันของเธอสนุก สดใส และยอดเยี่ยมเหมือนตอนที่เธอทำงานเลยนะ Cheers to another amazing year ahead — both in life and at work! ขอให้ปีนี้เป็นปีที่ดีสุดๆ ทั้งเรื่องงานและเรื่องในชีวิตเลยนะ! Wishing you all the good vibes and new opportunities this year. ขอให้ปีนี้เจอแต่เรื่องดีๆ และมีโอกาสใหม่ๆ เข้ามาเยอะๆ นะ You deserve all the recognition and happiness today! วันนี้เป็นวันของเธอจ เธอคู่ควรที่จะได้รับคำชื่นชมและมีความสุขเยอะๆ ประโยคฮาๆ กวนๆ (แต่ยังสุภาพกับเพื่อนร่วมงาน) You’re not getting older, just more experienced! เธอไม่ได้แก่ขึ้นหรอก แค่มีประสบการณ์เพิ่มขึ้นอีกปีต่างหาก Age is just a reminder of how long you’ve been awesome at your job! อายุก็แค่เลขที่บอกว่าเธอเก่งมานานแค่ไหนแล้วน่ะ Another year older, but still the team’s favorite! โตขึ้นอีกปีแล้ว แต่เธอยังเป็นคนโปรดของทีมอยู่ดีนะ ประโยคซึ้งๆ ให้กำลังใจเพื่อนร่วมงาน May this year bring you growth, success, and peace of mind. ขอให้ปีนี้เธอได้เติบโต ประสบความสำเร็จ และมีจิตใจที่สงบสุข You’ve worked so hard — hope you take time to celebrate yourself today! เธอทำงานหนักมากเลย วันนี้อยากให้เธอได้ฉลองและชื่นชมตัวเองบ้างนะ It’s a blessing to work with someone as inspiring as you. ฉันรู้สึกโชคดีจริงๆ ที่ได้ทำงานกับคนที่สร้างแรงบันดาลใจอย่างเธอ Keep shining, you make our team better every single day. เปล่งประกายต่อไปนะ เพราะเธอทำให้ทีมของเราดีขึ้นทุกวันจริงๆ Wishing you new challenges that excite you and successes that reward you. ขอให้เจอความท้าทายที่ทำให้ตื่นเต้น และความสำเร็จที่คุ้มค่ากับทุกความพยายาม ประโยคสำหรับโพสต์ในช่องแชตทีม / โซเชียลในที่ทำงาน Work wouldn’t be the same without you — have an amazing birthday! ที่ทำงานคงไม่สนุกแบบนี้ถ้าไม่มีเธอ ขอให้วันเกิดปีนี้พิเศษสุดๆเลยนะ! Celebrating your big day because our office is brighter with you here! ต้องฉลองหน่อย! เพราะออฟฟิศเราสดใสขึ้นตั้งแต่วันที่มีเธออยู่ด้วยจริงๆ 💡 Born to create, lead, and inspire — happy birthday, colleague! เกิดมาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจและเป็นผู้นำจริงๆ สุขสันต์วันเกิดนะเพื่อนร่วมงานคนเก่ง 🚀 วิธีเขียนแคปชั่นอวยพรเพื่อนร่วมงานเป็นภาษาอังกฤษ อยากให้โพสต์หรือข้อความดูอบอุ่นและเป็นมืออาชีพขึ้น? ลองปรับใช้ตามตัวออย่างนี้ได้เลย 1.เริ่มด้วยคำขอบคุณหรือความรู้สึกดีๆ (Appreciation): “So grateful to work with you.” / “You make work so much better.” ขอบคุณที่ได้ทำงานด้วยกัน / เธอทำให้งานทุกวันสนุกขึ้นเยอะเลย 2.ตามด้วยคำอวยพร (Wish): “Wishing you success and happiness in everything you do.” ขอให้เธอประสบความสำเร็จและมีความสุขในทุกสิ่งที่ทำ 3.ปิดท้ายด้วยอีโมจิหรือแฮชแท็ก: 🎉💼 #WorkFam #OfficeVibes ตัวอย่างแคปชั่น: “So grateful to work with such an inspiring teammate. Wishing you endless success and joy ahead! 🎂💖 #WorkFam จะเลือกแนวน่ารัก กวน หรือเเบบซาบซึ้ง  สิ่งสำคัญคือ “พูดด้วยใจ” เพราะคำอวยพรจากความจริงใจคือของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับเพื่อนร่วมงานในทุกวัย อยากอัปสกิลภาษาอังกฤษให้สื่อสารในที่ทำงานได้มั่นใจกว่าเดิม? ค้นหาเทคนิคการสื่อสารมืออาชีพและพัฒนาทักษะการทำงานได้ที่ Jobcadu

    Nov 11, 2025
    Thumbnail for ยื่นประกันสังคมออนไลน์ง่ายนิดเดียว! ใช้เพื่ออะไร และทำอย่างไรบ้าง

    ยื่นประกันสังคมออนไลน์ง่ายนิดเดียว! ใช้เพื่ออะไร และทำอย่างไรบ้าง

    ประกันสังคมออนไลน์ง่ายนิดเดียว! ใช้เพื่ออะไร และทำอย่างไรบ้าง “ประกันสังคม” อาจเป็นคำที่เราคุ้นหู แต่ไม่ใช่ทุกคนจะเข้าใจว่ามันสำคัญแค่ไหน และสามารถ “ยื่น” ได้ด้วยตัวเองแบบออนไลน์ง่ายๆ โดยไม่ต้องไปต่อคิวยาวๆ ที่สำนักงานอีกต่อไป บทความนี้ Jobcadu จะพาคุณมารู้จักตั้งแต่พื้นฐานของประกันสังคม สิทธิประโยชน์ที่คุณจะได้รับ ไปจนถึงวิธี ยื่นประกันสังคมออนไลน์ ที่ทำได้ภายในไม่กี่นาที ประกันสังคมคืออะไร? ประกันสังคมคือระบบที่รัฐจัดตั้งขึ้นเพื่อดูแลความมั่นคงในชีวิตของผู้ประกันตน ไม่ว่าจะเป็นกรณีเจ็บป่วย ว่างงาน คลอดบุตร ชราภาพ หรือเสียชีวิต โดยผู้ประกันตนจะจ่ายเงินสมทบทุกเดือนเพื่อให้ได้รับสิทธิตามที่กฎหมายกำหนด พูดง่ายๆ คือ “เกราะป้องกันทางการเงิน” ในวันที่เราต้องการความช่วยเหลือจากรัฐ ยื่นประกันสังคมเพื่ออะไร? (สิทธิประโยชน์ที่ได้รับ) การยื่นประกันสังคมมีจุดประสงค์เพื่อให้คุณได้รับสิทธิคุ้มครองตามกฎหมาย เช่น ค่ารักษาพยาบาลเมื่อต้องเข้ารับการรักษา เงินชดเชยกรณีเจ็บป่วย คลอดบุตร หรือทุพพลภาพ เงินชดเชยกรณีว่างงาน หากถูกเลิกจ้าง หรือลาออกโดยสมัครใจ (โดยจะได้รับเงินตามอัตราที่กฎหมายกำหนด) เงินบำนาญเมื่อถึงวัยเกษียณ ทั้งหมดนี้คือสิทธิที่คุณควรได้รับ เมื่อคุณเป็นผู้ประกันตนและยื่นเข้าระบบอย่างถูกต้อง ประเภทของการยื่นประกันสังคม ระบบประกันสังคมแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ มาตรา 33 – สำหรับลูกจ้างในบริษัท นายจ้างจะเป็นผู้ดำเนินการยื่นและหักเงินสมทบให้ มาตรา 39 – สำหรับผู้ที่เคยเป็นลูกจ้าง แต่ลาออกแล้วต้องการรักษาสิทธิเดิม โดยจ่ายสมทบเองรายเดือน มาตรา 40 – สำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระ ฟรีแลนซ์ หรือเจ้าของกิจการรายย่อย ที่สามารถสมัครและยื่นเองได้ ขั้นตอนการยื่นประกันสังคมออนไลน์ ปัจจุบันสำนักงานประกันสังคมเปิดให้บริการ “ยื่นออนไลน์” ง่ายๆ ผ่าน 2 ช่องทางหลัก คือ 1. ผ่านเว็บไซต์สำนักงานประกันสังคม เข้าไปที่เว็บไซต์ www.sso.go.th เลือกเมนู “สมัครผู้ประกันตน” กรอกข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ–นามสกุล เลขบัตรประชาชน และข้อมูลการติดต่อ ตรวจสอบความถูกต้อง และกดยืนยัน 2. ผ่านแอปพลิเคชัน “ประกันสังคม” ดาวน์โหลดแอป “ประกันสังคม” บน App Store หรือ Google Play ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ ยื่นขอเป็นผู้ประกันตนตามมาตราที่ต้องการได้ทันที เอกสารที่ต้องใช้ในการยื่น สำเนาบัตรประชาชน แบบฟอร์มสมัครผู้ประกันตน (กรณีสมัครด้วยตนเอง) หลักฐานการชำระเงินสมทบ (ถ้ามี) จากเมื่อก่อนที่ต้องไปสำนักงาน ตอนนี้คุณสามารถ “ยื่นประกันสังคมออนไลน์” ได้ง่ายๆ ด้วยโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียว อย่ารอให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดก่อนถึงจะสมัคร เพราะสิทธิประโยชน์ที่คุณจะได้รับจากประกันสังคมมีค่ามากกว่าที่คิด เข้าไปอ่านบทความดีๆ ด้านอาชีพ การเงิน และสิทธิแรงงานเพิ่มเติมได้ที่ Jobcadu

    Nov 11, 2025
    Thumbnail for ไขข้อสงสัยในการยื่นใบลาออก ต้องทำภายในกี่วัน และทำอย่างไรบ้าง พร้อมตัวอย่างการเขียน

    ไขข้อสงสัยในการยื่นใบลาออก ต้องทำภายในกี่วัน และทำอย่างไรบ้าง พร้อมตัวอย่างการเขียน

    เคยมีโมเมนต์ที่อยากลาออก…แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไงไหม? บางคนกลัวหัวหน้าไม่พอใจ บางคนกังวลว่าต้องแจ้งล่วงหน้ากี่วัน หรือเขียนใบลาออกแบบไหนถึงจะดูสุภาพ จริง ๆ แล้ว “การลาออก” ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้ารู้ขั้นตอนที่ถูกต้อง และวางแผนให้ดีตั้งแต่ต้น Jobcadu จะพาไปดูทุกขั้นตอน ตั้งแต่เขียนใบลาออกและส่งต่อแบบมืออาชีพ ใบลาออก (Resignation Letter) คือเอกสารที่ลูกจ้างใช้แจ้งความจำนงต่อบริษัทว่า ต้องการยุติการทำงานในตำแหน่งปัจจุบัน โดยระบุวันที่จะทำงานวันสุดท้ายไว้อย่างชัดเจน การเขียนใบลาออกเป็นหลักฐานสำคัญทางกฎหมาย ช่วยป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เช่น การเรียกร้องค่าชดเชย หรือข้อโต้แย้งเกี่ยวกับวันที่สิ้นสุดการทำงาน อีกทั้งยังเป็นการแสดงถึงความเป็นมืออาชีพและความเคารพต่อองค์กรที่คุณร่วมงานมาด้วย กฎหมายแรงงานกับการยื่นใบลาออก ตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ระบุว่า “ลูกจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างได้ โดยต้องบอกล่วงหน้าไม่น้อยกว่าระยะเวลาการจ่ายค่าจ้างหนึ่งงวด”เช่น ถ้าบริษัทจ่ายเงินเดือนเดือนละ 1 ครั้ง ก็ต้องแจ้งลาออกล่วงหน้าอย่างน้อย 30 วัน อย่างไรก็ตาม บางองค์กรอาจกำหนดในสัญญาจ้างให้แจ้งล่วงหน้านานกว่านั้น เช่น 45 หรือ 60 วัน โดยเฉพาะในตำแหน่งบริหาร หรือฝ่ายที่ต้องใช้เวลาส่งต่องาน ดังนั้นควรตรวจสอบ สัญญาจ้างหรือคู่มือพนักงาน (Employee Handbook) ก่อนตัดสินใจลาออกเสมอ ขั้นตอนการยื่นใบลาออก แจ้งหัวหน้างานโดยตรงก่อน เพื่อแสดงความเคารพและเปิดโอกาสให้พูดคุยเรื่องการส่งต่องานหรือวันสิ้นสุดการทำงานที่เหมาะสม ส่งใบลาออกอย่างเป็นทางการ (เป็นลายลักษณ์อักษร) อาจเป็นการส่งทางอีเมลหรือยื่นเอกสารตัวจริง โดยระบุวันสุดท้ายที่ทำงานชัดเจน รอการตอบรับจาก HR หรือหัวหน้า เพื่อยืนยันกระบวนการลาออกและรับเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น ใบรับรองการทำงาน หรือเอกสารภาษี (ภ.ง.ด.1 ก) สิ่งที่ควรทำก่อนลาออก เคลียร์งานให้เรียบร้อย — ปิดโปรเจกต์ที่ยังค้างอยู่ หรือส่งต่องานอย่างเป็นระบบ ทำเอกสารส่งต่องาน (Hand-over) — บันทึกรายละเอียดของงาน  หรือข้อมูลสำคัญไว้ให้คนที่มารับช่วงต่อ คืนอุปกรณ์ของบริษัท — เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ หรือบัตรพนักงาน ลบข้อมูลส่วนตัวออกจากอุปกรณ์บริษัท — เพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้ตั้งใจ แจ้งข้อมูลติดต่อหลังลาออก (ถ้ามี) — เผื่อบริษัทต้องติดต่อเรื่องเอกสารหรือภาษี ตัวอย่างการเขียนใบลาออกที่สุภาพ หัวเรื่อง: ใบลาออกจากตำแหน่ง [ชื่อตำแหน่ง] เรียน [ชื่อหัวหน้า / ผู้จัดการฝ่ายบุคคล] ข้าพเจ้าชื่อ [ชื่อ-นามสกุล] ตำแหน่ง [ตำแหน่งปัจจุบัน] มีความประสงค์จะขอลาออกจากตำแหน่ง โดยจะทำงานถึงวันที่ [ระบุวันสุดท้ายของการทำงาน] ขอขอบพระคุณบริษัทที่ได้มอบโอกาสและประสบการณ์ดีๆให้แก่ข้าพเจ้าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ขอแสดงความนับถือ ลงชื่อ....................................... ([ชื่อ-นามสกุล]) วันที่....................................... คำแนะนำเพิ่มเติมเพื่อการลาออกอย่างมืออาชีพ ควรแจ้งลาออกล่วงหน้า เพื่อให้ทั้งองค์กรและทีมสามารถเตรียมความพร้อมและส่งต่องานได้อย่างราบรื่น ใช้น้ำเสียงและถ้อยคำสุภาพ ไม่ตำหนิหรือกล่าวโทษใคร ไม่โพสต์เรื่องลาออกในโซเชียลมีเดียก่อนแจ้งบริษัท รักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงานและหัวหน้า เพราะคุณอาจได้ร่วมงานกันอีกในอนาคต เหตุผลในการลาออกที่น่าสนใจ ต้องการพัฒนาทักษะใหม่ ๆ เพื่อก้าวต่อในสายอาชีพ มีโอกาสในการทำงานที่ตรงกับเป้าหมายระยะยาวมากขึ้น ต้องการศึกษาต่อ / เริ่มต้นธุรกิจส่วนตัว ต้องการปรับสมดุลชีวิตและการทำงาน (Work-Life Balance) การลาออกไม่ใช่เรื่องน่ากลัว หากเราทำอย่างถูกขั้นตอนและให้เกียรติทั้งสองฝ่าย ใบลาออกที่สุภาพรวมถึงการส่งต่องานอย่างมืออาชีพ จะช่วยให้คุณลาออกได้อย่างราบรื่น และเริ่มต้นเส้นทางใหม่ได้อย่างมั่นใจ ลาออกแล้วแต่ยังไม่เจองานที่ถูกใจ? หากกำลังมองหางานที่ใช่หลังจากการลาออก สามารถเข้ามาค้นหาโอกาสใหม่ๆ ได้ที่ Jobcadu

    Nov 4, 2025
    Thumbnail for เมื่อ "การยึดติด" กลายเป็นสิ่งที่ฉุดรั้งคุณไว้: มุมมองใหม่ต่อการเรียนรู้และการทำงาน

    เมื่อ "การยึดติด" กลายเป็นสิ่งที่ฉุดรั้งคุณไว้: มุมมองใหม่ต่อการเรียนรู้และการทำงาน

    คุณกำลัง "พากเพียร" หรือแค่ "ยึดติด"? เราอยู่ในยุคที่ยกย่องความพากเพียร ความมุ่งมั่นคือคุณสมบัติของผู้ชนะ  เป็นเส้นทางเดียวสู่ความสำเร็จที่ทุกคนเชื่อ แต่เมื่อความมุ่งมั่นไม่ได้ถูกนำทางด้วยเหตุผล มันอาจค่อยๆ กลายเป็นสิ่งที่อันตราย นั่นคือ "การยึดติด" ในโรงเรียนและที่ทำงาน การยึดติดมักจะซ่อนอยู่ใต้หน้ากากของ "ความมุ่งมั่นต่อเป้าหมาย" ผลที่ได้คือ ความเหนื่อยล้า ผลงานที่ลดลง และพลาดโอกาสในการเรียนรู้สิ่งใหม่ บทความนี้จะอธิบายว่า "การยึดติด" หมายความว่าอย่างไรในบริบทปัจจุบัน มันคืบคลานเข้ามาในการเรียนรู้และการทำงานอย่างไร พร้อมเครื่องมือที่ใช้ได้จริงเพื่อปล่อยวางโดยไม่สูญเสียความทะเยอทะยาน "การยึดติด" คืออะไร? ในบริบทของการเรียนรู้และการทำงาน การยึดติดมักแสดงออกในรูปแบบต่อไปนี้: เชื่อว่าวิธีใดวิธีหนึ่งคือ “ความจริงสัมบูรณ์” ผูกค่าความเป็นตัวเรากับตัวเลขเดียว เช่น KPI เดียว เห็นทางเลือกเดียวเป็น “อนาคตเดียว” ของชีวิต ต่างจาก “วินัย” ซึ่งเปิดรับข้อมูลใหม่อยู่เสมอ “การยึดติด” จะปิดกั้นทางเลือก มันทำให้เราปกป้องสิ่งเดิม ๆ มากกว่าจะอัปเดตแนวทางตามข้อมูลใหม่ การยึดติดแทรกซึมเข้ามาในงานและการเรียนรู้อย่างไร บรรลุเป้าหมายผิด แต่พลาดแก่นสำคัญ: เช่น ทำโฆษณาเพื่อให้ยอดคลิกสูง แต่ไม่ได้สร้างลูกค้าที่มีคุณภาพจริง ภาวะเครื่องมือเดียว (Single-tool syndrome): เชื่อว่า “ซอฟต์แวร์นี้เท่านั้นที่ใช้ได้ดี” และต่อต้านการทดลองแนวทางใหม่ ๆ กับดักต้นทุนจม (Sunk Cost Trap): ยังคงทำสิ่งเดิมต่อไปแม้เห็นชัดว่าผลลัพธ์ไม่ดี เพราะเสียดายเวลาและเงินที่ลงทุนไป การปกป้องอัตลักษณ์: เช่น “ฉันเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์แนวนี้เท่านั้น” หรือ “ฉันเรียนมาทางนี้ก็ต้องทำสายนี้เท่านั้น” จนสุดท้ายจำกัดโอกาสของตัวเอง ราคาที่คุณต้องจ่าย การคิดช้าลง: เพราะวงจรการเรียนรู้ถูกยืดออกและขาดการอัปเดต ความเสี่ยงสูงขึ้น: เมื่อลงเดิมพันทั้งหมดกับสมมติฐานเดียว ภาวะหมดไฟ (Burnout): ลงแรงมากขึ้น แต่ผลลัพธ์กลับลดลง จริยธรรมพร่าเลือน: เมื่อ “KPI” สำคัญกว่าผลลัพธ์จริง คุณอาจเริ่มปรับตัวเลขแทนที่จะปรับการทำงาน ความพากเพียร vs การยึดติด (คู่มือฉบับย่อ) ความพากเพียรปรับตัว การยึดติดต่อต้าน ความพากเพียรฟังข้อมูล การยึดติดยึดมั่นในความเชื่อเก่า ความพากเพียรรักษาเป้าหมายและเปลี่ยนแผน การยึดติดรักษาแผนและลืมเป้าหมาย ความพากเพียรยอมรับข้อเสนอแนะอย่างใจเย็น การยึดติดมองว่าเป็นการโจมตี 5 แนวคิดเพื่อทำลายการยึดติด 1. แผนคือสมมติฐาน ไม่ใช่ตัวตนของคุณ ปฏิบัติต่อแผนงานเสมือนการทดลอง จงพร้อมที่จะละทิ้งมันหากข้อมูลบ่งชี้เป็นอย่างอื่น ผู้ชนะคือผู้ที่เปลี่ยนเส้นทางเมื่อความจริงเปลี่ยนไป 2. การคิดแบบพอร์ตโฟลิโอ อย่าทุ่มทรัพยากรทั้งหมดไปที่ทางเลือกเดียว ทดลองเส้นทางเล็ก ๆ หลาย ๆ ทางพร้อมกัน และค่อย ๆ ลงทุนมากขึ้นในทางที่เติบโต 3. กฎสองประตู การตัดสินใจบางอย่างสามารถย้อนกลับได้ (Reversible) ให้ทดลองทำ และถ้าไม่ได้ผลก็ถอยกลับมา แต่บางการตัดสินใจเป็นแบบทางเดียว (One-way)  ต้องคิดให้รอบคอบก่อนตัดสินใจผูกมัด 4. ผลลัพธ์เหนือผลผลิต มุ่งเน้นไปที่ ผลลัพธ์ (เช่น "เพิ่มอัตราการซื้อซ้ำ 20%") มากกว่าแค่ กิจกรรม (เช่น "โพสต์บทความ 30 ชิ้นต่อสัปดาห์") 5. ดูล่วงหน้าและทบทวน ก่อนเริ่มให้ลองจินตนาการถึงความล้มเหลวและเตรียมพร้อมรับมือกับมัน หลังจากเสร็จสิ้น ให้ทบทวนว่าอะไรใช้ได้ผลและอะไรใช้ไม่ได้ ชุดเครื่องมือฝึกปลดการยึดติด (Practice Toolkit) 1) สปรินต์ 30 วันแห่งการปลดการยึดติด (30-Day Un-Attachment Sprint) วันที่ 1–2: ระบุสิ่งที่คุณกำลังยึดติด วันที่ 3: เขียนสมมติฐานที่สามารถทดสอบได้ วันที่ 4–20: ทดลองทางเลือก A/B/C แบบต้นทุนต่ำ วันที่ 21: ตัดสิ่งที่แย่ที่สุด เก็บสิ่งที่ดี และขยายสิ่งที่ได้ผล วันที่ 30: ทบทวนสัญญาณที่คุณมองข้าม และสาเหตุที่ทำให้เพิกเฉย 2) เช็กลิสต์ 7 ข้อ สำหรับการปลดการยึดติด (7-Question Detachment Checklist) เป้าหมายที่แท้จริงของฉันคืออะไร? ถ้าเริ่มใหม่วันนี้ ฉันยังจะเลือกแบบเดิมไหม? มีวิธีที่ถูกกว่าหรือเร็วกว่าในการทดสอบไหม? ข้อมูลล่าสุดบอกอะไรฉัน? ฉันกำลังปกป้อง “อีโก้” หรือ “เป้าหมาย”? การตัดสินใจนี้ย้อนกลับได้ไหม? ถ้าทางเลือกนี้หายไปพรุ่งนี้ ฉันจะทำอย่างไร? สถานการณ์จำลอง การเรียนรู้: A เชื่อว่าต้องเก่งคณิตศาสตร์ระดับสูงก่อนถึงจะทำงานด้าน Data Analytics ได้ แต่หลังจากลองสามแนวทาง เธอพบว่า “สถิติประยุกต์ + SQL” คือทางที่เหมาะสมที่สุด การตลาด:  ทีมคอนเทนต์ยึดติดกับบล็อก SEO แบบยาว ๆ  แต่หลังทดลองหน้า Landing Page และอีเมลแคมเปญใหม่ ยอดลูกค้าคุณภาพเพิ่มขึ้น 18% ทั้งที่ทราฟฟิกเท่าเดิม การบริหารโครงการ: ผู้จัดการโครงการคนหนึ่งยืนยันจะใช้เวิร์กโฟลว์ Jira แบบเดิม แต่หลังทดลองปรับกระบวนการ Grooming เพียง 2 สัปดาห์ เวลาทำงานลดลง 22% การ “ปล่อยวาง” ไม่ใช่ “ยอมแพ้” การปล่อยวางไม่ใช่การละทิ้งความรับผิดชอบ แต่คือ “การอัปเดตด้วยวินัย” ผู้เรียนรู้ที่ยอดเยี่ยมและคนทำงานที่มีประสิทธิภาพมีสิ่งหนึ่งเหมือนกัน ความสามารถในการเปลี่ยนความเชื่อได้โดยไม่ต้องสูญเสียต้นทุนมากนัก ถ้าคุณพร้อมที่จะเปลี่ยนทิศทาง ถ้าทุกวันทำงานเริ่มรู้สึกเหมือนการ “อดทนฝืนไปวัน ๆ” บางทีอาจถึงเวลาหันเปลี่ยนมุมมองที่ Jobcadu คุณไม่ได้แค่หางานใหม่  แต่คุณจะได้ “งานที่เหมาะกับตัวคุณจริง ๆ” ทำแบบทดสอบอาชีพเพื่อค้นพบจุดแข็งและแรงจูงใจของคุณ ได้รับการจับคู่กับบทบาทที่เหมาะสมจริงๆ ไม่ใช่แค่เติมโควต้า ปรับปรุงเรซูเม่ของคุณสำหรับระบบ ATS เพื่อเพิ่มโอกาสได้รับการโทรสัมภาษณ์ เริ่มต้นวันนี้ที่ Jobcadu เพื่อก้าวต่อไปในอาชีพหรือความสำเร็จในการจ้างงานของคุณ

    Oct 29, 2025
    Thumbnail for ทำงานหนักกว่าเดิม แต่ทำไมกลับ 'ไม่มั่นคงกว่าเดิม'? เปิดแผนที่สู่เส้นชัยทางการเงินและชีวิตที่ดีกว่า ที่ Work Life Festival 2025

    ทำงานหนักกว่าเดิม แต่ทำไมกลับ 'ไม่มั่นคงกว่าเดิม'? เปิดแผนที่สู่เส้นชัยทางการเงินและชีวิตที่ดีกว่า ที่ Work Life Festival 2025

    Work Life Festival 2025 กลับมาอีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่ในฐานะสนามที่รวมทุกมิติของชีวิตคนทำงานไว้ในที่เดียว ภายใต้แนวคิด "ออกแบบชีวิตไปพร้อมกับความมั่นคงทางการเงิน" งานนี้ไม่ได้เชิญชวนให้คุณเป็นเพียง 'นักวิ่งสู้ฟัด' ที่เหนื่อยล้า แต่คือการมอบ 'แผนที่ฉบับสมบูรณ์' ให้คุณเป็น 'นักวางแผน' ที่วิ่งสู่เส้นชัยอย่างมีเป้าหมายและมั่นคง งานแถลงข่าวได้เปิดเผยวิสัยทัศน์ของผู้จัดงานว่า งานนี้คือจุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของคนทำงาน โดยมุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพชีวิตในทุกมิติ ทั้ง Work, Wealth, Health, และ Fun เตรียมพบกันวันที่ 7 - 8 พฤศจิกายน 2568 ณ Samyan Mitrtown Session 1: ทำไม 'ทำงานหนักกว่าเดิม' แต่กลับ 'ไม่มั่นคงกว่าเดิม'? คุณธนโชติ วิสุทธิสมาน, CEO of Like Me Co., Ltd. (Future Trends & aomMoney) ได้ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายที่คนทำงานกำลังเผชิญ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้แม้จะ Work Hard แต่กลับรู้สึกมั่นคงน้อยลง: การคุกคามของ AI: ความไม่แน่นอนว่างานของเราจะถูก AI เข้ามาแทนที่เมื่อไหร่ การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว: โลกเปลี่ยนเร็วเกินกว่าที่คนทำงานจะปรับตัวทัน รายได้ประจำไม่เพียงพอ: ปัญหาเงินเฟ้อและเศรษฐกิจโลก ทำให้คนต้องมองหาช่องทางสร้างรายได้เสริม คุณธนโชติเน้นย้ำว่า เป้าหมายของคนทำงานในปัจจุบันต้องเปลี่ยนจาก "ทำงานอะไรดี" เป็น "เราจะทำงานอะไรให้ชีวิตง่ายขึ้นและอยู่ได้" จาก Passive Worker สู่ Active Earner: แนวคิดแบบเก่าที่มุ่งเน้นแค่ Work Hard และโฟกัสแค่ตัวงานไม่สามารถใช้ได้แล้ว เราทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่ต้องเรียนรู้ที่จะ Work Smart ด้วยการเป็น Active Earner ที่ต้องรู้จัก ลงทุน บริหาร Portfolio และใช้ AI ให้เป็นเครื่องมือช่วยในการทำงาน เป้าหมายของ Work Life Festival 2025 คือการมอบแนวคิด "ทำงานให้เติบโต ใช้ชีวิตให้มั่นคง" ให้กับทุกคน Session 2: Adapt Fast in the Digital Future: กลยุทธ์ปรับตัวสำหรับคนทำงาน (ที่ไม่อยากตกรุ่น) คุณแทนรัก เชียงทอง, ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด, BINANCE  กล่าวว่า ยุคนี้คือยุค Information Revolution ที่เทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกอย่างอย่างรวดเร็ว สิ่งสำคัญที่สุดคือ Adaptability การมองการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องสนุกและโอกาส มากกว่าความน่ากลัว เขายังเล่าถึง Web3 และ Blockchain ที่กำลังกลายเป็นพื้นฐานของโลกใหม่  พร้อมให้คำแนะนำสำหรับคนรุ่นใหม่ที่อยากลงทุนอย่างมั่นคง: มีพื้นฐานทางการเงิน: ต้องเข้าใจเรื่อง Emergency Funds เพื่อรองรับความผันผวนของตลาดการลงทุน โดยเฉพาะในโลกคริปโต มีเกราะป้องกัน: ต้องทำ Your Own Research (YOR) หาข้อมูลอย่างรอบด้านก่อนตัดสินใจลงทุน วินัยระยะยาว: แนะนำการทำ DCA (Dollar-Cost Averaging) เพื่อสร้างวินัยและหวังผลในระยะยาว ข้อคิดถึงคนทำงาน: การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่เป็นโอกาสที่เราจะได้สนุกและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ การมี Growth Mindset และการหาโอกาสจากเทรนด์ที่ถูกเร่งด้วย AI คือสิ่งที่คนทำงานต้องมีในช่วง 3-5 ปีข้างหน้านี้ Session 3: Work-life Integration สู่ Longevity Lifestyle คุณมรุพงษ์ กิจกลิกร, กรรมการผู้จัดการ Aestheta Clinic Wellness and Aesthetic ชี้ให้เห็นว่า แนวคิด Work-Life Balance อาจใช้ไม่ได้จริงในยุคที่การทำงานและการใช้ชีวิตผสานกันอย่างแยกไม่ออก แต่เราต้องเปลี่ยนสู่ Work-Life Integration ที่ทำให้เราอยู่ร่วมกับงานได้อย่างเป็นปกติสุข หัวใจสำคัญของ Integration คือ Health & Wealth เพราะ ร่างกายคือ Asset ที่สำคัญที่สุด ซึ่งจะช่วยให้เราเติบโตและใช้ชีวิตได้อย่างยืนยาว (Longevity Lifestyle) ผ่านการดูแลเรื่อง กิน-นอน-ออกกำลังกาย และการคลายเครียด Session 4: เรียนรู้ใหม่ เพื่ออนาคตที่ก้าวกระโดด คุณโอชวิน จิรโสตติกุล CEO & Founder, FutureSkill ได้กล่าวว่า "Learning is the new Superpower" โดยชี้ว่า 1 ใน 3 ทักษะที่จำเป็นเมื่อ 3 ปีก่อน ได้กลายเป็นทักษะที่ล้าสมัยไปแล้ว และเราอาจรู้สึก Overwhelming จากข้อมูลที่เปลี่ยนเร็ว 3 ทักษะสำคัญเพื่ออยู่รอดในยุคนี้: Think (Advanced Cognitive Skills): การคิดเชิงวิเคราะห์ ผสานความคิดสร้างสรรค์ และการมองภาพรวมแบบ Systematic Thinking Build & Use (Technology and Digital Skills): การใช้ AI/Data และมี Digital & Tech Literacy ที่เก่งจนคนจับไม่ได้ว่าเป็นผลงาน AI Connect & Inspire (Social and Leadership Skills): การนำคน และการบริหาร Talent Management เพื่อรักษาคนเก่งให้อยู่กับองค์กร เทคนิคเร่งการเรียนรู้ Set Your Goals: ตั้งเป้าหมายว่าทักษะไหนคือความได้เปรียบในอีก 5 ปี Know the Gaps: วัดทักษะที่ต้องพัฒนา  เช่น การทดสอบบุคลิกภาพเเละเส้นทางอาชีพผ่าน tools อย่าง Jobcadu Career Toolkit Accelerate Your Learning: ใช้ Mentor หรือแม้แต่ AI เป็น Learning Partner 4 Expo ครบวงจร: เติม 'ไอเทม' ตลอดเส้นทาง Work Life Festival 2025 ได้จัดเตรียม 4 โซนเอ็กซ์โป ที่เป็นเหมือน 'ไอเทม' สำคัญให้คนทำงานพร้อมวิ่งต่อ: SkillForce Expo: รวมโปรดักส์และบริการสำหรับอัปสกิล Future Jobs Expo: รวบรวมงานแห่งอนาคตกว่า 1,000 ตำแหน่ง Tax Expo: สรุปครบจบเรื่องภาษี Work Syndrome Expo: จุดพักกาย ซ่อมใจ ให้พลังกลับมาพร้อมทำงาน งานนี้เข้าฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย เป็นโอกาสสำคัญของชาวออฟฟิศที่จะมาอัปสกิล วิธีลดหย่อนภาษี และโซลูชันฮีลใจ เพื่อให้มีไฟพร้อมทำงานต่อ ตั้งแต่วันที่ 7-8 พฤศจิกายน 2568 นี้ ที่  Samyan Mitrtown

    Oct 15, 2025
    Thumbnail for จิตแพทย์ ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด! ควรรู้ไว้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพจิตในวัยทำงาน

    จิตแพทย์ ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด! ควรรู้ไว้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพจิตในวัยทำงาน

    เวลาพูดถึงคำว่า “จิตแพทย์” หลายคนอาจเผลอคิดไปว่า ต้องเป็นโรคร้ายแรง หรือมีปัญหาหนักมากเท่านั้นถึงจะไปหาหมอได้ แต่ความจริงแล้ว จิตแพทย์คือหมอที่ช่วยดูแลใจเรา เหมือนที่หมอทั่วไปช่วยดูแลร่างกาย และใคร ๆ ก็สามารถไปพบได้เมื่อรู้สึกว่า “ไม่ไหวแล้ว” บทความนี้จะพาไปรู้จักว่า เมื่อไหร่ควรไปพบจิตแพทย์ ค่าใช้จ่ายเป็นยังไง และเราจะเตรียมตัวอย่างไรให้สบายใจมากที่สุด อาการแบบไหนที่ควรไปพบจิตแพทย์? ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงจุดวิกฤตถึงจะไปหาหมอ ใครที่มีอาการเหล่านี้สามารถปรึกษาจิตแพทย์ได้เลย รู้สึกเศร้า เครียด กังวล ต่อเนื่องยาวนานจนกระทบชีวิตประจำวัน นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร หรือทำกิจกรรมที่เคยชอบไม่ได้ มีอาการตื่นตระหนก หวาดกลัว หรือหงุดหงิดบ่อยผิดปกติ มีความคิดอยากทำร้ายตัวเอง หรือรู้สึกว่าไม่มีคุณค่า ใช้สารเสพติด แอลกอฮอล์ หรือพฤติกรรมบางอย่างเพื่อกลบปัญหา ถ้าเข้าข่ายสักข้อสองข้อ อย่าลังเลที่จะไปพบจิตแพทย์ เพราะยิ่งไปเจอเร็ว ก็ยิ่งมีโอกาสฟื้นตัวเร็วเช่นกัน ค่ารักษาและสิทธิประกันสุขภาพที่ครอบคลุมในการพบจิตแพทย์ เรื่องค่าใช้จ่ายอาจทำให้หลายคนกังวล แต่จริง ๆ แล้วมีทางเลือกหลายแบบ โรงพยาบาลรัฐ – ค่ารักษาไม่แพง ใช้สิทธิบัตรทอง/ประกันสังคมได้ ครอบคลุมทั้งค่าพบแพทย์และยาบางส่วน โรงพยาบาลเอกชน – ค่าใช้จ่ายต่อครั้งอาจเริ่มตั้งแต่ 1,000–3,000 บาท ขึ้นอยู่กับแพทย์และโรงพยาบาล สิทธิประกันสุขภาพ – บางบริษัทประกันครอบคลุมค่าพบจิตแพทย์และค่ายา ลองตรวจสอบเงื่อนไขจากกรมธรรม์ที่มีอยู่ พูดง่าย ๆ คือ ใครก็ตามที่อยากไปพบจิตแพทย์ สามารถเริ่มได้ตั้งแต่โรงพยาบาลรัฐใกล้บ้าน ไม่จำเป็นต้องใช้เงินเยอะเสมอไป เตรียมตัวยังไงก่อนพบจิตแพทย์? การไปพบจิตแพทย์ไม่ต้องเตรียมอะไรมาก แต่มีบางอย่างที่ช่วยให้การพูดคุยง่ายขึ้น จดบันทึกอาการที่เป็น เช่น รู้สึกเศร้ามานานแค่ไหน นอนวันละกี่ชั่วโมง ลองคิดดูว่ามีเหตุการณ์หรือช่วงเวลาไหนที่อาการรุนแรงขึ้น เตรียมรายชื่อยาที่ใช้อยู่ (ถ้ามี) รวมถึงประวัติการเจ็บป่วยอื่น ๆ สำคัญที่สุดคือ “เปิดใจ” เพราะจิตแพทย์ไม่ได้มีหน้าที่ตัดสิน แต่มีหน้าที่ช่วยให้เราเข้าใจตัวเองและหาทางออกที่เหมาะสม วิธีการดูแลสุขภาพจิตให้ห่างไกลจิตแพทย์ วิธีการดูแลสุขภาพจิตให้ห่างไกลจิตแพทย์ไม่ใช่เรื่องยาก หากเราใส่ใจและหมั่นดูแลตนเองในชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่อง สิ่งแรกที่ควรให้ความสำคัญคือการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ โดยผู้ใหญ่ควรนอนวันละ 7–9 ชั่วโมง และควรเข้านอนช่วงเวลา 21.00–23.00 น. เพื่อให้ร่างกายและสมองได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่ นอกจากการพักผ่อนแล้ว การรับประทานอาหารที่ครบ 5 หมู่ก็มีส่วนช่วยบำรุงทั้งร่างกายและจิตใจ ควรเลือกอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ เช่น ธัญพืช ผัก ผลไม้ ปลา และไขมันดี ซึ่งจะช่วยสร้างสมดุลของสารเคมีในสมองและส่งผลให้อารมณ์ดีขึ้น การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ เพราะนอกจากช่วยให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังช่วยกระตุ้นการหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินที่ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขมากขึ้น หากรู้สึกกดดันหรือเครียด ควรหาคนที่ไว้ใจได้เพื่อพูดคุยและระบายความรู้สึก แทนที่จะเก็บเอาไว้คนเดียว ซึ่งจะช่วยลดความเครียดและสร้างสายสัมพันธ์ที่ดี นอกจากนี้การรู้จักเว้นระยะจากโซเชียลมีเดียบ้าง โดยเฉพาะเมื่อรู้สึกว่าตัวเองเปรียบเทียบกับผู้อื่นจนเกิดความกดดัน ก็เป็นวิธีที่ช่วยให้ใจเราสงบขึ้น สุดท้าย การฝึกสมาธิหรือการหายใจลึกๆ เป็นประจำอย่างน้อยวันละ 5–10 นาที จะช่วยให้เรารู้จักอยู่กับปัจจุบัน ลดความฟุ้งซ่าน และปรับอารมณ์ให้สมดุลได้ดีขึ้น เมื่อปฏิบัติสิ่งเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่จะช่วยให้สุขภาพจิตของเราแข็งแรงขึ้น แต่ยังช่วยเสริมคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้นด้วย การไปพบจิตแพทย์ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่คือการยอมรับว่าตัวเองกำลังต้องการความช่วยเหลือ เหมือนเวลาที่เราป่วยก็ต้องไปหาหมอ การดูแลสุขภาพจิตจึงเป็น “การลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น” ของเราเอง และถ้าสนใจบทความดีๆแบบนี้ สามารถเข้ามาอ่านเพิ่มเติมได้ที่ Jobcadu

    Sep 8, 2025
    Thumbnail for “ทำงานก็แฮปปี้ ใช้ชีวิตก็แฮปปี้” เจาะลึก Work-life Balance ที่คนทำงานยุคใหม่ต้องรู้เเละ 5 บริษัทที่ใส่ใจ Work-life Balance แบบสุด ๆ

    “ทำงานก็แฮปปี้ ใช้ชีวิตก็แฮปปี้” เจาะลึก Work-life Balance ที่คนทำงานยุคใหม่ต้องรู้เเละ 5 บริษัทที่ใส่ใจ Work-life Balance แบบสุด ๆ

    Work-life Balance คืออะไร Work-life Balance คือ การสร้างสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัว ให้ทั้งสองด้านมีสัดส่วนที่พอดีกัน ไม่ทับซ้อนหรือเบียดเบียนกันมากเกินไป โดยจะเน้นไปที่การจัดการเวลา และแบ่งความรับผิดชอบ เพื่อให้คนเรามีทั้งความก้าวหน้าในอาชีพ และความสุขในชีวิต ทำไม Work-life Balance ถึงสำคัญ ลดความเครียดและภาวะหมดไฟ (Burnout) ส่งเสริมสุขภาพทั้งกายและใจ ทำให้มีเวลาให้ครอบครัว เพื่อน และการดูแลตัวเอง เพิ่มแรงบันดาลใจและความพอใจในงาน ปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อขาด Work-life Balance ด้านร่างกาย: อดนอน สุขภาพแย่ เจ็บป่วยง่าย ด้านจิตใจ: ความเครียดสะสม อารมณ์หงุดหงิดง่าย ด้านสังคม: ขาดเวลาให้ครอบครัวและเพื่อน ทำให้ความสัมพันธ์ห่างเหิน ด้านการทำงาน: ประสิทธิภาพของการทำงานลดลง ขาดความคิดสร้างสรรค์ และเสี่ยงต่อการลาออก วิธีสร้าง Work-life Balance ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ วางแผนการทำงานและการพักผ่อนให้ชัดเจน ตั้งขอบเขตเวลางาน-เวลาส่วนตัว ใช้เทคโนโลยีช่วย เช่น Calendar, To-do list จัดสรรเวลาสำหรับกิจกรรมที่ชอบ เช่น ออกกำลังกาย อ่านหนังสือ รู้จักปฏิเสธงานหรือสิ่งที่เกินกำลัง ฝึก Mindfulness เพื่อให้ใจสงบและโฟกัสกับปัจจุบัน ตัวอย่างนโยบาย Work-life Balance ในบริษัทที่น่าสนใจ Flexible Hours: เลือกเวลาเข้างาน-เลิกงานได้ Hybrid Work: ทำงานผสมระหว่างออฟฟิศและที่บ้าน Wellness Program: สนับสนุนสุขภาพ เช่น โยคะ กิจกรรมออกกำลังกาย Day-off Policy: วันหยุดพิเศษ เช่น Birthday Leave, Mental Health Day Family-friendly Policy: สนับสนุนเวลาสำหรับครอบครัว เช่น การลาคลอด/เลี้ยงลูก ตัวอย่างสวัสดิการ Work-life Balance จาก 5 องค์กรใหญ่ 1. Google อาหารฟรี 3 มื้อคุณภาพสูงทุกวัน รถรับ-ส่งพนักงานพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก ห้องพักผ่อน / ห้องนอนกลางวัน แพทย์ประจำบริษัท + ช่างตัดผมในออฟฟิศ นโยบาย 20% Time ให้เวลาพนักงานไปคิดโปรเจกต์ที่สนใจ 2. PTT ค่าตอบแทนและสวัสดิการที่คุ้มค่า วัฒนธรรมการทำงานแบบครอบครัว เน้นเคารพความต่าง ส่งเสริมความหลากหลายและความเท่าเทียมทุกเพศ วัย และภูมิหลัง โอกาสโยกย้ายสายงานภายในองค์กร เพื่อหาตำแหน่งที่เหมาะสม 3. SCG Flexible Benefits เลือกจัดสรรงบสวัสดิการเองได้ Fitness center พรีเมียม + สนามกีฬา + คลาสออกกำลังกายหลังเลิกงาน ชั่วโมงพัฒนาตนเองกว่า 155 ชั่วโมง/ปี ทุนเรียนต่อกับ Top 10 University ระดับโลก 4. Agoda ทำงานที่บ้านได้ 3 วัน/สัปดาห์ และ Work from Anywhere ได้ 30 วัน/ปี วันลาพักร้อนเริ่มต้น 15 วัน/ปี ส่วนลดที่พักทั่วโลกจากโรงแรมพาร์ทเนอร์ โอกาสทำงานกับเพื่อนร่วมงานกว่า 90 สัญชาติ 5. Unilever เข้างานออฟฟิศเพียง 2 วัน/สัปดาห์ ที่เหลือทำงานจากที่ไหนก็ได้ No Meeting Friday ไม่มีการประชุมวันศุกร์ ออฟฟิศมีคาเฟ่และห้องออกกำลังกายสำหรับพักผ่อน วัฒนธรรมดูแลพนักงานให้อยู่กับองค์กรระยะยาว จะเห็นได้ว่าองค์กรชั้นนำเหล่านี้ไม่ได้ให้แค่ “เงินเดือนสูง” แต่ยังสร้างสภาพแวดล้อมและนโยบายที่เอื้อให้พนักงาน ทำงานอย่างมีความสุขและใช้ชีวิตอย่างสมดุล จริง ๆ แนวโน้ม Work-life Balance ในอนาคต Hybrid Work จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ Workation การทำงานควบคู่การท่องเที่ยว เริ่มได้รับความนิยม การใช้ AI และ Automation มาช่วยลดงานซ้ำซ้อน เพื่อให้พนักงานมีเวลาโฟกัสสิ่งที่สำคัญจริง ๆ บริษัทหันมาใส่ใจสุขภาพจิตพนักงานมากขึ้น เช่น การให้คำปรึกษา (Counseling) Work-life Balance ไม่ใช่เรื่องของ “เวลาทำงานน้อยลง” แต่คือการจัดการชีวิตให้ลงตัว เพื่อทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ ยิ่งในยุคที่รูปแบบการทำงานเปลี่ยนแปลงเร็ว ความสามารถในการสร้างสมดุลนี้จึงกลายเป็น ทักษะสำคัญของคนทำงานยุคใหม่ อยากทำงานกับองค์กรที่ใส่ใจ Work-life Balance แบบนี้ สมัครเลยที่ Jobcadu reference

    Sep 2, 2025
    Thumbnail for Micro-Retirement: ผ่านความคิดส่วนตัวของผม

    Micro-Retirement: ผ่านความคิดส่วนตัวของผม

    Micro-Retirement: ผ่านความคิดส่วนตัวของผม พ่อแม่ของเราทำงานหนัก 30–40 ปี ก่อนจะเกษียณตอนอายุราวๆ 60 นั่นเคยเป็นเหมือน “ข้อตกลง” ทำงานตอนนี้ ใช้ชีวิตทีหลัง แต่คำถามคือ เส้นทางแบบนั้นยังใช้ได้จริงอยู่ไหมในวันนี้? ข่าวล่าสุดจากกสิกรไทย (KBank) หนึ่งในธนาคารยักษ์ใหญ่ของไทย แสดงให้เห็นว่าโครงการเกษียณก่อนกำหนดโดยสมัครใจ (voluntary early retirement) ตอนนี้ลดลงมาเริ่มที่อายุเพียง 45 เท่านั้น งานมั่นคงและภาพของการเกษียณสบาย ๆ ตอนอายุ 65 กำลังจางหายไป ตรงกันข้ามกับอายุขัยของมนุษย์ที่ยาวนานขึ้นเรื่อยๆ ในเวลาเดียวกัน ตลาดแรงงานกำลังเปลี่ยนแปลง คลื่น AI กำลังซัดเข้ามา และการปรับโครงสร้างองค์กรระดับโลกก็พาดหัวข่าวแทบทุกเดือนตั้งแต่ปีที่แล้ว ลองจินตนาการว่าคุณลาออกตอนอายุ 26 ปี พักไม่กี่เดือน หรือสักหนึ่งปี คุณอาจใช้เวลาเช้าที่วัด ช่วงเย็นชมพระอาทิตย์ตกที่ชายหาดหรือบนยอดเขา บางครั้งอาจซัดแอลกอฮอล์ 3 ช็อตแล้วปล่อยตัวเองให้จมไปกับธรรมชาติ หรือไม่ก็นั่งดูซีรีส์โปรดแบบมาราธอน หรือคุณอาจจะสร้างโปรเจ็กต์เล็ก ๆ ลงมือเรียนทักษะใหม่ๆ สิ่งนี้ไม่จำเป็นต้องรอ “การเกษียณก่อนกำหนด” อีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่ Gen Z เริ่มทำกัน สำหรับผมเอง ไม่ต้องจินตนาการ เพราะผมเซ็นใบลาออกเรียบร้อยแล้วและกำลังตั้งตารอสิ่งนี้อยู่ Micro-Retirement คืออะไร? สำหรับคนรุ่นพ่อแม่ การเกษียณก่อนอายุ 30 ฟังดูประหลาดแน่ๆ เพราะภาระครอบครัวหรือความยากจนที่ต้องหนีให้พ้น ยิ่งไปกว่านั้น คนรุ่นเรายังอาจทำแบบนี้มากกว่าหนึ่งครั้งด้วยซ้ำ แค่ใช้ชื่อเรียกต่างออกไป คำนี้ฟังเหมือนคำฮิตติดเทรนด์ แต่จริงๆ แล้วมันก็ไม่ไกลจากสิ่งที่เราเคยได้ยิน อย่าง gap year, sabbatical, career break ความต่างคือ Micro-Retirement มีการวางแผนมากกว่า ตั้งใจมากกว่า มันอาจกินเวลาหลายเดือน ไปจนถึง 2–3 ปี และไม่ใช่การลาออกถาวร แต่เป็นการ “พัก รีเซ็ต และกลับมาใหม่พร้อมพลัง” แตกต่างจากวันหยุดสั้น ๆ ตรงที่คุณ “ใช้ชีวิตเหมือนเกษียณแล้ว” — ได้เรียนรู้ ท่องเที่ยว ค้นหาความชอบ หรือแค่ชะลอจังหวะชีวิต โดยที่ยังรู้ว่าอาจกลับเข้าสู่การทำงานเมื่อไรก็ได้ สำรวจจากประเทศสหรัฐฯ พบว่า 10% ของคนวัยทำงานกำลังวางแผนจะใช้วิธีนี้ เหตุผลที่คนเลือก Micro-Retirement จากผลสำรวจของ sidehustle.com เหตุผล 5 อันดับแรกที่คนเลือก Micro-Retirement คือ: ฟื้นฟูสุขภาพจิต (57%) ท่องเที่ยวและหาประสบการณ์ชีวิต (52%) ลดความเครียดจากการทำงาน (47%) ทำโปรเจ็กต์ส่วนตัวหรือสร้างสรรค์ (29%) ทบทวนอาชีพและทิศทางชีวิต (28%) ส่วนใหญ่คนอเมริกันจะรีไทร์ประมาณ 4 เดือนโดยเฉลี่ย ขณะที่ในอีกด้าน อุปสรรคหลักของการตัดสินใจพักการทำงาน คือ ความมั่นคงทางการเงิน ความเสี่ยงต่ออาชีพ ข้อจำกัดจากนายจ้าง สวัสดิการด้านสุขภาพ และความท้าทายในการกลับเข้าสู่ตลาดงานอีกครั้ง ทำไม Millennials และ Gen Z ถึงเลือกทางนี้? ลองหยุดแล้วมองรอบตัว ทำไมสิ่งนี้ถึงเกิดขึ้นกับคนรุ่นใหม่บ่อยขึ้น? บางคนก็มองข้ามแล้วพูดว่า “คนรุ่นใหม่ไม่ขยัน” หรือ “Gen Z ความอดทนต่ำ” แต่ถ้าลองในมุมกว้างและลึก จะเห็นว่า คนรุ่นนี้ต้องเจอปัญหาที่ต่างออกไป หรือบางทีอาจมากกว่าที่เคยมี อัตราส่วนราคาบ้านต่อรายได้สูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ค่าแรงจริงกลับไม่ขยับ (Visualcapitalist, 2024) เส้นทางอาชีพไม่เป็นเส้นตรงอีกต่อไป (Forbes, 2025) ทักษะไม่ตรงกับตลาด ใบปริญญาตรีที่เคย “ปลอดภัย” ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว อายุขัยของทักษะ (half-life of skills) ก็กำลังหดสั้นลงจาก 10 - 15 ปี เหลือ 2.5-5 ปี เท่านั้น และใช่ AI กำลังกินเนื้องานระดับเริ่มต้น ไม่ใช่ว่าทั้งหมดคือหายนะและจริงอยู่ที่พาดหัวข่าวมักถูกขับเคลื่อนด้วย negativity bias เพื่อขายความกลัวมากกว่าความจริง แต่ความจริงอาจอยู่ตรงกลางระหว่างเรื่องนี้ ความกดดันที่มากขึ้น ความเป็นจริงที่ยากขึ้น บวกกับการเปรียบเทียบไม่รู้จบจากโซเชียล ทำให้คนรุ่นใหม่จำนวนมากไปต่อไม่ไหว บางคนถึงขั้น “ชัตดาวน์” คล้ายวัฒนธรรม NEET ที่เพิ่มในญี่ปุ่น เกาหลี และจีน (OECD, 2025) อีกด้านหนึ่ง คนรุ่นใหม่เห็น “ทางเลือกมากกว่าพ่อแม่” อินเทอร์เน็ตเปิดโลกาภิวัตน์ ทำให้ทุกอย่างเป็นไปได้ ตัวอย่างสตรีมเมอร์ ยูทูบเบอร์ หรือ TikToker ที่เลี้ยงชีพได้จริงๆ ทำให้ทางเลือกกลายเป็นเสรีภาพ แต่เมื่อมีมากเกินไป มันอาจทำให้ “แช่แข็ง” นักจิตวิทยาเรียกสิ่งนี้ว่า paradox of choice บางคนเลือกทุ่มสุดตัว ทำงานสองสามงาน เริ่มธุรกิจส่วนตัว วิ่งไล่เป้าหมาย ผมนับถือความมุ่งมั่นนั้น แต่หลายคนก็หมดไฟเพราะวิ่งหาคำว่า “passion” บางคนก็เลือกแตะเบรก ชะลอความเร็ว เพื่อหาสมดุลระหว่างงานกับชีวิต Naval เคยพูดไว้ว่า “คนใช้เวลาทำมากเกินไป โดยไม่ได้คิดว่าควรทำอะไรจริงๆ” แต่ผมคิดว่าทุกวันนี้เราก็ติดกับดักอีกด้านเช่นกัน คือคิดมากเกินไปจนขาดการตัดสินใจเลือก เสี่ยงและลงมือทำ ตลาดงานที่ตึงเครียดและความเครียดที่เพิ่มขึ้น ในจีน อัตราว่างงานคนหนุ่มสาวทะลุ 15% ส่วนสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร มีเยาวชนราว 13% ที่เข้าข่าย NEETs อีกทั้งตลาดงานที่ตึงตัวทำให้ทุกอย่างมีลักษณะเป็นเกมผลรวมศูนย์ (zero-sum game) ทุกคนแย่งที่นั่งที่มีจำกัด ปริญญาตรีกลายเป็นมาตรฐานขั้นต่ำ ปริญญาโทอาจช่วย หรืออาจไม่ช่วยเลย เมื่อผนวกกับ “ระลอกความเครียดด้านสุขภาพจิต” ผลสำรวจเร็ว ๆ นี้พบว่า 70% ของพนักงาน Gen Z และมิลเลนเนียลมีอาการ burnout ภายในปีที่ผ่านมา 51% รู้สึกเครียดระดับสูง เมื่อเทียบกับ 37% ของ Gen X และรุ่นเก่ากว่า ตัวเลือก ความกดดัน และความไม่แน่นอนทั้งหมดนี้ คือเหตุผลที่ผมเชื่อว่า gap year, career break และ micro-retirement จะยิ่งแพร่หลายขึ้น สำหรับคนที่พอมีเงิน นี่คือทางเลือก สำหรับคนที่ไม่มีก็อาจเผชิญกับอาการ “หมดไฟ” หรือต้อง “ปรับตัว” ถ้าคุณกำลังคิดถึงการหยุด ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้ คุณอาจกำลังคิดจะลาออกแล้ว หรืออาจทำไปแล้ว หรือแค่ยืนมองออกจากหน้าต่างบนตึกสูง คิดว่าฝั่งตรงข้ามถนนกำลังเกิดอะไรขึ้น นี่คือสิ่งที่ผมใช้เป็นเช็กลิสต์ส่วนตัว ไม่ใช่กฎตายตัว: การเงิน ถ้าล้วงกระเป๋ามาดูแล้วเงินเก็บอยู่ได้ไม่ถึง 3 เดือน แปลว่าการ “เกษียณ” ครั้งนี้จะสั้นมากๆ และคุณควรชัดเจนว่าจะใช้เวลานี้ไปกับอะไร พลังงาน คุณอยากเอาไปใช้อะไร? เที่ยว? เรียน? นอนพัก? ดูการ์ตูนวัยเด็กซ้ำๆ? หรือออกไปวิ่งมินิมาราธอนกับพ่อเหมือนผม? สุขภาพ สิ่งแรกที่ผมชอบผัดผ่อนคือการตรวจสุขภาพ แต่ผมไม่อยากกลับมาทำงานพร้อมร่างกายที่แย่ลง มันคงไม่ค่อยดีนักถ้าหลังจากพักแล้ว กลับมาพร้อมปัญหาสุขภาพ แทนที่จะได้พักจริงๆ บางทีผมอาจบังคับตัวเองให้ลองกินวิตามินดู จิตใจ ใช้เวลานี้ทบทวนและเชื่อมต่อกับสิ่งที่คุณชอบอีกครั้ง ออกไปเดินป่า ทำโปรเจ็กต์ที่เคยอยากลอง ถามตัวเองว่า “ฉันต้องการอะไรจริงๆ?” “อะไรที่ทำให้ฉันพอใจจริงๆ?” บางครั้งการปิดโซเชียลแล้วอยู่กับความช้าๆ ก็ช่วยตอบคำถามเหล่านี้ได้ การกลับมา เหมือนคุณแม่ที่หยุดงานช่วง 30s เพื่อเลี้ยงลูก ซึ่งผมเคารพมากๆ ผมเองก็กลัวว่ากลับมาแล้วทักษะจะไม่ตรงกับสิ่งที่ตลาดต้องการอีกต่อไป นี่คือเหตุผลว่าทำไมการมี buffer ถึงสำคัญ การกลับมาอาจใช้เวลานานกว่าที่คิด มีค่าใช้จ่ายไม่คาดคิด ลองอัปสกิล ทำโปรเจ็กต์ส่วนตัว เรียนภาษา ติดต่อกับเพื่อนร่วมงานเก่า หรือเข้าคอมมูนิตี้ต่างๆ ให้การกลับมารู้สึกเหมือน “ต่อเนื่อง” ไม่ใช่ “เริ่มใหม่” ทั้งหมด ส่งท้าย สำหรับผม Micro-Retirement ก็คือ “การวิ่งหนี” อย่างน้อยก็ส่วนหนึ่ง และนั่นไม่ใช่เรื่องผิด การหนีอาจดีต่อสุขภาพ ถ้าคุณรู้ว่าทำไม และจะเดินหรือวิ่งกลับไปทางไหน มันยังเป็นการสัญญากับตัวเองว่า จะเล่นเกมนี้ให้นานขึ้น ไม่พอ ถ้าเรากำลังอยู่ท่ามกลางการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งใหม่ที่มี AI หุ่นยนต์ และความเปลี่ยนแปลงไม่หยุดหย่อน เส้นทางปลอดภัยแบบเดิมกำลังกรุกร่อน การถอยหนึ่งก้าว บางครั้งก็เป็นแค่ “การพักมือ” แบบที่นักโป๊กเกอร์ทำ เพื่อให้อยู่ในเกมได้นานขึ้น Phurin : LinkedIn

    Aug 22, 2025
    Thumbnail for ความลับของคนฉลาดที่สำคัญกว่า IQ : อยู่คนเดียวให้เป็น สมองจะพัฒนาแบบก้าวกระโดด

    ความลับของคนฉลาดที่สำคัญกว่า IQ : อยู่คนเดียวให้เป็น สมองจะพัฒนาแบบก้าวกระโดด

    “ความฉลาดที่แท้จริง ไม่ได้วัดจาก IQ แต่จากความสามารถในการอยู่กับตัวเอง” — Dr. Joseph Jebelli, นักประสาทวิทยา เมื่อพูดถึงความฉลาดและความสำเร็จ เรามักจะนึกถึงคะแนน IQ สูง การทำงานหนัก หรือการมีทักษะพิเศษ แต่นักประสาทวิทยาเผยว่า สิ่งที่อัจฉริยะทั่วโลกมีเหมือนกันคือ "ศิลปะแห่งการอยู่คนเดียว" ซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จมากกว่าที่เราคิด ทำไม ‘ความโดดเดี่ยว’ ถึงทำให้สมองเก่งขึ้น? นักประสาทวิทยา Dr. Joseph Jebelli เปิดเผยว่า ช่วงเวลาที่เราอยู่คนเดียวโดยไม่มีสิ่งรบกวน สมองจะเข้าสู่โหมดที่เรียกว่า “Default Mode Network” ซึ่งเป็นช่วงที่สมองไม่หยุดทำงาน แต่กลับ เชื่อมโยงข้อมูลเดิม สร้างความเข้าใจใหม่ และพัฒนาไอเดียสร้างสรรค์ได้ดีกว่าช่วงที่เรากำลังจดจ่อกับบางสิ่งโดยตรง “สมองไม่ได้พักเมื่อเราอยู่นิ่งๆ ตรงกันข้าม มันกำลังทำงานอย่างลึกซึ้งที่สุด” การเขียนหนังสือ เล่นดนตรี วาดภาพ สวดมนต์ เดินเล่น หรือแม้แต่การนั่งเฉยๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ เพราะมันช่วยให้เรา ‘ได้ยินเสียงข้างในตัวเอง’ วิทยาศาสตร์เบื้องหลังการอยู่คนเดียว สมองกำลังทำอะไรอยู่? จากมุมมองทางความรู้ความเข้าใจ การอยู่คนเดียวสามารถเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ โดยการให้พื้นที่ที่จำเป็นสำหรับไอเดียต่างๆ ในการเจริญเติบโต ไม่ว่าจะเป็นการเขียน การเล่นเปียโน การวาดภาพ การทำขนม การทำสวน การสวดมนต์ หรือการทำสมาธิ การอยู่คนเดียวมักเป็นสิ่งที่สมองต้องการเพื่อให้ทำกิจกรรมเหล่านี้ได้ดี ในช่วงเวลาของการแยกตัว Default Network ของสมองจะทำงานอย่างขยันขันแข็งในการสร้างการเชื่อมต่อทางประสาทใหม่ๆ เสริมสร้างทักษะและความสามารถในการดูดซับข้อมูลใหม่ และบำรุงเลี้ยงความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น Default Network คือระบบในสมองที่ทำงานเมื่อเราไม่ได้มุ่งความสนใจไปที่งานเฉพาะใดเฉพาะหนึ่ง เหมือนกับโหมด "พักผ่อน" ของสมอง แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันกำลังทำงานอย่างหนักในการจัดระเบียบความทรงจำ ประมวลผลข้อมูล และสร้างการเชื่อมโยงใหม่ๆ กระบวนการทางชีววิทยา เมื่อเราอยู่คนเดียวและปล่อยให้จิตใจผ่อนคลาย สมองจะเริ่มกระบวนการสำคัญหลายอย่าง ดังนี้: การสร้างเส้นประสาทใหม่ (Neuroplasticity) - สมองสร้างการเชื่อมต่อใหม่ระหว่างเซลล์ประสาท ทำให้เกิดการเรียนรู้และความจำที่ดีขึ้น การรีเซ็ตระบบสารเคมี - ระดับ Cortisol (ฮอร์โมนความเครียด) จะลดลง ในขณะที่สารเคมีที่ช่วยให้รู้สึกดี เช่น Serotonin และ Dopamine จะเพิ่มขึ้น การประมวลผลอารมณ์ - สมองได้เวลาในการประมวลผลประสบการณ์และอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต ทำให้เข้าใจตัวเองมากขึ้น การเสริมสร้างความจำ - กระบวนการ Consolidation ทำให้ความรู้และประสบการณ์ต่างๆ ถูกจัดเก็บในหน่วยความจำระยะยาวได้ดีขึ้น อัจฉริยะที่รักการอยู่คนเดียว 1.Bill Gates และ "Think Week" หนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่นที่สุดคือ บิล เกตส์ ผู้ก่อตั้ง Microsoft ในช่วงแรกๆ ของบริษัท เขาจะมีพิธีกรรมพิเศษที่เรียกว่า "Think Week" สองครั้งต่อปี เขาจะหนีไปอยู่กระท่อมเล็กๆ นานหนึ่งสัปดาห์ พร้อมกับกองหนังสือเป็นเพื่อนเท่านั้น ไม่มีผู้เยี่ยมจากภายนอก ไม่มีครอบครัว ไม่มีพนักงาน ไม่มีการประชุม ไม่มีอีเมล นี่คือช่วงเวลาสำหรับการไตร่ตรอง การเรียนรู้ และการคิดอย่างไม่มีสิ่งใดมารบกวน ตามรายงานของ The Wall Street Journal งานที่เขาทำในช่วง Think Week หนึ่งครั้งนำไปสู่การเปิดตัว Internet Explorer ในปี 1995 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์อินเทอร์เน็ต 2.Leonardo da Vinci และศิลปะแห่งการสังเกต ลีโอนาร์โด ดาวินชี อัจฉริยะแห่งยุคเรเนสซองส์ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของคนที่ใช้การอยู่คนเดียวในการสร้างสรรค์ผลงาน เขาใช้เวลาเป็นชั่วโมงในการสังเกตธรรมชาติ วาดภาพ เขียนบันทึก และคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ผลงานที่ยิ่งใหญ่ของเขา ไม่ว่าจะเป็น Mona Lisa, The Last Supper หรือแม้แต่การออกแบบเครื่องบินและรถถัง ล้วนเกิดจากช่วงเวลาที่เขาอยู่คนเดียวกับความคิดของตัวเอง ตัวอย่างอื่นๆ ในประวัติศาสตร์ Albert Einstein ใช้เวลาเดินเล่นคนเดียวเป็นชั่วโมงเพื่อคิดเกี่ยวกับทฤษฎีต่างๆ J.K. Rowling เขียน Harry Potter ในช่วงที่เธออยู่คนเดียวในร้านกาแฟ Steve Jobs มีนิสัยเดินเล่นคนเดียวเพื่อคิดหาแนวทางใหม่ๆ Warren Buffett ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการอ่านและคิดวิเคราะห์คนเดียว ประโยชน์ของการอยู่คนเดียวต่อสมองและจิตใจ 1. การเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ เมื่อเราอยู่คนเดียวและไม่มีสิ่งรบกวน สมองจะเข้าสู่โหมดที่เรียกว่า "Divergent Thinking" ซึ่งเป็นการคิดแบบกระจาย ทำให้เกิดไอเดียใหม่ๆ ที่ไม่เคยนึกถึงมาก่อน การวิจัยพบว่า คนที่ใช้เวลาอยู่คนเดียวอย่างสม่ำเสมอจะมีคะแนนการทดสอบความคิดสร้างสรรค์สูงกว่าคนที่อยู่ในกลุ่มตลอดเวลา 2. การลดความเครียดและความวิตกกังวล การอยู่คนเดียวช่วยลดระดับ Cortisol ฮอร์โมนความเครียดในร่างกาย เมื่อความเครียดลดลง ระบบภูมิคุ้มกันจะทำงานได้ดีขึ้น การนอนหลับจะมีคุณภาพมากขึ้น และสุขภาพจิตโดยรวมจะดีขึ้น 3. การเพิ่มความเข้าใจตนเอง ในช่วงที่อยู่คนเดียว เราจะได้โอกาสส่องดูภายในใจตัวเอง ทำความเข้าใจกับความรู้สึก ความต้องการ และเป้าหมายที่แท้จริง นี่คือสิ่งที่นักจิตวิทยาเรียกว่า "Self-Reflection" 4. การพัฒนาทักษะการแก้ปัญหา เมื่อไม่มีใครให้คำแนะนำหรือช่วยเหลือ เราจะต้องพึ่งพาตัวเองในการแก้ปัญหา ซึ่งช่วยพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และการตัดสินใจ 5. การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การใช้เวลาอยู่คนเดียวเปรียบเสมือนการ "รีชาร์จแบตเตอรี่" ของสมอง เมื่อกลับมาทำงานหรือเข้าสังคม เราจะมีพลังงานและสมาธิที่ดีกว่าเดิม วิธีใช้ ‘ความโดดเดี่ยว’ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แม้เราไม่จำเป็นต้องมี Think Week แบบบิล เกตส์ แต่เราก็สามารถออกแบบ “พื้นที่ว่าง” สำหรับสมองตัวเองได้เช่นกัน ต่อไปนี้คือเทคนิคง่ายๆ ที่จะช่วยคุณฝึกฝนการอยู่กับตัวเองให้ได้ผลจริง 1. วางแผนการเดินทางคนเดียว ลองไปคาเฟ่ที่ไม่เคยไป หรือจัดรีทรีตแบบไม่ใช้มือถือในวันหยุด การเปลี่ยนบรรยากาศช่วยให้สมองเปิดรับสิ่งใหม่และมีเวลาคิดลึกๆ 2. เริ่มจากวันละ 10 นาที เพียงหามุมเงียบๆ เพื่อหายใจ นั่งเฉยๆ หรือจดความคิดในสมุด ก็เพียงพอที่จะเริ่มกระบวนการพักสมอง 3. เลือกมนุษย์สัมพันธ์อย่างมีคุณภาพ อยู่กับคนที่ทำให้คุณได้ “เติมพลัง” เวลาที่ใช้กับคนที่คุณไม่สบายใจ อาจเพิ่มฮอร์โมนความเครียด (Cortisol) ซึ่งส่งผลเสียต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีจริงๆ 4. สะท้อนความคิดอย่างสม่ำเสมอ การเขียนไดอารี่หรือการนั่งทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น ช่วยให้เราจัดระเบียบอารมณ์ ความคิด และเห็นตนเองชัดเจนขึ้น 5. มีกิจกรรมลำพังที่ทำให้ ‘อยู่กับปัจจุบัน’ ไม่ว่าจะเป็นเดินเล่น วาดรูป จิบกาแฟ ฟังเพลง หรือทำโยคะ  กิจกรรมเหล่านี้ช่วยให้เราผ่อนคลาย และสมองกลับมาสมดุล ผลกระทบต่อการทำงานและความสำเร็จ 1.การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน พนักงานที่ได้มีเวลาอยู่คนเดียวอย่างเพียงพอมักจะมีประสิทธิภาพในการทำงานที่สูงกว่า พวกเขามีสมาธิดีกว่า คิดสร้างสรรค์มากกว่า และตัดสินใจได้ดีกว่า 2.ภาวะผู้นำที่ดีขึ้น ผู้นำที่ดีมักจะเป็นคนที่รู้จักใช้เวลาคนเดียวเพื่อคิดและวิเคราะห์สถานการณ์ พวกเขาไม่ตัดสินใจแบบหุนหันพลันแล่น แต่ให้เวลาตัวเองในการพิจารณาอย่างรอบคอบ 3.การสร้างนวัตกรรม นวัตกรรมส่วนใหญ่เกิดจากช่วงเวลาที่คนคิดค้นอยู่คนเดียว ไม่ว่าจะเป็นการอาบน้ำ การเดิน การนั่งทำสมาธิ หรือการอ่านหนังสือ อยากฉลาดขึ้น ลองเริ่มที่ ‘การอยู่นิ่งๆ’ บางที “การไม่ทำอะไรเลย” อาจเป็นสิ่งที่เราขาดไป และนั่นแหละคือ ‘ความฉลาดรูปแบบใหม่’ ที่ผู้คนเริ่มมองเห็นและกลับมาให้ความสำคัญ “อยู่คนเดียวให้เป็น พักให้พอ แล้วคุณจะคิดได้ไกลกว่าที่เคย” — Joseph Jebelli, The Brain at Rest และสำหรับใครที่สนใจบทความเกี่ยวกับการพัฒนาตัวเอง สกิลต่างๆ และศักยภาพในการทำงาน รวมถึงวิธีการต่างๆให้ทำงานและร่วมงานกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ติดตามพวกเรา Jobcadu เพื่อติดตามและรออ่านบทความอื่นๆในเนื้อหาเหล่านี้เพิ่มเติมได้ที่ Career Portal ได้เลย! Reference

    Aug 1, 2025
    Thumbnail for ลางานอย่างไรไม่เสียสิทธิ์ ไขข้อข้องใจให้ทุกคนเข้าใจถูกต้องเกี่ยวกับ ‘การลางาน’ ตามกฎหมายแรงงานไทย

    ลางานอย่างไรไม่เสียสิทธิ์ ไขข้อข้องใจให้ทุกคนเข้าใจถูกต้องเกี่ยวกับ ‘การลางาน’ ตามกฎหมายแรงงานไทย

    ในชีวิตการทำงาน ‘การลางาน’ อาจจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แค่เขียนอีเมลส่งล่วงหน้าตามจำนวนวันที่ทางบริษัทกำหนดและไม่เกินขอบเขตโควต้าของวันลาก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร แต่จริงๆแล้วพนักงานทุกคนควรให้ความสำคัญกับ ‘สิทธิการลา’ ให้ครบถ้วนและถูกต้อง เพื่อสิทธิประโยชน์สูงสุดที่เราควรได้รับ ซึ่งวันนี้ Jobcadu จะพาไปดูว่าการลางานคืออะไร มีกี่ประเภทตามกฎหมายไทย ข้อดี-ข้อเสียคืออะไร พร้อมเทมเพลตสำหรับใช้ยื่นลาทั้งภาษาไทยและอังกฤษ ที่ทุกคนสามารถนำไปใช้ได้จริง ลางานคืออะไร ลางาน คือการที่พนักงานงดทำงานตามช่วงเวลาที่แจ้งไว้ล่วงหน้า หรือกรณีกระทันหัน ซึ่งครอบคลุมทั้งกรณีที่รับค่าจ้างและไม่รับค่าจ้าง เช่น ลาป่วย ลาพักร้อน ลากิจ ลาคลอด เป็นต้น จุดประสงค์คือเพื่อให้พนักงานดูแลสุขภาพ ครอบครัว หรือภาระส่วนตัวอื่นๆได้ โดยในสถานประกอบการจะมี “ใบลางาน” เป็นเอกสารยืนยันการแจ้งลาและเก็บไว้เป็นหลักฐาน ลางานมีกี่ประเภทตามกฎหมาย สิทธิการลา ประกอบด้วยลาป่วย ลากิจ ลาพักร้อน และลาคลอด โดยสิทธิพื้นฐานที่กฎหมายกำหนด ได้แก่ ลาป่วยได้สูงสุด 30 วันต่อปีโดยได้รับค่าจ้าง ลากิจไม่ต่ำกว่า 3 วันต่อปี ลาพักร้อนอย่างน้อย 6 วันต่อปีสำหรับผู้ที่ทำงานครบ 1 ปี และลาคลอดบุตรสูงสุด 98 วันโดยได้รับค่าจ้าง 45 วันแรก ซึ่งสิทธิเหล่านี้มีขึ้นเพื่อคุ้มครองคุณภาพชีวิตของพนักงานให้สามารถบาล้านซ์ชีวิตส่วนตัวและการทำงานได้อย่างยั่งยืน ข้อดีและข้อเสียของการลางาน ข้อดีของการลางาน ช่วยฟื้นฟูสุขภาพกายและใจ ลดอาการเหนื่อยล้า จัดการธุระสำคัญได้เต็มที่ เช่น ราชการ ครอบครัว ช่วยสร้างสมดุลชีวิตและงาน เพิ่มประสิทธิภาพเมื่อกลับไปทำงาน ใช้สิทธิ์ตามกฎหมาย ไม่ถูกหักเงินเมื่อปฏิบัติตามข้อบังคับ ลดความเสี่ยงพนักงานไม่ให้ป่วยเรื้อรัง เพราะมีวันพักผ่อนให้ใช้อย่างเหมาะสม ข้อเสียของการลางาน หากลาบ่อยโดยไม่วางแผน อาจเสียภาพลักษณ์ในสายตาผู้บริหาร อาจทำให้โปรเจกต์สะดุดหากไม่มีผู้รับช่วงงาน ใช้สิทธิ์หมดเร็วอาจไม่มีวันลาเหลือในยามจำเป็นฉุกเฉิน บริษัทอาจพิจารณาคะแนนประเมินผลงานหรือโบนัสหากลาเกินโควต้า ทีมอาจวางแผนไม่ทัน หากพนักงานหลายคนลาพร้อมกัน เทมเพลตอีเมลขอลางาน (ภาษาไทย–อังกฤษ) ภาษาไทย เรื่อง ขออนุญาตลางาน เรียน คุณ/หัวหน้า…………………………………… ข้าพเจ้า………………………… ตำแหน่ง………………………… ขออนุญาตลางานเนื่องจาก __________________________ (ระบุอาการ/เหตุผล เช่น ไข้สูง, ปวดหัว, ธุระด่วน) ระหว่างวันที่ _______ ถึง _______ รวมจำนวน _______ วันทำงาน ข้าพเจ้าได้มอบหมายงานให้คุณ/คุณ X เรียบร้อยแล้ว จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาอนุญาต ลงชื่อ __________ วันที่ ____/____/____ ภาษาอังกฤษ Subject: Leave Request (Sick/Personal/Annual Leave) Dear [Manager’s Name], I would like to request [sick/personal/annual] leave due to ________________________ (Example: high fever, family emergency) The leave will be from [Start Date] to [End Date], totaling [number] working days. I have arranged for [Colleague’s Name] to cover my duties during my absence. Thank you for your understanding. Best regards, [Your Name] [Position] [Date] การลางานไม่ใช่แค่การหยุดพัก แต่มันคือสิทธิ์และการแสดงความรับผิดชอบอย่างหนึ่งในการทำงาน ควรให้ความสำคัญกับการวางแผนล่วงหน้า สื่อสารให้ชัดเจน และใช้สิทธิ์อย่างรับผิดชอบเพื่อให้แฮปปี้กันทุกฝ่าย และถ้าหากใครกำลังมองหาโอกาสงานใหม่ หรืออยากพัฒนาทักษะให้พร้อมรับทุกโอกาส ลองมาที่ Jobcadu แหล่งรวบรวมงานที่ใช่ และบทความเสริมทักษะช่วยทุกคนพัฒนาสกิล แต่สำหรับใครที่ไม่รู้จะใช้เหตุผลอะไรในการลา>> มาดู 25 เหตุผลในการใช้ลา ใช้ลางานได้เลย

    Jul 14, 2025
    Thumbnail for   รวม 25 เหตุผลการลา พร้อมเหตุผลว่าทำไมถึงใช้ลาได้

    รวม 25 เหตุผลการลา พร้อมเหตุผลว่าทำไมถึงใช้ลาได้

    การลาเป็นสิทธิพื้นฐานของพนักงาน แต่บางครั้งการหาสาเหตุที่เมคเซนส์และมีรายละเอียดที่ชัดเจนก็อาจทำให้หลายคนคิดหนักเเละอาจคิดว่า “ลางานแบบนี้จะโอเคมั้ย?” วันนี้ Jobcadu รวม 25 เหตุผลที่ใช้ ลางานได้จริง พร้อมคำอธิบายแบบเข้าใจง่าย ใช้ยื่นลางานได้เลย ประเภทการลา: สิทธิ์ทีควรรู้ ลาป่วย: สำหรับการเจ็บป่วยทั้งกายและใจ ลากิจ: สำหรับธุระส่วนตัวที่จำเป็นและไม่สามารถทำนอกเวลางานได้ ลาพักร้อน/ลาหยุดพักผ่อนประจำปี: สำหรับการพักผ่อนประจำปี ลาเพื่อคลอดบุตร/ลาดูแลบุตร: สำหรับพนักงานหญิงที่ตั้งครรภ์และพนักงานชายเพื่อใช้ในการดูแลบุตร ลาอุปสมบท/ประกอบพิธีฮัจญ์: สำหรับการปฏิบัติศาสนกิจที่แล้วแต่ศาสนาที่นับถือ ลาเพื่อรับราชการทหาร: สำหรับการเกณฑ์ทหาร ซึ่งแล้วแต่นโยบายของบริษัท ลาเพื่ออบรม/สัมมนา: สำหรับการพัฒนาความรู้และทักษะ รวม 25 เหตุผลการลา พร้อมเหตุผลว่าทำไมถึงใช้ลาได้ ลาป่วย: เป็นสิทธิพื้นฐานตามกฎหมายแรงงาน ใช้เมื่อมีอาการเจ็บป่วย ไม่พร้อมทำงาน สามารถแนบใบรับรองแพทย์ (ถ้าลาเกิน 3 วัน) ไปหาหมอ / ตรวจสุขภาพ: แม้จะยังไม่ป่วยหนัก แต่การตรวจร่างกายประจำปีหรือดูแลสุขภาพก็สำคัญ ใช้ลาป่วยหรือลากิจได้ ลาพักร้อน (ลาพักผ่อนประจำปี): สิทธิที่ได้รับจากการทำงานครบปี หรือตามนโยบายบริษัท เพื่อฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ งานศพญาติใกล้ชิด: เช่น พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย บริษัทส่วนใหญ่อนุญาตให้ลางานเพื่อไปร่วมพิธี งานแต่งงานของตนเอง: หลายบริษัทมีนโยบายให้วันลาเพื่อใช้จัดงานหรือจดทะเบียนสมรส ไปจดทะเบียนสมรส / หย่า: ถือเป็นภารกิจส่วนตัวที่สำคัญ ใช้ลากิจได้ ลูก/คนในครอบครัวไม่สบาย ต้องพาไปโรงพยาบาล: ลากิจได้ในกรณีที่ไม่มีคนอื่นดูแลแทน สอบเรียนต่อ / สอบราชการ: เป็นเหตุผลที่หลายบริษัทเข้าใจและสนับสนุนการพัฒนาตัวเอง ไปดูแลพ่อแม่หรือผู้สูงอายุที่บ้านต่างจังหวัด: บริษัทที่สนับสนุน work-life balance เเละมีโครงสร้างการทำงานเเบบ Hybrid มักจะเข้าใจเหตุผลนี้ มีธุระส่วนตัว เช่น ทำธุรกรรมทางการเงินสำคัญ: ธนาคาร/ราชการมักเปิดทำการวันธรรมดา จึงสามารถลางานเพื่อไปจัดการได้ เดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อเลือกตั้ง: ถือเป็นสิทธิพลเมือง มีระเบียบรับรองการลาในวันเลือกตั้ง วันพระใหญ่/ถือศีล/กิจกรรมทางศาสนา: เช่น เข้าพรรษา ออกพรรษา ลาเพื่อไปวัด ทำบุญ ฯลฯ ตามศาสนาที่ตนเองนับถือ กิจกรรมลูก เช่น รับปริญญา, แข่งกีฬา, งานโรงเรียน: หลายบริษัทมักเข้าใจการลานี้ โดยเฉพาะเมื่อลูกมีช่วงเวลาสำคัญ ลาคลอด / ลาเลี้ยงดูบุตร: สิทธิตามกฎหมายแรงงาน สำหรับคุณแม่/คุณพ่อหลังมีบุตร ต้องย้ายที่อยู่ / ย้ายบ้าน: เหตุผลเรื่องบ้านเรือนถือว่าเข้าใจได้ ลากิจได้ 1-2 วันตามเหมาะสม เกิดอุบัติเหตุ / รถชน / มีเหตุฉุกเฉินทางจราจร: ใช้ลาป่วยได้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรง รวมถึงลาเพื่อตรวจเช็กสุขภาพหลังเกิดอุบัติเหตุ ไปต่างจังหวัดแบบฉุกเฉิน (เช่น เหตุครอบครัว / ภัยพิบัติ): บริษัทควรพิจารณาให้ลา เพราะถือเป็นเหตุจำเป็น ไปงานแต่งงาน / งานบวชของคนสนิท: เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวหรือเพื่อนสนิท สามารถลาได้ สุขภาพจิตไม่พร้อม / ภาวะเครียด / Burnout: แนวโน้มบริษัทสมัยใหม่เปิดใจยอมรับเรื่อง mental health มากขึ้น ก็สามารถนำมาใช้ลาป่วยได้ ไปเรียนคอร์สสั้น ๆ / สมนา / อบรมพัฒนาทักษะ: ลากิจเพื่อพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องกับงาน ยื่นเอกสารราชการ เช่น ทำบัตรประชาชน/พาสปอร์ต: จำเป็นต้องทำในวันราชการ ซึ่งมักตรงกับเวลางาน มีนัดกับหน่วยงานราชการ เช่น ขึ้นศาล / นัดสอบสวน: เป็นเหตุผลที่ชอบด้วยกฎหมาย ลาบวช: สำหรับผู้ชายโดยลาได้หลายวันหรือตามระยะเวลาบวช ลาฝึกทหาร / เรียกพล: เป็นสิทธิหน้าที่พลเมือง บริษัทต้องอนุญาตให้ลาได้ ภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉินในพื้นที่พักอาศัย เช่น เเผ่นดินไหว น้ำท่วม พายุเข้า: ใช้เหตุจำเป็นชั่วคราวในการลาได้ ไม่ว่าจะเป็นการลาด้วยเหตุผลใด ควรแจ้งหัวหน้างานและผู้ที่เกี่ยวข้องล่วงหน้าตามระเบียบของบริษัทเสมอ เพื่อให้การจัดการงานไม่สะดุด และแสดงถึงความเป็นมืออาชีพของคุณ การลา ไม่ใช่เรื่องผิด ถ้ามีเหตุผลชัดเจน และแจ้งให้ถูกต้องตามขั้นตอน ทุกเหตุผลข้างต้นนี้สามารถใช้ในการยื่นลาได้อย่างเหมาะสม และบางกรณียังได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายอีกด้วย หากกำลังมองหาบทความเกี่ยวกับ Work-Life Balance สามารถเข้ามาศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ Jobcadu เเนะนำเส้นทางอาชีพเเละพัฒนาทักษะ อัปเดตเเบบจัดเต็มทุกสัปดาห์

    Jul 14, 2025
    Thumbnail for เงินโบนัส คืออะไร? เจาะลึกทุกเรื่องที่เราควรรู้ พร้อมเคล็ดลับเพิ่มโอกาสในรับโบนัสก้อนโต!

    เงินโบนัส คืออะไร? เจาะลึกทุกเรื่องที่เราควรรู้ พร้อมเคล็ดลับเพิ่มโอกาสในรับโบนัสก้อนโต!

    ช่วงปลายปีหรือต้นปีใหม่ทีไร "โบนัส" มักจะเป็นสิ่งที่พนักงานทุกคนเฝ้ารอคอย แล้วเราจะมีส่วนร่วมในการเพิ่มโอกาสให้ได้โบนัสก้อนโตได้อย่างไรบ้าง? Jobcadu จะพาทุกคนไปเจาะลึกทุกประเด็นเกี่ยวกับโบนัสที่ควรรู้ ไปดูกัน! เงินโบนัส คืออะไร? โบนัส (Bonus) คือเงินพิเศษที่นายจ้างจ่ายให้แก่พนักงานนอกเหนือจากเงินเดือนปกติ เป็น “ผลตอบแทน” ของผลงานที่ทำให้บริษัทเติบโต หรือเพื่อเป็นแรงจูงใจในการทำงานของพนักงาน เงินโบนัสจำเป็นไหม? ในทางกฎหมาย โบนัสไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่นายจ้างต้องจ่ายให้โดยอัตโนมัติเหมือนเงินเดือน แต่เป็นสวัสดิการที่ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัท อย่างไรก็ตาม สำหรับพนักงาน เงินโบนัสมีความสำคัญในหลายด้าน เช่น สร้างขวัญและกำลังใจ: เป็นการแสดงความชื่นชมและตอบแทนความทุ่มเทของพนักงาน เพิ่มรายได้: ช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน กระตุ้นประสิทธิภาพในการทำงาน: เป็นแรงจูงใจให้พนักงานตั้งใจทำงานให้ดีขึ้น เพื่อให้บริษัทมีผลประกอบการที่ดี ดึงดูดและรักษาพนักงาน: บริษัทที่มีนโยบายการจ่ายโบนัสที่ชัดเจนและจูงใจ มักจะดึงดูดคนเก่งเข้ามาทำงานและรักษาพนักงานให้อยู่กับองค์กรได้นานขึ้น ประเภทของโบนัส โบนัสประจำปี (Annual Bonus): จ่ายสิ้นปีตามผลประกอบการ โบนัสตามผลงาน (Performance Bonus): ขึ้นอยู่กับ KPI หรือผลงานรายบุคคล โบนัสตามสัญญา (Contractual Bonus): ระบุไว้ในสัญญา เช่น โบนัส 1 เดือน โบนัสพิเศษ (Special Bonus): เช่น โปรเจกต์ใหญ่ หรือรางวัลพนักงานดีเด่น โบนัสคิดยังไง? 1. คิดตามเปอร์เซ็นต์เงินเดือน เช่น: ได้โบนัส 2 เท่าของเงินเดือน เงินเดือน 30,000 → โบนัส 60,000 2. คิดตามคะแนนประเมินผลงาน (Performance Rating) เช่น: คะแนน 5/5 = 200% ของเงินเดือน คะแนน 3/5 = 100% คะแนน 1/5 = ไม่ได้รับเลย ซึ่งบริษัทใหญ่ ๆ มักใช้ สูตรผสม คือ ดูทั้งผลงาน + ภาพรวมบริษัท วิธีหรือเกณฑ์การประเมินว่าปีนี้ควรได้โบนัสไหม? เกณฑ์การพิจารณาการจ่ายโบนัสแตกต่างกันไปในแต่ละบริษัท แต่โดยทั่วไปแล้วมักพิจารณาจากปัจจัยหลักๆ ดังนี้ 1.ผลประกอบการของบริษัท: นี่คือปัจจัยสำคัญที่สุด หากบริษัทมีผลกำไรที่ดี มีรายได้ตามเป้าหมาย หรือเกินเป้าหมาย โอกาสในการจ่ายโบนัสก็จะสูงขึ้น ในทางกลับกัน หากบริษัทประสบภาวะขาดทุนหรือทำผลงานได้ไม่ดีนัก โบนัสก็อาจจะลดลงหรือไม่จ่ายเลย 2.ผลการปฏิบัติงานของพนักงาน (Individual Performance): KPI (Key Performance Indicator): ตัวชี้วัดผลงานของแต่ละบุคคล หากพนักงานสามารถทำได้ตามเป้าหมาย หรือเกินเป้าหมายที่กำหนดไว้ ก็มีแนวโน้มที่จะได้รับโบนัส – KPI คืออะไร การประเมินโดยหัวหน้างาน: การประเมินจากผู้จัดการโดยตรงเกี่ยวกับความรับผิดชอบที่มีต่องาน การทำงานร่วมกับผู้อื่น และคุณสมบัติอื่นๆ ประกอบการพิจารณา 3.ระยะเวลาการทำงาน: พนักงานที่ทำงานครบกำหนดตามเงื่อนไขของบริษัท (เช่น ครบ 1 ปี) มักจะมีสิทธิ์ได้รับโบนัสเต็มจำนวน ส่วนพนักงานที่เข้าทำงานไม่ครบปีอาจได้รับโบนัสตามสัดส่วน โบนัสจ่ายตอนไหน? ช่วงเวลาการจ่ายโบนัสแตกต่างกันไปตามนโยบายบริษัทและรอบการประเมินผลประกอบการ: ปลายปี (ธันวาคม - มกราคม): เป็นช่วงที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะบริษัทที่ปิดงบประมาณและประเมินผลงานประจำปีในช่วงปลายปี กลางปี (มิถุนายน - กรกฎาคม): บางบริษัทอาจจ่ายโบนัสกลางปี (Mid-year Bonus) เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ หรือจ่ายโบนัสตามผลประกอบการของครึ่งปีแรก จ่ายตามไตรมาส (Quarterly Bonus): สำหรับบางธุรกิจที่ต้องการกระตุ้นผลงานอย่างต่อเนื่อง อาจมีการจ่ายโบนัสทุกๆ ไตรมาส จ่ายเมื่อทำโปรเจกต์สำเร็จ (Project Bonus): สำหรับบางตำแหน่งงานหรือบางอุตสาหกรรม อาจมีโบนัสพิเศษเมื่อทำโปรเจกต์สำคัญสำเร็จตามเป้าหมาย Top 5 บริษัทจ่ายโบนัสสูง เเบ่งตามอุตสาหกรรม ภาคอุตสาหกรรม (โรงงาน/ผลิต) 1.Mitsubishi Electric โบนัสเฉลี่ย 7.5 เดือน เงินพิเศษ +10,000 บาท 2.Aisin Powertrain โบนัสเฉลี่ย 7.4 เดือน  เงินพิเศษ +41,000 บาท 3.Siam Aisin โบนัสเฉลี่ย 7.2 เดือน เงินพิเศษ +25,000 บาท 4.Daikin โบนัสเฉลี่ย 7 เดือน เงินพิเศษ +21,000 บาท 5.JTEKT โบนัสเฉลี่ย 6.5 เดือน เงินพิเศษ +34,000 บาท ภาคธนาคาร 1.ธนาคารไทยพาณิชย์ โบนัสเฉลี่ย 4.5 เดือน 2.ธนาคารกรุงไทย โบนัสเฉลี่ย 4.5 เดือน 3.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา โบนัสเฉลี่ย 4.5 เดือน 4.ธนาคารเกียรตินาคิน โบนัสเฉลี่ย 4.5 เดือน 5.ธนาคารกรุงเทพ โบนัสเฉลี่ย 4.5 เดือน กลุ่มยานยนต์ 1.Toyota โบนัสเฉลี่ย 8 เดือน  เงินพิเศษ +45,000 บาท 2.ISUZU โบนัสเฉลี่ย 8 เดือน 3.Hino โบนัสเฉลี่ย 7.3 เดือน เงินพิเศษ +40,000 บาท 4.Honda โบนัสเฉลี่ย 6.25 เดือน เงินพิเศษ +37,000 บาท 5.Ford โบนัสเฉลี่ย 6.03 เดือน  เงินพิเศษ +28,000 บาท อ้างอิง: KruDew TOEIC ติวโทอิค Online การจ่ายโบนัสของแต่ละบริษัทขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยและอาจมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละปี ดังนั้น ควรศึกษาข้อมูลจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ หรือสอบถามจากผู้ที่อยู่ในสายงานนั้นๆ เพิ่มเติม โบนัสคือแรงจูงใจที่สำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการพัฒนาตัวเองให้มีคุณค่าต่อองค์กร ซึ่งการเข้าใจว่าโบนัสคืออะไร มีเกณฑ์อย่างไร จะช่วยให้เราวางแผนการทำงานและพัฒนาตัวเองได้มากขึ้น หากใครที่กำลังมองหางานที่มีสวัสดิการดีๆ รวมถึงโบนัสที่น่าสนใจ เข้ามาหางานคุณภาพจากหลากหลายบริษัทชั้นนำได้ที่ Jobcadu พร้อม Career เเนะนำเส้นทางอาชีพเเละพัฒนาทักษะ อัปเดตเเบบจัดเต็มทุกสัปดาห์

    Jul 14, 2025
    Thumbnail for Pride Month คืออะไร? ทำไมองค์กรควรให้ความสำคัญ และมีบริษัทไหนบ้างในไทยที่เปิดรับ LGBTQ+ อย่างจริงจัง

    Pride Month คืออะไร? ทำไมองค์กรควรให้ความสำคัญ และมีบริษัทไหนบ้างในไทยที่เปิดรับ LGBTQ+ อย่างจริงจัง

    Pride Month คืออะไร? Pride Month หรือ เดือนแห่งความภาคภูมิใจของชาว LGBTQ+ (1-30 มิถุนายน )จัดขึ้นในเดือนมิถุนายนของทุกปี เป็นช่วงเวลาที่ทั่วโลกร่วมกันเฉลิมฉลองความหลากหลายทางเพศและสนับสนุนสิทธิของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ หรือ LGBTQIAN+ (Lesbian, Gay, Bisexual, Transgender, Queer, Intersex, Asexual, Non-binary และอื่นๆ) เดือนนี้มีที่มาจากการจลาจลสโตนวอลล์ (Stonewall Riots) ในนครนิวยอร์กเมื่อปี 1969 ซึ่งเป็นการลุกฮือของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศเพื่อเรียกร้องสิทธิและความเท่าเทียม นับตั้งแต่นั้นมา Pride Month ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อการยอมรับ การเปิดเผยตัวตน และการสร้างความเข้าใจในสังคม Lesbian : ผู้หญิงที่รักหรือดึงดูดทางเพศกับผู้หญิงด้วยกัน Gay : ผู้ชายที่รักหรือดึงดูดทางเพศกับผู้ชายด้วยกัน (บางครั้งใช้รวมหมายถึงคนรักเพศเดียวกันทุกเพศ) Bisexual : คนที่ดึงดูดทางเพศได้ทั้งกับเพศเดียวกันและเพศตรงข้าม Transgender : คนที่อัตลักษณ์ทางเพศไม่ตรงกับเพศกำเนิด Queer : คำเรียกรวมๆ สำหรับคนที่ไม่เป็นไปตามเพศวิถีหรืออัตลักษณ์ทางเพศแบบดั้งเดิม (บางคนใช้เพื่อระบุอัตลักษณ์ของตนเอง) Intersex : คนที่เกิดมามีลักษณะทางเพศ (เช่น โครโมโซม อวัยวะสืบพันธุ์ หรือฮอร์โมน) ที่ไม่เข้ากับการจำแนกเป็นชายหรือหญิงแบบชัดเจน Asexual : คนที่ไม่รู้สึกดึงดูดทางเพศต่อผู้อื่น หรือดึงดูดน้อยมาก Non-binary : คนที่ไม่ระบุอัตลักษณ์ทางเพศของตนว่าเป็นชายหรือหญิงโดยตรง อาจอยู่ระหว่างหรืออยู่นอกเหนือระบบสองเพศ (binary) ในแต่ละปี Pride Month จะมีการจัดกิจกรรมต่างๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นขบวนพาเหรด (Pride Parade) การจัดงานเสวนา การแสดงดนตรี ศิลปะ และกิจกรรมที่เน้นการสร้างพื้นที่ปลอดภัยและการรวมตัวของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ Pride ไม่ใช่แค่การเฉลิมฉลอง  มันคือช่วงเวลาสำคัญในการ ทบทวนบทบาทของตนเองในที่ทำงานและสังคม ว่าเราได้เปิดพื้นที่ให้กับเพื่อนร่วมงานหรือไม่ และได้ส่งเสริมความหลากหลายอย่างแท้จริงหรือเปล่า ตัวอย่างบริษัทที่ใส่ใจความหลากหลาย สนับสนุน LGBTQ+ อย่างจริงจัง 1. ศรีจันทร์ สหโอสถ บริษัทไทยที่แสดงออกถึงการเปิดรับความหลากหลายผ่าน นโยบายสวัสดิการแบบครอบคลุม ไม่ว่าคุณจะโสด มีครอบครัว หรือเป็นชาว LGBTQ+ ทุกคนมีสิทธิ์ได้รับสวัสดิการอย่างเท่าเทียม โดยมีสิทธิประโยชน์ที่น่าสนใจ เช่น: ลาคลอด (Maternity Leave) ได้สูงสุด 180 วัน โดยยังได้รับค่าจ้างตามปกติ พ่อลางานได้ 30 วันเพื่อดูแลภรรยาและลูก (Parental Leave) ลาเพื่อการผ่าตัดแปลงเพศได้สูงสุด 30 วัน ลาพักใจในกรณีสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ได้ไม่เกิน 10 วัน 2. Johnson & Johnson องค์กรระดับโลกที่มีนโยบายด้านความหลากหลายทางเพศอย่างเด่นชัด และ ขยายสวัสดิการให้ครอบคลุมถึงคู่ชีวิตเพศเดียวกัน โดยพนักงาน LGBTQ+ สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลของคู่ชีวิตได้ และยังมีสิทธิ์ในการเข้าถึงประกันสุขภาพ การรักษาพยาบาลแบบผู้ป่วยใน/นอก รวมถึงบริการให้คำปรึกษาทางสุขภาพจิตทั้งของพนักงานและสมาชิกครอบครัว 3. LINE MAN Wongnai ภายใต้ Core Value อย่าง “Respect Everyone” องค์กรนี้ได้ออกสวัสดิการเฉพาะที่แสดงถึงการเคารพและสนับสนุนพนักงาน LGBTQ+ เช่น: เงินสนับสนุนการแต่งงานของคู่รักเพศเดียวกัน 20,000 บาท สิทธิ์ลาสำหรับการรับบุตรบุญธรรม 10 วัน ลาพักเพื่อผ่าตัดแปลงเพศสูงสุด 30 วัน นอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรมช่วง Pride Month ทั้งกิจกรรมดูหนัง LGBTQ+, เชิญแขกรับเชิญมาเสวนา และเปิดโครงการระดมทุนภายในเพื่อส่งต่อให้มูลนิธิด้านความเท่าเทียม 4. แสนสิริ ถือเป็นบริษัทไทยรายแรกที่ลงนามในแนวปฏิบัติระดับโลกของสหประชาชาติด้านสิทธิมนุษยชนของ LGBTQ+ โดยให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมทั้งในองค์กรและสังคม เช่น: วันลาสมรส 6 วัน/ปี (สำหรับทุกคู่ชีวิต) ลาผ่าตัดแปลงเพศ 30 วัน/ปี ลาฌาปนกิจคู่ชีวิต 15 วัน/ปี ลาดูแลคู่ชีวิตหรือบุตรบุญธรรม 7 วัน/ปี ขยายความคุ้มครองประกันสุขภาพให้กับคู่ชีวิตของพนักงาน 5. Shell Thailand Shell มีการจัดตั้งเครือข่าย LGBTQ+ Network ภายในบริษัท เพื่อส่งเสริมความเข้าใจและให้การสนับสนุนเพื่อนร่วมงาน LGBTQ+ อย่างแท้จริง นอกจากนี้ Shell ยังเป็นสมาชิกของ Workplace Pride ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรระดับนานาชาติ ที่มีเป้าหมายสนับสนุนความเท่าเทียมในสถานที่ทำงานทั่วโลก บริษัทที่สนับสนุน Pride Month โดยการบริจาคหรือทำแคมเปญ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.): จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว LGBTQ+ ทั่วประเทศ เเละสนับสนุนงาน Pride ผ่านการใช้ "Soft Power" ของเทศกาลและกิจกรรมสร้างสรรค์ เพื่อยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศและกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านการจัดกิจกรรม Amazing Thailand Love Wins Festival (Pride Month) 2568 ทั่วประเทศตลอดเดือนมิถุนายน TikTok Thailand: เปิดตัวแคมเปญ #PrideTogether ส่งเสริมเสียงของ LGBTQ+ creators บนแพลตฟอร์ม พร้อมทั้งสนับสนุนเงินให้มูลนิธิ LGBTQ+ ในไทย IKEA Thailand: ออกสินค้ารุ่น Pride พิเศษ ผ่านการใช้แฮชแท็ก #IKEAforeveryone เพื่อแสดงออกถึงการเคารพและสนับสนุนในความหลากหลาย เเละยังมีแคมเปญ "บ้าน...ที่ทุกคนเป็นตัวเองได้เต็มที่ (Make the World Everyone's Home)" โดยใช้ ธงสายรุ้งเป็นสัญลักษณ์หลัก เพื่อสะท้อนแนวคิดที่ว่า “ทุกคนควรรู้สึกว่าทุกที่คือบ้าน” ไม่ว่าจะเป็นเพศใด วัยไหน หรือมีอัตลักษณ์ทางเพศแบบใดก็ตาม โดยรายได้ส่วนหนึ่งบริจาคให้มูลนิธิที่ส่งเสริมความเท่าเทียม แนวทางปฏิบัติตัวต่อเพื่อนร่วมงาน LGBTQ+ ใช้สรรพนามให้ถูกต้อง: หากไม่แน่ใจ ให้ถามอย่างสุภาพ หรือดูจากลายเซ็นอีเมลหรือโปรไฟล์ อย่าเดาอัตลักษณ์ทางเพศ ของใครจากรูปลักษณ์ ไม่ใช้คำถามส่วนตัวหรือหยาบคาย เพราะถือเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัว ส่งเสริมและสนับสนุนอย่างแท้จริง เช่น เข้าร่วมกิจกรรม Pride, แชร์ข้อมูลหรือแคมเปญที่มีประโยชน์, สนับสนุนสินค้าหรือบริการจากกลุ่ม LGBTQ+ พูดคุยด้วยความเคารพเสมอ เช่นเดียวกับที่คุณอยากให้คนอื่นเคารพคุณ บริษัทที่แสดงการสนับสนุนอย่างชัดเจนและต่อเนื่องมักจะเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงและมีนโยบายด้านความหลากหลายที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว การที่บริษัทแสดงจุดยืนในการสนับสนุน Pride Month ไม่ใช่เพียงแค่การสร้างภาพลักษณ์ แต่ยังสะท้อนถึงค่านิยมขององค์กรที่ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียม การยอมรับ และการสร้างสังคมที่ทุกคนสามารถเป็นตัวเองได้อย่างภาคภูมิใจ ทำไม Pride ถึงสำคัญต่อที่ทำงาน? Pride Month ไม่ได้มีไว้แค่เฉลิมฉลอง แต่คือการชวนให้ทุกคน กลับมาทบทวนบทบาทของตัวเองในองค์กร ว่าเราได้เปิดพื้นที่และโอกาสให้ทุกคนอย่างเท่าเทียมแล้วหรือยัง หากคุณเป็นทั้งผู้สมัครงาน หรือ HR ขององค์กร Jobcadu ขอเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่สนับสนุนความหลากหลายทางเพศ ด้วยการเปิดให้คุณเลือกอัตลักษณ์ได้อิสระ สร้างโปรไฟล์ที่ตรงกับตัวตนของคุณ และเชื่อมโยงคุณกับองค์กรที่เห็นคุณค่าที่แท้จริงในตัวคุณ อย่ารอช้า! เริ่มต้นเส้นทางอาชีพใหม่ที่น่าตื่นเต้นกับ Jobcadu Jobs วันนี้! ลงทะเบียนสร้างโปรไฟล์ของ คุณ และค้นพบโอกาสงานที่รอคุณอยู่

    Jun 27, 2025
    Thumbnail for Introvert, Ambivert, Extrovert คืออะไร ความหลากหลายของบุคลิกภาพสู่เส้นทางอาชีพที่ใช่

    Introvert, Ambivert, Extrovert คืออะไร ความหลากหลายของบุคลิกภาพสู่เส้นทางอาชีพที่ใช่

    Introvert, Ambivert, Extrovert: บุคลิกภาพที่หลากหลายสู่เส้นทางอาชีพที่ใช่ ด้วยความหลากหลายของผู้คน ทุกคนล้วนมีบุคลิกภาพที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพื่อให้การดำเนินชีวิตได้อย่างราบรื่น การเข้าใจบุคลิกภาพของตนเองและผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็น Introvert, Ambivert, หรือ Extrovert จะช่วยให้เราเลือกเส้นทางที่เหมาะสมกับจุดแข็งและจุดอ่อนของเราได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงนำไปสู่ความสำเร็จและความสุขในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นด้านอาชีพและการใช้ชีวิต Introvert คืออะไร? Introvert คือ บุคคลที่มักจะได้รับพลังงานจากการใช้เวลาอยู่กับตัวเอง อยู่คนเดียว หรือในสภาพแวดล้อมที่สงบ ซึ่งจะรู้สึกเหนื่อยง่ายเมื่อต้องเข้าสังคมเป็นเวลานาน หรืออยู่ในสถานการณ์ที่มีผู้คนพลุกพล่าน หรือเรียกง่าย ๆ ว่า ชอบอยู่คนเดียวนั่นเอง โดยจุดเด่นและจุดด้อยของ Introvert มีดังนี้ จุดเด่นของ Introvert: ช่างคิดและลึกซึ้ง: มักจะใช้เวลาไตร่ตรองก่อนตัดสินใจ มีความคิดสร้างสรรค์ และมองเห็นรายละเอียดที่ผู้อื่นอาจมองข้าม มีสมาธิสูง: สามารถจดจ่อกับงานที่ต้องการความละเอียดและใช้สมาธิได้ดี เป็นผู้ฟังที่ดี: มักจะฟังมากกว่าพูด ทำให้เข้าใจสถานการณ์และผู้อื่นได้ดี มีความเป็นอิสระ: ทำงานคนเดียวได้ดี และไม่ชอบการถูกรบกวน จุดด้อยของ Introvert (ที่สามารถพัฒนาได้): อาจดูเข้าถึงยาก: บางครั้งอาจถูกมองว่าเป็นคนเงียบหรือเข้ากับคนยาก แต่จริง ๆ แค่ชอบอยู่คนเดียว หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า: อาจไม่ถนัดในการโต้แย้งหรือแสดงความคิดเห็นที่ขัดแย้ง เหนื่อยง่ายกับการเข้าสังคม: ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูตัวเองหลังจากเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมหรืปาร์ตี้สังสรรค์ Ambivert คืออะไร? Ambivert คือ บุคคลที่อยู่กึ่งกลางระหว่าง Introvert และ Extrovert พวกเขาสามารถปรับตัวได้ดีกับสถานการณ์ที่หลากหลาย ทั้งการเข้าสังคมและการใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ซึ่งมีจุดเด่นละจุดด้อยดังนี้ จุดเด่นของ Ambivert: มีความยืดหยุ่นสูง: สามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์และผู้คนได้ดี เป็นนักสื่อสารที่ดี: สามารถเป็นทั้งผู้พูดและผู้ฟังที่ดี ทำให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพ สร้างสมดุลได้ดี: รู้จักการรักษาสมดุลระหว่างการเข้าสังคมและการอยู่คนเดียว เข้ากับคนได้ง่าย: สามารถสร้างความสัมพันธ์กับผู้คนได้หลากหลายประเภท จุดด้อยของ Ambivert (ที่สามารถพัฒนาได้): อาจไม่ชัดเจนในบุคลิก: บางครั้งอาจรู้สึกว่าตัวเองไม่มีบุคลิกที่ชัดเจน ตัดสินใจยาก: อาจลังเลเมื่อต้องเลือกว่าจะใช้เวลาอยู่กับตัวเองหรือออกไปเข้าสังคม Extrovert คืออะไร? Extrovert คือ บุคคลที่ได้รับพลังงานจากการเข้าสังคม การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คึกคัก พวกเขาจะรู้สึกมีชีวิตชีวาและกระตือรือร้นเมื่อได้อยู่ท่ามกลางผู้คน หรือเรียกง่าย ๆ ว่า จะมีเอเนอร์จี้ เติมพลังจากการอยู่ร่วมกับผู้อื่นนั่นเอง จุดเด่นของ Extrovert: กระตือรือร้นและมีพลัง: มีพลังงานสูง ชอบการลงมือทำและเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ เป็นผู้นำที่ดี: ชอบการเป็นจุดสนใจ และมีทักษะในการสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น เปิดเผยและเข้าถึงง่าย: แสดงออกถึงอารมณ์และความคิดได้อย่างเปิดเผย เป็นนักสร้างเครือข่าย: ชอบสร้างความสัมพันธ์และขยายวงสังคม จุดด้อยของ Extrovert (ที่สามารถพัฒนาได้): อาจพูดโดยไม่คิด: บางครั้งอาจพูดออกไปก่อนที่จะไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน เบื่อหน่ายง่าย: หากต้องอยู่คนเดียวนานๆ อาจรู้สึกเบื่อหรือไม่สบายใจ ต้องการการกระตุ้นจากภายนอก: อาจรู้สึกขาดพลังงานหากไม่ได้รับการปฏิสัมพันธ์จากผู้อื่น อาชีพที่เหมาะกับ Introvert, Ambivert, Extrovert การเข้าใจจุดเด่นของบุคลิกภาพแต่ละแบบจะช่วยให้เราเลือกอาชีพที่เหมาะสมและสามารถประกอบอาชีพนั้นได้อย่างเป็นตัวเอง ซึ่งจมีอะไรบ้าน มาดูกัน อาชีพที่เหมาะกับ Introvert ด้วยจุดเด่นในเรื่อง ความช่างคิดลึกซึ้ง, สมาธิสูง และ ความเป็นอิสระ Introvert จึงเหมาะกับอาชีพที่ต้องการการใช้ความคิด การวิเคราะห์ และการทำงานที่เน้นความละเอียด ดังนี้: นักวิจัย/นักวิทยาศาสตร์/ Data Analyst: อาชีพที่ต้องการการค้นคว้า ทดลอง และวิเคราะห์ข้อมูลอย่างลึกซึ้ง นักเขียน/บรรณาธิการ/ครีเอทีฟ: ต้องการสมาธิสูงในการเรียบเรียงความคิดและการใช้ภาษา - ชอบภาษา ประกอบอาชีพอะไรดี โปรแกรมเมอร์/นักพัฒนาซอฟต์แวร์: ต้องใช้การคิดเชิงตรรกะและจดจ่อ ใช้เวลากับการเขียนโค้ด นักบัญชี/นักวิเคราะห์การเงิน: ต้องการความละเอียดรอบคอบและการวิเคราะห์ข้อมูลตัวเลข นักออกแบบกราฟิก/ศิลปิน: อาชีพที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์และทำงานคนเดียวได้ บรรณารักษ์: ทำงานในสภาพแวดล้อมที่สงบ และต้องใช้ความละเอียดในการจัดการข้อมูล อาชีพที่เหมาะกับ Ambivert ด้วยจุดเด่นในเรื่อง ความยืดหยุ่นสูง, การสื่อสารที่ดี และ ความสามารถในการสร้างสมดุล Ambivert จึงสามารถปรับตัวเข้ากับอาชีพที่หลากหลาย ทั้งที่ต้องพบปะผู้คนและที่ต้องใช้เวลาอยู่กับตัวเอง: ครู/อาจารย์: สามารถปรับบทบาททั้งการสอนหน้าชั้นเรียนและการเตรียมการสอนส่วนตัว นักการตลาด/PR: ต้องพบปะลูกค้าและทำงานร่วมกับทีม แต่ก็มีเวลาในการวางแผนและสร้างสรรค์ผลงาน ผู้จัดการโครงการ: ต้องการทักษะการสื่อสารที่ดีในการประสานงานกับทีม และความสามารถในการจัดการงานส่วนตัว นักบำบัด/ที่ปรึกษา: ต้องรับฟังและให้คำแนะนำอย่างลึกซึ้ง แต่ก็ต้องมีความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้คน นักข่าว/ผู้สื่อข่าว: ต้องออกไปสัมภาษณ์ผู้คนและรวบรวมข้อมูล แต่ก็มีเวลาในการเขียนและเรียบเรียงข่าว อาชีพที่เหมาะกับ Extrovert ด้วยจุดเด่นในเรื่อง ความกระตือรือร้น, ความเป็นผู้นำที่ดี และ ทักษะการสร้างเครือข่าย Extrovert จึงเหมาะกับอาชีพที่ต้องการการปฏิสัมพันธ์กับผู้คน การนำเสนอ และการทำงานเป็นทีม: ฝ่ายขาย/ตัวแทนขาย: ต้องพบปะลูกค้าจำนวนมาก สร้างความสัมพันธ์ และนำเสนอสินค้า/บริการ นักแสดง/พิธีกร: ต้องการความสามารถในการเป็นจุดสนใจ และการสื่อสารกับผู้คนจำนวนมาก ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR): ต้องสื่อสารกับพนักงานจำนวนมาก สัมภาษณ์ และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในองค์กร ผู้บริหาร/ผู้นำองค์กร: ต้องสร้างแรงบันดาลใจให้ทีม ตัดสินใจ และนำเสนอวิสัยทัศน์ นักจัดกิจกรรม/อีเวนต์: ต้องประสานงานกับหลายฝ่าย วางแผน และดูแลกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมาก ทนายความ: ต้องมีการนำเสนอเหตุผล โน้มน้าว และโต้แย้ง การทำความเข้าใจบุคลิกภาพของตนเอง ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องถูกจำกัดอยู่กับอาชีพใดอาชีพหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นการช่วยให้เราเลือกเส้นทางที่เหมาะสมกับจุดแข็งของเรา เพื่อให้เราสามารถใช้ศักยภาพได้อย่างเต็มที่ และมีความสุขกับสิ่งที่ทำ หากคุณยังไม่แน่ใจว่าตนเองเป็น Introvert, Ambivert, หรือ Extrovert คุณสามารถลองทำแบบทดสอบบุคลิกภาพออนไลน์เพื่อทำความเข้าใจตนเองให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นได้ คุณพร้อมที่จะค้นหาเส้นทางอาชีพที่ใช่สำหรับคุณแล้วหรือยัง? มาเจอกันที่ Jobacdu Jobs

    Jun 23, 2025
    1/16