Logo
  • โปรไฟล์มืออาชีพ
  • งาน
  • อาชีพ
    เส้นทางอาชีพการเติบโตการศึกษาแรงบันดาลใจบุคลิกภาพ
    งานและอุตสาหกรรมการค้นหางานประวัติ & ผลงานเงินเดือนความเป็นอยู่ที่ดี
  • การศึกษา
    หลักสูตรโปรแกรม
  • เครื่องมือสร้างเรซูเม่
  • สำหรับผู้ใช้งานองค์กร



  • Jobcadu Logo

    แพลตฟอร์มอาชีพที่ดีที่สุดสำหรับการหางาน, การสรรหาบุคลากร, ค้นหาอาชีพ และค้นพบแหล่งการศึกษา

    10,000+

    หน้าหางาน

    งานตามหมวดหมู่

    การบริหารและสำนักงาน

    การตลาด

    บริการลูกค้า

    เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT)

    บัญชีและการเงิน

    ทรัพยากรบุคคลและการจัดการคน

    การผลิตและห่วงโซ่อุปทาน

    วิศวกรรม

    สำหรับผู้หางาน

    หน้าหางาน

    เครื่องมือสร้างเรซูเม่

    ทรัพยากรด้านการศึกษา

    ทรัพยากรเรซูเม่

    สำหรับผู้ใช้งานองค์กร

    ประกาศงาน

    ราคา

    แหล่งข้อมูล

    เกี่ยวกับเรา

    ข้อกำหนดการใช้งาน

    นโยบายความเป็นส่วนตัว


    © 2025 Jobcadu. สงวนลิขสิทธิ์ทั้งหมด

    รวม 25 เหตุผลการลา พร้อมเหตุผลว่าทำไมถึงใช้ลาได้

    Wellbeing
    1. หน้าแรก

    2. อาชีพ

    3. รวม 25 เหตุผลการลา พร้อมเหตุผลว่าทำไมถึงใช้ลาได้

    รวม 25 เหตุผลการลา พร้อมเหตุผลว่าทำไมถึงใช้ลาได้

    โพสต์เมื่อ July 14, 2025

    เส้นทางอาชีพ

      รวม 25 เหตุผลการลา พร้อมเหตุผลว่าทำไมถึงใช้ลาได้

    การลาเป็นสิทธิพื้นฐานของพนักงาน แต่บางครั้งการหาสาเหตุที่เมคเซนส์และมีรายละเอียดที่ชัดเจนก็อาจทำให้หลายคนคิดหนักเเละอาจคิดว่า “ลางานแบบนี้จะโอเคมั้ย?” วันนี้ Jobcadu รวม 25 เหตุผลที่ใช้ ลางานได้จริง พร้อมคำอธิบายแบบเข้าใจง่าย ใช้ยื่นลางานได้เลย

    ประเภทการลา: สิทธิ์ทีควรรู้

    • ลาป่วย: สำหรับการเจ็บป่วยทั้งกายและใจ

    • ลากิจ: สำหรับธุระส่วนตัวที่จำเป็นและไม่สามารถทำนอกเวลางานได้

    • ลาพักร้อน/ลาหยุดพักผ่อนประจำปี: สำหรับการพักผ่อนประจำปี 

    • ลาเพื่อคลอดบุตร/ลาดูแลบุตร: สำหรับพนักงานหญิงที่ตั้งครรภ์และพนักงานชายเพื่อใช้ในการดูแลบุตร

    • ลาอุปสมบท/ประกอบพิธีฮัจญ์: สำหรับการปฏิบัติศาสนกิจที่แล้วแต่ศาสนาที่นับถือ

    • ลาเพื่อรับราชการทหาร: สำหรับการเกณฑ์ทหาร ซึ่งแล้วแต่นโยบายของบริษัท

    • ลาเพื่ออบรม/สัมมนา: สำหรับการพัฒนาความรู้และทักษะ

    รวม 25 เหตุผลการลา พร้อมเหตุผลว่าทำไมถึงใช้ลาได้

    1. ลาป่วย: เป็นสิทธิพื้นฐานตามกฎหมายแรงงาน ใช้เมื่อมีอาการเจ็บป่วย ไม่พร้อมทำงาน สามารถแนบใบรับรองแพทย์ (ถ้าลาเกิน 3 วัน)

    2. ไปหาหมอ / ตรวจสุขภาพ: แม้จะยังไม่ป่วยหนัก แต่การตรวจร่างกายประจำปีหรือดูแลสุขภาพก็สำคัญ ใช้ลาป่วยหรือลากิจได้

    3. ลาพักร้อน (ลาพักผ่อนประจำปี): สิทธิที่ได้รับจากการทำงานครบปี หรือตามนโยบายบริษัท เพื่อฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ

    4. งานศพญาติใกล้ชิด: เช่น พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย บริษัทส่วนใหญ่อนุญาตให้ลางานเพื่อไปร่วมพิธี

    5. งานแต่งงานของตนเอง: หลายบริษัทมีนโยบายให้วันลาเพื่อใช้จัดงานหรือจดทะเบียนสมรส

    6. ไปจดทะเบียนสมรส / หย่า: ถือเป็นภารกิจส่วนตัวที่สำคัญ ใช้ลากิจได้

    7. ลูก/คนในครอบครัวไม่สบาย ต้องพาไปโรงพยาบาล: ลากิจได้ในกรณีที่ไม่มีคนอื่นดูแลแทน

    8. สอบเรียนต่อ / สอบราชการ: เป็นเหตุผลที่หลายบริษัทเข้าใจและสนับสนุนการพัฒนาตัวเอง

    9. ไปดูแลพ่อแม่หรือผู้สูงอายุที่บ้านต่างจังหวัด: บริษัทที่สนับสนุน work-life balance เเละมีโครงสร้างการทำงานเเบบ Hybrid มักจะเข้าใจเหตุผลนี้

    10. มีธุระส่วนตัว เช่น ทำธุรกรรมทางการเงินสำคัญ: ธนาคาร/ราชการมักเปิดทำการวันธรรมดา จึงสามารถลางานเพื่อไปจัดการได้

    11. เดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อเลือกตั้ง: ถือเป็นสิทธิพลเมือง มีระเบียบรับรองการลาในวันเลือกตั้ง

    12. วันพระใหญ่/ถือศีล/กิจกรรมทางศาสนา: เช่น เข้าพรรษา ออกพรรษา ลาเพื่อไปวัด ทำบุญ ฯลฯ ตามศาสนาที่ตนเองนับถือ

    13. กิจกรรมลูก เช่น รับปริญญา, แข่งกีฬา, งานโรงเรียน: หลายบริษัทมักเข้าใจการลานี้ โดยเฉพาะเมื่อลูกมีช่วงเวลาสำคัญ

    14. ลาคลอด / ลาเลี้ยงดูบุตร: สิทธิตามกฎหมายแรงงาน สำหรับคุณแม่/คุณพ่อหลังมีบุตร

    15. ต้องย้ายที่อยู่ / ย้ายบ้าน: เหตุผลเรื่องบ้านเรือนถือว่าเข้าใจได้ ลากิจได้ 1-2 วันตามเหมาะสม

    16. เกิดอุบัติเหตุ / รถชน / มีเหตุฉุกเฉินทางจราจร: ใช้ลาป่วยได้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรง รวมถึงลาเพื่อตรวจเช็กสุขภาพหลังเกิดอุบัติเหตุ

    17. ไปต่างจังหวัดแบบฉุกเฉิน (เช่น เหตุครอบครัว / ภัยพิบัติ): บริษัทควรพิจารณาให้ลา เพราะถือเป็นเหตุจำเป็น

    18. ไปงานแต่งงาน / งานบวชของคนสนิท: เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวหรือเพื่อนสนิท สามารถลาได้ 

    19. สุขภาพจิตไม่พร้อม / ภาวะเครียด / Burnout: แนวโน้มบริษัทสมัยใหม่เปิดใจยอมรับเรื่อง mental health มากขึ้น ก็สามารถนำมาใช้ลาป่วยได้

    20. ไปเรียนคอร์สสั้น ๆ / สมนา / อบรมพัฒนาทักษะ: ลากิจเพื่อพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องกับงาน

    21. ยื่นเอกสารราชการ เช่น ทำบัตรประชาชน/พาสปอร์ต: จำเป็นต้องทำในวันราชการ ซึ่งมักตรงกับเวลางาน 

    22. มีนัดกับหน่วยงานราชการ เช่น ขึ้นศาล / นัดสอบสวน: เป็นเหตุผลที่ชอบด้วยกฎหมาย

    23. ลาบวช: สำหรับผู้ชายโดยลาได้หลายวันหรือตามระยะเวลาบวช

    24. ลาฝึกทหาร / เรียกพล: เป็นสิทธิหน้าที่พลเมือง บริษัทต้องอนุญาตให้ลาได้ 

    25. ภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉินในพื้นที่พักอาศัย เช่น เเผ่นดินไหว น้ำท่วม พายุเข้า: ใช้เหตุจำเป็นชั่วคราวในการลาได้



    ไม่ว่าจะเป็นการลาด้วยเหตุผลใด ควรแจ้งหัวหน้างานและผู้ที่เกี่ยวข้องล่วงหน้าตามระเบียบของบริษัทเสมอ เพื่อให้การจัดการงานไม่สะดุด และแสดงถึงความเป็นมืออาชีพของคุณ

    การลา ไม่ใช่เรื่องผิด ถ้ามีเหตุผลชัดเจน และแจ้งให้ถูกต้องตามขั้นตอน ทุกเหตุผลข้างต้นนี้สามารถใช้ในการยื่นลาได้อย่างเหมาะสม และบางกรณียังได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายอีกด้วย

    หากกำลังมองหาบทความเกี่ยวกับ Work-Life Balance สามารถเข้ามาศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ Jobcadu เเนะนำเส้นทางอาชีพเเละพัฒนาทักษะ อัปเดตเเบบจัดเต็มทุกสัปดาห์


    สารบัญ

    ไม่พบสารบัญสำหรับอาชีพนี้


    อาชีพที่เกี่ยวข้อง
    Thumbnail for ลางานอย่างไรไม่เสียสิทธิ์ ไขข้อข้องใจให้ทุกคนเข้าใจถูกต้องเกี่ยวกับ ‘การลางาน’ ตามกฎหมายแรงงานไทย
    Wellbeing

    ลางานอย่างไรไม่เสียสิทธิ์ ไขข้อข้องใจให้ทุกคนเข้าใจถูกต้องเกี่ยวกับ ‘การลางาน’ ตามกฎหมายแรงงานไทย

    ในชีวิตการทำงาน ‘การลางาน’ อาจจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แค่เขียนอีเมลส่งล่วงหน้าตามจำนวนวันที่ทางบริษัทกำหนดและไม่เกินขอบเขตโควต้าของวันลาก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร แต่จริงๆแล้วพนักงานทุกคนควรให้ความสำคัญกับ ‘สิทธิการลา’ ให้ครบถ้วนและถูกต้อง เพื่อสิทธิประโยชน์สูงสุดที่เราควรได้รับ ซึ่งวันนี้ Jobcadu จะพาไปดูว่าการลางานคืออะไร มีกี่ประเภทตามกฎหมายไทย ข้อดี-ข้อเสียคืออะไร พร้อมเทมเพลตสำหรับใช้ยื่นลาทั้งภาษาไทยและอังกฤษ ที่ทุกคนสามารถนำไปใช้ได้จริง ลางานคืออะไร ลางาน คือการที่พนักงานงดทำงานตามช่วงเวลาที่แจ้งไว้ล่วงหน้า หรือกรณีกระทันหัน ซึ่งครอบคลุมทั้งกรณีที่รับค่าจ้างและไม่รับค่าจ้าง เช่น ลาป่วย ลาพักร้อน ลากิจ ลาคลอด เป็นต้น จุดประสงค์คือเพื่อให้พนักงานดูแลสุขภาพ ครอบครัว หรือภาระส่วนตัวอื่นๆได้ โดยในสถานประกอบการจะมี “ใบลางาน” เป็นเอกสารยืนยันการแจ้งลาและเก็บไว้เป็นหลักฐาน ลางานมีกี่ประเภทตามกฎหมาย สิทธิการลา ประกอบด้วยลาป่วย ลากิจ ลาพักร้อน และลาคลอด โดยสิทธิพื้นฐานที่กฎหมายกำหนด ได้แก่ ลาป่วยได้สูงสุด 30 วันต่อปีโดยได้รับค่าจ้าง ลากิจไม่ต่ำกว่า 3 วันต่อปี ลาพักร้อนอย่างน้อย 6 วันต่อปีสำหรับผู้ที่ทำงานครบ 1 ปี และลาคลอดบุตรสูงสุด 98 วันโดยได้รับค่าจ้าง 45 วันแรก ซึ่งสิทธิเหล่านี้มีขึ้นเพื่อคุ้มครองคุณภาพชีวิตของพนักงานให้สามารถบาล้านซ์ชีวิตส่วนตัวและการทำงานได้อย่างยั่งยืน ข้อดีและข้อเสียของการลางาน ข้อดีของการลางาน ช่วยฟื้นฟูสุขภาพกายและใจ ลดอาการเหนื่อยล้า จัดการธุระสำคัญได้เต็มที่ เช่น ราชการ ครอบครัว ช่วยสร้างสมดุลชีวิตและงาน เพิ่มประสิทธิภาพเมื่อกลับไปทำงาน ใช้สิทธิ์ตามกฎหมาย ไม่ถูกหักเงินเมื่อปฏิบัติตามข้อบังคับ ลดความเสี่ยงพนักงานไม่ให้ป่วยเรื้อรัง เพราะมีวันพักผ่อนให้ใช้อย่างเหมาะสม ข้อเสียของการลางาน หากลาบ่อยโดยไม่วางแผน อาจเสียภาพลักษณ์ในสายตาผู้บริหาร อาจทำให้โปรเจกต์สะดุดหากไม่มีผู้รับช่วงงาน ใช้สิทธิ์หมดเร็วอาจไม่มีวันลาเหลือในยามจำเป็นฉุกเฉิน บริษัทอาจพิจารณาคะแนนประเมินผลงานหรือโบนัสหากลาเกินโควต้า ทีมอาจวางแผนไม่ทัน หากพนักงานหลายคนลาพร้อมกัน เทมเพลตอีเมลขอลางาน (ภาษาไทย–อังกฤษ) ภาษาไทย เรื่อง ขออนุญาตลางาน เรียน คุณ/หัวหน้า…………………………………… ข้าพเจ้า………………………… ตำแหน่ง………………………… ขออนุญาตลางานเนื่องจาก __________________________ (ระบุอาการ/เหตุผล เช่น ไข้สูง, ปวดหัว, ธุระด่วน) ระหว่างวันที่ _______ ถึง _______ รวมจำนวน _______ วันทำงาน ข้าพเจ้าได้มอบหมายงานให้คุณ/คุณ X เรียบร้อยแล้ว จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาอนุญาต ลงชื่อ __________ วันที่ ____/____/____ ภาษาอังกฤษ Subject: Leave Request (Sick/Personal/Annual Leave) Dear [Manager’s Name], I would like to request [sick/personal/annual] leave due to ________________________ (Example: high fever, family emergency) The leave will be from [Start Date] to [End Date], totaling [number] working days. I have arranged for [Colleague’s Name] to cover my duties during my absence. Thank you for your understanding. Best regards, [Your Name] [Position] [Date] การลางานไม่ใช่แค่การหยุดพัก แต่มันคือสิทธิ์และการแสดงความรับผิดชอบอย่างหนึ่งในการทำงาน ควรให้ความสำคัญกับการวางแผนล่วงหน้า สื่อสารให้ชัดเจน และใช้สิทธิ์อย่างรับผิดชอบเพื่อให้แฮปปี้กันทุกฝ่าย และถ้าหากใครกำลังมองหาโอกาสงานใหม่ หรืออยากพัฒนาทักษะให้พร้อมรับทุกโอกาส ลองมาที่ Jobcadu แหล่งรวบรวมงานที่ใช่ และบทความเสริมทักษะช่วยทุกคนพัฒนาสกิล แต่สำหรับใครที่ไม่รู้จะใช้เหตุผลอะไรในการลา>> มาดู 25 เหตุผลในการใช้ลา ใช้ลางานได้เลย

    Category
    Jul 14, 2025
    5 min
    Thumbnail for เงินโบนัส คืออะไร? เจาะลึกทุกเรื่องที่เราควรรู้ พร้อมเคล็ดลับเพิ่มโอกาสในรับโบนัสก้อนโต!
    Wellbeing

    เงินโบนัส คืออะไร? เจาะลึกทุกเรื่องที่เราควรรู้ พร้อมเคล็ดลับเพิ่มโอกาสในรับโบนัสก้อนโต!

    ช่วงปลายปีหรือต้นปีใหม่ทีไร "โบนัส" มักจะเป็นสิ่งที่พนักงานทุกคนเฝ้ารอคอย แล้วเราจะมีส่วนร่วมในการเพิ่มโอกาสให้ได้โบนัสก้อนโตได้อย่างไรบ้าง? Jobcadu จะพาทุกคนไปเจาะลึกทุกประเด็นเกี่ยวกับโบนัสที่ควรรู้ ไปดูกัน! เงินโบนัส คืออะไร? โบนัส (Bonus) คือเงินพิเศษที่นายจ้างจ่ายให้แก่พนักงานนอกเหนือจากเงินเดือนปกติ เป็น “ผลตอบแทน” ของผลงานที่ทำให้บริษัทเติบโต หรือเพื่อเป็นแรงจูงใจในการทำงานของพนักงาน เงินโบนัสจำเป็นไหม? ในทางกฎหมาย โบนัสไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่นายจ้างต้องจ่ายให้โดยอัตโนมัติเหมือนเงินเดือน แต่เป็นสวัสดิการที่ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัท อย่างไรก็ตาม สำหรับพนักงาน เงินโบนัสมีความสำคัญในหลายด้าน เช่น สร้างขวัญและกำลังใจ: เป็นการแสดงความชื่นชมและตอบแทนความทุ่มเทของพนักงาน เพิ่มรายได้: ช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน กระตุ้นประสิทธิภาพในการทำงาน: เป็นแรงจูงใจให้พนักงานตั้งใจทำงานให้ดีขึ้น เพื่อให้บริษัทมีผลประกอบการที่ดี ดึงดูดและรักษาพนักงาน: บริษัทที่มีนโยบายการจ่ายโบนัสที่ชัดเจนและจูงใจ มักจะดึงดูดคนเก่งเข้ามาทำงานและรักษาพนักงานให้อยู่กับองค์กรได้นานขึ้น ประเภทของโบนัส โบนัสประจำปี (Annual Bonus): จ่ายสิ้นปีตามผลประกอบการ โบนัสตามผลงาน (Performance Bonus): ขึ้นอยู่กับ KPI หรือผลงานรายบุคคล โบนัสตามสัญญา (Contractual Bonus): ระบุไว้ในสัญญา เช่น โบนัส 1 เดือน โบนัสพิเศษ (Special Bonus): เช่น โปรเจกต์ใหญ่ หรือรางวัลพนักงานดีเด่น โบนัสคิดยังไง? 1. คิดตามเปอร์เซ็นต์เงินเดือน เช่น: ได้โบนัส 2 เท่าของเงินเดือน เงินเดือน 30,000 → โบนัส 60,000 2. คิดตามคะแนนประเมินผลงาน (Performance Rating) เช่น: คะแนน 5/5 = 200% ของเงินเดือน คะแนน 3/5 = 100% คะแนน 1/5 = ไม่ได้รับเลย ซึ่งบริษัทใหญ่ ๆ มักใช้ สูตรผสม คือ ดูทั้งผลงาน + ภาพรวมบริษัท วิธีหรือเกณฑ์การประเมินว่าปีนี้ควรได้โบนัสไหม? เกณฑ์การพิจารณาการจ่ายโบนัสแตกต่างกันไปในแต่ละบริษัท แต่โดยทั่วไปแล้วมักพิจารณาจากปัจจัยหลักๆ ดังนี้ 1.ผลประกอบการของบริษัท: นี่คือปัจจัยสำคัญที่สุด หากบริษัทมีผลกำไรที่ดี มีรายได้ตามเป้าหมาย หรือเกินเป้าหมาย โอกาสในการจ่ายโบนัสก็จะสูงขึ้น ในทางกลับกัน หากบริษัทประสบภาวะขาดทุนหรือทำผลงานได้ไม่ดีนัก โบนัสก็อาจจะลดลงหรือไม่จ่ายเลย 2.ผลการปฏิบัติงานของพนักงาน (Individual Performance): KPI (Key Performance Indicator): ตัวชี้วัดผลงานของแต่ละบุคคล หากพนักงานสามารถทำได้ตามเป้าหมาย หรือเกินเป้าหมายที่กำหนดไว้ ก็มีแนวโน้มที่จะได้รับโบนัส – KPI คืออะไร การประเมินโดยหัวหน้างาน: การประเมินจากผู้จัดการโดยตรงเกี่ยวกับความรับผิดชอบที่มีต่องาน การทำงานร่วมกับผู้อื่น และคุณสมบัติอื่นๆ ประกอบการพิจารณา 3.ระยะเวลาการทำงาน: พนักงานที่ทำงานครบกำหนดตามเงื่อนไขของบริษัท (เช่น ครบ 1 ปี) มักจะมีสิทธิ์ได้รับโบนัสเต็มจำนวน ส่วนพนักงานที่เข้าทำงานไม่ครบปีอาจได้รับโบนัสตามสัดส่วน โบนัสจ่ายตอนไหน? ช่วงเวลาการจ่ายโบนัสแตกต่างกันไปตามนโยบายบริษัทและรอบการประเมินผลประกอบการ: ปลายปี (ธันวาคม - มกราคม): เป็นช่วงที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะบริษัทที่ปิดงบประมาณและประเมินผลงานประจำปีในช่วงปลายปี กลางปี (มิถุนายน - กรกฎาคม): บางบริษัทอาจจ่ายโบนัสกลางปี (Mid-year Bonus) เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ หรือจ่ายโบนัสตามผลประกอบการของครึ่งปีแรก จ่ายตามไตรมาส (Quarterly Bonus): สำหรับบางธุรกิจที่ต้องการกระตุ้นผลงานอย่างต่อเนื่อง อาจมีการจ่ายโบนัสทุกๆ ไตรมาส จ่ายเมื่อทำโปรเจกต์สำเร็จ (Project Bonus): สำหรับบางตำแหน่งงานหรือบางอุตสาหกรรม อาจมีโบนัสพิเศษเมื่อทำโปรเจกต์สำคัญสำเร็จตามเป้าหมาย Top 5 บริษัทจ่ายโบนัสสูง เเบ่งตามอุตสาหกรรม ภาคอุตสาหกรรม (โรงงาน/ผลิต) 1.Mitsubishi Electric โบนัสเฉลี่ย 7.5 เดือน เงินพิเศษ +10,000 บาท 2.Aisin Powertrain โบนัสเฉลี่ย 7.4 เดือน  เงินพิเศษ +41,000 บาท 3.Siam Aisin โบนัสเฉลี่ย 7.2 เดือน เงินพิเศษ +25,000 บาท 4.Daikin โบนัสเฉลี่ย 7 เดือน เงินพิเศษ +21,000 บาท 5.JTEKT โบนัสเฉลี่ย 6.5 เดือน เงินพิเศษ +34,000 บาท ภาคธนาคาร 1.ธนาคารไทยพาณิชย์ โบนัสเฉลี่ย 4.5 เดือน 2.ธนาคารกรุงไทย โบนัสเฉลี่ย 4.5 เดือน 3.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา โบนัสเฉลี่ย 4.5 เดือน 4.ธนาคารเกียรตินาคิน โบนัสเฉลี่ย 4.5 เดือน 5.ธนาคารกรุงเทพ โบนัสเฉลี่ย 4.5 เดือน กลุ่มยานยนต์ 1.Toyota โบนัสเฉลี่ย 8 เดือน  เงินพิเศษ +45,000 บาท 2.ISUZU โบนัสเฉลี่ย 8 เดือน 3.Hino โบนัสเฉลี่ย 7.3 เดือน เงินพิเศษ +40,000 บาท 4.Honda โบนัสเฉลี่ย 6.25 เดือน เงินพิเศษ +37,000 บาท 5.Ford โบนัสเฉลี่ย 6.03 เดือน  เงินพิเศษ +28,000 บาท อ้างอิง: KruDew TOEIC ติวโทอิค Online การจ่ายโบนัสของแต่ละบริษัทขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยและอาจมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละปี ดังนั้น ควรศึกษาข้อมูลจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ หรือสอบถามจากผู้ที่อยู่ในสายงานนั้นๆ เพิ่มเติม โบนัสคือแรงจูงใจที่สำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการพัฒนาตัวเองให้มีคุณค่าต่อองค์กร ซึ่งการเข้าใจว่าโบนัสคืออะไร มีเกณฑ์อย่างไร จะช่วยให้เราวางแผนการทำงานและพัฒนาตัวเองได้มากขึ้น หากใครที่กำลังมองหางานที่มีสวัสดิการดีๆ รวมถึงโบนัสที่น่าสนใจ เข้ามาหางานคุณภาพจากหลากหลายบริษัทชั้นนำได้ที่ Jobcadu พร้อม Career เเนะนำเส้นทางอาชีพเเละพัฒนาทักษะ อัปเดตเเบบจัดเต็มทุกสัปดาห์

    Jul 14, 2025
    5 min
    Thumbnail for Pride Month คืออะไร? ทำไมองค์กรควรให้ความสำคัญ และมีบริษัทไหนบ้างในไทยที่เปิดรับ LGBTQ+ อย่างจริงจัง
    Wellbeing

    Pride Month คืออะไร? ทำไมองค์กรควรให้ความสำคัญ และมีบริษัทไหนบ้างในไทยที่เปิดรับ LGBTQ+ อย่างจริงจัง

    Pride Month คืออะไร? Pride Month หรือ เดือนแห่งความภาคภูมิใจของชาว LGBTQ+ (1-30 มิถุนายน )จัดขึ้นในเดือนมิถุนายนของทุกปี เป็นช่วงเวลาที่ทั่วโลกร่วมกันเฉลิมฉลองความหลากหลายทางเพศและสนับสนุนสิทธิของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ หรือ LGBTQIAN+ (Lesbian, Gay, Bisexual, Transgender, Queer, Intersex, Asexual, Non-binary และอื่นๆ) เดือนนี้มีที่มาจากการจลาจลสโตนวอลล์ (Stonewall Riots) ในนครนิวยอร์กเมื่อปี 1969 ซึ่งเป็นการลุกฮือของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศเพื่อเรียกร้องสิทธิและความเท่าเทียม นับตั้งแต่นั้นมา Pride Month ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อการยอมรับ การเปิดเผยตัวตน และการสร้างความเข้าใจในสังคม Lesbian : ผู้หญิงที่รักหรือดึงดูดทางเพศกับผู้หญิงด้วยกัน Gay : ผู้ชายที่รักหรือดึงดูดทางเพศกับผู้ชายด้วยกัน (บางครั้งใช้รวมหมายถึงคนรักเพศเดียวกันทุกเพศ) Bisexual : คนที่ดึงดูดทางเพศได้ทั้งกับเพศเดียวกันและเพศตรงข้าม Transgender : คนที่อัตลักษณ์ทางเพศไม่ตรงกับเพศกำเนิด Queer : คำเรียกรวมๆ สำหรับคนที่ไม่เป็นไปตามเพศวิถีหรืออัตลักษณ์ทางเพศแบบดั้งเดิม (บางคนใช้เพื่อระบุอัตลักษณ์ของตนเอง) Intersex : คนที่เกิดมามีลักษณะทางเพศ (เช่น โครโมโซม อวัยวะสืบพันธุ์ หรือฮอร์โมน) ที่ไม่เข้ากับการจำแนกเป็นชายหรือหญิงแบบชัดเจน Asexual : คนที่ไม่รู้สึกดึงดูดทางเพศต่อผู้อื่น หรือดึงดูดน้อยมาก Non-binary : คนที่ไม่ระบุอัตลักษณ์ทางเพศของตนว่าเป็นชายหรือหญิงโดยตรง อาจอยู่ระหว่างหรืออยู่นอกเหนือระบบสองเพศ (binary) ในแต่ละปี Pride Month จะมีการจัดกิจกรรมต่างๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นขบวนพาเหรด (Pride Parade) การจัดงานเสวนา การแสดงดนตรี ศิลปะ และกิจกรรมที่เน้นการสร้างพื้นที่ปลอดภัยและการรวมตัวของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ Pride ไม่ใช่แค่การเฉลิมฉลอง  มันคือช่วงเวลาสำคัญในการ ทบทวนบทบาทของตนเองในที่ทำงานและสังคม ว่าเราได้เปิดพื้นที่ให้กับเพื่อนร่วมงานหรือไม่ และได้ส่งเสริมความหลากหลายอย่างแท้จริงหรือเปล่า ตัวอย่างบริษัทที่ใส่ใจความหลากหลาย สนับสนุน LGBTQ+ อย่างจริงจัง 1. ศรีจันทร์ สหโอสถ บริษัทไทยที่แสดงออกถึงการเปิดรับความหลากหลายผ่าน นโยบายสวัสดิการแบบครอบคลุม ไม่ว่าคุณจะโสด มีครอบครัว หรือเป็นชาว LGBTQ+ ทุกคนมีสิทธิ์ได้รับสวัสดิการอย่างเท่าเทียม โดยมีสิทธิประโยชน์ที่น่าสนใจ เช่น: ลาคลอด (Maternity Leave) ได้สูงสุด 180 วัน โดยยังได้รับค่าจ้างตามปกติ พ่อลางานได้ 30 วันเพื่อดูแลภรรยาและลูก (Parental Leave) ลาเพื่อการผ่าตัดแปลงเพศได้สูงสุด 30 วัน ลาพักใจในกรณีสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ได้ไม่เกิน 10 วัน 2. Johnson & Johnson องค์กรระดับโลกที่มีนโยบายด้านความหลากหลายทางเพศอย่างเด่นชัด และ ขยายสวัสดิการให้ครอบคลุมถึงคู่ชีวิตเพศเดียวกัน โดยพนักงาน LGBTQ+ สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลของคู่ชีวิตได้ และยังมีสิทธิ์ในการเข้าถึงประกันสุขภาพ การรักษาพยาบาลแบบผู้ป่วยใน/นอก รวมถึงบริการให้คำปรึกษาทางสุขภาพจิตทั้งของพนักงานและสมาชิกครอบครัว 3. LINE MAN Wongnai ภายใต้ Core Value อย่าง “Respect Everyone” องค์กรนี้ได้ออกสวัสดิการเฉพาะที่แสดงถึงการเคารพและสนับสนุนพนักงาน LGBTQ+ เช่น: เงินสนับสนุนการแต่งงานของคู่รักเพศเดียวกัน 20,000 บาท สิทธิ์ลาสำหรับการรับบุตรบุญธรรม 10 วัน ลาพักเพื่อผ่าตัดแปลงเพศสูงสุด 30 วัน นอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรมช่วง Pride Month ทั้งกิจกรรมดูหนัง LGBTQ+, เชิญแขกรับเชิญมาเสวนา และเปิดโครงการระดมทุนภายในเพื่อส่งต่อให้มูลนิธิด้านความเท่าเทียม 4. แสนสิริ ถือเป็นบริษัทไทยรายแรกที่ลงนามในแนวปฏิบัติระดับโลกของสหประชาชาติด้านสิทธิมนุษยชนของ LGBTQ+ โดยให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมทั้งในองค์กรและสังคม เช่น: วันลาสมรส 6 วัน/ปี (สำหรับทุกคู่ชีวิต) ลาผ่าตัดแปลงเพศ 30 วัน/ปี ลาฌาปนกิจคู่ชีวิต 15 วัน/ปี ลาดูแลคู่ชีวิตหรือบุตรบุญธรรม 7 วัน/ปี ขยายความคุ้มครองประกันสุขภาพให้กับคู่ชีวิตของพนักงาน 5. Shell Thailand Shell มีการจัดตั้งเครือข่าย LGBTQ+ Network ภายในบริษัท เพื่อส่งเสริมความเข้าใจและให้การสนับสนุนเพื่อนร่วมงาน LGBTQ+ อย่างแท้จริง นอกจากนี้ Shell ยังเป็นสมาชิกของ Workplace Pride ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรระดับนานาชาติ ที่มีเป้าหมายสนับสนุนความเท่าเทียมในสถานที่ทำงานทั่วโลก บริษัทที่สนับสนุน Pride Month โดยการบริจาคหรือทำแคมเปญ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.): จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว LGBTQ+ ทั่วประเทศ เเละสนับสนุนงาน Pride ผ่านการใช้ "Soft Power" ของเทศกาลและกิจกรรมสร้างสรรค์ เพื่อยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศและกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านการจัดกิจกรรม Amazing Thailand Love Wins Festival (Pride Month) 2568 ทั่วประเทศตลอดเดือนมิถุนายน TikTok Thailand: เปิดตัวแคมเปญ #PrideTogether ส่งเสริมเสียงของ LGBTQ+ creators บนแพลตฟอร์ม พร้อมทั้งสนับสนุนเงินให้มูลนิธิ LGBTQ+ ในไทย IKEA Thailand: ออกสินค้ารุ่น Pride พิเศษ ผ่านการใช้แฮชแท็ก #IKEAforeveryone เพื่อแสดงออกถึงการเคารพและสนับสนุนในความหลากหลาย เเละยังมีแคมเปญ "บ้าน...ที่ทุกคนเป็นตัวเองได้เต็มที่ (Make the World Everyone's Home)" โดยใช้ ธงสายรุ้งเป็นสัญลักษณ์หลัก เพื่อสะท้อนแนวคิดที่ว่า “ทุกคนควรรู้สึกว่าทุกที่คือบ้าน” ไม่ว่าจะเป็นเพศใด วัยไหน หรือมีอัตลักษณ์ทางเพศแบบใดก็ตาม โดยรายได้ส่วนหนึ่งบริจาคให้มูลนิธิที่ส่งเสริมความเท่าเทียม แนวทางปฏิบัติตัวต่อเพื่อนร่วมงาน LGBTQ+ ใช้สรรพนามให้ถูกต้อง: หากไม่แน่ใจ ให้ถามอย่างสุภาพ หรือดูจากลายเซ็นอีเมลหรือโปรไฟล์ อย่าเดาอัตลักษณ์ทางเพศ ของใครจากรูปลักษณ์ ไม่ใช้คำถามส่วนตัวหรือหยาบคาย เพราะถือเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัว ส่งเสริมและสนับสนุนอย่างแท้จริง เช่น เข้าร่วมกิจกรรม Pride, แชร์ข้อมูลหรือแคมเปญที่มีประโยชน์, สนับสนุนสินค้าหรือบริการจากกลุ่ม LGBTQ+ พูดคุยด้วยความเคารพเสมอ เช่นเดียวกับที่คุณอยากให้คนอื่นเคารพคุณ บริษัทที่แสดงการสนับสนุนอย่างชัดเจนและต่อเนื่องมักจะเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงและมีนโยบายด้านความหลากหลายที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว การที่บริษัทแสดงจุดยืนในการสนับสนุน Pride Month ไม่ใช่เพียงแค่การสร้างภาพลักษณ์ แต่ยังสะท้อนถึงค่านิยมขององค์กรที่ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียม การยอมรับ และการสร้างสังคมที่ทุกคนสามารถเป็นตัวเองได้อย่างภาคภูมิใจ ทำไม Pride ถึงสำคัญต่อที่ทำงาน? Pride Month ไม่ได้มีไว้แค่เฉลิมฉลอง แต่คือการชวนให้ทุกคน กลับมาทบทวนบทบาทของตัวเองในองค์กร ว่าเราได้เปิดพื้นที่และโอกาสให้ทุกคนอย่างเท่าเทียมแล้วหรือยัง หากคุณเป็นทั้งผู้สมัครงาน หรือ HR ขององค์กร Jobcadu ขอเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่สนับสนุนความหลากหลายทางเพศ ด้วยการเปิดให้คุณเลือกอัตลักษณ์ได้อิสระ สร้างโปรไฟล์ที่ตรงกับตัวตนของคุณ และเชื่อมโยงคุณกับองค์กรที่เห็นคุณค่าที่แท้จริงในตัวคุณ อย่ารอช้า! เริ่มต้นเส้นทางอาชีพใหม่ที่น่าตื่นเต้นกับ Jobcadu Jobs วันนี้! ลงทะเบียนสร้างโปรไฟล์ของ คุณ และค้นพบโอกาสงานที่รอคุณอยู่

    Jun 27, 2025
    5 min
    Thumbnail for Introvert, Ambivert, Extrovert คืออะไร ความหลากหลายของบุคลิกภาพสู่เส้นทางอาชีพที่ใช่
    Wellbeing

    Introvert, Ambivert, Extrovert คืออะไร ความหลากหลายของบุคลิกภาพสู่เส้นทางอาชีพที่ใช่

    Introvert, Ambivert, Extrovert: บุคลิกภาพที่หลากหลายสู่เส้นทางอาชีพที่ใช่ ด้วยความหลากหลายของผู้คน ทุกคนล้วนมีบุคลิกภาพที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพื่อให้การดำเนินชีวิตได้อย่างราบรื่น การเข้าใจบุคลิกภาพของตนเองและผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็น Introvert, Ambivert, หรือ Extrovert จะช่วยให้เราเลือกเส้นทางที่เหมาะสมกับจุดแข็งและจุดอ่อนของเราได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงนำไปสู่ความสำเร็จและความสุขในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นด้านอาชีพและการใช้ชีวิต Introvert คืออะไร? Introvert คือ บุคคลที่มักจะได้รับพลังงานจากการใช้เวลาอยู่กับตัวเอง อยู่คนเดียว หรือในสภาพแวดล้อมที่สงบ ซึ่งจะรู้สึกเหนื่อยง่ายเมื่อต้องเข้าสังคมเป็นเวลานาน หรืออยู่ในสถานการณ์ที่มีผู้คนพลุกพล่าน หรือเรียกง่าย ๆ ว่า ชอบอยู่คนเดียวนั่นเอง โดยจุดเด่นและจุดด้อยของ Introvert มีดังนี้ จุดเด่นของ Introvert: ช่างคิดและลึกซึ้ง: มักจะใช้เวลาไตร่ตรองก่อนตัดสินใจ มีความคิดสร้างสรรค์ และมองเห็นรายละเอียดที่ผู้อื่นอาจมองข้าม มีสมาธิสูง: สามารถจดจ่อกับงานที่ต้องการความละเอียดและใช้สมาธิได้ดี เป็นผู้ฟังที่ดี: มักจะฟังมากกว่าพูด ทำให้เข้าใจสถานการณ์และผู้อื่นได้ดี มีความเป็นอิสระ: ทำงานคนเดียวได้ดี และไม่ชอบการถูกรบกวน จุดด้อยของ Introvert (ที่สามารถพัฒนาได้): อาจดูเข้าถึงยาก: บางครั้งอาจถูกมองว่าเป็นคนเงียบหรือเข้ากับคนยาก แต่จริง ๆ แค่ชอบอยู่คนเดียว หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า: อาจไม่ถนัดในการโต้แย้งหรือแสดงความคิดเห็นที่ขัดแย้ง เหนื่อยง่ายกับการเข้าสังคม: ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูตัวเองหลังจากเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมหรืปาร์ตี้สังสรรค์ Ambivert คืออะไร? Ambivert คือ บุคคลที่อยู่กึ่งกลางระหว่าง Introvert และ Extrovert พวกเขาสามารถปรับตัวได้ดีกับสถานการณ์ที่หลากหลาย ทั้งการเข้าสังคมและการใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ซึ่งมีจุดเด่นละจุดด้อยดังนี้ จุดเด่นของ Ambivert: มีความยืดหยุ่นสูง: สามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์และผู้คนได้ดี เป็นนักสื่อสารที่ดี: สามารถเป็นทั้งผู้พูดและผู้ฟังที่ดี ทำให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพ สร้างสมดุลได้ดี: รู้จักการรักษาสมดุลระหว่างการเข้าสังคมและการอยู่คนเดียว เข้ากับคนได้ง่าย: สามารถสร้างความสัมพันธ์กับผู้คนได้หลากหลายประเภท จุดด้อยของ Ambivert (ที่สามารถพัฒนาได้): อาจไม่ชัดเจนในบุคลิก: บางครั้งอาจรู้สึกว่าตัวเองไม่มีบุคลิกที่ชัดเจน ตัดสินใจยาก: อาจลังเลเมื่อต้องเลือกว่าจะใช้เวลาอยู่กับตัวเองหรือออกไปเข้าสังคม Extrovert คืออะไร? Extrovert คือ บุคคลที่ได้รับพลังงานจากการเข้าสังคม การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คึกคัก พวกเขาจะรู้สึกมีชีวิตชีวาและกระตือรือร้นเมื่อได้อยู่ท่ามกลางผู้คน หรือเรียกง่าย ๆ ว่า จะมีเอเนอร์จี้ เติมพลังจากการอยู่ร่วมกับผู้อื่นนั่นเอง จุดเด่นของ Extrovert: กระตือรือร้นและมีพลัง: มีพลังงานสูง ชอบการลงมือทำและเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ เป็นผู้นำที่ดี: ชอบการเป็นจุดสนใจ และมีทักษะในการสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น เปิดเผยและเข้าถึงง่าย: แสดงออกถึงอารมณ์และความคิดได้อย่างเปิดเผย เป็นนักสร้างเครือข่าย: ชอบสร้างความสัมพันธ์และขยายวงสังคม จุดด้อยของ Extrovert (ที่สามารถพัฒนาได้): อาจพูดโดยไม่คิด: บางครั้งอาจพูดออกไปก่อนที่จะไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน เบื่อหน่ายง่าย: หากต้องอยู่คนเดียวนานๆ อาจรู้สึกเบื่อหรือไม่สบายใจ ต้องการการกระตุ้นจากภายนอก: อาจรู้สึกขาดพลังงานหากไม่ได้รับการปฏิสัมพันธ์จากผู้อื่น อาชีพที่เหมาะกับ Introvert, Ambivert, Extrovert การเข้าใจจุดเด่นของบุคลิกภาพแต่ละแบบจะช่วยให้เราเลือกอาชีพที่เหมาะสมและสามารถประกอบอาชีพนั้นได้อย่างเป็นตัวเอง ซึ่งจมีอะไรบ้าน มาดูกัน อาชีพที่เหมาะกับ Introvert ด้วยจุดเด่นในเรื่อง ความช่างคิดลึกซึ้ง, สมาธิสูง และ ความเป็นอิสระ Introvert จึงเหมาะกับอาชีพที่ต้องการการใช้ความคิด การวิเคราะห์ และการทำงานที่เน้นความละเอียด ดังนี้: นักวิจัย/นักวิทยาศาสตร์/ Data Analyst: อาชีพที่ต้องการการค้นคว้า ทดลอง และวิเคราะห์ข้อมูลอย่างลึกซึ้ง นักเขียน/บรรณาธิการ/ครีเอทีฟ: ต้องการสมาธิสูงในการเรียบเรียงความคิดและการใช้ภาษา - ชอบภาษา ประกอบอาชีพอะไรดี โปรแกรมเมอร์/นักพัฒนาซอฟต์แวร์: ต้องใช้การคิดเชิงตรรกะและจดจ่อ ใช้เวลากับการเขียนโค้ด นักบัญชี/นักวิเคราะห์การเงิน: ต้องการความละเอียดรอบคอบและการวิเคราะห์ข้อมูลตัวเลข นักออกแบบกราฟิก/ศิลปิน: อาชีพที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์และทำงานคนเดียวได้ บรรณารักษ์: ทำงานในสภาพแวดล้อมที่สงบ และต้องใช้ความละเอียดในการจัดการข้อมูล อาชีพที่เหมาะกับ Ambivert ด้วยจุดเด่นในเรื่อง ความยืดหยุ่นสูง, การสื่อสารที่ดี และ ความสามารถในการสร้างสมดุล Ambivert จึงสามารถปรับตัวเข้ากับอาชีพที่หลากหลาย ทั้งที่ต้องพบปะผู้คนและที่ต้องใช้เวลาอยู่กับตัวเอง: ครู/อาจารย์: สามารถปรับบทบาททั้งการสอนหน้าชั้นเรียนและการเตรียมการสอนส่วนตัว นักการตลาด/PR: ต้องพบปะลูกค้าและทำงานร่วมกับทีม แต่ก็มีเวลาในการวางแผนและสร้างสรรค์ผลงาน ผู้จัดการโครงการ: ต้องการทักษะการสื่อสารที่ดีในการประสานงานกับทีม และความสามารถในการจัดการงานส่วนตัว นักบำบัด/ที่ปรึกษา: ต้องรับฟังและให้คำแนะนำอย่างลึกซึ้ง แต่ก็ต้องมีความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้คน นักข่าว/ผู้สื่อข่าว: ต้องออกไปสัมภาษณ์ผู้คนและรวบรวมข้อมูล แต่ก็มีเวลาในการเขียนและเรียบเรียงข่าว อาชีพที่เหมาะกับ Extrovert ด้วยจุดเด่นในเรื่อง ความกระตือรือร้น, ความเป็นผู้นำที่ดี และ ทักษะการสร้างเครือข่าย Extrovert จึงเหมาะกับอาชีพที่ต้องการการปฏิสัมพันธ์กับผู้คน การนำเสนอ และการทำงานเป็นทีม: ฝ่ายขาย/ตัวแทนขาย: ต้องพบปะลูกค้าจำนวนมาก สร้างความสัมพันธ์ และนำเสนอสินค้า/บริการ นักแสดง/พิธีกร: ต้องการความสามารถในการเป็นจุดสนใจ และการสื่อสารกับผู้คนจำนวนมาก ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR): ต้องสื่อสารกับพนักงานจำนวนมาก สัมภาษณ์ และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในองค์กร ผู้บริหาร/ผู้นำองค์กร: ต้องสร้างแรงบันดาลใจให้ทีม ตัดสินใจ และนำเสนอวิสัยทัศน์ นักจัดกิจกรรม/อีเวนต์: ต้องประสานงานกับหลายฝ่าย วางแผน และดูแลกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมาก ทนายความ: ต้องมีการนำเสนอเหตุผล โน้มน้าว และโต้แย้ง การทำความเข้าใจบุคลิกภาพของตนเอง ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องถูกจำกัดอยู่กับอาชีพใดอาชีพหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นการช่วยให้เราเลือกเส้นทางที่เหมาะสมกับจุดแข็งของเรา เพื่อให้เราสามารถใช้ศักยภาพได้อย่างเต็มที่ และมีความสุขกับสิ่งที่ทำ หากคุณยังไม่แน่ใจว่าตนเองเป็น Introvert, Ambivert, หรือ Extrovert คุณสามารถลองทำแบบทดสอบบุคลิกภาพออนไลน์เพื่อทำความเข้าใจตนเองให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นได้ คุณพร้อมที่จะค้นหาเส้นทางอาชีพที่ใช่สำหรับคุณแล้วหรือยัง? มาเจอกันที่ Jobacdu Jobs

    Jun 23, 2025
    5 min
    Thumbnail for แชร์ 5 วิธีวางแผนการเงินในเศรษฐกิจยุคนี้ ฉบับพนักงานออฟฟิศ!
    Wellbeing

    แชร์ 5 วิธีวางแผนการเงินในเศรษฐกิจยุคนี้ ฉบับพนักงานออฟฟิศ!

    จะทำอย่างไรดี? เมื่อการเก็บเงินสำหรับใครหลายๆคนที่เป็นคนวัยทำงานก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งในยุคปัจจุบันที่ค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายต่างๆก็สูงขึ้นหลายเท่า แต่รายรับของหลายคนยังเท่าเดิม ดังนั้นวันนี้ Jobcadu จะขอเสนอ 5 ทริคและวิธีคิดเพื่อวางแผนการเงินและเก็บเงินยังไงให้รอด! แบบฉบับคนวัยทำงานยุคนี้ 1.วิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจและผลกระทบที่ตามมา จากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้โลกกำลังเผชิญกับสงครามการค้ารอบใหม่ที่ส่งผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจไทย ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นภาษีนำเข้า หรือการเติบโตของ GDP ที่มีแนวโน้มลดลง ส่งผลต่อการจ้างงาน การบริโภค และคุณภาพชีวิตของประชาชน 2.เงินสำรองฉุกเฉิน เกราะป้องกันความไม่แน่นอน ในสถานการณ์ที่อาจตกงานโดยไม่ทันตั้งตัว การมีเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 6-12 เดือนเป็นเรื่องจำเป็น เงินส่วนนี้จะช่วยให้สามารถดำรงชีวิตได้หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสุขภาพหรือรายได้ที่หายไปกะทันหัน 3.บริหารค่าใช้จ่าย และหนี้อย่างมีสติ จดบันทึกรายรับ-รายจ่ายเพื่อรู้สถานะทางการเงินของตัวเองอย่างแท้จริง พร้อมทั้งควบคุมภาระหนี้ให้อยู่ในระดับไม่เกิน 30-40% ของรายได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการก่อหนี้ซ้ำซ้อน และไม่ให้กระทบกับคุณภาพชีวิตในระยะยาว 4.วางแผนการออมและลงทุนระยะสั้น-ยาว การลงทุนควรเริ่มจากเป้าหมายที่ชัดเจน และแบ่งตามระยะเวลาอย่างสมดุล การออมแบบมีแผนสามารถช่วยเสริมสภาพคล่องในระยะสั้น และสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้ แม้ในภาวะเศรษฐกิจซบเซา 5.มองหาโอกาสใหม่ผ่านช่องทางออนไลน์ โลกออนไลน์คือทางรอดที่มีต้นทุนต่ำแต่โอกาสสูง ไม่ว่าจะเป็นค้าขายออนไลน์ ทำคอนเทนต์ สอนพิเศษ หรืออาชีพอิสระต่างๆ ล้วนเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์คนยุคใหม่ โดยเฉพาะผู้ที่ตกงานหรือต้องการรายได้เสริม ภาวะเศรษฐกิจแปรปรวนเป็นเรื่องที่ต้องเจอทุกคน แต่หากมีการวางแผนการเงินที่ดี พร้อมรับมือกับความเสี่ยงทั้งในวันนี้และอนาคต ก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมั่นคงและมีเป้าหมาย และหากคุณกำลังมองหาโอกาสใหม่ ๆ หรืออยากพัฒนาทักษะเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลง มาดูเพิ่มเติมได้ที่ Jobchttps://www.jobcadu.com/th/jobportaladu แหล่งรวมความรู้ ทักษะ และโอกาสต่างๆในการงาน อ้างอิง

    การเงิน
    Finance
    เทคนิคการเก็บเงิน
    May 15, 2025
    1 min
    Thumbnail for ทำความรู้จักกับ Eysenck’s Personality Theory
    Wellbeing

    ทำความรู้จักกับ Eysenck’s Personality Theory

    เคยสงสัยไหมว่าอะไรที่ทำให้แต่ละคนมีลักษณะนิสัยที่แตกต่างกัน? ทฤษฎีบุคลิกภาพของฮันส์ ไอเซ็นค์ เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่น่าสนใจในการทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยเชื่อว่าบุคลิกภาพสามารถอธิบายได้ด้วยมิติหลัก ๆ ที่มีความเป็นชีวภาพเป็นพื้นฐาน ลองมาเจาะลึกทฤษฎีนี้ไปพร้อม ๆ กัน Eysenck's Personality คืออะไร? Eysenck's Personality หรือทฤษฎีบุคลิกภาพของไอเซ็นค์ เป็นแบบจำลองทางจิตวิทยาที่พยายามอธิบายโครงสร้างของบุคลิกภาพที่พัฒนาโดย Hans Jürgen Eysenck นักจิตวิทยาชาวเยอรมัน-อังกฤษ เป็นผู้พัฒนาทฤษฎีนี้ขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1940-1960 โดยเขาเชื่อว่าบุคลิกภาพของมนุษย์สามารถวัดได้ผ่านมิติพื้นฐานเพียงไม่กี่ด้าน ซึ่งสามารถทำนายพฤติกรรม ความชอบ และแนวโน้มทางอารมณ์ของบุคคลได้อย่างแม่นยำ จุดประสงค์หลักของทฤษฎีบุคลิกภาพของไอเซ็นค์คือการสร้างกรอบแนวคิดที่เป็นระบบและสามารถวัดผลได้ เพื่อทำความเข้าใจและทำนายพฤติกรรมของบุคคล โดยเชื่อว่าบุคลิกภาพไม่ใช่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ง่ายนัก แต่มีรากฐานมาจากพันธุกรรมและระบบประสาท แบบทดสอบบุคลิกภาพของไอเซ็นค์ (Eysenck Personality Questionnaire หรือ EPQ) จะวัดบุคลิกภาพตาม 3 มิติหลัก ได้แก่: Extraversion (E) - Introversion (I): มิตินี้อธิบายถึงระดับของการมุ่งเน้นพลังงานของบุคคล คนที่มีคะแนนสูงในด้าน Extraversion (ชอบแสดงตัว) มักจะเป็นคนเปิดเผย ชอบเข้าสังคม กระตือรือร้น มองโลกในแง่ดี และแสวงหาความตื่นเต้น ในทางตรงกันข้าม คนที่มีคะแนนสูงในด้าน Introversion (ชอบเก็บตัว) มักจะเป็นคนเงียบขรึม ชอบอยู่คนเดียว ระมัดระวัง และคิดทบทวน Neuroticism (N) - Emotional Stability (S): มิตินี้สะท้อนถึงความมั่นคงทางอารมณ์ของบุคคล คนที่มีคะแนนสูงในด้าน Neuroticism (วิตกกังวล) มักจะมีความรู้สึกไวต่อความเครียด วิตกกังวล หงุดหงิดง่าย และมีแนวโน้มที่จะมีอารมณ์แปรปรวน ในขณะที่คนที่มีคะแนนสูงในด้าน Emotional Stability (มั่นคงทางอารมณ์) มักจะเป็นคนใจเย็น มั่นคงทางอารมณ์ และสามารถรับมือกับความเครียดได้ดี Psychoticism (P): มิตินี้เป็นมิติที่เพิ่มเข้ามาในภายหลัง โดยอธิบายถึงระดับความไม่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ความหุนหันพลันแล่น และบางครั้งอาจเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมต่อต้านสังคม คนที่มีคะแนนสูงในด้าน Psychoticism (ชอบต่อต้านสังคม) อาจมีลักษณะแข็งกระด้าง ไม่สนใจความรู้สึกของผู้อื่น และมีแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรมที่ไม่เป็นมิตร อย่างไรก็ตาม ไอเซ็นค์เน้นย้ำว่าคะแนนสูงในมิตินี้ไม่ได้หมายความว่าบุคคลนั้นเป็นโรคจิต แต่เป็นเพียงแนวโน้มของลักษณะบุคลิกภาพ ผลการทดสอบ Eysenck’s Personality ประกอบด้วยอะไรบ้าง? Extraversion-Introversion: คะแนนสูงบ่งบอกถึงความเป็นคนชอบเข้าสังคม ชอบทำกิจกรรมกลุ่ม และมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ในขณะที่คะแนนต่ำบ่งบอกถึงความเป็นคนชอบอยู่คนเดียว ชอบความสงบ และอาจจะรู้สึกเหนื่อยล้าจากการเข้าสังคมมากเกินไป Neuroticism-Emotional Stability: คะแนนสูงบ่งบอกถึงแนวโน้มที่จะมีความรู้สึกด้านลบ เช่น ความวิตกกังวล ความเศร้า หรือความโกรธได้ง่าย ในขณะที่คะแนนต่ำบ่งบอกถึงความสามารถในการควบคุมอารมณ์ได้ดี มีความมั่นคงทางจิตใจ และสามารถรับมือกับความกดดันได้ Psychoticism-Normality: คะแนนสูงบ่งบอกถึงแนวโน้มที่จะมีลักษณะที่ไม่เป็นมิตร ไม่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น และอาจมีพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น ในขณะที่คะแนนต่ำบ่งบอกถึงความเป็นคนที่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น มีความรับผิดชอบ และปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ อาชีพที่เหมาะกับผลการทดสอบ Eysenck’s Personality 1.Extraversion สูง เหมาะกับอาชีพที่ต้องมีการปฏิสัมพันธ์กับผู้คนจำนวนมาก เช่น พนักงานขาย, นักการตลาด, วิทยากร, นักข่าว, นักรายการวิทยุ นักแสดง นักดนตรี ,ประชาสัมพันธ์ 2.Introversion สูง เหมาะกับอาชีพที่ไม่ต้องมีการปฏิสัมพันธ์กับผู้คนมากนัก หรือต้องการสมาธิและความเป็นอิสระสูง เช่น นักวิจัย, โปรแกรมเมอร์, นักเขียน, บรรณาธิการ, นักบัญชี 3.Neuroticism ต่ำ (Emotional Stability สูง) เหมาะกับอาชีพที่ต้องเผชิญกับความกดดันสูงและต้องการความมั่นคงทางอารมณ์ เช่น นักดับเพลิง, ตำรวจ, แพทย์ฉุกเฉิน, นักบิน, ผู้บริหารระดับสูง 4.Neuroticism สูง อาจต้องเลือกอาชีพที่ไม่ต้องเผชิญกับความเครียดมากนัก หรือมีระบบสนับสนุนที่ดี เช่น งานที่ปรึกษา, บรรณารักษ์, งานแอดมิน, งานด้านเอกสาร 5.Psychoticism ต่ำ เหมาะกับอาชีพที่ต้องการความร่วมมือ การทำงานเป็นทีม และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ เช่น ครู, พยาบาล, ข้าราชการ, พนักงานในองค์กรขนาดใหญ่ 6.Psychoticism สูง อาจจะเหมาะสมกับอาชีพที่ไม่ต้องการการประนีประนอมสูง หรือต้องการความคิดสร้างสรรค์นอกกรอบ เช่น ศิลปิน, นักออกเเบบ, ผู้ประกอบการ ทำแบบทดสอบได้ที่ไหน? ตัวอย่างเเบบทดสอบภาษาอังกฤษ (เวอร์ชันภาษาไทย อยู่ระหว่างการพัฒนา โปรดรอติดตาม) Eysenck’s Personality Theory เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการเข้าใจตนเองและผู้อื่น ช่วยในการแนะแนวอาชีพและพัฒนาทักษะส่วนบุคคล โดยเฉพาะในด้านการจัดการอารมณ์ ความสัมพันธ์ และการเลือกเส้นทางอาชีพที่เหมาะสม จากนั้นเราสามารถนำผลลัพธ์ไปต่อยอดเพื่อสำรวจอาชีพที่เหมาะสมกับบุคลิกของเรา วางแผนเส้นทางอาชีพอย่างมีทิศทาง หากชอบคอนเทนต์น้ี ติดตาม Jobcadu แพลตฟอร์มหางานและแนะแนวอาชีพสำหรับคนที่อยากรู้จักตัวเองให้มากขึ้นขึ้น และเติบโตอย่างมืออาชีพ

    Personal Development
    Personality Test
    Eysenck's Personality
    May 14, 2025
    1 min
    Thumbnail for รวม 7 ไอเทมสงกรานต์สำหรับมนุษย์ออฟฟิศ สนุกแบบไม่เสียลุค พร้อมกลับมาทำงานได้ต่อ!
    Wellbeing

    รวม 7 ไอเทมสงกรานต์สำหรับมนุษย์ออฟฟิศ สนุกแบบไม่เสียลุค พร้อมกลับมาทำงานได้ต่อ!

    สงกรานต์ คือ สงกรานต์คือเทศกาลปีใหม่ไทยที่เต็มไปด้วยความชุ่มฉ่ำ ความสุข และการเริ่มต้นใหม่ เป็นช่วงเวลาที่คนไทยใช้ในการพบปะครอบครัว รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ และคลายร้อนด้วยการเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน แม้จะเป็นมนุษย์ออฟฟิศที่ติดหน้าจอทั้งวัน แต่การออกไปเล่นน้ำในช่วงสงกรานต์ก็มีประโยชน์มากกว่าที่คิด เพราะการหัวเราะและการเล่นสนุกช่วยกระตุ้นสารแห่งความสุขอย่าง โดพามีน (Dopamine) และ เซโรโทนิน (Serotonin) ช่วยลดความเครียดจากงาน และเติมพลังให้กลับมาลุยต่อได้อย่างสดใส แต่จะเล่นน้ำทั้งที เราก็อยากสนุกแบบดูดี ไม่เปียกเละ ไม่เสียลุค! มาดูกันว่า 7 ไอเทมที่มนุษย์ออฟฟิศควรมีติดตัวช่วงสงกรานต์ มีอะไรบ้าง รวม 7 ไอเทมสงกรานต์แบบขอคนไม่เล่น (แต่พร้อมนะ!) 1.เสื้อฮาวายหรือลายดอกเท่ๆ เสื้อสไตล์นี้ไม่เพียงเข้ากับบรรยากาศสงกรานต์ แต่ยังใส่สบาย ไม่ร้อน และดูแฟชั่นเบาๆ ได้ฟีลสายชิลแบบมีคลาส 2.กางเกงขาสั้นแบบสุภาพ เลือกกางเกงผ้าร่มหรือผ้าคอตตอนที่แห้งไว สีสุภาพ ใส่แล้วดูคล่องตัว พร้อมลุยได้โดยไม่หลุดธีมออฟฟิศเกินไป 3.รองเท้าแบบลุยน้ำไม่เสียทรง แนะนำ Crocs, รองเท้าแตะรัดส้น, หรือ Sneaker กันน้ำ เพราะเปียกแล้วแห้งไว ไม่เสียทรง และไม่ทำให้รองเท้าคู่เก่งต้องพังหลังวันหยุด 4.ซองกันน้ำใส่มือถือแบบคล้องคอ ไอเทมเบสิคที่ทุกคนควรมี ไม่ใช่แค่ป้องกันมือถือเปียก แต่ยังสะดวกเวลาเซลฟี่ในบรรยากาศสนุกๆ ด้วย 5.เป้กันน้ำ / กระเป๋า Waterproof ใส่ของจำเป็น เช่น พาวเวอร์แบงค์, เครื่องสำอางเบาๆ หรือของใช้ส่วนตัว ไม่ต้องกลัวน้ำซึม 6.ผ้าขนหนูผืนเล็ก เลือกแบบพับเก็บง่าย พกไว้เช็ดหน้า หรือซับเหงื่อ จะได้ไม่ดูโทรมระหว่างวัน 7.ถุงผ้าสำรอง เผื่อเปลี่ยนเสื้อ หรือใส่เสื้อผ้าเปียกกลับบ้านแบบมีระเบียบ ไม่ต้องกังวลว่าจะเลอะกระเป๋าหลัก Tips เล็กๆ สำหรับมนุษย์ออฟฟิศสายสงกรานต์ เล่นน้ำให้พอได้ซึมซับบรรยากาศ อย่าเล่นนานหรือตัวเปียกนานเกินไปจนเสี่ยงเป็นหวัดหรือป่วยช่วงหยุดยาว ระวังของสำคัญ เช่น บัตรพนักงาน, เอกสารสำคัญ, Access Card ใส่ถุงซิปหรือเก็บแยกไว้ในซองกันน้ำเสมอ หลีกเลี่ยงการเล่นน้ำช่วงกลางวันจัดๆ เพราะอาจเสี่ยงแดดเผา ทำให้ผิวไหม้ หรืออาการจำพวกฮีตสโตรกได้ แนะนำให้เล่นช่วงเย็นหรือพื้นที่มีร่มเงา แหล่งเล่นน้ำสงกรานต์ใกล้ออฟฟิศ 🏙 สยาม (Siam Square Songkran) จัดงาน “SIAM SQUARE SONGKRAN” สงกรานต์แบบวัยรุ่นแฟชั่น เน้นโชว์ ดนตรี และโซนเล่นน้ำกลางเมือง ปีละหลายโซน มีคอนเสิร์ต-กิจกรรมจากศิลปินดัง โฟมปาร์ตี้ และโซนแห้งสำหรับคนไม่อยากเปียก เดินทางง่ายด้วย BTS สยาม สนุกแต่ปลอดภัย เหมาะกับสายถ่ายรูป+เล่นน้ำเบาๆ หลังเลิกงาน 🌈 สีลม (Silom Road) แลนด์มาร์กเล่นน้ำที่คึกคักสุดในกรุงเทพฯ คนแน่นทุกปี บรรยากาศคึกคักสุดๆ มีทั้งสายเต้น สายเปียก และสายแฟ มีเวทีดนตรี ปืนฉีดน้ำจัดเต็ม และจุดบริการน้ำสะอาด เดินทางสะดวกด้วย BTS ศาลาแดง แนะนำให้ใส่เสื้อผ้ามิดชิด พกซองกันน้ำและพกใจให้พร้อม! 🎶 RCA (Route66 x Songkran Party) สายปาร์ตี้ต้องมาที่นี่! มีดนตรี EDM เวทีคอนเสิร์ต และระบบสาดน้ำมันส์สะใจ เหมาะกับคนชอบแดนซ์ยาวๆ ถึงค่ำ สาดน้ำพร้อมดนตรีจากดีเจชื่อดังในคลับ มีหลายเวที/หลายโซนให้เลือก ทั้ง indoor และ outdoor เหมาะกับสายปาร์ตี้หลังเลิกงานหรือคืนวันหยุดยาว 💦 ข้าวสาร (Khao San Songkran) ถนนข้าวสารรวมทั้งชาวไทย-ต่างชาติ สนุกสุดเหวี่ยงตั้งแต่กลางวันยันดึก มีดีเจ บาร์เปิดทั่วแนวถนน บรรยากาศอินเตอร์สุดๆ บรรยากาศสุดชิลปนมันส์ สาดน้ำกันทุกตรอกซอกซอย มีทั้งร้านนั่งชิล ผับ และเวทีดนตรีเล็กๆ สำหรับสายสนุก ต่างชาติคึกคักมาก เหมาะกับสายชิลแบบอินเตอร์! สงกรานต์ไม่ใช่แค่เทศกาลแห่งการสาดน้ำ แต่ยังเป็นช่วงเวลาพักใจ พักกาย และเติมไฟให้ชีวิต หลังจากสนุกเต็มที่แล้ว ก็ถึงเวลาวางแผนอนาคต และถ้ากำลังมองหาโอกาสใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และการทำงานในแบบมนุษย์ออฟฟิศยุคใหม่ ลองมาดูเพิ่มเติมที่ Jobcadu แพลตฟอร์มหางานคุณภาพ ที่รวมแต่โอกาส และทักษะทางการงานดีๆ สุขสันต์วันสงกรานต์ค่ะ

    สุขสันต์วันสงกรานต์
    สงกรานต์
    วันสงกรานต์
    Apr 11, 2025
    1 min
    Thumbnail for  10 วิธีเติมไฟให้ชีวิตเมื่อรู้สึกหมดแรงในการทำงาน
    Wellbeing

    10 วิธีเติมไฟให้ชีวิตเมื่อรู้สึกหมดแรงในการทำงาน

    อาการหมดไฟเป็นเรื่องปกติที่คนทำงานหลายคนต้องเจอ สาเหตุอาจจะมีหลายปัจจัย มีงานล้นมือ ทำไม่ทัน ต้องทำงานล่วงเวลาบ่อยๆ ทำงานหนักเกินไปโดยไม่มีเวลาพักผ่อน การมีสภาพเเวดล้อมในการที่งานที่มีการเเข่งขันสูงมากเกินไปจนทำให้เกิดความรู้สึกกดดัน เครียดสะสม หรือบริษัทที่ไม่มีโอกาสให้เติบโตหรือพัฒนาทักษะใหม่ๆก็เป็นสาเหตุที่ทำให้หมดไฟได้เช่นเดียวกัน อาการหมดไฟไม่ได้เกิดขึ้นในทันที แต่ค่อยๆ สะสมจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ การสังเกตสัญญาณเตือนตั้งแต่เนิ่นๆ และจัดการกับสาเหตุที่แท้จริงจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการหมดไฟรุนแรง สัญญาณอันตรายของการหมดไฟ รู้สึกทรมานทุกเช้าที่ต้องตื่นไปทำงาน นอนไม่หลับ ฝันร้าย และกังวลเกี่ยวกับงานตลอดเวลา เหนื่อยล้าแม้จะพักผ่อนเต็มที่แล้ว ขาดแรงจูงใจและความกระตือรือร้น รู้สึกว่างานไม่มีความหมาย หากคุณหรือคนใกล้ตัวกำลังเผชิญกับภาวะนี้ มาดู  10  วิธีเติมไฟในการทำงานกัน! 10 วิธีเติมไฟให้ชีวิตการทำงาน 1.ทบทวนเป้าหมายของตัวเอง: ลองกลับไปดูว่าทำไมคุณถึงเลือกงานนี้ตั้งแต่แรก อาจช่วยให้คุณค้นพบแรงบันดาลใจใหม่ ๆ 2.ปรับมุมมองต่อการทำงาน: เปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับงานให้เป็นโอกาสในการเติบโตและพัฒนา 3.พักผ่อนให้เพียงพอ: นอนให้ครบ 7-8 ชั่วโมง วางแผนวันหยุดและทำกิจกรรมที่ชื่นชอบในวันหยุด 4.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายช่วยลดความเครียด เพิ่มพลังงาน และช่วยให้เรานอนหลับง่ายอีกด้วย ง่ายต่อการปรับเวลานอน 5.หาเพื่อนร่วมงานที่เข้าใจ: พูดคุย ขอคำปรึกษาหรือขอคำแนะนำจากเพื่อนร่วมงาน รวมถึงแบ่งปันประสบการณ์และวิธีจัดการกับความเครียด 6.ให้รางวัลตัวเอง: ตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ และให้รางวัลตัวเองเมื่อทำสำเร็จ เช่น การไปเที่ยวหรือทานอาหารที่ชอบ 7.หาโอกาสเรียนรู้ใหม่: เข้าร่วมการฝึกอบรม เวิร์คช็อป หรือเรียนทักษะใหม่เพื่อกระตุ้นความสนใจและความท้าทาย 8.ทำสมาธิและการหายใจ: ฝึกการหายใจลึกๆ หรือการทำสมาธิสั้นๆ ระหว่างวัน เพื่อลดความเครียดและความวิตกกังวล 9.สร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี: จัดโต๊ะทำงานให้เป็นระเบียบ เพิ่มต้นไม้หรือของตกแต่งที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย 10.พิจารณาเปลี่ยนงานหากจำเป็น: หากลองทุกวิธีแล้วไม่ดีขึ้น อย่ากลัวที่จะมองหาโอกาสใหม่ที่เหมาะกับคุณมากกว่า เพราะการเปลี่ยนงานเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ เราอาจจะเหมาะกับงานที่อื่นที่ไม่ใช่ที่นี่ ไม่ได้แปลว่าเราไม่ดีนะ การหมดไฟไม่ใช่สิ่งที่แก้ไขได้ในชั่วข้ามคืน ต้องดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่อง ตระหนักรู้ถึงสัญญาณเตือน และหาสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว เห็นได้ว่าอาการเหล่านี้เป็นอาการที่น่ากลัวมาก ๆ ใครมีเพื่อนหรือคนรอบตัวที่มีอาการเหล่านี้ ลองแชร์บทความนี้ให้คนรอบตัวได้อ่านกัน เผื่อจะช่วยเติมไฟให้กันไม่มากก็น้อย สำหรับใครที่กำลังมองหางานที่ไม่เครียด ไม่ Toxic มาลองหางานกันได้ที่ Jobcadu แพลตฟอร์มหางานที่เข้าใจความต้องการของคนทำงานยุคใหม่

    ภาวะหมดไฟ
    ภาวะ burn out
    Work-Life Balance
    Feb 17, 2025
    1 min
    Thumbnail for มารู้จักกับ ขิง สมุนไพรสรรพคุณมากมาย ที่มนุษย์ออฟฟิศไม่ควรมองข้าม
    Wellbeing

    มารู้จักกับ ขิง สมุนไพรสรรพคุณมากมาย ที่มนุษย์ออฟฟิศไม่ควรมองข้าม

    มารู้จักกับ ขิง สมุนไพรสรรพคุณมากมาย ที่มนุษย์ออฟฟิศไม่ควรมองข้าม ในชีวิตของมนุษย์ออฟฟิศที่ต้องเผชิญกับความเครียด การทำงานหนัก และเวลาที่จำกัด การดูแลสุขภาพก็เป็นสิ่งสำคัญ หนึ่งในสมุนไพรที่หาง่ายและได้รับความนิยมก็คือ "ขิง" ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรที่อยู่คู่ครัวไทยมานาน นอกจากจะช่วยเพิ่มรสชาติให้กับอาหารแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยาที่ดีต่อร่างกายอีกด้วย วันนี้เรามาทำความรู้จักกับขิงให้มากขึ้น และดูว่าขิงสามารถช่วยเราในเรื่องสุขภาพและการทำงานได้อย่างไร ขิงคืออะไร ขิง (Ginger) เป็นพืชสมุนไพรที่อยู่ในตระกูลเดียวกับขมิ้นและกระชาย มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถูกนำมาใช้ทั้งในอาหารและเป็นยาสมุนไพรมานานหลายศตวรรษ ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นในการช่วยบรรเทาอาการต่าง ๆ เช่น คลื่นไส้ ท้องอืด และอาการอักเสบ ขิงจึงเป็นที่นิยมทั้งในแพทย์แผนไทยและแผนจีน ขิงมีลักษณะอย่างไร ขิงเป็นพืชล้มลุก มีเหง้าหรือหัวอยู่ใต้ดิน มีลักษณะเปลือกเป็นสีเหลืองอมน้ำตาล เนื้อในมีสีเหลืองอ่อนและมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว รสชาติของขิงจะเผ็ดร้อน เมื่อขิงมีอายุมากขึ้น รสชาติจะเข้มข้นขึ้นด้วย ส่วนใบของขิงมีสีเขียวเรียวยาว สามารถนำมาปรุงอาหารได้เช่นกัน ขิงมีสรรพคุณอย่างไร ขิงมีสรรพคุณมากมายที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยเฉพาะกับมนุษย์ออฟฟิศที่ต้องนั่งทำงานเป็นเวลานาน เช่น: ช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ – การนั่งทำงานนาน ๆ อาจทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานไม่เต็มที่ ขิงสามารถช่วยกระตุ้นการย่อยอาหารและลดอาการแน่นท้องได้ ช่วยลดความเครียดและทำให้รู้สึกสดชื่น – กลิ่นหอมของขิงมีส่วนช่วยให้สมองปลอดโปร่ง และช่วยลดระดับฮอร์โมนความเครียด ช่วยลดการอักเสบ – ขิงมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการอักเสบของกล้ามเนื้อและข้อ เหมาะสำหรับคนที่ต้องนั่งพิมพ์งานเป็นเวลานาน ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน – ใครที่ต้องทำงานหนักจนพักผ่อนไม่เพียงพอ ขิงสามารถช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดโอกาสการเป็นหวัดได้ ขิงมีโทษอย่างไร แม้ว่าขิงจะมีประโยชน์มากมาย แต่หากบริโภคในปริมาณที่มากเกินไปก็อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น: อาจทำให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอก หรือกรดไหลย้อน โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร อาจทำให้เลือดแข็งตัวช้าลง ดังนั้นผู้ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดควรหลีกเลี่ยงการบริโภคขิงก่อนการผ่าตัด อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงมากเกินไปในผู้ป่วยเบาหวานที่รับประทานยาควบคุมน้ำตาลอยู่แล้ว ใครไม่ควรดื่มน้ำขิง ถึงแม้ว่าน้ำขิงจะมีประโยชน์ แต่ก็ไม่เหมาะกับทุกคน โดยเฉพาะ: ผู้ที่มีโรคกระเพาะอาหาร – เนื่องจากขิงมีความเผ็ดร้อน อาจทำให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะอาหารได้ ผู้ที่มีภาวะเลือดแข็งตัวช้า – เพราะขิงมีคุณสมบัติในการทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการตกเลือดได้ หญิงตั้งครรภ์ในช่วงไตรมาสสุดท้าย – ขิงอาจกระตุ้นให้มดลูกบีบตัวมากขึ้น จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนดื่ม ขิงก็เหมาะกับมนุษย์ออฟฟิศนะ นอกจากประโยชน์ทางสุขภาพแล้ว ขิงยังมีแง่มุมที่น่าสนใจเกี่ยวกับการทำงานอีกด้วย ลองคิดดูว่า การทำงานของเราก็เหมือนกับขิง – มีความเผ็ดร้อนแต่ก็มีประโยชน์ เราอาจต้องเผชิญกับความกดดัน ความเหนื่อยล้า และความท้าทายในแต่ละวัน แต่ถ้าเรารู้จักปรับตัว ใช้พลังงานอย่างเหมาะสม และดูแลสุขภาพของตัวเอง เราก็จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น มนุษย์ออฟฟิศหลายคนมักละเลยการดูแลสุขภาพเพราะงานยุ่ง แต่จริง ๆ แล้ว เพียงแค่เพิ่มขิงลงไปในชีวิตประจำวัน เช่น ดื่มน้ำขิงอุ่น ๆ ตอนเช้า หรือเติมขิงลงไปในอาหาร ก็สามารถช่วยให้เรามีสมาธิและพลังในการทำงานมากขึ้น ดังนั้น อย่ามองขิงเป็นแค่สมุนไพรทั่วไป แต่ลองให้ขิงเป็นตัวช่วยเล็ก ๆ ในการเพิ่มคุณภาพชีวิตและการทำงานของเรา ขิงไม่ใช่แค่เครื่องปรุงหรือสมุนไพร แต่เป็นตัวแทนของพลังงานและการดูแลตัวเองในแบบที่มนุษย์ออฟฟิศควรให้ความสำคัญ หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เรารู้จักและเห็นคุณค่าของขิงมากขึ้น และนำไปปรับใช้กับชีวิตประจำวันของเราได้นะ หากใครที่สนใจอ่านบทความที่น่าสนใจแบบนี้ อย่าลืมติดตาม Career Portal ที่จะมีอัปเดตข่าวสารที่น่าสนใจมาฝากทุกคน

    ขิง
    Feb 17, 2025
    1 min
    Thumbnail for รวม 17 อาชีพน่าสนใจในซีรีส์เกาหลี ที่ไม่ได้มีแค่หมอ!
    Wellbeing

    รวม 17 อาชีพน่าสนใจในซีรีส์เกาหลี ที่ไม่ได้มีแค่หมอ!

    ละครหรือซีรีส์ไทยส่วนมากที่เราดูส่วนมากจะเป็นหมอ แต่ว่าซีรีส์ในต่างประเทศก็มีอาชีพมากมายที่ถูกนำเสนอออกมาได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นมุมมอง หรือรายละเอียดของอาชีพ ซึ่งองค์ประกอบนี้ทำให้เรื่องนั้นๆน่าสนใจมากขึ้นอีกด้วย วันนี้ Jobcadu จะมาบอกตัวอย่าง 17 อาชีพจากซีรี่ส์เกาหลีที่ไม่ซ้ำใคร น่าสนใจไม่แพ้กับหมอเลยล่ะ 1.ผู้ประกาศข่าว - Pinocchio (2014) เรื่องราวของ คีฮามยอง (อีจงซอก) ชายหนุ่มที่มีความเจ็บปวดจากการถูกสื่อมวลชนนำเสนอข่าวจนทำให้ครอบครัวต้องเจอโศกนาฏกรรมการสูญเสียครอบครัวในวัยเด็ก ต้องการใช้ชีวิตโดยลบอดีตตัวเองในชื่อของ ชเวดัลพโย ลูกชายของชายแก่อัลไซเมอร์ที่บังเอิญเจอเขาเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ชเวอินฮา (พัคชินเฮ) หญิงสาวเป็นโรคพินอคคิโอ ที่โกหกแล้วจะสะอึก ต้องมาอยู่ชนบทกับพ่อหลังจากที่พ่อตัดสินใจหย่าร้างกับแม่ที่เป็นนักข่าวหญิง และทำให้ชวดัลพโยกลายเป็นลุงของชเวอินฮา ทั้งที่อายุไล่เลี่ยกัน เมื่อเติบโตขึ้น ชเวอินฮา ตัดสินใจที่จะเป็นนักข่าวเพื่อหวังว่าจะได้เจอแม่ของตัวเอง และใช้อาการของโรคพินอคคิโอเป็นจุดขาย ขณะที่ ชเวดัลพโย ต้องการที่จะอยู่ให้ไกลจากสื่อและนักข่าว แต่ก็มีเรื่องที่ทำให้เขาได้เจอจุดผลิกผัน เมื่อรู้ว่าแม่ของอินฮาคือนักข่าวที่นำเสนอข่าวครอบครัวของเขาในอดีต ทำให้เขาต้องกลายเป็นนักข่าวหน้าใหม่ เพื่อตามล่าหาความจริงและสะสางความเเค้นในใจ ที่ขัดกับความรักที่เขามีต่ออินฮา 2.ภัณฑารักษ์ (ดูแลพิพิธภัณฑ์) - Her Private Life (2019) ซีรีส์แนวโรแมนติก-คอมเมดี้ เรื่องราวของภัณฑารักษ์สาวมากความสามารถอย่าง ซองด็อกมี หญิงสาวผู้มีโลก 2ใบ ในชีวิตปกติเธอเป็นภัณฑารักษ์ ดูแลสิ่งของในพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งหนึ่ง ส่วนอีกโลกหนึ่งเธอเป็นติ่งตัวแม่ของนักร้องดัง กับ ไรอัน โกลด์ ผู้อำนวยการคนใหม่ที่ย่างก้าวเข้ามาในแกลลอรี่แชอุมและชีวิตของด็อกมีไปพร้อมๆกัน แต่ด้วยความบังเอิญทำให้เขาล่วงรู้ความลับของ ซองด็อกมี ว่าเธอเป็นติ่งตัวแม่ของ ชาชีอัน ทำให้เขาเริ่มสนใจในตัวเธอมากขึ้น ประกอบกับการทำงานร่วมกันหลายครั้งทำให้เขาและเธอสนิทกันมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นความรักขึ้นมานั่นเอง ซึ่งอาชีพภัณฑารักษ์ หรือที่หลายคนคุ้นเคยกับหน้าที่ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์หรือนิทรรศการ เป็นตำแหน่งที่มีความรับผิดชอบสูง เพราะนอกจากจะต้องมีความชำนาญเฉพาะด้านเป็นอย่างดีแล้ว ยังต้องมีความสามารถในการจัดการ บริหาร ดูแลและออกแบบการจัดแสดงต่าง ๆ เพื่อให้เป็นที่น่าสนใจอีกด้วย โดยหน้าที่ของภัณฑารักษ์จะแตกต่างกันไปตามลักษณะเฉพาะของสถานที่จัดแสดงนั่นเอง ซึ่งคนที่สนใจอยากทำอาชีพนี้ควรจบจากสาขาวิชาประวัติศาสตร์ โบราณคดี สาขาวิชาสังคมศาสตร์และพฤติกรรมศาสตร์ หรือสาขาวิชาวิจิตรศิลป์และประยุกต์ศิลป์นั่นเอง 3.ผู้พิทักษ์ป่า - Jirisan (2021) ซอยีคัง เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอุทยานแห่งชาติ Jirisan (จีรีซาน) ซึ่งมีประสบการณ์มากมายในการนำทาง ทำให้เธอมีความรู้ความเชี่ยวชาญ ในการติดตามบุคคลที่สูญหาย อยู่มาวันหนึ่ง เธอกลายเป็นคู่หูของคังฮยอนโจ เจ้าหน้าที่น้องใหม่ ของอุทยานฯ จบการศึกษาจากโรงเรียนทหารและเป็นอดีตผู้หมวด แต่ประสบเหตุการณ์อันน่าสยดสยองกับจีรีซานที่ทำให้เขากลายมาเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าที่นี่ ซีรีส์ถ่ายทอดเรื่องราวความลึกลับ เป็นปริศนาที่มีอยู่รายล้อมทั่วภูเขา ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีผู้มาเยือนมากมาย ผู้ที่มาเพื่อฆ่าและผู้ที่มาเพื่อจบชีวิตของตัวเอง 4.Web Portal Industry - Search WWW (2019) เรื่องราวจะเล่าถึงความขัดแย้ง, ชัยชนะ และการสูญเสีย จากประสบการณ์ของสาว 3 คนในการทำงาน ติดตามชีวิตของหญิงสาวในยุคศตวรรษที่ 21 ซึ่งเลือกที่จะไม่เป็นภรรยาหรือแม่ของลูกแต่อยากประสบความสำเร็จในการทำงาน คนแรก แบทามี (รับบทโดย อิมซูจอง) หญิงสาวในวัยเกิน 30 ซึ่งกำลังทำงานในวงการเทคโนโลยีให้กับ Unicorn องค์กรที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมนี้ แม้ว่าเธอจะชนะมามากมายแต่เธอก็ยังศีลธรรมในหัวใจ เธอมักจะให้ความสำคัญกับตัวเองมากกว่าการเดตมาโดยตลอด แต่ความคิดเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อ พัคโมกอน (รับบทโดย จางกียง) ซีอีโอและผู้ผลิตดนตรีประกอบในเกมส์สุดอัจฉริยะ ได้ก้าวเข้ามาในชีวิตของเธอ 5.Software Developer - Start-up (2020) เรื่องราวของ ซอดัลมี (รับบทโดย แบซูจี) ที่ต้องการจะตามหานัมโดซาน เพื่อนในจดหมายสมัยเด็กที่เป็นดั่งรักแรกของเธอให้มากู้หน้าเธอในงานเลี้ยงของพี่สาววอนอินแจ (รับบทโดย คังฮันนา) ทำให้ย่าของเธอที่รู้เรื่องทั้งหมดว่าแท้จริงแล้วนัมโดซานในจดหมายคือฮันจีพยอง (รับบทโดย คิมซอนโฮ) เด็กที่เธอดูแลอยู่ช่วงนึง ทำให้เธอต้องไหว้วานให้ฮันจีพยองตามหานัมโดซานตัวจริงมาให้กับหลานสาว แต่เมื่อฮันจีพยองได้เจอกับนัมโดซานตัวจริง (รับบทโดย นัมจูฮยอก) ก็ได้แต่ปวดหัวกับความไม่ตรงปกของนัมโดซานที่เขาได้วาดฝันไว้ นัมโดซานเป็นเพียงเด็กเนิร์ดอัจฉริยะที่ไม่รู้จักดูแลตัวเอง เปิดบริษัทที่ชื่อ “ซัมซานเทค” ของตัวเองเล็กๆกับเพื่อนอีก 2 คน ไม่ได้มีอะไรดีมากพอที่จะให้ดัลมีเอาไปอวดพี่สาวได้เลย แต่แล้วเมื่อโดซานได้อ่านจดหมายของดัลมีทั้งหมดแล้วเขาก็เกิดความอยากจะช่วยเธอขึ้นมา จึงลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองและไปเจอเธอในงานเลี้ยงของพี่สาวตามคำขอ และหลังจากนั้นการโกหกครั้งใหญ่ที่ทุกคนเป็นคนเริ่มผูกปมก็เริ่มขึ้น และเรื่องก็เหมือนจะยิ่งไปกันใหญ่เพราะพวกเขาต่างกลับมารวมตัวกันอีกครั้งใน SAND BOX เพื่อเดินตามฝันในการเริ่มทำธุรกิจของตัวเอง 6.นักพยากรณ์อากาศ - Forecasting Love and Weather (2022) ซีรีส์ที่บอกเล่าเรื่องราวการทำงานของหนุ่มสาวยุคใหม่ผ่านตัวละครอย่าง จินฮาคยอง นักพยากรณ์อากาศสาวเก่งผู้ยึดติดกับกฎเกณฑ์ ที่โดน ฮันกีจุน แฟนหนุ่มที่กำลังวางแผนจะแต่งงานกันนอกใจ ทั้งสองเลิกรากันทั้งๆที่ยังต้องทำงานอยู่ที่เดียวกัน จน จินฮาคยอง ได้มาพบกับ อีชีอู นักพยากรณ์อากาศหนุ่มคนใหม่ในทีม และตกหลุมรักกัน ซึ่งนั่นเองทำให้พวกเขาต้องคบกันแบบหลบๆซ่อนๆ โดยมีการตกลงกันไว้ว่าถ้ามีคนจับได้ความสัมพันธ์นี้ต้องจบลงทันที ซีรีส์นำเสนอเรื่องราวความรักวุ่นๆคู่ไปกับสายอาชีพที่แปลกใหม่อย่างนักพยากรณ์อากาศ เรียกว่าสนุกครบรสและลงตัวจริงๆ 7.โปรแกรมเมอร์ - Memories of the Alhambra (2018) ยูจินอู (รับบทโดย ฮยอนบิน) เจ้าของบริษัทจัดการการลงทุนที่กำลังพัฒนาโปรเจกต์ผลิตคอนแทคเลนส์ที่ออกแบบขึ้นมาโดยเฉพาะสำหรับการใช้คู่กับเทคโนโลยี AR โดยเขาได้เดินทางมายังประเทศสเปน เพื่อที่จะตามหาตัว จองเซจู (รับบทโดย ชานยอล EXO) โปรแกรมเมอร์อัจฉริยะที่เป็นนักพัฒนาเกม AR ที่ใช้ในการต่อสู้ในยุคกลาง โดยคิดว่าถ้าหากเกมที่เซจูพัฒนาสามารถนำมาต่อยอดใช้คู่กับเทคโนโลคอนแทคเลนส์ของจินอูได้ จะก่อให้เกิดรายได้มหาศาลและนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการเทคโนโลยีแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน แต่แล้วเซจูกลับหายตัวไปอย่างปริศนา ก่อนหน้าที่เซจูนัดหมายให้ จินอูมาพบที่โฮสเทลแห่งหนึ่งในเมืองกรานาดา ประเทศสเปน จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้พบกับ จองฮีจู (รับบทโดย พัคชินฮเย) พี่สาวของเซจูผู้เป็นเจ้าของโฮสเทลแห่งนี้ 8.นักเขียน เชฟ - Temperature Of Love (2017) ละครที่บอกเล่าถึงเรื่องราวของ คนสองคนที่คบและเลิกกันในระยะเวลาอันสั้นเนื่องจาก “อุณหภูมิรัก” ของพวกเขาไม่เท่ากัน และต่อมาพวกเขาได้มาพบกันอีกครั้ง และลงเอยด้วยการตกหลุมรักกัน ในจุดเหมาะสมของ “อุณหภูมิรัก” ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ของเขาและเธอก่อตัวเป็นรักที่แท้จริง อีฮยอนซู (รับบทโดย ซอฮยอนจิน) เธอลาออกจากบริษัทใหญ่ออกมาทำตามความฝันของตัวเอง และกลายเป็นนักเขียนบทละคร อนจองซอน (รับบท​โดย ยังเซจง) เชฟร้านอาหารมิชลิน ผู้มีความจริงใจ และอบอุ่น เขามีอายุน้อยกว่าอีฮยอนซู 6 เขาและเธอรู้จักกันครั้งแรกบนโลกออนไลน์ และความสัมพันธ์ของพวกเขากลับไม่ดีและต่างคนต่างแยกย้ายกันไป จนกระทั่งพวกเขาได้มาพบกันอีกครั้งในชีวิตจริง และ พัคจองอู (รับบทโดย คิมแจอุค) นักธุรกิจหนุ่มที่เปิดร้านอาหารร่วมกันกับอนจองซอน ถึงแม้ว่าภายนอกเขาจะดูเย็นชา แต่ภายในเป็นคนอบอุ่น จีฮงอา (รับบทโดย โจโบอา) เธอเป็นเพื่อนสนิทและผู้ช่วยนักเขียนของอีฮยอนซู แต่ความสัมพันธ์ของเพื่อนกลับขุ่นเคือง เมื่อจีฮงอา รู้ว่า อนจองซอน ตกหลุมรัก อีฮยอนซู 9.ผู้ดูแลผู้ป่วยแผนกจิตเวช - It’s Okay to Not Be Okay (2020) เรื่องนี้นำเสนออาชีพที่น่าสนใจทั้ง 2 อาชีพเลย นั่นคือพระเอกของเราที่รับหน้าที่ผู้ดูแลผู้ป่วยแผนกจิตเวช กับนางเอกของเรื่องที่เป็นนักเขียนหนังสือนิทานเด็ก โดย It's Okay to Not Be Okay เรื่องหัวใจไม่ไหวอย่าฝืน บอกเล่าเรื่องราวของ มุนกังเท เจ้าหน้าที่ดูแลผู้ป่วยจิตเวช ที่อุทิศตัวเพื่อผู้อื่นและคอยดูแลพี่ชายที่ป่วยเป็นออทิสติก กับ โกมุนยอง นักเขียนหนังสือสำหรับเด็กชื่อดัง ที่มีนิสัยต่อต้านสังคม และเมื่อทั้งคู่มาเจอกัน การเยียวยาจิตใจที่แสนพิเศษก็เริ่มต้นขึ้น 10.นักโภชนาการอาหาร - My Secret Romance (2017) เรื่องราวของนักโภชนาการสาวที่ต้องมาหัวหมุนกับมหกรรมความชุลมุนจากเรื่องเข้าใจผิดระหว่างเธอและเจ้านายใหม่ระดับมหาเศรษฐี ที่เคยมีความสัมพันธ์แบบ One Night Stand มาก่อน เวลาผ่านไป 3 ปี ทั้งคู่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง โดยนางเอกได้มาทำงานเป็นนักโภชนาการที่โรงอาหารของบริษัทพระเอก และทั้งคู่ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้จักกัน จากความสัมพันธ์แบบชั่วข้ามคืนที่ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นความรักที่มีความหมายมากขึ้น ซึ่งนักโภชนาการ (Nutritionist) คือ ผู้ที่จบการศึกษาด้านโภชนาการ และเป็นผู้มีความรู้ในการดูแลจัดบริการอาหารสำหรับผู้ป่วยในโรงพยาบาล และสามารถให้คำแนะนำโภชนาการทั่วไปได้ ความสำคัญของอาชีพนักโภชนาการอาหารคือ ดูแลโภชนาการของผู้ป่วยให้เหมาะสมกับสุขภาพร่างกาย ไม่จำกัดเพียงแค่ผู้ป่วยเท่านั้น ยังรวมถึงบุคคลทั่วไปที่ต้องการดูแลสุขภาพและบริโภคอาหารที่จะเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ร่างกายนั่นเอง 11.พนักงานบริษัททำความสะอาด - Clean with Passion for Now (2018) เรื่องราวความรักระหว่าง กิลโอซล (รับบทโดย คิมยูจอง) สาวน้อยมองโลกในแง่ดี ผู้มีนิสัยแปลกประหลาด และไม่สนใจเรื่องความสะอาดแม้แต่น้อย เนื่องจากทุ่มเทให้กับการทำงานจนหลงลืมเรื่องความสะอาดไปเสียสนิท กับ จางซอนคยอล (รับบทโดย ยุนคยุนซัง) CEO หนุ่มสุดหล่อ ฐานะดี เจ้าของบริษัท Cleaning Fairy ผู้เป็นโรคกลัวเชื้อโรคและสิ่งสกปรกรอบๆ ตัวเป็นที่สุด เขาจึงยกเรื่องความสะอาดให้เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในชีวิต เมื่อเขาและเธอมาเจอกัน ความอลหม่านจึงบังเกิด ซึ่งตำแหน่ง CEO ย่อมาจากคำว่า Chief Executive Officer หมายถึง บุคคลที่มีอำนาจและความรับผิดชอบสูงสุดในองค์การหรือบริษัท ได้รับมอบอำนาจหน้าที่จากคณะกรรมการอำนวยการ หรือบอร์ดของบริษัท ให้มีอำนาจในการจัดการ ซึ่งรวมถึงการกำหนดนโยบาย การตัดสินใจ และการใช้อำนาจจัดการบริษัทอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เนื่องจากหัวหน้าฝ่ายบริหารดังกล่าวจะเป็นผู้ที่มีส่วนสำคัญที่จะทำให้บริษัท มีกำไร หรือขาดทุน มีความเจริญก้าวหน้าหรือความอยู่รอดขององค์การ ดังนั้นผู้ที่เป็น CEO จึงต้องเป็นบุคคลที่มีความรู้และความสามารถสูง 12.นักวาดการ์ตูน - W (Two World) (2016) เรื่องราวของคนสองคนที่อยู่ในโลกที่แตกต่างกัน โอยอนจู (ฮันฮโยจู) ศัลยแพทย์ทรวงอกผู้มีชีวิตอยู่ในโลกแห่งความจริง คังชอล (อีจงซอก) ผู้บริหารร่วมของ เจเอ็น โกลบอล บริษัทพาณิชย์อิเล็กทรอนิคส์ เขาใช้ชีวิตอยู่ในโลกเสมือนที่ซึ่ง โอซองมู (คิมอึยซอง) ศิลปินเว็บตูนได้สร้างไว้ในเว็บของเขาเองที่ชื่อว่า ดับเบิลยู เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อยอนจูถูกดึงเข้าไปในโลกเสมือนและได้ช่วยชีวิตชอลเอาไว้ หลังจากเหตุการณ์นั้น เว็บตูนก็ดำเนินไปในรูปแบบที่ยอนจูพยายามช่วยเหลือคังชอล ขณะที่ซองมูพยายามที่จะฆ่าเขา 13.ทนายความ - Extraordinary Attorney Woo (2022) อูยองอู (รับบทโดย พัคอึนบิน) ทนายสาวที่มีอาการแอสเพอร์เกอร์ (Asperger’s Syndrome) หรือผู้ที่ขาดทักษะในการเข้าสังคม แต่ถูกทดแทนความฉลาด มีไอคิวสูงถึง 164 รวมไปถึงมีความทรงจำที่ยอดเยี่ยม และระบบความคิดที่สร้างสรรค์ โดยเธอเรียนจบด้วยคะแนนสูงสุดจากวิทยาลัยกฎหมายของมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล และต้องเผชิญอคติมากมาย แต่เธอไขคดีด้วยการใส่ใจในรายละเอียดและสังเกตเห็นช่องโหว่ทางกฎหมายที่คนอื่นมองไม่เห็น อูยองอู เริ่มทำงานเป็นทนายความฝึกหัดที่สำนักงานกฎหมายขนาดใหญ่ ฮันบาดา สำนักงานกฏหมายระดับแนวหน้าของเกาหลีใต้ ขณะทำงานที่นั่น เธอต้องเผชิญกับอคติและความไร้เหตุผลจากเพื่อนร่วมงานและลูกความที่มาว่าจ้างให้ทำคดี แต่เธอสามารถไขคดีด้วยมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอเอง และเติบโตในฐานะทนายความที่ยอดเยี่ยม รวมไปถึงความอยากรู้อยากเห็นของเธอในการลองเข้าสังคมกับคนอื่นด้วย 14.ตำรวจรับแจ้งเหตุฉุกเฉิน - Voice (2017) เรื่องราวของตำรวจสืบสวนมากความสามารถ ผู้ไขคดีสำคัญมาแล้วมากมาย ทว่าหลังจากต้องสูญเสียภรรยาไปด้วยน้ำมือของฆาตกรต่อเนื่อง ชีวิตเขาก็ตกต่ำลงเรื่อยๆ เนื่องจากรู้สึกผิดที่ไม่สามารถปกป้องคนรักได้ สุดท้ายจึงตัดสินใจร่วมมือกับ คังควอนจู ตำรวจน้องใหม่ ที่มีความสามารถด้านการวิเคราะห์เสียง เพื่อตามหาตัวฆาตกร ซึ่งเธอคนนี้ก็ถือเป็นผู้เคราะห์ร้ายที่ต้องสูญเสียพ่อไปด้วยน้ำมือของฆาตกรเช่นเดียวกัน โดยซีรีส์นำเสนอเรื่องการทำงานของตำรวจที่รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน ซึ่งผู้ชมจะได้เห็นขั้นตอนการทำงานของศูนย์แจ้งเหตุที่คอยประสานงานให้กับตำรวจในพื้นที่เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยนั่นเอง 15.ช่างแต่งหน้าเอฟเฟกต์ - My Absolute Boyfriend (2019) ซีรีส์แนวโรแมนติก-ดราม่า นำเสนออาชีพที่คอหนังหลายคนคุ้นเคยกันดี นั่นคือ ช่างแต่งหน้าเอฟเฟกต์ หรือเมคอัพสเปเชียล โดยซีรีส์บอกเล่าถึงเรื่องราวของช่างแต่งหน้าเอฟเฟกต์ฝีมือดี อึมดาด้า ที่แอบคบกับ มาวังจุน ซุปตาร์หนุ่มตัวท็อป ที่เริ่มเบื่อหน่ายกับความรักที่ต้องแอบซ่อน ทำให้รัก 7 ปีที่มีต้องหยุดลง กับ ซีโร่ไนน์ (Zero-Nine) หุ่นยนต์ปฏิบัติการเสมือนมนุษย์ ที่สร้างขึ้นมาโดยใช้โปรแกรมในการเป็นแฟนหนุ่มผู้สมบูรณ์แบบ เมื่อความใกล้ชิดทำให้ทั้งคู่ตกหลุมรักกัน และรักเก่าอย่าง วังจุน ก็ดันอยากได้เธอคืน และเจ้าของดั้งเดิมของซีโร่ไนน์อย่าง ไดอานา ก็กลับมาตามหาตัวพวกเขาเพื่อเอาซีโร่ไนน์กลับไป 16.นักวิจัยอาหาร - Business Proposal (2022) ซีรีส์ยอดนิยมฮิตติดกระแสอยู่ในช่วง 2022 สำหรับ Business Proposal นำเสนอเรื่องราวของ ชินฮารี นักวิจัยอาหารประจำบริษัท จีโอฟู้ด (GOfood) ที่ต้องไปนัดบอดแทนเพื่อนสนิท แต่เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายหนุ่มที่นัดบอดด้วยดันเป็น คังแทมู ประธานบริษัทของเธอเอง เรื่องราววุ่น ๆ ของความรักที่กว่าจะลงล็อกนั้นก็บันเทิงกันน่าดู นอกจากซีรีส์เรื่องนี้จะชวนฟินแล้ว ยังสอดแทรกเรื่องราวการทำงานของอาชีพนักวิจัยอาหาร หรือ ผู้ศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับอาหารเพื่อพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพของอาหาร เพื่อให้ปลอดภัย มีคุณภาพ คงมูลค่าทางโภชนาการ และมีรสชาติอร่อย โดยเราจะได้เห็นขั้นตอนบางส่วนของการพัฒนาผลิตอาหารสำเร็จรูปต่างๆ โดยมีนางเอกของเราเป็นผู้ทำการทดลองและคิดค้นสูตรอาหารใหม่ๆให้กับบริษัทอีกด้วย 17.นักออกแบบอักษร - More than Friends (2020) ซีรีส์เกาหลีโรแมนติก-คอมเมดี้ สายเฟรนด์โซนที่ใครเคยแอบรักเพื่อนจะต้องอินยิ่งกว่าเดิม กับเรื่องราวของ คยองอูยอน หญิงสาวที่อาชีพออกแบบตัวอักษร กับ อีซู หนุ่มช่างภาพที่ทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่ไม่มีใครเคยรู้เลยว่า คยองอูยอน แอบรักเพื่อนสนิทมากว่า 10 ปี แต่มีเรื่องของเฟรนด์โซนทำให้เธอไม่กล้าที่จะบอกความในใจออกไป ทั้งคู่ต่างแยกจากกันตั้งแต่เรียนจบ แต่วันหนึ่งโชคชะตาก็พาทั้งคู่กลับมาพบกันอีก ครั้งนี้ คยองอูยอน จะกล้าทำลายกำแพงเฟรนด์โซน แล้วพัฒนาความรักกับเพื่อนสนิทอย่าง อีซู ได้หรือไม่ ต้องรอให้เราผู้ชมเข้าไปเอาใจช่วยนางเอกของเราในซีรีส์เกาหลีกันแล้วล่ะ ซึ่งนักออกแบบตัวอักษร หรือ type designer คือเป็นคนที่ทำงานออกแบบตัวอักษร และครอบคลุมไปถึงการออกแบบโลโก้ที่เป็นตัวอักษร การออกแบบฟอนต์ และรวมถึงการออกแบบ lettering คือเป็นการออกแบบครบวงจรทุกอย่างเกี่ยวกับตัวอักษร กระทั่งการแก้ไขตัวอักษรที่มันควรจะได้รับการซ่อมแซม เช่นการรีแบรนด์ โลโก้ยังต้องมีรีแบรนด์ ตัวอักษรก็มี treatment ของเค้าด้วย ซึ่งต้องมีทักษะในการออกแบบ และทักษะในการพิสูจน์อักษร จะเห็นได้ว่า ยังมีอีกหลากหลายอาชีพจากในซี่รี่ส์ที่หลายคนอาจไม่ค่อยรู้จัก แต่ก็เป็นอาชีพที่ทรงคุณค่า น่าทำ และมีอยู่บนโลกนี้จริงๆ เพราะฉะนั้น ก่อนจะเริ่มลงลึกในสายอาชีพใดๆก็ตาม ควรศึกษาให้ครบถ้วนก่อนตัดสินใจ เพื่อการเลือกสาขาอาชีพที่ต้องต่อเป้าหมายและความต้องการในชีวิตการงานระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือหากยังไม่แน่ใจ สามารถเข้ามาศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับทั้งในด้านการหางานที่ใช่ หรือวิธีการพัฒนาตัวเองให้ตรงตามเป้าหมายชีวิตการงาน ได้ที่ Career Portal อ้างอิง: movie.kapook library.wu.ac.th krungsri sanook korseries

    K-series
    Korean Series
    Career
    Feb 13, 2025
    3 min