Logo
  • โปรไฟล์มืออาชีพ
  • งาน
  • อาชีพ
    เส้นทางอาชีพการเติบโตการศึกษาแรงบันดาลใจบุคลิกภาพ
    งานและอุตสาหกรรมการค้นหางานประวัติ & ผลงานเงินเดือนความเป็นอยู่ที่ดี
  • การศึกษา
  • เครื่องมือสร้างเรซูเม่
  • สำหรับผู้ใช้งานองค์กร



  • Jobcadu Logo

    แพลตฟอร์มอาชีพที่ดีที่สุดสำหรับการหางาน, การสรรหาบุคลากร, ค้นหาอาชีพ และค้นพบแหล่งการศึกษา

    30,000+ หน้าหางาน

    งานตามหมวดหมู่

    การขาย

    การตลาด

    บัญชีและการเงิน

    เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT)

    ข้อมูลและการวิเคราะห์

    สำหรับผู้หางาน

    หน้าหางาน

    เครื่องมือสร้างเรซูเม่

    ทรัพยากรด้านการศึกษา

    ทรัพยากรเรซูเม่

    ประกาศงาน

    ประกาศงาน

    แหล่งข้อมูล

    เกี่ยวกับเรา

    ข้อกำหนดการใช้งาน

    นโยบายความเป็นส่วนตัว


    © 2025 Jobcadu. สงวนลิขสิทธิ์ทั้งหมด

    1. หน้าแรก

    2. อาชีพ

    3. Sự bùng nổ của ví điện tử và ngân hàng số: Đông Nam Á đang “vượt mặt” thẻ tín dụng

    Sự bùng nổ của ví điện tử và ngân hàng số: Đông Nam Á đang “vượt mặt” thẻ tín dụng

    โพสต์เมื่อ September 26, 2025

    Job Search

    แท็ก:

    ví điện tử
    ngân hàng số
    thanh toán số
    tài chính số
    xu hướng thanh toán
    Sự bùng nổ của ví điện tử và ngân hàng số: Đông Nam Á đang “vượt mặt” thẻ tín dụng

    Nếu ở Mỹ hay châu Âu, thẻ tín dụng từng là biểu tượng của sự hiện đại và tự do tài chính, thì tại Đông Nam Á, biểu tượng đó đang dần nhường chỗ cho ví điện tử và ngân hàng số.

    Con số biết nói: tại Indonesia, 35% giao dịch thương mại điện tử được thực hiện qua ví điện tử; ở Philippines là 34%; Malaysia 25%; và Việt Nam 18%. Những tỷ lệ này tuy khác nhau, nhưng cùng kể chung một câu chuyện: người tiêu dùng Đông Nam Á không còn xem thẻ tín dụng là “cửa ngõ” duy nhất để tiếp cận thế giới mua sắm trực tuyến.

    Vì sao ví điện tử lại “lên ngôi”?

    Câu trả lời nằm ở ba yếu tố: tiện lợi, phổ cập, và bản địa hóa.

    • Tiện lợi: chỉ cần một chiếc smartphone, người dùng có thể thanh toán từ tách cà phê, cuốc xe công nghệ, cho tới đơn hàng vài triệu đồng mà không cần nhập dãy số dài ngoằng trên thẻ.

    • Phổ cập: khác với thẻ tín dụng vốn yêu cầu lịch sử tín dụng và thu nhập ổn định, ví điện tử mở rộng cánh cửa cho cả sinh viên, người lao động tự do, hay những ai chưa có tài khoản ngân hàng.

    • Bản địa hóa: các nền tảng nội địa như GoPay (Indonesia), GCash (Philippines), Momo (Việt Nam) am hiểu thị trường, tung ra vô số khuyến mãi, hoàn tiền, liên kết với dịch vụ bản địa – thứ mà Visa hay Mastercard khó lòng cạnh tranh trực diện.

    Câu chuyện tài chính toàn diện

    Ví điện tử không chỉ là công cụ thanh toán. Nó còn là cánh cửa đưa hàng triệu người lần đầu tiếp cận hệ thống tài chính. Ở Philippines, GCash được coi như “tài khoản ngân hàng đầu tiên” của nhiều người. Tại Việt Nam, Momo hay ZaloPay không chỉ giúp thanh toán hóa đơn mà còn tích hợp đầu tư, bảo hiểm, tiết kiệm.

    Điều này đặt ra một viễn cảnh thú vị: thay vì đi theo con đường “thẻ tín dụng → ngân hàng số” như phương Tây, Đông Nam Á đang trực tiếp nhảy sang kỷ nguyên mobile-first finance – tài chính bắt đầu từ chiếc điện thoại.

    Visa, Mastercard: kẻ “chịu trận”?

    Không thể nói các ông lớn quốc tế bị bỏ lại phía sau. Họ vẫn giữ vai trò xương sống trong hệ thống thanh toán toàn cầu. Nhưng tại Đông Nam Á, ảnh hưởng của họ đã và đang bị thách thức rõ rệt. Khi người tiêu dùng quen với việc quét QR code hay dùng ví điện tử để trả góp, chiếc thẻ nhựa trong ví ngày càng ít được rút ra.

    Tương lai: cuộc chơi còn dài

    Liệu ví điện tử và ngân hàng số có thực sự “vượt mặt” thẻ tín dụng? Ở một khía cạnh, câu trả lời là có – bởi chúng đang trở thành lựa chọn mặc định của số đông người dùng. Nhưng ở khía cạnh khác, đây không hẳn là cuộc chiến triệt tiêu, mà là sự tái định hình hệ sinh thái thanh toán. Các nền tảng quốc tế buộc phải tìm cách bắt tay với các ví nội địa, thay vì đối đầu trực diện.

    Tóm lại: Câu chuyện Đông Nam Á không chỉ là sự bùng nổ của công nghệ thanh toán, mà còn là minh chứng cho một con đường phát triển khác biệt: từ ví điện tử đi thẳng đến tài chính toàn diện, bỏ qua giai đoạn “thẻ tín dụng thống trị”. Và đó mới là điều khiến thế giới phải nhìn lại.


    อาชีพที่เกี่ยวข้อง

    Thumbnail for Job Description (JD) คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไรในโลกของการทำงาน

    Job Description (JD) คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไรในโลกของการทำงาน

    เคยเห็นคำว่า Job Description (JD) ในประกาศรับสมัครงานไหม? หลายคนอาจมองข้าม แต่จริง ๆ แล้วมันคือ “หัวใจสำคัญ” ที่บอกทุกอย่างเกี่ยวกับตำแหน่งงาน ตั้งแต่หน้าที่ ความรับผิดชอบ ไปจนถึงคุณสมบัติที่ใช่ของผู้สมัคร มาดูกันว่าทำไม JD ถึงสำคัญกว่าที่คิด! Job Description หรือ JD เป็นเอกสารที่มีการบรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับตำแหน่งงาน ซึ่งรวมถึงหน้าที่ ความรับผิดชอบ คุณสมบัติที่ต้องการ และเงื่อนไขการทำงาน เป็นการสื่อสารที่ชัดเจนระหว่างนายจ้างกับพนักงาน ทำให้ทุกคนเข้าใจว่าตำแหน่งงานนั้นต้องการอะไรบ้าง องค์ประกอบของ JD ที่ควรรู้ การเขียน JD ที่ดี ควรมีองค์ประกอบหลักดังนี้: ชื่อตำแหน่งงาน (Job Title): ชื่อตำแหน่งงานเป็นส่วนแรกและสำคัญที่สุด เพราะเป็นสิ่งที่ใช้ในการอ้างอิงและเรียกตำแหน่งนั้น ชื่อตำแหน่งควรชัดเจน เข้าใจง่าย และสะท้อนภาระงานที่แท้จริงได้ดี  เช่น Marketing Executive, Software Developer, HR Officer เป็นต้น บางองค์กรอาจเพิ่มแผนกหรือระดับความรับผิดชอบ เช่น Senior Marketing Manager (Digital) เพื่อให้เข้าใจได้ทันทีว่าทำงานสายไหนและระดับใด หน้าที่และความรับผิดชอบ (Responsibilities): นี่คือส่วนที่อธิบายว่างานหลักๆ ที่จะต้องทำวันต่อวัน ควรระบุให้ชัดเจนว่า งานอะไรเป็นหน้าที่หลัก งานใดเป็นหน้าที่รอง ใครที่คุณจะต้องรายงานผล ใครที่คุณจะต้องสนับสนุน เช่น สำหรับตำแหน่ง "Marketing Manager" หน้าที่อาจรวมถึง การวางแผนแคมเปญการตลาด  การวิเคราะห์ข้อมูลตลาด และการรายงานผลแก่ผู้บริหาร คุณสมบัติและทักษะที่ต้องการ (Qualifications & Skills): องค์ประกอบนี้ระบุว่าบุคคลต้องมีอะไรเพื่อสำเร็จในตำแหน่งนี้ คุณสมบัติของบุคลากร: ระดับการศึกษา (ปริญญาตรี ปริญญาโท เป็นต้น) ประสบการณ์ที่ต้องการ (เช่น มี 3-5 ปีประสบการณ์ในด้าน Marketing) ความเชี่ยวชาญเฉพาะ (ถ้ามี) ทักษะที่ต้องการ: ทักษะเทคนิค (Technical Skills) เช่น ความสามารถใช้ software, programming languages ทักษะนุ่ม (Soft Skills) เช่น การสื่อสาร การทำงานเป็นทีม ความสามารถในการแก้ปัญหา ทักษะภาษา (ภาษาอังกฤษ, ภาษาไทย) ความสำคัญของ JD ต่อผู้สมัครงาน 1. ความเข้าใจชัดเจน: JD ช่วยให้ผู้สมัครงานรู้ว่างานนี้มีลักษณะอย่างไร ต้องทำอะไร ไม่มีการสับสนหรือความคาดหวังที่ไม่ตรงกัน 2. การเลือกงานที่เหมาะสม: ผู้สมัครสามารถประเมินว่าตนเองเหมาะสมกับตำแหน่งนี้หรือไม่ ก่อนตัดสินใจสมัครงาน  ช่วยประหยัดเวลาของทั้งสองฝ่าย 3. การเตรียมตัวสอบสัมภาษณ์: JD ให้ข้อมูลว่าผู้สมัครควรพัฒนาหรือเตรียมอะไรบ้างเพื่อให้พร้อมสำหรับตำแหน่ง 4. ความยุติธรรมในการประเมิน: ผู้สมัครทุกคนอยู่บนเกณฑ์เดียวกัน เพราะทุกคนรู้ว่าคุณสมบัติและทักษะที่ต้องการคืออะไร ความสำคัญของ JD ต่อองค์กรและ HR 1. การทำให้ชัดเจนบทบาทและความรับผิดชอบ: ช่วยให้พนักงานรู้ว่าต้องทำอะไร ซึ่งลดความสับสนและความขัดแย้งในที่ทำงาน 2. การประเมินผลการทำงาน (Performance Evaluation): เมื่อมี JD ชัดเจน HR สามารถประเมินผลการทำงานของพนักงานได้ยุติธรรมและเป็นตัวเลข ตามผลงานที่คาดไว้ 3. การบริหารเงินเดือนและค่าจ้าง: JD ช่วยให้องค์กรสามารถกำหนดเงินเดือนที่เหมาะสมตามความซับซ้อนของงานและระดับความรับผิดชอบ 4. การติดตามการพัฒนาบุคลากร (Training and Development:) โดยการเลือกหลักสูตรการฝึกอบรมที่ตรงกับความต้องการของงาน 5. การลดการเลือกสรร (Bias Reduction): กำหนดเกณฑ์เดียวกันสำหรับผู้สมัครทั้งหมด ช่วยลดอคติในการสรรหาคนเข้างาน ตัวอย่าง JD จริง Marketing Executive วางแผนและดำเนินการแคมเปญการตลาดออนไลน์ สร้างและจัดการคอนเทนต์บนโซเชียลมีเดีย ประสานงานกับทีมดีไซน์และพาร์ทเนอร์ คุณสมบัติ: จบการศึกษาด้านการตลาดหรือสาขาที่เกี่ยวข้อง มีทักษะการสื่อสารที่ดี รักงานครีเอทีฟ ใช้เครื่องมือโฆษณาออนไลน์ (Facebook Ads, Google Ads) ได้ HR Officer: จัดการงานสรรหาและสัมภาษณ์พนักงาน ดูแลข้อมูลพนักงานและสวัสดิการ สนับสนุนกิจกรรมภายในองค์กร คุณสมบัติ: มีความรู้พื้นฐานด้านกฎหมายแรงงาน ใช้โปรแกรม HRM System ได้ มีทักษะการสื่อสารและประสานงานที่ดี สรุป : ทำไม JD ถึงเป็น “หัวใจ” ของทั้งการหางานและการบริหารงาน Job Description ไม่ใช่เพียงเอกสารแบบฟอร์มทั่วไป แต่เป็นสะพานเชื่อมที่สำคัญระหว่างองค์กรและพนักงาน ประโยชน์ของ JD มีหลายด้าน สำหรับผู้สมัครงาน: JD ให้ความชัดเจนในการเลือกงาน ช่วยลดความผิดหวัง และเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการสัมภาษณ์ สุดท้ายช่วยให้คนที่เหมาะสมสมัครงาน สำหรับองค์กรและ HR: JD ช่วยให้การทำงานประเมินผล บริหารความเสี่ยง และพัฒนาบุคลากรได้อย่างเป็นระบบ ลดปัญหาในการจัดการทรัพยากรบุคคลและช่วยเพิ่มความสำเร็จขององค์กร ดังนั้น JD ที่ดีและชัดเจนจึงเป็นพื้นฐานของการบริหารทรัพยากรบุคคลที่มีประสิทธิภาพ และเป็นหัวใจของกระบวนการหางานและการบริหารงาน ในองค์กรสมัยใหม่ พร้อมหางานที่มี JD ชัดเจนและตรงกับคุณแล้วหรือยัง?  ค้นหางานที่ใช่สำหรับคุณได้ที่ Jobcadu.com

    Oct 20, 2025
    Thumbnail for 5 แหล่งหางานล่าสุด ปี 2025: ได้งานชัวร์ ไม่ต้องง้อป้าข้างบ้าน! | Jobcadu

    5 แหล่งหางานล่าสุด ปี 2025: ได้งานชัวร์ ไม่ต้องง้อป้าข้างบ้าน! | Jobcadu

    ยุคสมัยของการหางานเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในปี 2025! หากใครกำลังมองหางานใหม่ที่ท้าทาย ตรงกับความสามารถ และเป็นก้าวสำคัญในเส้นทางอาชีพ แต่รู้สึกเบื่อหน่ายกับการเลื่อนดู Job Board เดิม ๆ ที่เต็มไปด้วยประกาศซ้ำ ๆ ใช้งานยาก! ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะหมดไป เราได้รวบรวม 5 แหล่งหางานสุดปัง ที่พิสูจน์แล้วว่าได้งานจริง มาดูกันว่ามีที่ไหนบ้างที่จะช่วยให้เราสามารถคว้างานในฝันมาครองได้สำเร็จ! 1. LinkedIn: เครือข่ายมืออาชีพไร้ขีดจำกัด ปลดล็อกโอกาสทางอาชีพของคุณ ในโลกดิจิทัลปัจจุบัน LinkedIn ยังคงเป็นแพลตฟอร์มที่ทรงพลังและจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักหางานมืออาชีพ ด้วยฐานผู้ใช้งานมหาศาลจากทั่วโลก ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสายงานใด LinkedIn ก็สามารถเป็นสะพานเชื่อมคุณกับโอกาสที่น่าตื่นเต้นได้ แพลตฟอร์มนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ที่สำหรับสร้างโปรไฟล์ที่สวยงามเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งรวมประกาศรับสมัครงานจากบริษัทชั้นนำมากมาย ตั้งแต่สตาร์ทอัพไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ระดับโลก คุณสามารถ: สร้างเครือข่ายมืออาชีพ: เชื่อมต่อกับผู้คนในสายงานที่คุณสนใจ สร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับผู้มีประสบการณ์และผู้บริหาร ซึ่งอาจนำไปสู่โอกาสในการทำงานที่ไม่คาดคิด ติดตามบริษัทในฝัน: กดติดตามเพจของบริษัทที่คุณอยากร่วมงานด้วย เพื่อไม่พลาดข่าวสารล่าสุด วัฒนธรรมองค์กร และแน่นอนว่าคือ ตำแหน่งงานว่าง ที่เพิ่งเปิดรับ เรียนรู้และพัฒนาทักษะ: LinkedIn Learning มีคอร์สเรียนออนไลน์มากมายที่ช่วยเพิ่มพูนทักษะที่ตลาดแรงงานต้องการ ทำให้โปรไฟล์ของคุณโดดเด่นเหนือคู่แข่ง เคล็ดลับสำคัญ: อัปเดตโปรไฟล์ LinkedIn ของคุณให้ครบถ้วนและน่าสนใจอยู่เสมอ ใส่ใจรายละเอียดในส่วนของประสบการณ์การทำงาน ทักษะ และโครงการที่คุณเคยทำ รวมถึงใช้ (Keywords) ที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่คุณต้องการ เพื่อให้ Recruiter ค้นหาคุณเจอได้ง่ายขึ้นและเห็นถึงศักยภาพของคุณ! 2. เว็บไซต์บริษัทโดยตรง: ทางลัดสู่ตำแหน่งที่ใช่ เข้าถึงโอกาสก่อนใคร บ่อยครั้งที่ตำแหน่งงานดีๆ โอกาสทองที่แท้จริง ไม่ได้ถูกประกาศบน Job Board ทั่วไป แต่จะถูกโพสต์ไว้บน เว็บไซต์ของบริษัทโดยตรง การเข้าไปสำรวจหน้า "Careers," "Join Us," หรือ "ร่วมงานกับเรา" บนเว็บไซต์ของบริษัทที่คุณสนใจโดยตรง จึงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการเข้าถึงโอกาสงานก่อนใคร และที่สำคัญคือได้ข้อมูลที่แม่นยำที่สุดเกี่ยวกับตำแหน่งนั้นๆ ความได้เปรียบในการแข่งขัน: คุณมักจะได้เห็นตำแหน่งงานที่เพิ่งเปิดใหม่เป็นคนแรกๆ ซึ่งหมายถึงโอกาสที่คุณจะสมัครและได้รับการพิจารณาก่อนคู่แข่งคนอื่นๆ ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับองค์กร: การสำรวจเว็บไซต์บริษัทโดยตรงช่วยให้คุณได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมองค์กร วิสัยทัศน์ พันธกิจ และผลิตภัณฑ์หรือบริการของบริษัท ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ในการเขียนจดหมายสมัครงานและเตรียมตัวสัมภาษณ์ ขั้นตอนการสมัครที่รวดเร็ว: บางครั้งการสมัครผ่านเว็บไซต์บริษัทโดยตรงอาจมีขั้นตอนที่กระชับและรวดเร็วกว่า ช่วยให้คุณประหยัดเวลาและสมัครได้ทันท่วงที เคล็ดลับสำคัญ: สร้าง ลิสต์รายชื่อบริษัทในฝัน ของคุณ และหมั่นเข้าไปตรวจสอบหน้าสมัครงานของบริษัทเหล่านั้นเป็นประจำ โดยเฉพาะบริษัทที่คุณเล็งไว้เป็นพิเศษ การตั้งค่าการแจ้งเตือน (Job Alert) หากมีให้ ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยให้คุณไม่พลาดโอกาส! 3. กิจกรรมและงานอีเวนต์สายอาชีพ: โอกาสทองของการสร้างคอนเนกชั่นและพบปะผู้คนตัวจริง ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมหาศาล การกลับไปสู่การสร้างคอนเนกชั่นแบบออฟไลน์ก็ยังคงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง งานอีเวนต์สายอาชีพ งานสัมมนา หรือแม้แต่งาน Meetup เฉพาะทาง สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่คุณสนใจ เป็นโอกาสอันดีเยี่ยมในการสร้างเครือข่ายที่มีคุณค่าและค้นพบโอกาสใหม่ๆ พบปะผู้คนในอุตสาหกรรม: คุณจะได้พบปะและพูดคุยกับผู้ที่ทำงานในสายงานเดียวกันหรือสายงานที่คุณสนใจโดยตรง ซึ่งอาจเป็นผู้จัดการ ผู้บริหาร หรือแม้แต่ Recruiter จากบริษัทชั้นนำ การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีสามารถนำไปสู่การแนะนำงานในอนาคต เรียนรู้เทรนด์ใหม่ๆ และอัปเดตความรู้: งานอีเวนต์เหล่านี้มักมีการบรรยายหรือเวิร์คช็อปที่ให้ความรู้เกี่ยวกับเทรนด์ล่าสุดในอุตสาหกรรม ทักษะที่ตลาดต้องการ และนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งจะช่วยให้คุณพัฒนาตัวเองและเพิ่มโอกาสในการได้งาน โอกาสในการรับสมัครงาน ณ สถานที่: หลายครั้งที่บริษัทมาเปิดบูธและรับสมัครพนักงานในงานเลย คุณอาจได้โอกาสในการสัมภาษณ์เบื้องต้น หรือยื่นใบสมัครและพูดคุยกับผู้จัดการฝ่ายบุคคลโดยตรงในงาน เคล็ดลับสำคัญ: เตรียม เรซูเม่ฉบับย่อ ที่กระชับและโดดเด่น รวมถึง นามบัตร ของคุณติดตัวไปด้วย เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการแนะนำตัวเองสั้นๆ (Elevator Pitch) ที่กระชับ น่าสนใจ และสื่อถึงสิ่งที่คุณต้องการและสิ่งที่คุณสามารถทำได้ 4. Referral Programs: เครือข่ายภายในคือพลัง สู่การได้งานที่คุณต้องการ การฝากเพื่อนหรือคนรู้จักแนะนำงาน หรือที่เรียกว่า Referral Program เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่มีประสิทธิภาพสูงมากในการหางาน และมักถูกมองข้ามไป หลายบริษัททั่วโลกนิยมการจ้างงานผ่านช่องทางนี้เป็นอย่างมาก เพราะเชื่อมั่นในคุณภาพของผู้สมัครที่ได้รับการแนะนำมาจากพนักงานภายในองค์กรของตนเอง ความน่าเชื่อถือที่สูงกว่า: ผู้สมัครที่ถูกแนะนำมักจะได้รับความสนใจเป็นพิเศษจาก Recruiter เนื่องจากเป็นการกรองเบื้องต้นจากพนักงานที่รู้จักทั้งวัฒนธรรมองค์กรและความต้องการของตำแหน่งงานนั้นๆ โอกาสได้งานที่สูงกว่า: มีสถิติชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ผู้สมัครที่มาจากการแนะนำมีโอกาสได้งานสูงกว่าผู้สมัครจากช่องทางอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ กระบวนการที่รวดเร็ว: บางครั้งกระบวนการคัดเลือกผู้สมัครที่มาจากการแนะนำอาจรวดเร็วกว่า เพราะมีการรับรองจากคนภายในองค์กร เคล็ดลับสำคัญ: สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงานเก่า อาจารย์ หรือคนรู้จักที่ทำงานในบริษัทที่คุณสนใจ อย่าลังเลที่จะแจ้งให้พวกเขาทราบว่าคุณกำลังมองหางาน และให้ข้อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติ ทักษะ และตำแหน่งที่คุณสนใจอย่างชัดเจน เพื่อให้พวกเขาสามารถแนะนำคุณได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม 5. Jobcadu: แหล่งรวมโอกาสงานสายอาชีพที่คุณไม่ควรมองข้าม พร้อมโอกาสเติบโตไม่จำกัด ในฐานะที่คุณกำลังมองหางานที่ตรงสายอาชีพ ต้องการแพลตฟอร์มที่เข้าใจความต้องการของทั้งผู้สมัครและบริษัท และต้องการตัวช่วยที่นำไปสู่โอกาสในการเติบโตในระยะยาว Jobcadu คือแหล่งหางานที่ออกแบบมาเพื่อคุณโดยเฉพาะ! เราไม่ได้เป็นเพียงแค่แพลตฟอร์มรวมประกาศงาน แต่เราคือ พันธมิตรที่เข้าใจในเส้นทางอาชีพของคุณ เรามุ่งเน้นที่การจับคู่ผู้สมัครที่มีทักษะ ประสบการณ์ และความสนใจที่ตรงกับตำแหน่งงานที่ใช่ในบริษัทที่เหมาะสมที่สุด ทำให้คุณไม่ต้องเสียเวลาไปกับการค้นหาที่ไม่ตรงจุดและพบกับความผิดหวัง Jobcadu แตกต่างอย่างไร? เน้นความตรงจุด: เราคัดสรรตำแหน่งงานคุณภาพที่ตรงกับสายอาชีพและความต้องการของคุณอย่างแท้จริง ลดเวลาในการค้นหาและเพิ่มโอกาสในการได้งานที่ใช่ โอกาสเติบโตในระยะยาว: เราไม่เพียงแค่หา "งาน" ให้คุณ แต่เราหา "โอกาส" ที่จะช่วยให้คุณเติบโตในสายอาชีพ สร้างทักษะใหม่ๆ และก้าวหน้าในอนาคต ระบบจับคู่ที่ชาญฉลาด: แพลตฟอร์มของเราใช้เทคโนโลยีในการช่วยคัดกรองและนำเสนอตำแหน่งที่เหมาะสมกับโปรไฟล์ของคุณมากที่สุด ทำให้คุณได้รับแต่ประกาศงานที่เกี่ยวข้องและมีแนวโน้มจะได้งานสูง เป็นมากกว่า Job Board: เราให้คำแนะนำและข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอาชีพของคุณ เพื่อให้คุณพร้อมสำหรับการแข่งขันในตลาดแรงงานปี 2025 อย่ารอช้า! เริ่มต้นเส้นทางอาชีพใหม่ที่น่าตื่นเต้นกับ Jobcadu Jobs วันนี้! ลงทะเบียนสร้างโปรไฟล์ของคุณ และค้นพบโอกาสงานที่รอคุณอยู่ เราพร้อมสนับสนุนคุณในการก้าวไปสู่เป้าหมายในอาชีพ และประสบความสำเร็จในแบบที่คุณวาดฝันไว้ สรุป: การหางานในปี 2025 ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ Job Board ทั่วไปอีกต่อไป การเปิดใจและใช้ประโยชน์จาก 5 แหล่งหางานที่เราแนะนำ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเครือข่ายผ่าน LinkedIn การค้นหาโอกาสบน เว็บไซต์บริษัทโดยตรง การเข้าร่วม กิจกรรมและงานอีเวนต์สายอาชีพ การใช้พลังของ Referral Programs หรือการเริ่มต้นเส้นทางกับ Jobcadu ที่จะช่วยจับคู่คุณกับโอกาสที่ใช่ ทั้งหมดนี้จะเพิ่มโอกาสให้คุณได้งานที่ตรงใจ ได้งานชัวร์ และประสบความสำเร็จในเส้นทางอาชีพอย่างที่คุณต้องการ!

    Jun 11, 2025
    Thumbnail for รวม 23 เหตุผลไม่เสี่ยงตุ้บ! เมื่อต้องตอบ HR ว่า 'ทำไมถึงลาออกจากที่ทำงานเก่า?' พร้อมเทคนิคการตอบที่เหมาะสมและไม่ทำให้คุณดูแย่

    รวม 23 เหตุผลไม่เสี่ยงตุ้บ! เมื่อต้องตอบ HR ว่า 'ทำไมถึงลาออกจากที่ทำงานเก่า?' พร้อมเทคนิคการตอบที่เหมาะสมและไม่ทำให้คุณดูแย่

    การถูก HR ถามว่า "ทำไมถึงลาออกจากที่ทำงานเก่า?" ในการสัมภาษณ์อาจทำให้ใครหลายคนที่กำลังมองหางานใหม่ รู้สึกเครียด กังวล และ รู้สึกยากลำบากในการตอบไม่ว่าจะเป็นเหตุผลอย่างไรก็ตามแต่  วันนี้ Jobcadu จึงได้รวบรวม 23 เหตุผลที่สามารถใช้เป็นแนวทางในการตอบได้พร้อมเทคนิคการตอบแบบมืออาชีพ ให้โดนใจผู้สัมภาษณ์ จะมีเหตุผลใดบ้าง มาดูกันเลย! 1.ต้องการโอกาสก้าวหน้าในอาชีพ: ที่เดิมไม่มีโอกาสเติบโตตามที่คาดหวัง 2.ต้องการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ: อยากพัฒนาตัวเองในสายงานที่ท้าทายขึ้น 3.อยากเปลี่ยนสายงาน: สนใจงานที่เหมาะสมกับเป้าหมายระยะยาวของตัวเอง 4.ต้องการรายได้ที่สอดคล้องกับประสบการณ์: เงินเดือนที่เดิมไม่ตอบโจทย์การเติบโต 5.อยากหาสมดุลระหว่างงานและชีวิต (Work-Life Balance): ที่ทำงานเก่าให้ทำงานนอกเวลา ทำให้ไม่สามารถจัดการเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ 6.ปัญหาสุขภาพ: งานที่เดิมมีผลกระทบต่อสุขภาพทางกายและทางใจ เช่น โรคเครียดสะสม หรือการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ 7.ย้ายที่อยู่อาศัย: ไม่สะดวกเดินทางหรือย้ายถิ่นฐาน 8.องค์กรปรับโครงสร้าง: บริษัทมีการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อหน้าที่งาน 9.เลิกจ้าง/ลดพนักงาน: บริษัทปรับลดจำนวนพนักงานหรือปิดแผนก 10.ต้องการหาสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีกว่า: บรรยากาศที่ทำงานไม่เหมาะกับสไตล์ของตนเอง 11.ต้องการทำงานในบริษัทที่มั่นคงกว่า: บริษัทเก่ามีปัญหาทางการเงินหรืออนาคตไม่แน่นอน 12.ขาดโอกาสในการพัฒนาตัวเอง: ไม่มีการอบรมหรือพัฒนาในสายงาน 13.สไตล์การทำงานของทีมไม่เท่ากัน: ทำให้การจัดการงานหรือบริหารงานได้ไม่เหมาะสม 14.ต้องการทำงานที่ท้าทายขึ้น: งานที่เดิมซ้ำซากและไม่มีโอกาสเรียนรู้เพิ่ม 15.หมดสัญญาจ้าง: เป็นงานสัญญาระยะสั้น และไม่มีการต่อสัญญา 16.เปลี่ยนแปลงเป้าหมายชีวิต: มองหาอาชีพที่ตอบโจทย์เป้าหมายชีวิตใหม่ 17.ต้องการอิสระในการทำงานมากขึ้น: อยากทำงานที่มีความยืดหยุ่นกว่า 18.บริษัทมีปัญหาด้านวัฒนธรรมองค์กร: ค่านิยมและวัฒนธรรมไม่ตรงกับแนวทางของตัวเอง 19.ไม่มีความมั่นคงในการทำงาน: มีการเปลี่ยนแปลงบ่อยจนไม่แน่ใจในอนาคต 20.อยากทำงานในบริษัทที่มีชื่อเสียงหรือเป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรม 21.บริษัทไม่มีสวัสดิการที่ครอบคลุมมากพอ: อยากได้สวัสดิการที่ตอบโจทย์มากขึ้น 22.มีโอกาสที่ดีกว่าเข้ามา: ได้รับข้อเสนอที่น่าสนใจมากกว่าจากที่อื่น 23.เปลี่ยนแปลงเส้นทางอาชีพเพื่อความสุขในการทำงาน: งานที่เดิมไม่ตอบโจทย์ความสุขและความพึงพอใจ ข้อควรคำนึงในการตอบคำถามสัมภาษณ์ให้ดูเป็นมืออาชีพ 1.ตอบให้เป็นเชิงบวก: ไม่ตำหนิที่ทำงานเก่า แม้จะมีปัญหาก็ตาม และต้องพูดและอธิบายให้เข้าใจอย่างชัดเจนว่าตนเองต้องการอะไร รวมถึงสิ่งที่ต้องการจะเป็นประโยชน์อย่างไร 2.เน้นการพัฒนาและการเติบโต: แสดงให้เห็นว่าคุณต้องการพัฒนา ไม่ใช่แค่หนีปัญหา เน้นย้ำถึงประสบการณ์และทักษะที่เราได้รับมา แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของตัวเราที่ทำให้เราเหนือกว่า Candidate คนอื่นๆ 3.กระชับและตรงประเด็น: ไม่ต้องลงรายละเอียดมากเกินไป แต่ต้องเป็นความจริง ไม่โกหกหรือพูดเกินจริง และเลี่ยงการแชร์ข้อมูลที่เป็นส่วนตัวมากจนเกินไป 4.ใช้ภาษาสุภาพ: ไม่ใช้คำศัพท์แสลงหรืออุทานไปด้วย ณ ขณะที่พูด และมีหางเสียงทุกครั้งที่พูดกับผู้สัมภาษณ์ เพื่อแสดงถึงความเป็นมืออาชีพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในการตอบคำถาม 'ทำไมถึงลาออกจากที่ทำงานเก่า?' 1.ตำหนิที่ทำงานเก่า หัวหน้า หรือเพื่อนร่วมงาน: การพูดเชิงลบจะทำให้ HR มองว่าเราอาจมีปัญหาในการทำงานกับคนอื่น มีทัศนคติเชิงลบ กลัวจะมีปัญหาในที่ทำงานในอนาคต เลยอาจจะปัดคุณตกจาก candidate ทันทีจากการได้ฟังคำตอบ 2.พูดว่า "เงินเดือนน้อยไป" หรือ "ต้องการเงินเดือนสูงขึ้น" ตรงๆ: ควรใช้คำที่ดูเป็นมืออาชีพ เช่น "ผม/ดิฉันต้องการโอกาสที่เหมาะสมกับประสบการณ์และความสามารถมากขึ้น" เพื่อไม่ให้ HR รู้สึกว่ามุ่งเน้นเพียงแต่เรื่องเงินเท่านั้น 3.บอกว่า "เบื่องาน" หรือ "งานเก่าน่าเบื่อ": ควรใช้คำที่ดูสร้างสรรค์กว่า เช่น "ต้องการงานที่ช่วยให้พัฒนาทักษะใหม่ๆ และท้าทายมากขึ้น" เพราะอาจทำให้ HR รู้สึกว่าคุณไม่มืออาชีพและรู้สึกว่าคุณเป็นคนเบื่อง่ายจนเกินไป กลัวคุณจะเข้ามาทำงานไม่นาน หากงานใหม่ทำให้คุณเบื่ออีกครั้ง เพราะองค์กรไหนๆก็ต้องการพนักงานที่จะเข้ามาทำงานกับองค์กรนั้นๆไปยาวๆ 4.ให้รายละเอียดเชิงลบเกี่ยวกับปัญหาภายในบริษัทเดิม: HR อาจมองว่าเรานำเรื่องภายในมาพูดลับหลัง และอาจทำแบบเดียวกันกับที่ใหม่ ทำให้ HR เกิดความไม่ไว้วางใจและไม่เลือกคุณเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในบริษัท 5.ตอบแบบไม่ชัดเจนหรือไม่มั่นใจ: ควรเตรียมคำตอบให้ชัดเจน เพื่อให้ HR เห็นว่าเรามีเหตุผลที่ดีและมีเป้าหมาย การตอบอย่างครุมเครือหรือลังเล จะทำให้ HR เกิดความสงสัยว่าเราอยากมาทำงานที่นี่จริงไหม 6.พูดถึงปัญหาส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับงาน: ควรแยกเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องงาน เพื่อให้ดูเป็นมืออาชีพ เพื่อให้ HR รู้สึกเชื่อใจคุณในระดับหนึ่งว่า หากได้คุณมาร่วมทีม ไม่ว่าในอนาคตจะเกิดปัญหาใดขึ้นเรื่องงาน คุณจะสามารถแก้ปัญหาในงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่ไม่ปนเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว 7.พูดว่า "ฉันไม่รู้" หรือ "ไม่อยากตอบ": การตอบแบบนี้ทำให้ HR รู้สึกว่าเราไม่มีเป้าหมายชัดเจน และเป็นการเสียมารยาทในการตอบคำถามสัมภาษณ์เป็นอย่างมาก ทุกคนสามารถนำไปเป็นไอเดียในการสัมภาษณ์ได้ และอย่าลืมยื่นที่อื่นไว้ด้วยล่ะ หรือถ้ายังไม่รู้จะหาแหล่งงานที่มีคุณภาพ งานที่ใช่และตรงใจ หรืออยากเรียนรู้เกี่ยวกับคอนเทนต์หางานอีก ก็สามารถเข้ามาดูเพิ่มเติม ได้ที่ Job Portal เรารวมไว้ให้คุณทั้งหมดแล้วไว้ที่นี่

    Mar 31, 2025
    Thumbnail for เคล็ดลับการสร้างเครือข่ายที่ได้ผลจริง: วิธีสร้างคอนเนคชั่นเพื่อเพิ่มโอกาสในอาชีพ

    เคล็ดลับการสร้างเครือข่ายที่ได้ผลจริง: วิธีสร้างคอนเนคชั่นเพื่อเพิ่มโอกาสในอาชีพ

    Networking ที่ไม่ใช่แค่เรื่องทั่วไป คำแนะนำเกี่ยวกับ Networking ที่มักจะฟังดูคล้ายกันเสมอ "ออกไปพบปะผู้คน" "เป็นตัวของตัวเอง" "สร้างความสัมพันธ์" แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราจะนำสิ่งเหล่านี้ไปใช้จริงได้อย่างไร? ความจริงก็คือ คนส่วนใหญ่เริ่มต้น Networking เมื่อพวกเขาต้องการบางอย่างเท่านั้น ลือ แล้วก็มักจะประสบปัญหาเหล่านี้: ไม่รู้จะติดต่อคนอื่นอย่างไรโดยไม่รู้สึกแปลกๆ รู้สึกเหมือนไม่มีอะไรดีๆ ที่จะนำเสน สร้างคอนเนคชั่นแต่ลืมที่จะติดต่อกลับไป ข่าวดีคือ การสร้างเครือข่ายไม่จำเป็นต้องเป็นคนเก่งด้านการเข้าสังคมหรือมีรายชื่อติดต่อมากมาย แต่เป็นเรื่องของการที่จะทำอย่างไรให้คนนึกถึงคุณในทางที่ดี และอยากช่วยเหลือคุณ เเละนี่คือ 6 ขั้นตอนในการสร้างเครือข่ายที่ได้ผลจริง! 1. ทำไม Networking ถึงสำคัญ (และทำไมหลายคนทำผิดวิธี) คนส่วนใหญ่มักทำ Networking ผิดพลาดด้วยการ 🔹 ติดต่อคนอื่นเฉพาะเวลาที่ต้องการบางอย่าง (“ช่วยแนะนำงานให้หน่อยได้ไหม?”) 🔹 สร้างคอนเนคชั่นแต่ไม่เคยติดต่อกันอีก 🔹 อยู่แต่ในกลุ่มคนที่รู้จักอยู่แล้วแทนที่จะเปิดรับคนใหม่ ๆ ✅ สิ่งที่ได้ผลจริง ✔ ทำให้คนอื่นนึกถึงคุณ – หากไม่มีใครจำคุณได้ โอกาสที่เหมาะสมก็จะไม่มาถึง ✔ ให้สิ่งที่มีค่าแก่คนอื่นก่อนจะขออะไร – Networking ไม่ใช่แค่เรื่องที่ว่าใครช่วยเราได้ แต่ยังเกี่ยวกับสิ่งที่เราสามารถให้พวกเขาได้ด้วยเช่นกัน ✔ รักษาความสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ – คนที่ได้รับโอกาสจาก Networking มากที่สุด คือคนที่ติดต่อกันเรื่อย ๆ ไม่ใช่แค่เวลาต้องการบางอย่าง 💡 ความจริงที่ต้องยอมรับ: ถ้ากลยุทธ์ของคุณมีแค่ “รู้จักคนให้มากขึ้น” นั่นหมายความว่าคุณกำลังเสียเวลาเปล่า เป้าหมายของ Networking ไม่ใช่แค่การรู้จักคน แต่คือการทำให้พวกเขานึกถึงคุณเสมอเมื่อถึงเวลาสำคัญ 2. จะทำ Networking ที่ไหนดี? คุณอาจเคยได้ยินคำแนะนำเดิม ๆ เช่น “ไปงานอีเวนต์ของอุตสาหกรรมที่คุณสนใจ” แต่มันไม่ได้เกี่ยวกับว่าไปที่ไหน มันเกี่ยวกับวิธีที่คุณใช้โอกาสเหล่านั้นให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร ✅ ช่องทาง Networking ที่ได้ผลจริง 🔹 LinkedIn & ชุมชนออนไลน์ ✔ ค้นหาผู้คนในสายงานของคุณและแสดงความคิดเห็นในโพสต์ของพวกเขาก่อนส่งคำขอเชื่อมต่อ ✔ เข้าร่วมกลุ่ม LinkedIn ที่เกี่ยวข้อง และเข้าร่วมการสนทนา (อย่าเป็นแค่ผู้สังเกตการณ์) ✔ ส่งข้อความส่วนตัวเมื่อเชื่อมต่อ (“ฉันชอบโพสต์ของคุณเกี่ยวกับ [หัวข้อ] — ยินดีที่ได้เชื่อมต่อกันครับ/ค่ะ”) 🔹 เครือข่ายเดิมของคุณ (ที่ถูกมองข้ามมากที่สุด) ✔ ติดต่อเพื่อนร่วมงานเก่า เพื่อนมหาวิทยาลัย หรืออาจารย์ที่เคยสอนคุณ พวกเขารู้จักคุณอยู่แล้ว จึงง่ายกว่าการเริ่มจากศูนย์ ✔ ตัวอย่างข้อความ: “สวัสดี [ชื่อ] ไม่ได้คุยกันนานเลย! อยากนัดเจอพูดคุยกันสักหน่อย สนใจดื่มกาแฟด้วยกันอาทิตย์หน้าไหม?” ✔ แม้ว่าพวกเขาจะช่วยคุณโดยตรงไม่ได้ แต่พวกเขาอาจจะแนะนำคุณให้กับคนที่ช่วยได้ 🔹 งาน Meetup, กิจกรรมเฉพาะกลุ่ม & การนัดคุยแบบตัวต่อตัว ✔ หลีกเลี่ยงอีเวนต์ใหญ่ที่ทุกคนแค่แลกนามบัตร ✔ มองหากิจกรรมที่เล็กและเฉพาะกลุ่ม ที่คุณสามารถมีบทสนทนาที่ละเอียดลึกซึ้งมากขึ้น ✔ วิธีที่ดีที่สุดคือการนัดพบเพื่อพูดคุยแบบตัวต่อตัว 🔹 Networking ภายในองค์กร ✔ คนในองค์กรของคุณอาจเป็นคอนเนคชั่นที่ดีที่สุดสำหรับโอกาสในอนาคต ✔ พูดคุยกับคนในแผนกอื่น ๆ 3. จะพูดคุยกับคนอื่นอย่างไร (โดยไม่ให้รู้สึกแปลก ๆ) ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุดคือ การทำให้การสนทนาเป็นเรื่องของตัวเองมากเกินไป ใช้แนวทางนี้แทน ✔ เริ่มด้วยความอยากรู้ – ผู้คนชอบพูดถึงตัวเอง ถามพวกเขาเกี่ยวกับงานหรือประสบการณ์ของพวกเขา ✔ หาจุดร่วม – อาจเป็นมหาวิทยาลัยเดียวกัน สนใจเรื่องเดียวกัน หรือทำงานในอุตสาหกรรมเดียวกัน ✔ เปิดโอกาสให้มีการพูดคุยต่อไป – “เรามาคุยกันต่ออีกนะครับ/ค่ะ ผม/ฉันอยากฟังเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้” 4. วิธีติดตามผล: ทำอย่างไรให้คนยังนึกถึงคุณ Networking ไม่ใช่แค่รู้จักกันแล้วจบไป มันเกี่ยวกับการรักษาความสัมพันธ์ไว้ให้ยืนยาว ระบบติดตามผลง่าย ๆ ✔ ภายใน 24-48 ชั่วโมง ส่งข้อความสั้น ๆ ขอบคุณสำหรับการพูดคุย ✔ ทุกๆ 2-3 เดือน ไลค์และคอมเมนต์โพสต์ของพวกเขา ส่งข้อความถามสารทุกข์สุกดิบ แชร์สิ่งที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับอุตสาหกรรมของพวกเขา ✔ เมื่อคุณต้องการขอความช่วยเหลือ อย่าถามแบบกะทันหัน แต่ให้สร้างบทสนทนาก่อน 5. ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการทำ Networking 🚫 ส่งข้อความไม่ชัดเจน 🚫 พูดถึงแต่ตัวเอง 🚫 ไม่ติดตามผล 🚫 Networking แค่ตอนที่ต้องการงาน 6. Networking Challenge: ลงมือทำในสัปดาห์นี้! ✅ ติดต่อ 3 คนที่คุณไม่ได้คุยมานาน ✅ คอมเมนต์โพสต์บน LinkedIn ของ 3 คนที่คุณชื่นชม ✅ นัดคุยแบบตัวต่อตัว (ออนไลน์หรือออฟไลน์) ✅ ติดตามผลกับคนที่คุณพบเจอเมื่อไม่นานนี้ คนที่ประสบความสำเร็จใน Networking ไม่ใช่คนที่พูดเก่งที่สุด แต่คือคนที่สามารถแสดงคุณค่า เชื่อมต่อกับผู้อื่นอย่างสม่ำเสมอ และรักษาความสัมพันธ์ไว้ได้อยู่เสมอ

    Feb 24, 2025
    Thumbnail for คู่มือสำหรับนักศึกษาจบใหม่: ทัศนคติที่ถูกต้องในการหางานเพื่อให้ได้งานเร็วขึ้น

    คู่มือสำหรับนักศึกษาจบใหม่: ทัศนคติที่ถูกต้องในการหางานเพื่อให้ได้งานเร็วขึ้น

    การก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงานเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับเด็กจบใหม่ หลายคนส่งใบสมัครไปมากมายแต่ไม่ได้รับการตอบกลับ หรือรู้สึกว่าบริษัทต้องการประสบการณ์ที่ตนเองยังไม่มี อีกทั้งยังต้องแข่งขันกับผู้สมัครที่เพิ่งจบการศึกษาคนอื่นๆ สิ่งที่สร้างความแตกต่างระหว่างผู้สมัครที่ประสบความสำเร็จกับคนที่ยังหางานไม่ได้ ไม่ใช่แค่เรซูเม่ แต่มันคือ "มุมมองและทัศนคติ" 1.ทำไมมุมมองจึงสำคัญกว่าประสบการณ์สำหรับเด็กจบใหม่ หลายคนเชื่อว่าการขาดประสบการณ์เป็นอุปสรรคใหญ่ในการได้งานแรก แต่ในความเป็นจริง นายจ้างมักให้ความสำคัญกับ "ทัศนคติที่ดี" มากกว่าประสบการณ์เสียอีก พวกเขาต้องการคนที่กระตือรือร้นในการเรียนรู้, ปรับตัวได้ดี และพร้อมเติบโตไปกับองค์กร 2.มุมมองที่เด็กจบใหม่ควรมีเพื่อหางานได้เร็วขึ้น หากต้องการเพิ่มโอกาสในการได้งาน คุณควรปรับมุมมองให้เหมาะสมด้วยคุณสมบัติต่อไปนี้: อดทนและมีความยืดหยุ่น: การถูกปฏิเสธเป็นเรื่องปกติ ทุก "ไม่" จะพาคุณเข้าใกล้ "ใช่" มากขึ้น มีความอยากรู้และเรียนรู้อย่างกระตือรือร้น: ศึกษาแนวโน้มอุตสาหกรรม ฝึกฝนทักษะใหม่ๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ตัวเอง ปรับตัวได้ดี:เปิดใจรับตำแหน่งงาน อุตสาหกรรม หรือสถานที่ทำงานที่หลากหลายเพื่อเพิ่มโอกาส มั่นใจและเชื่อมั่นในตัวเอง: คุณมีทักษะที่มีค่า เพียงแค่ต้องรู้จักดึงจุดแข็งมาใช้ให้เกิดประโยชน์ 3.วิธีรักษาแรงจูงใจระหว่างการหางาน การหางานอาจทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า แต่การรักษาแรงจูงใจเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ ลองใช้กลยุทธ์เหล่านี้: ตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้: แทนที่จะสมัครงานจำนวนมากแบบหว่านแห ให้เน้นที่คุณภาพของใบสมัคร ติดตามความคืบหน้า: ใช้ไฟล์สเปรดชีตเพื่อตรวจสอบผลตอบรับ และปรับปรุงแนวทางของคุณ สร้างเครือข่ายอย่างชาญฉลาด: ติดต่อมืออาชีพในอุตสาหกรรมที่สนใจ, เข้าร่วมงานแฟร์ และหาที่ปรึกษา ดูแลสุขภาพจิต: ออกกำลังกาย, ฝึกสมาธิ และพักเมื่อรู้สึกเครียด 4.กลยุทธ์เชิงปฏิบัติเพื่อเพิ่มความมั่นใจและโดดเด่นกว่าใคร แม้ว่าการมีมุมมองที่ดีจะสำคัญ แต่การลงมือทำก็เป็นหัวใจหลักของความสำเร็จ นี่คือสิ่งที่คุณสามารถทำได้: ปรับแต่งเรซูเม่และจดหมายสมัครงาน: ชูจุดเด่นของทักษะที่สามารถถ่ายทอดได้ (Transferable Skills) และทำให้แต่ละใบสมัครตรงกับงานนั้นๆ สร้างโปรไฟล์ LinkedIn ที่แข็งแกร่ง: แสดงทักษะ โปรเจกต์ และใบรับรองของคุ ใช้เทคนิคการเล่าเรื่องในการสัมภาษณ์:ตอบคำถามสัมภาษณ์โดยใช้วิธี STAR (Situation, Task, Action, Result) ทำโปรเจกต์เสริมหรือรับงานฟรีแลนซ์:สร้างประสบการณ์และพอร์ตโฟลิโอเพื่อแสดงความสามารถ การหางานก็เหมือนกับการวิ่งมาราธอน ไม่ใช่การวิ่งระยะสั้น มองการสัมภาษณ์เป็นโอกาสในการเรียนรู้ ไม่ใช่จุดหมายปลายทาง ทุกคนที่ประสบความสำเร็จเคยเป็นเด็กจบใหม่มาก่อน เส้นทางของคุณเพิ่งเริ่มต้น และมุมมองที่ถูกต้องจะนำคุณไปสู่ความสำเร็จในระยะยาว

    Feb 6, 2025
    Thumbnail for ถ้าเขาย้อนเวลาได้ นี่คือวิธีที่เขาจะเรียนรู้การตลาดดิจิทัล

    ถ้าเขาย้อนเวลาได้ นี่คือวิธีที่เขาจะเรียนรู้การตลาดดิจิทัล

    ผู้พูดแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกที่มีค่าเกี่ยวกับวิธีที่เขาจะเข้าถึงการเรียนรู้การตลาดดิจิทัล หากเขาสามารถเริ่มต้นอาชีพใหม่ได้ เขาเน้นย้ำถึงความสำคัญของการมุ่งเน้นที่หนึ่งด้าน การทำความเข้าใจพื้นฐาน การฝึกฝน การสร้างเครือข่าย และการหลีกเลี่ยงทางลัด รวมถึงขั้นตอนการเรียนรู้ กลยุทธ์การสร้างเครือข่าย และเส้นทางต่างๆ สำหรับการเติบโตในการตลาดดิจิทัล เขาสะท้อนถึงประสบการณ์ส่วนตัว โดยเน้นข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นระหว่างทางและวิธีที่สิ่งเหล่านั้นมีส่วนช่วยในความสำเร็จของเขา ประเด็นสำคัญ 🎯 มุ่งเน้นที่หนึ่งด้าน: การเชี่ยวชาญในสาขาการตลาดดิจิทัลเฉพาะด้าน เช่น SEO ช่วยให้คุณกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญได้เร็วขึ้นและสร้างผลลัพธ์ที่ดีกว่า วิธีการที่มีเป้าหมายชัดเจนนี้ส่งเสริมความเข้าใจที่ลึกซึ้งและการเชี่ยวชาญในทักษะ ซึ่งสำคัญต่อความสำเร็จในระยะยาว 📚 การวางรากฐานที่แข็งแกร่ง: การเชี่ยวชาญในพื้นฐานทำให้มั่นใจได้ว่าคุณมีรากฐานที่แข็งแกร่งในการต่อยอด พื้นฐานสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับกลยุทธ์การตลาดต่างๆ และช่วยสร้างความเข้าใจที่ครอบคลุมเกี่ยวกับการทำงานร่วมกันขององค์ประกอบต่างๆ ⚙️ การลงมือปฏิบัติจริง: การนำแนวคิดที่เรียนรู้ไปปฏิบัติจริงช่วยเสริมสร้างความรู้ การสร้างเว็บไซต์ของตัวเองให้สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยในการทดลองและเรียนรู้จากผลตอบรับในโลกจริง นำไปสู่การเติบโตที่รวดเร็วขึ้น 🚀 รับประสบการณ์จากเอเจนซี่: การทำงานในเอเจนซี่ที่มีจังหวะเร็วทำให้คุณได้สัมผัสกับโครงการและความท้าทายที่หลากหลาย สภาพแวดล้อมนี้ไม่เพียงแต่พัฒนาทักษะการแก้ปัญหาของคุณ แต่ยังเปิดโอกาสให้ได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ 💡 หลีกเลี่ยงทางลัด: หลีกเลี่ยงการใช้วิธีลัดที่ผิดหลักการ เพื่อความยั่งยืนในระยะยาว 🤝 การสร้างเครือข่าย: การสร้างเครือข่ายสามารถเปิดประตูสู่การร่วมมือและการเป็นพี่เลี้ยง การมีส่วนร่วมกับผู้ที่มีแนวคิดเหมือนกันสร้างแรงจูงใจ ขณะที่การเชื่อมต่อกับผู้นำในอุตสาหกรรมสามารถนำไปสู่ข้อมูลเชิงลึกและโอกาสที่มีค่า 🔄 การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง: ในโลกดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การเรียนรู้ตลอดชีวิตคือกุญแจสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนเเละเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาความเกี่ยวข้องและปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์และเทคโนโลยีใหม่

    Dec 19, 2024
    Thumbnail for ทำไมคนถึงนิยมเปลี่ยนงานช่วงต้นปี พร้อมเคล็ดไม่ลับหางานยังไงให้ได้งานไว

    ทำไมคนถึงนิยมเปลี่ยนงานช่วงต้นปี พร้อมเคล็ดไม่ลับหางานยังไงให้ได้งานไว

    ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาสุดฮอตที่จะเริ่มปรับเปลี่ยน โยกย้ายสายงาน ซึ่งเป็นช่วงท้ายปีถึงต้นปีที่จะถึงนี้ ไม่ว่าจะเหตุผลใดๆ ก็ตาม เช่น เบื่องานเดิม ๆ อยากได้ความท้าทายใหม่ ๆ หรือการเติบโตในสายงานมากขึ้น สำหรับหลายคน การเริ่มต้นปีใหม่คือเวลาอันดีในการตั้งเป้าหมายใหม่ทั้งในด้านการงาน หลายองค์กรยังมีการเปิดรับสมัครงานใหม่ในช่วงต้นปี เพื่อรองรับการเติบโตและการขยายตัวในธุรกิจในอนาคต ซึ่งทำให้หลายคนมองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการเปลี่ยนแปลงอีกด้วย ทำไมคนถึงนิยมเปลี่ยนงานช่วงต้นปี? อีกเหตุผลที่ทำให้การเปลี่ยนงานในช่วงต้นปีได้รับความนิยมคือการรับ โบนัส จากบริษัทในช่วงปลายปี ทำให้หลายคนเลือกที่จะรอรับโบนัสก่อนที่จะเปลี่ยนงาน วิธีการเตรียมตัวให้พร้อมในการหางานใหม่เร็ว การเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการหางานใหม่ในปีนี้ไม่เพียงแต่เกี่ยวกับการเตรียม เรซูเม่ หรือ CV เท่านั้น แต่ก็มีปัจจัยมากมาย เช่น อัปเดต เรซูเม่ หรือ CV ไว้ตลอด หนึ่งในขั้นตอนแรกเมื่อจะหางานใหม่คือการ อัปเดตเรซูเม่ ด้วยตัวช่วยทำเรซูเม่ หรือ CV ของเราให้ทันสมัยและสะท้อนถึงทักษะและประสบการณ์ที่เรามีในปัจจุบัน การเพิ่มข้อมูลใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานที่สมัครจะทำให้เรซูเม่ของเราโดดเด่นและมีโอกาสได้รับการพิจารณามากขึ้น ควรเพิ่มทักษะที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่เปิดรับ เช่น ทักษะทางเทคโนโลยีใหม่ ๆ AI หรือ Tools ที่ใช้ในการทำงาน การบริหารจัดการทีม หรือความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่มีความต้องการในตลาดแรงงาน การมีข้อมูลที่ชัดเจนและตรงกับความต้องการของบริษัทจะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้งาน นอกจากนั้นอย่าลืมส่งให้ถูกเวลาด้วยล่ะ ส่งเรซูเม่ตอนไหนดี เตรียมตัวสำหรับการสัมภาษณ์ การสัมภาษณ์งานเป็นขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรละเลย เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับคำถามที่มักจะถูกถามในสัมภาษณ์ เช่น "ทำไมถึงอยากเปลี่ยนงาน?", "เรามีทักษะอะไรที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้?" หรือ "เรามีวิธีในการจัดการปัญหาอย่างไร?" การตอบคำถามได้ดีจะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้งานและทำให้เราโดดเด่นจากผู้สมัครคนอื่น ขยายเครือข่ายและหาคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์ การสร้างเครือข่ายกับผู้ที่อยู่ในวงการที่เราสนใจจะช่วยให้เรารู้จักโอกาสใหม่ ๆ และตำแหน่งงานที่อาจจะไม่เปิดเผยสู่สาธารณะ การเข้าร่วมสัมมนา อีเวนต์ หรือกลุ่มผู้เชี่ยวชาญจะทำให้เราได้รู้จักคนที่สามารถให้คำแนะนำหรือแม้กระทั่งแนะนำงานให้เราได้ ติดตามผลการสมัครงานและแสดงความสนใจ หลังจากที่เราสมัครงานไปแล้ว อย่าลืมติดตามผลการสมัครงานผ่านทางเว็บไซต์หางานที่เราใช้ หรือการส่งอีเมลหาผู้จัดการฝ่ายบุคคล เพื่อแสดงความสนใจในตำแหน่งงานนั้น การแสดงความกระตือรือร้นจะช่วยให้เราเป็นที่สนใจและดูเป็นคนที่มีความพร้อมและมีความสนใจจริง ๆ ในตำแหน่งงานนั้น การเปลี่ยนงานถือเป็นโอกาสดีในการเริ่มต้นใหม่ แต่การได้งานที่มีเงินเดือนและ สวัสดิการที่ดี เป็นสิ่งที่เราควรให้ความสำคัญ นอกจากนั้น Jobcadu สามารถช่วยให้หางานที่ไม่เพียงแต่มีตำแหน่งที่ตรงกับทักษะที่มีอยู่ แต่ยังมีบริษัทที่น่าสนใจอีกมากมาย เพื่อให้ได้งานที่ดีที่สุด การหางานใหม่ไม่ใช่เรื่องยากหากเราเตรียมตัวให้พร้อมและใช้เครื่องมือที่มีอยู่ในปัจจุบัน เช่น Jobcadu ที่ช่วยให้เราค้นหาตำแหน่งงานที่ตรงกับความต้องการของเราได้ง่ายและรวดเร็ว การใช้คำแนะนำที่ให้ไว้ในบทความนี้จะช่วยให้เราเปลี่ยนงานได้อย่างมั่นใจและไม่ต้องรอนาน

    Dec 12, 2024
    Thumbnail for ประสบการณ์สหกิจศึกษา: รีวิวฝึกงาน 4 เดือน พร้อมคำถามที่นักศึกษาต้องรู้

    ประสบการณ์สหกิจศึกษา: รีวิวฝึกงาน 4 เดือน พร้อมคำถามที่นักศึกษาต้องรู้

    การฝึกงานสหกิจเป็นเรื่องที่หลายคนสงสัยว่าทำไมถึงต้องเลือกและมีประโยชน์อย่างไร วันนี้จึงมาอธิบายถึงประสบการณ์และข้อดีข้อเสียจากมุมมองของรุ่นพี่ที่เคยผ่านการฝึกงานสหกิจมาแล้ว เพื่อเป็นข้อมูลให้กับน้อง ๆ ที่กำลังตัดสินใจว่าควรจะเข้าร่วมโครงการนี้ดีไหม ทำไมถึงเลือกฝึกงานสหกิจ? รุ่นพี่เล่าถึงความสนใจแรกที่มีต่อการฝึกงานสหกิจว่า ตอนแรกก็เหมือนน้อง ๆ ที่เคยเข้าฟังบรรยายจากอาจารย์และรุ่นพี่ที่ผ่านการฝึกงานมาก่อน จนได้รับรู้ถึงรูปแบบการฝึกงานที่แบ่งเป็นสองแบบ คือฝึกงานแบบธรรมดาและฝึกงานแบบสหกิจ ซึ่งต้องใช้เวลาฝึกยาวนานขึ้น ประมาณ 4-6 เดือน จากนั้นก็เริ่มสงสัยว่าถ้าได้ลองฝึกงานแบบสหกิจดูบ้างจะเป็นอย่างไร เพราะที่ผ่านมายังไม่เคยมีโอกาสได้ลอง จึงคิดว่าหากได้ไปก็จะสามารถนำประสบการณ์มาแชร์ให้น้อง ๆ รุ่นถัดไปได้ ว่าการฝึกงานแบบสหกิจนั้นดีหรือไม่ และเป็นประสบการณ์ที่มีประโยชน์หรือไม่ ข้อดีของการฝึกงานสหกิจ 1.ประสบการณ์การทำงานจริง การฝึกงานสหกิจนั้นมีความยาวนานกว่าแบบธรรมดา ทำให้นักศึกษาได้สัมผัสกับการทำงานจริง ๆ ในองค์กร เหมือนได้ลองฝึกฝนทักษะการทำงานก่อนจะเรียนจบ พอได้ประสบการณ์มากขึ้น นักศึกษาจะมีทักษะที่สามารถใช้ได้จริงเมื่อเริ่มต้นทำงาน รวมทั้งได้เรียนรู้วิธีการทำงานจริง ๆ ที่ใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ 2.เพิ่มโปรไฟล์และสร้างความโดดเด่น นักศึกษาบางคนอาจจะไม่มีเกรดเฉลี่ยที่โดดเด่นมาก การฝึกงานแบบสหกิจสามารถช่วยให้มีโปรไฟล์ที่น่าสนใจยิ่งขึ้น โดยเฉพาะถ้ามีประสบการณ์การฝึกงานที่นานและชัดเจน ก็จะเป็นจุดเด่นเวลาไปสมัครงานในอนาคตได้ หลายบริษัทอาจมองว่าผู้สมัครที่มีประสบการณ์ฝึกงานสหกิจนั้นมีความพร้อมในการทำงานมากกว่านักศึกษาที่ฝึกงานระยะสั้น 3.โอกาสในการรับเข้าทำงานต่อ บางบริษัทที่เห็นถึงศักยภาพในการฝึกงานของนักศึกษา อาจพิจารณาเสนอรับเข้าทำงานต่อในองค์กรหลังจากเรียนจบ ทำให้นักศึกษาไม่ต้องไปเริ่มหางานใหม่ เป็นการเปิดโอกาสให้ได้รับตำแหน่งงานได้ง่ายขึ้น 4.ทักษะการจัดการเวลาและความรับผิดชอบ นักศึกษาที่เข้าฝึกงานสหกิจต้องจัดสรรเวลาให้ดี เพราะนอกจากฝึกงานแล้วก็ยังต้องแบ่งเวลามาเรียนให้ได้ตามกำหนด ซึ่งช่วยพัฒนาเรื่องความรับผิดชอบและการวางแผนเวลาต่าง ๆ 5.ทักษะภาษาและการสื่อสาร บางครั้งการฝึกงานสหกิจจะต้องร่วมงานกับบุคลากรที่เป็นชาวต่างชาติ หรือมีโอกาสใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร การฝึกงานจึงเป็นโอกาสได้ฝึกฝนการใช้ภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในการทำงานและช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใช้ภาษาที่สอง 6.การสร้าง Connection การฝึกงานในองค์กรทำให้นักศึกษาได้รู้จักคนในสายงานทั้งรุ่นพี่ที่ทำงานด้วยกัน ผู้บังคับบัญชา และเพื่อน ๆ ที่ฝึกงานด้วยกัน ซึ่ง Connection เหล่านี้อาจเป็นประโยชน์ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการได้รับคำแนะนำในการทำงานหรือการติดต่อขอความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ข้อเสียของการฝึกงานสหกิจ 1.ความเหนื่อยจากการแบ่งเวลา เนื่องจากฝึกงานสหกิจใช้เวลายาวนานกว่าแบบปกติ บางครั้งนักศึกษาอาจต้องเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อเรียนในบางช่วง ทำให้ต้องจัดสรรเวลาทั้งสองอย่างไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งอาจเป็นภาระหนักหากไม่ได้มีการวางแผนที่ดี 2.การต้องตามเนื้อหาการเรียนด้วยตนเอง ระหว่างการฝึกงานสหกิจ นักศึกษาจะไม่ได้เข้าเรียนทุกคลาสเหมือนเพื่อน ๆ ที่ไม่ได้ฝึกงาน ทำให้ต้องตามเก็บเนื้อหาการเรียนเอง อาจทำให้รู้สึกว่าเหนื่อยมากขึ้น แต่หากได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ และอาจารย์ ก็จะช่วยให้ผ่านช่วงนี้ไปได้ การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตนเองจากการฝึกงานสหกิจ การฝึกงานสหกิจทำให้พี่พบว่าตนเองมีพัฒนาการในหลายด้านที่เห็นได้ชัดเจน เช่น มีทักษะการทำงานจริงมากขึ้น การได้ทำงานร่วมกับผู้มีประสบการณ์ทำให้ได้เรียนรู้แนวทางการคิดวิเคราะห์ และความรอบคอบในงาน นอกจากนี้ยังช่วยพัฒนาด้านความรับผิดชอบ เนื่องจากต้องบริหารจัดการเวลาระหว่างการฝึกงานและการเรียน ทำให้มีระเบียบวินัยมากขึ้น รวมถึงการฝึกงานยังสอนให้มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดีและมีมุมมองที่ลึกซึ้งกว่าเดิม สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการฝึกงานสหกิจ การฝึกงานสหกิจไม่เพียงให้ความรู้และทักษะทางวิชาชีพเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสได้สัมผัสกับบรรยากาศของการทำงานในองค์กรจริง ๆ ทำให้เห็นวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ได้เรียนรู้ทัศนคติที่ดีจากคนทำงานจริง นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำงานเป็นทีม และการปรับตัวให้เข้ากับคนรอบข้างที่มีพื้นฐานที่ต่างกัน ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่ามากสำหรับการทำงานในอนาคต สิ่งที่คิดก่อนไปกับหลังฝึกงานสหกิจ ก่อนเข้าฝึกงาน รุ่นพี่เคยกังวลว่าจะเป็นงานที่ยากและเหนื่อย เพราะต้องใช้เวลานานและทำงานในโรงงาน แต่เมื่อได้ลองไปจริง ๆ ก็พบว่าการฝึกงานสหกิจนั้นมีประโยชน์และสามารถนำไปใช้ได้จริงเมื่อเรียนจบ ทั้งยังได้เจอเพื่อนจากหลายเชื้อชาติ ซึ่งไม่เพียงแค่ได้ฝึกภาษาและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมเท่านั้น แต่ยังทำให้การฝึกงานสนุกขึ้นมาก มีความทรงจำที่ดีจากการร่วมงานกับคนหลากหลายแบบ และรู้สึกพึงพอใจที่ตัดสินใจเลือกฝึกงานแบบนี้ สรุปแล้ว การฝึกงานสหกิจเป็นโอกาสที่ดีที่ไม่เพียงแต่ให้ประสบการณ์การทำงานจริง แต่ยังช่วยพัฒนาทักษะหลายด้าน ทั้งด้านการสื่อสาร การทำงานร่วมกับผู้อื่น ความรับผิดชอบ และการสร้าง Connection หากน้อง ๆ สนใจ ก็ขอแนะนำให้พิจารณาฝึกงานสหกิจเพราะเป็นการต่อยอดความรู้และสร้างความพร้อมให้กับชีวิตการทำงานในอนาคต

    Nov 22, 2024
    Thumbnail for เทคนิคแนะนำตัว 3 นาที สัมภาษณ์งานฉบับเด็กจบใหม่!

    เทคนิคแนะนำตัว 3 นาที สัมภาษณ์งานฉบับเด็กจบใหม่!

    โค้ชเบ็น นำเทคนิคที่น่าสนใจ คือ “การแนะนำตัวเอง ช่วงสัมภาษณ์งาน สำหรับนักศึกษาจบใหม่” อย่างแรกเราจะต้อง Set Goal (จุดมุ่งหมายของตัวเองในการสัมภาษณ์งาน) ว่าเราจะต้องได้งาน เพราะยังมีคนที่จบใหม่อีกหลายๆ คนที่อยากได้งานนี้ด้วย ดังนั้นถ้าเราอยากได้งานจริงๆเราต้องมุ่งมั่น ความท้าทายของนักศึกษจบใหม่คือ การไม่มีประสบการณ์การทำงาน และเราต้องทำให้ผู้สัมภาษณ์รู้สึกว่าเราควรค่าแก่การจ้างงาน ต้องทำให้บริษัทรู้ว่า เราอยากร่วมงานกับเขา เพราะบริษัทต้องการจ้างคนที่ทำงานได้ในตำแหน่งนั้นๆ หลายๆ บริษัทต้องการจ้างพนักงานที่จะพัฒนาเป็น “พนักงานที่ดีเยี่ยม” ในนาคตขององค์กร เทคนิคการแนะนำตัวเอง ตอนสัมภาษณ์งาน (สำหรับนักศึกษาจบใหม่) โค้ชเบ็นได้แบ่งออกมาเป็น 3 Part มีดังนี้ Part 1. ประวัติ และความสนใจ ประกอบไปด้วย - ชื่อ (+ชื่อเล่น) - ภูมิลำเนา ที่อยู่ - การจบการศึกษา - อาชีพที่ใฝ่ฝัน - กิจกรรมยามว่าง - รางวัล Part 2. บอกจุดแข็งของตนเอง จุดแข็งมาจากศักยภาพ และบุคลิกภาพของเรา เช่น ขยัน ชอบทำงานเป็นทีม มีความเป็นผู้นำ สามารถทำงานล่วงเวลา สนุกกับงานที่ท้าทาย พร้อมอธิบายเหตุผลหรือกิจกรรมต่างๆ ที่เราทำ ​Part 3. พูดถึงตำแหน่งงานที่มาสัมภาษณ์ บอก Passion ของเราว่าทำไมเราอยากทำตำแหน่งงานนี้ ต้องบอกว่าเรามาทำงาน ไม่ใช่ว่ามาทดลองงาน

    Nov 19, 2024
    Thumbnail for เลือกอาชีพในฝันภายใน 15 นาทีด้วยวิธีจาก Harvard!

    เลือกอาชีพในฝันภายใน 15 นาทีด้วยวิธีจาก Harvard!

    เทคนิค “Job Exercise” เป็นแนวทางช่วยค้นหาตัวเองและหาอาชีพที่เหมาะสมในระยะยาว โดยเทคนิคนี้ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้เราเห็นภาพอาชีพที่สอดคล้องกับความสนใจและคุณค่าในชีวิตจริง ขั้นตอนการทำ Job Exercise 1.เตรียมตัวและเริ่มต้น: เริ่มต้นด้วยการดูรายการอาชีพทั้งหมดที่มีให้เลือก ประมาณ 100 อาชีพ ให้ค่อยๆ อ่านและเลือก 12 อาชีพที่รู้สึกว่ามีความน่าสนใจ โดยไม่ต้องคำนึงถึงเงินเดือน ความมั่นคง หรือความเห็นจากคนอื่น ให้เลือกเพราะรู้สึกถึงความเชื่อมโยงกับอาชีพนั้นในระดับส่วนตัว ไม่ใช่เพราะเหตุผลภายนอก เช่น ชื่อเสียงหรือรายได้ 2.วิเคราะห์และกลั่นกรอง: จาก 12 อาชีพที่เลือก ลองวิเคราะห์ว่ามีธีมหรือจุดร่วมอะไรที่สะท้อนตัวเรา เช่น หากอาชีพที่เลือกส่วนใหญ่เน้นการทำงานกับผู้คน อาจแปลว่าเราชอบงานที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์ หากส่วนใหญ่เกี่ยวกับการใช้ความคิดสร้างสรรค์ แสดงว่าเราอาจเหมาะกับอาชีพที่เปิดโอกาสให้แสดงความคิดใหม่ๆ หรือหากหลายอาชีพเกี่ยวกับการบริหารจัดการ อาจเป็นสัญญาณว่ามีทักษะหรือความชอบในการจัดการงานและบุคคล 3.พิจารณาความขัดแย้ง: ดูว่าอาชีพที่เลือกมีความขัดแย้งในตัวเองหรือไม่ เช่น บางอาชีพเน้นการทำงานเดี่ยว ขณะที่บางอาชีพต้องทำงานเป็นทีม ซึ่งอาจทำให้เราเห็นมุมที่อาจจะต้องพัฒนาหรือปรับตัวในอนาคต เพื่อให้สามารถเลือกอาชีพที่มีความสุขและเข้ากับตัวเรามากที่สุด 4.สร้างภาพในอนาคต: ให้จินตนาการถึงตัวเองในอาชีพเหล่านั้น เช่น ภาพตัวเองนั่งทำงานร่วมกับทีมในออฟฟิศ หรือภาพการเป็นอาจารย์สอนในห้องเรียน การสร้างภาพในใจช่วยให้เรารู้สึกและเห็นภาพชีวิตการทำงานในอนาคตอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น และทำให้ทราบว่าเรารู้สึกเชื่อมโยงกับอาชีพนั้นๆ ในระดับใด 5.สรุปและหาคำแนะนำเพิ่มเติม: เมื่อทำ Job Exercise เสร็จแล้ว ให้พิจารณาว่าอาชีพใดตอบโจทย์และสอดคล้องกับสิ่งที่ค้นพบมากที่สุด หากยังไม่ชัดเจน ลองปรึกษาเพื่อน รุ่นพี่ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีพเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากมุมมองภายนอกที่อาจเห็นแง่มุมหรือทางเลือกใหม่ๆ ที่เราอาจมองข้ามไป วิธีการนี้เป็นการช่วยให้เราเข้าใจความต้องการของตัวเองอย่างลึกซึ้งมากขึ้น เป็นการเลือกอาชีพโดยพิจารณาจากสิ่งที่ตัวเราชอบและต้องการในชีวิต ทำให้เราสามารถเลือกเส้นทางอาชีพที่เหมาะสมและตอบโจทย์ในระยะยาว

    Nov 12, 2024