Logo
  • โปรไฟล์มืออาชีพ
  • งาน
  • อาชีพ
    เส้นทางอาชีพ
    การเติบโต
    การศึกษา
    แรงบันดาลใจ
    บุคลิกภาพ
    งานและอุตสาหกรรม
    การค้นหางาน
    ประวัติ & ผลงาน
    เงินเดือน
    ความเป็นอยู่ที่ดี
  • การศึกษา
    หลักสูตร
    โปรแกรม
  • เครื่องมือสร้างเรซูเม่
  • สำหรับผู้ใช้งานองค์กร



  • Jobcadu Logo

    แพลตฟอร์มอาชีพที่ดีที่สุดสำหรับการหางาน, การสรรหาบุคลากร, ค้นหาอาชีพ และค้นพบแหล่งการศึกษา

    10,000+

    หน้าหางาน

    งานตามหมวดหมู่

    การบริหารและสำนักงาน

    การตลาด

    บริการลูกค้า

    เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT)

    บัญชีและการเงิน

    ทรัพยากรบุคคลและการจัดการคน

    การผลิตและห่วงโซ่อุปทาน

    วิศวกรรม

    สำหรับผู้หางาน

    หน้าหางาน

    เครื่องมือสร้างเรซูเม่

    ทรัพยากรด้านการศึกษา

    ทรัพยากรเรซูเม่

    สำหรับผู้ใช้งานองค์กร

    ประกาศงาน

    ราคา

    แหล่งข้อมูล

    เกี่ยวกับเรา

    ข้อกำหนดการใช้งาน

    นโยบายความเป็นส่วนตัว


    © 2025 Jobcadu. สงวนลิขสิทธิ์ทั้งหมด

    12 คอร์สฟรีจาก Udemy ที่คุณไม่ควรพลาด | เรียนออนไลน์

    Education
    1. Home

    2. Careers

    3. 12 คอร์สฟรีจาก Udemy ที่คุณไม่ควรพลาด | เรียนออนไลน์

    12 คอร์สฟรีจาก Udemy ที่คุณไม่ควรพลาด | เรียนออนไลน์

    Posted November 22, 2024

    Career Path

    Udemy
    free course
    12 คอร์สฟรีจาก Udemy ที่คุณไม่ควรพลาด | เรียนออนไลน์
    Career Path Description

    ในยุคที่การเรียนออนไลน์ ได้กลายเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะและเพิ่มความรู้ในสายอาชีพหรือความสนใจส่วนตัว


    หนึ่งในแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์ความต้องการการพัฒนาทักษะสายดิจิตัล สายเทค สายการตลาด และสายอื่น ๆ ได้ดีในช่วง 3-5 ปีหลังคือ Udemy ซึ่งมี คอร์สฟรี มากมายที่ครอบคลุมหลากหลายหัวข้อ ไม่ว่าจะเป็น Python, SEO, Excel, การออกแบบ และอื่น ๆ


    อีกทั้งบางคอร์สยังมาพร้อม Certification ที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับเรซูเม่ของคุณ


    Why Choose Free Udemy Courses?


    ปรกติคอร์สบน Udemy มีราคาที่แตกต่างกันไป อยู่ในช่วง 700 - 2,000 บาท แต่การเรียนคอร์สฟรี ข้อดีคือคุณจะได้ทดลองฟังสำเนียง สไตล์ของผู้สอนชาวต่างชาติ คำแปลภาษา การใช้งานบนแพลตฟอร์ม


    จุดแข็งของ Udemy


    • คอร์สที่หลากหลาย: มีหัวข้อให้เลือกมากมาย ตั้งแต่ทักษะทางเทคนิคไปจนถึงการพัฒนาตนเอง
    • ตอบโจทย์ทักษะที่ใช้งานได้จริงในตลาด หลายคอร์สเรียนประกอบไปด้วยโจทย์และ case study ให้ทดลองทำ ทำให้ผู้เรียนได้ทดลองทำสิ่งที่ได้เรียน
    • การเรียนที่ยืดหยุ่น: สามารถเรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา ตามความสะดวก
    • บางคอร์สมี Certification: ช่วยเสริมโปรไฟล์ในสายงานของคุณ
    • เนื้อหาที่ออกแบบโดยผู้เชี่ยวชาญผ่านการตลาด: คอร์ส Udemy ส่วนใหญ่มาจากผู้สอนที่ต้องแข่งขันทางด้านเนื้อหา สไตล์การสอนและราคา ดังนั้นรีวิวที่คุณเห็นบนแพลตฟอร์มค่อนข้างการันตีว่า คอร์สนั้นได้รับการยอมรับ


    หากอยากซื้อคอร์ส แนะนำให้รอ Udemy จัดโปรโมชั่นลดราคา เพื่อเลือกซื้อคอร์สที่สนใจ โดยราคาอาจลดลงมาได้มากถึงช่วง 200-300 บาท


    _______________________________________________________________


    Top 12 Free Udemy Courses

    คอร์สพื้นฐานสำหรับทักษะต่าง ๆ ในมูลค่าสุดคุ้ม ราคา 0 บาท


    1. Learn PYTHON Programming Language in 12 Days

    • เนื้อหาที่สอน: เรียนรู้ Python ตั้งแต่พื้นฐานจนถึงโปรเจกต์จริงผ่านแบบฝึกหัดเชิงโต้ตอบ
    • ลิงก์คอร์ส: Learn PYTHON Programming Language in 12 Days


    2. Canva Essentials with Ronny and Diana

    • เนื้อหาที่สอน: เรียนรู้การใช้งาน Canva สำหรับงานออกแบบเบื้องต้น อัปเดตเนื้อหาสำหรับปี 2024
    • ลิงก์คอร์ส: Canva Essentials with Ronny and Diana


    3. Introduction to Databases and SQL Querying

    • เนื้อหาที่สอน: พื้นฐานของการจัดการฐานข้อมูลและการเขียน SQL Query
    • ลิงก์คอร์ส: Introduction to Databases and SQL Querying


    4. Git and GitHub Crash Course: Creating a Repository from Scratch

    • เนื้อหาที่สอน: วิธีใช้งาน Git และ GitHub พร้อมการสร้างและจัดการ Repository
    • ลิงก์คอร์ส: Git and GitHub Crash Course


    5. Secret Sauce of Great Writing

    • เนื้อหาที่สอน: เทคนิคการเขียนอย่างมืออาชีพเพื่อสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจ
    • แก้ไข* คอร์สนี้ไม่ฟรี
    • ลิงก์คอร์ส: Secret Sauce of Great Writing


    6. English Launch: Learn English for Free – Upgrade All Areas

    • เนื้อหาที่สอน: พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษในทุกด้าน เช่น การพูด ฟัง อ่าน และเขียน
    • ลิงก์คอร์ส: English Launch


    7. Useful Excel for Beginners

    • เนื้อหาที่สอน: เรียนรู้ฟังก์ชันพื้นฐานใน Excel เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
    • ลิงก์คอร์ส: Useful Excel for Beginners


    8. Ten Excel Features Every Analyst Should Know

    • เนื้อหาที่สอน: ฟีเจอร์ Excel ที่สำคัญสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล
    • ลิงก์คอร์ส: Ten Excel Features Every Analyst Should Know


    9. WordPress Tutorial for Beginners (2024) – How To Get Started

    • เนื้อหาที่สอน: เรียนรู้การสร้างเว็บไซต์ด้วย WordPress แบบเบื้องต้น
    • ลิงก์คอร์ส: WordPress Tutorial for Beginners


    10. SEO Tutorial for Beginners

    • เนื้อหาที่สอน: พื้นฐานการทำ SEO เพื่อเพิ่มการมองเห็นเว็บไซต์
    • ลิงก์คอร์ส: SEO Tutorial for Beginners


    11. Breath Secrets 7-Day Challenge

    • เนื้อหาที่สอน: เทคนิคการฝึกหายใจเพื่อเสริมสร้างสุขภาพจิตและร่างกาย
    • ลิงก์คอร์ส: Breath Secrets 7-Day Challenge


    12. English Grammar One

    • เนื้อหาที่สอน: เสริมสร้างพื้นฐานไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ
    • ลิงก์คอร์ส: English Grammar One


    ข้อพึงคำนึง

    • คอร์สฟรี เป็นเหมือนจุดเริ่มต้น อย่างไรผู้ขายบน Udemy ก็ต้องการขายคอร์สหลัก ดังนั้นจึงมีการกั๊กข้อมูล เนื้อหาบ้าง
    • ภาษาและสำเนียง ผู้เรียนที่ไม่คล่องภาษาอังกฤษอาจต้องปรับตัว อ่านคำแปล หาตัวช่วย
    • ระวังหลักสูตรเก่า ต้องดูปีที่จัดทำ การอัปเดทและการรีวิว


    ไม่ว่าคุณจะกำลังมองหาโอกาสพัฒนาตนเองหรือเพิ่มทักษะในสายงานที่คุณสนใจ

    คอร์สจาก Udemy เป็นหนึ่งในทางเลือกที่ตอบโจทย์ 🌟 หรือกำลังมองหาแหล่งคอร์สเรียนเพื่อพัฒนาทักษะอาชีพเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ Education Portal ที่เป็นแหล่งรวมคอร์สเรียนที่น่าสนใจ เพื่อเสริมทักษะและความสามารถ เพิ่มโอกาสในการได้งานในฝันอีกด้วย


    ติดตาม Jobcadu วันนี้ เพื่อเข้าถึงคอร์สฟรี คอร์สดี และเปลี่ยนความรู้เป็นโอกาสในอนาคตของคุณ!


    Related Skills & Areas
    Udemy
    free course


    อาชีพที่เกี่ยวข้อง
    Thumbnail for รวม 6 ประเทศน่าไปเรียน เมื่อมีแพลนเรียนต่อต่างประเทศ
    Education

    รวม 6 ประเทศน่าไปเรียน เมื่อมีแพลนเรียนต่อต่างประเทศ

    เชื่อว่าทุกวันนี้ หลายๆคนมีแพลนอยากไปเรียนต่อต่างประเทศ เนื่องจากมีปัจจัยหลายอย่างที่เอื้ออำนวยต่อการไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศมากขึ้น เช่น โซเชียลมีเดีย มีญาติอาศัยที่ต่างประเทศ หรือการคมนาคมที่สะดวกมากขึ้น เป็นต้น แต่ก็อาจจะยังลังเล หรือกำลังหาข้อมูลอยู่ว่าจะเลือกไปเรียนที่ประเทศไหนดี? วันนี้ Jobcadu จะพามาทำความรู้จักกับ 6 ประเทศที่คู่ควรแก่การไปเรียนต่อ จะมีประเทศอะไรบ้าง ไปดูกันเลย! 1.Australia ทำไมต้องไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย? ออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีระบบการศึกษาที่มีคุณภาพติดอันดับที่ 3 ของโลก ในปี 2020 อ้างอิงจากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกจากสถาบันการจัดอันดับต่างๆ นอกจากนี้ยังมีวิชาเปิดสอนที่ครอบคลุมทุกสาขาวิชา มีทั้งระยะสั้นไปจนถึงระดับปริญญา รวมไปถึงยังมีสถาบันเฉพาะด้านอีกด้วย และมีค่าครองชีพต่ำ ถ้าเทียบกับประเทศอื่นๆที่คนมักมาเรียนต่อ คณะที่แนะนำในการไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย Business & Management Engineering & Technology Law Communication & Media Art & Design ตัวอย่างหลักสูตรเรียนต่อที่ออสเตรเลียที่เรามี Business, Finance and Management / The University of Queensland, Brisbane City, Australia (499,957.74 THB) IT and Computer Science / Master of Data Science, The University of Adelaide, Adelaide, South Australia, Australia (1,107,795.07 THB) 2.Canada ทำไมต้องเรียนต่อที่แคนาดา? แคนาดาเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีระดับคุณภาพการศึกษาสูง มีมาตรฐานระดับโลก นักศึกษาต่างชาติที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยของแคนาดา จึงประสบความสำเร็จและก้าวหน้าในหน้าที่การงานจากมาตรฐานการศึกษาที่สูงของประเทศแคนาดา และด้วยความที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมสูง คนในประเทศแคนาดาจึงมีนิสัยเป็นกันเอง เป็นมิตร ให้เกียรติและเคารพผู้อื่น มีอัตราอาชญากรรมและการก่อความรุนแรงอยู่ในระดับต่ำ ถือเป็นประเทศที่มีคุณภาพชีวิตดีประเทศหนึ่งเลย คณะที่แนะนำในการเรียนต่อที่แคนาดา Computer Science and IT Economics Engineering Business Management Medical ตัวอย่างหลักสูตรเรียนต่อที่แคนาดาที่เรามี Natural, Physical and Environmental Sciences / Michael G. DeGroote Health Leadership Academy (HLA), McMaster University, Hamilton, Canada (105,696.73 THB) Master of Computing Science / University of Alberta, Edmonton, Canada (464,960.41 THB) 3.Singapore ทำไมต้องเรียนต่อที่สิงคโปร์? สิงคโปร์เป็นอีกหนึ่งประเทศที่น่าไปเรียน แม้ประชากรและพื้นที่ในประเทศอาจจะไม่ได้ใหญ่ แต่ถือเป็นประเทศชั้นนำที่ขับเคลื่อนสู่อนาคต เด่นเรื่องการพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่ดีติดอันดับต้นๆทั้งของโลกและในแถบเอเชีย และยังอยู่ไม่ไกลจากประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีหลากหลายวัฒนธรรมเชื้อชาติ ทำให้ผู้คนที่นั่นยอมรับความแตกต่างของกันและกัน และเป็นมิตรกับชาวต่างชาติ จึงได้ขึ้นชื่อเรื่องรับประกันความปลอดภัยในการไปอยู่อาศัยหรือไปเรียนต่อ คณะที่แนะนำในการเรียนต่อที่สิงคโปร์ Business Management Chemical & Life Sciences Engineering Design Health Sciences ตัวอย่างหลักสูตรเรียนต่อที่สิงค์โปร์ที่เรามี Natural, Physical and Environmental Sciences / Master of Science in Power Engineering, Nanyang Technological University, Singapore, Singapore (1,418,637.01 THB) Business, Finance and Management / Master of Science in Maritime Studies, Nanyang Technological University, Singapore, Singapore (1,139,492.13 Thai Baht) 4.Thailand ทำไมต้องเรียนต่อที่ประเทศไทย? ในปัจจุบัน ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีชาวต่างชาติเลือกมาเรียนต่อมากขึ้น จะเห็นได้ชัดมากขึ้นในหลายๆมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยภาคอินเตอร์ มีหลากหลายหลักสูตรให้เลือกเรียนได้อย่างอิสระ ซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดได้อย่างหนึ่งว่าประเทศเราถือเป็นประเทศหนึ่งที่มีคุณภาพชีวิตและการศึกษาที่ดีไม่แพ้ชาติอื่นๆเลย ไม่ว่าจะเรื่อง ค่าครองชีพที่ต่ำ อาหารอร่อย และความเป็นมิตรของผู้คนในประเทศ ถือเป็นเอกลักษณ์และควรอนุรักษ์ไว้อย่างยิ่ง ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมควรเลือกเรียนต่อที่ประเทศไทย คณะที่แนะนำในการเรียนต่อที่ประเทศไทย นิเทศศาสตร์ บริหารธุรกิจ วิศวกรรมศาสตร์ ครุศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ ตัวอย่างหลักสูตรเรียนต่อที่ประเทศไทยที่เรามี IT and Computer Science / Master of Arts (M.A.) in Applied Economics (MAAE), Chulalongkorn University, Bangkok, Thailand 5.UK (United Kingdom) ทำไมต้องเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ? ประเทศอังกฤษมีชื่อเสียงระดับโลกในด้านการศึกษา โดยมีมหาวิทยาลัยชื่อดังอย่าง Oxford, Cambridge, และ Imperial College London ที่ติดอันดับโลก ไม่ได้มีแค่คุณภาพสูงในด้านการวิจัยและการเรียนการสอนเท่านั้น แต่ยังมีหลักสูตรที่หลากหลาย ทั้งในสาขาศิลปะ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และอื่น ๆ โดยสามารถเลือกเรียนสาขาที่ตรงกับความสนใจและความถนัดได้อย่างอิสระ นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสที่ดีในการพบปะเพื่อนนักศึกษาจากทั่วโลก โดยจะได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ความคิด และวิธีการดำเนินชีวิตจากหลากหลายประเทศ การมีเพื่อนจากหลายประเทศสามารถช่วยเปิดโลกทัศน์และเพิ่มทักษะการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมที่หลากหลายได้ดียิ่งขึ้น คณะที่แนะนำในการเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ Business & Entrepreneurship Digital Marketing Engineering Law Accounting and Finance ตัวอย่างหลักสูตรเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษที่เรามี Business, Finance and Management / MSc Finance with Data Science, University College London, London, UK (2,036,295.97 THB) IT and Computer Science / Disability, Design and Innovation MSc, University College London, London, UK (1,720,691.71 Thai Baht) 6.USA (United States of America) ทำไมต้องเรียนต่อที่อเมริกา? อเมริกาเป็นที่รู้จักในด้านการศึกษาที่มีคุณภาพสูง และเป็นที่นิยมในหมู่นักเรียนด้วยวิธีการสอนที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ในระดับสากลและเป็นที่ยอมรับกันว่า อเมริกาเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชั้นนำติดอันดับ World Universities Ranking มากมาย นอกจากนี้ ประชาชนในประเทศก็มีหลายสัญชาติ เพราะอเมริกาคือประเทศแห่งเสรีภาพ ทำให้ได้สัมผัสวัฒนธรรมและการใช้ชีวิตอันแตกต่าง การได้พบเจอกับความหลากหลายทางสัญชาตินี้จะสร้างภูมิคุ้มกัน ได้เปิดกว้างความเข้าใจในความต่างทางวัฒนธรรมให้นักศึกษาได้เรียนรู้อีกด้วย คณะที่แนะนำในการเรียนต่อที่ประเทศอเมริกา Engineering Business and Management Computer Science ตัวอย่างหลักสูตรเรียนต่อที่ประเทศอเมริกาที่เรามี Business, Finance and Management / Fellowship for Public Education Leadership, Yale University, New Haven, USA (2,058,329.63 THB) IT and Computer Science / Master of Engineering in Computation and Cognition, Massachusetts Institute of Technology (MIT), Massachusetts, USA (1,988,948.79 THB) หากสนใจบทความเกี่ยวกับการศึกษาต่อ หรือคอร์สเรียนต่อต่างประประเทศรวมถึงรายละเอียดต่างๆ สามารถเข้ามาเยี่ยมชมเพิ่มเติมได้ที่ Education Portal แหล่งรวมความรู้ ทักษะ และโอกาสต่างๆในการงานรวมไว้ที่นี่ทั้งหมดแล้ว อ้างอิง 1.Thebest-edu 2.Hands-on 3.IDP 4.images.app 5.hands-on 6.thaistudyabroad 7.images.app 8.studyuk.in.th 9.Hands-on 10.learningcurve 11.images.app 12.kor-kai 13.images.app 14.bltbangkok 15.images.app 16.Hands-on-us 17.Hands-on

    Master's Degree
    Study Abroad
    Study at Australia
    Mar 6, 2025
    3 min
    Thumbnail for เทคนิคการเขียน CV/Resume สำหรับเรียนต่อต่างประเทศ (ในไทยก็ได้นะ)
    Education

    เทคนิคการเขียน CV/Resume สำหรับเรียนต่อต่างประเทศ (ในไทยก็ได้นะ)

    ในการสมัครเรียนต่อต่างประเทศ นอกจากจะต้องเตรียมคะแนนสอบต่าง ๆ เช่น TOEFL, IELTS, GMAT หรือ GRE แล้ว ยังมีเอกสารสำคัญอื่น ๆ ที่ใช้ประกอบการสมัคร ไม่ว่าจะเป็น Statement of Purpose (SOP), ใบรับรองผลการศึกษา (Transcripts), จดหมายรับรองจากอาจารย์ (Letter of Recommendation) และ CV หรือ Resume ซึ่งถือเป็นเอกสารที่ช่วยแสดงถึงความสามารถ ประสบการณ์ และความสำเร็จทางวิชาการของผู้สมัคร เพื่อให้มหาวิทยาลัยหรือคณะกรรมการรับสมัครเข้าใจว่าผู้สมัครเหมาะสมกับหลักสูตรนี้หรือไม่ การมี CV ที่ดีไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เรามีความได้เปรียบเหนือผู้สมัครคนอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติทางวิชาการใกล้เคียงกัน CV/Resume สำหรับเรียนต่อต่างประเทศคืออะไร CV (Curriculum Vitae) หรือ Resume เปรียบเสมือนโปรไฟล์ที่จะเป็นหน้าเป็นตาให้กรรมการได้เห็น ซึ่งจะเน้นไปที่ประวัติการศึกษา, งานวิจัย, ประสบการณ์การทำงาน, และ ทักษะที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาที่เราต้องการศึกษาต่อ ซึ่งแตกต่างจาก Resume ที่ใช้สมัครงานซึ่งมักเน้นไปที่ประสบการณ์ทำงานเป็นหลัก การเขียน CV สำหรับเรียนต่อควรมีโครงสร้างที่ชัดเจน กระชับ และตรงประเด็น เพื่อให้คณะกรรมการรับสมัครสามารถประเมินคุณสมบัติของเราได้อย่างรวดเร็ว เเละช่วยสะท้อนวิสัยทัศน์และเป้าหมายทางการศึกษาของเราในอนาคตอีกด้วย สิ่งพื้นฐานที่ต้องมีใน CV/Resume สำหรับเรียนต่อ 1. ข้อมูลส่วนตัว (Personal Information) ชื่อ-นามสกุล อีเมล เบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่ (ถ้าจำเป็น) ลิงก์ไปยังโปรไฟล์ของเรา เช่น LinkedIn หรือเว็บไซต์ส่วนตัว 2. ประวัติการศึกษา (Education Background) วุฒิการศึกษาทั้งหมด เรียงจากล่าสุดไปหาเก่าที่สุด ชื่อสถาบันการศึกษา, คณะ, สาขาวิชา ปีที่จบการศึกษา (หรือคาดว่าจะจบ) เกรดเฉลี่ย (GPA) และเกียรตินิยม (ถ้ามี) อาจใส่วิชาเรียนที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรที่สมัคร หัวข้อวิทยานิพนธ์หรือโครงงานสำคัญ รางวัลหรือทุนการศึกษาที่เคยได้รับ 3. ความสนใจด้านงานวิจัย (Research Interests) ระบุหัวข้องานวิจัยที่สนใจและสอดคล้องกับหลักสูตรที่สมัคร อธิบายสั้นๆ ถึงเหตุผลที่สนใจในหัวข้อนั้นๆ 4. ประสบการณ์การทำงาน (Work Experience) ประสบการณ์การทำงานที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาที่สมัคร ชื่อองค์กร, ตำแหน่ง, ระยะเวลาการทำงาน ระบุรายละเอียดของงานที่ทำ และทักษะที่ได้รับจากประสบการณ์นั้น 5. โครงการวิจัยหรือผลงานทางวิชาการ (Academic Projects and Research Publications) หากเคยมีส่วนร่วมในงานวิจัย ให้ระบุชื่อโครงการ, หัวข้อ, บทบาทของเรา และผลลัพธ์ของงานนั้น เทคนิคหรือเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ผลงานตีพิมพ์ (ถ้ามี) 6. ทักษะ (Skills) ทักษะทางวิชาการและเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชา ความสามารถด้านภาษา (ระบุระดับความเชี่ยวชาญ เช่น TOEFL 100, IELTS 7.5) ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ โปรแกรม หรือซอฟต์แวร์เฉพาะทาง ทักษะการวิเคราะห์ข้อมูลหรือเครื่องมือทางสถิติ ทักษะอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรที่สมัคร 7. กิจกรรมเสริมหลักสูตร (Extracurricular Activities & Leadership Experience) การเข้าร่วมกิจกรรมทางวิชาการ หรือการเป็นผู้นำองค์กรนักศึกษาที่แสดงถึงความสามารถในการทำงานเป็นทีม การสื่อสาร และความเป็นผู้นำ กิจกรรมชมรม กิจกรรมจิตอาสา หรือการช่วยเหลือชุมชนต่างๆ การเข้าร่วมการประชุม สัมมนา หรือการฝึกอบรม 8.รางวัล (Awards) รางวัลที่เคยได้รับ ใบประกาศนียบัตรจากหลักสูตรหรือกิจกรรมต่างๆ 9. จดหมายรับรอง (References) ชื่อและข้อมูลติดต่อของอาจารย์หรือหัวหน้างานที่สามารถให้คำรับรองได้ ควรขออนุญาตก่อนที่จะระบุชื่อบุคคลในส่วนนี้ ความยาวของ CV/Resume สำหรับเรียนต่อ CV แบบละเอียด: ควรมีความยาวประมาณ 2-3 หน้า สำหรับใช้สมัครเรียนในระดับปริญญาโทหรือเอก Resume แบบย่อ: ควรมีความยาว ไม่เกิน 1 หน้า ใช้สำหรับแนบไปกับจดหมายขอจดหมายรับรอง หรือการสมัครทุนบางประเภท ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการเขียน CV/Resume เขียนผิดพลาดทางไวยากรณ์และตัวสะกด: ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีคำผิด และหากเป็นภาษาอังกฤษ ควรให้ผู้อื่นช่วยตรวจทาน ลำดับเวลาไม่ถูกต้อง: ควรเรียงข้อมูลตามลำดับจากล่าสุดไปย้อนหลัง เพื่อให้อ่านง่าย ใส่ข้อมูลที่ไม่จำเป็น: ไม่ควรใส่ข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสมัครเรียน เช่น งานพาร์ทไทม์ที่ไม่เกี่ยวข้อง ใช้เทมเพลตที่อ่านยาก: ควรใช้รูปแบบที่เป็นมืออาชีพ อ่านง่าย และมีโครงสร้างชัดเจน การเขียน CV/Resume สำหรับเรียนต่อต่างประเทศควรเน้นความกระชับ ชัดเจน และสื่อสารข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและงานวิจัยให้มากที่สุด การเตรียมเอกสารล่วงหน้าและตรวจสอบความถูกต้องก่อนส่งสามารถช่วยเพิ่มโอกาสให้เราได้รับการคัดเลือกเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยที่ต้องการ ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน การใช้เครื่องมือออนไลน์เพื่อสร้าง CV ที่มีรูปแบบมืออาชีพและน่าดึงดูดสามารถช่วยให้เราประหยัดเวลาและสร้างเอกสารที่มีคุณภาพสูง ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับการพิจารณาจากสถาบันการศึกษาชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศอีกด้วย หากต้องการสร้าง Resume/CV อย่างมืออาชีพ สามารถใช้ Resume Builder บน Jobcadu ที่ช่วยให้เราออกแบบเรซูเม่ที่น่าสนใจและโดดเด่นด้วย AI และเทมเพลตที่ออกแบบอย่างมืออาชีพกว่า 40 แบบ อ้างอิง

    เรียนต่อปริญญาโท
    Resume
    Resume Tips
    Feb 24, 2025
    2 min
    Thumbnail for เรียนต่ออะไรดี? รวม 10 สาขาน่าเรียน ไม่ตกงาน ทั้งในไทยและต่างประเทศ
    Education

    เรียนต่ออะไรดี? รวม 10 สาขาน่าเรียน ไม่ตกงาน ทั้งในไทยและต่างประเทศ

    ทำไมต้องเรียนต่อ? ในยุคที่ตลาดแรงงานมีการแข่งขันสูงขึ้นเรื่อย ๆ การเรียนต่อเป็นทางเลือกที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการทำงานและยกระดับอาชีพของเรา ไม่ว่าจะเป็นการเรียนต่อในระดับปริญญาตรีหรือปริญญาโท การศึกษาต่อสามารถช่วยให้เราได้รับทักษะเฉพาะทางและสร้างความได้เปรียบในการทำงาน นอกจากนี้ การเรียนต่อต่างประเทศยังเปิดโอกาสให้เราได้สัมผัสวัฒนธรรมใหม่ ๆ สร้างคอนเนคชั่นในอุตสาหกรรมและพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่น ๆ อีกด้วย เรียนต่อต่างประเทศ เรียนตรีหรือโทดี? ปริญญาตรี: เหมาะสำหรับนักเรียนที่ต้องการเปิดโอกาสให้ตัวเองได้เรียนรู้ทักษะพื้นฐานของสาขาวิชาต่าง ๆ และสร้างพื้นฐานที่มั่นคงสำหรับอาชีพในอนาคต ปริญญาโท: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มพูนความเชี่ยวชาญในสาขาเฉพาะทาง และมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาความรู้เชิงลึก รวมถึงเปิดโอกาสในสายอาชีพที่มีตำแหน่งสูงขึ้นหรือเงินเดือนที่ดีกว่า 10 สาขาน่าเรียนทั้งในไทยและต่างประเทศ 1. Data Science & Artificial Intelligence (AI) มหาวิทยาลัยแนะนำ: Stanford University (สหรัฐอเมริกา), University of Oxford (สหราชอาณาจักร), National University of Singapore (สิงคโปร์) ค่าเทอมโดยประมาณ: 20,000 - 50,000 USD ต่อปี ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: Data Scientist, Machine Learning Engineer, AI Researcher เงินเดือนเฉลี่ย: 70,000 - 150,000 USD ต่อปี 2. Cybersecurity มหาวิทยาลัยแนะนำ: Carnegie Mellon University (สหรัฐอเมริกา), ETH Zurich (สวิตเซอร์แลนด์) ค่าเทอมโดยประมาณ: 25,000 - 45,000 USD ต่อปี ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: Cybersecurity Analyst, Ethical Hacker, Security Consultant เงินเดือนเฉลี่ย: 80,000 - 140,000 USD ต่อปี 3. Biomedical Engineering มหาวิทยาลัยแนะนำ: Johns Hopkins University (สหรัฐอเมริกา), Imperial College London (สหราชอาณาจักร) ค่าเทอมโดยประมาณ: 30,000 - 55,000 USD ต่อปี ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: Biomedical Engineer, Medical Device Developer เงินเดือนเฉลี่ย: 60,000 - 120,000 USD ต่อปี 4. Digital Marketing มหาวิทยาลัยแนะนำ: University of Melbourne (ออสเตรเลีย), ESSEC Business School (ฝรั่งเศส) ค่าเทอมโดยประมาณ: 20,000 - 40,000 USD ต่อปี ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: Digital Marketing Manager, SEO Specialist, Social Media/ Digital Strategist เงินเดือนเฉลี่ย: 50,000 - 100,000 USD ต่อปี 5. Sustainable Energy Engineering มหาวิทยาลัยแนะนำ: Technical University of Denmark (เดนมาร์ก), TU Delft (เนเธอร์แลนด์) ค่าเทอมโดยประมาณ: 15,000 - 35,000 USD ต่อปี ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: Renewable Energy Consultant, Environmental Engineer เงินเดือนเฉลี่ย: 70,000 - 130,000 USD ต่อปี 6. Business Administration (MBA) มหาวิทยาลัยแนะนำ: Harvard Business School (สหรัฐอเมริกา), Stanford Graduate School of Business ค่าเทอมโดยประมาณ: 50,000 - 80,000 USD ต่อปี อาชีพที่สามารถประกอบได้: Business Consultant, Investment Banker, CEO เงินเดือนเฉลี่ย: 100,000 - 200,000 USD ต่อปี 7. Computer Science มหาวิทยาลัยแนะนำ: Massachusetts Institute of Technology (MIT) (สหรัฐอเมริกา), University of Cambridge (สหราชอาณาจักร) ค่าเทอมโดยประมาณ: 30,000 - 60,000 USD ต่อปี ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: Software Engineer, Systems Architect เงินเดือนเฉลี่ย: 80,000 - 150,000 USD ต่อปี 8. Architecture มหาวิทยาลัยแนะนำ: University of California, Berkeley (สหรัฐอเมริกา), ETH Zurich (สวิตเซอร์แลนด์) ค่าเทอมโดยประมาณ: 25,000 - 50,000 USD ต่อปี ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: Architect, Urban Planner เงินเดือนเฉลี่ย: 50,000 - 120,000 USD ต่อปี 9. International Relations มหาวิทยาลัยแนะนำ: London School of Economics (สหราชอาณาจักร), Sciences Po (ฝรั่งเศส) ค่าเทอมโดยประมาณ: 20,000 - 45,000 USD ต่อปี ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: Diplomat, Policy Analyst เงินเดือนเฉลี่ย: 60,000 - 110,000 USD ต่อปี 10. Environmental Science มหาวิทยาลัยแนะนำ: University of British Columbia (แคนาดา), Australian National University (ออสเตรเลีย) ค่าเทอมโดยประมาณ: 20,000 - 40,000 USD ต่อปี ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: Environmental Consultant, Sustainability Manager เงินเดือนเฉลี่ย: 55,000 - 100,000 USD ต่อปี เรียนต่อต่างประเทศต้องใช้อะไรบ้าง? 1.วุฒิการศึกษาที่เกี่ยวข้อง: เช่น ใบปริญญาตรีสำหรับเรียนต่อโท หรือวุฒิมัธยมศึกษาสำหรับปริญญาตรี 2.ผลสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ: เช่น IELTS, TOEFL หรือภาษาท้องถิ่นของประเทศที่ต้องการไปเรียน 3.จดหมายแนะนำ (Letter of Recommendation): จากอาจารย์หรือผู้ที่เคยทำงานร่วมกัน 4.Statement of Purpose (SOP) หรือ Personal Statement: บรรยายเหตุผลที่ต้องการเรียนต่อในสาขานั้น ๆ 5.Portfolio (ถ้ามี): สำหรับสายงานที่เกี่ยวข้องกับศิลปะ สถาปัตยกรรม หรือสาขาที่ต้องใช้ผลงานประกอบการสมัคร 6.ผลสอบมาตรฐานอื่น ๆ (ถ้าจำเป็น): เช่น GMAT, GRE สำหรับหลักสูตรธุรกิจหรือวิทยาศาสตร์บางสาขา 7.เอกสารทางการเงิน: หลักฐานแสดงความสามารถทางการเงิน เช่น หนังสือรับรองบัญชีธนาคาร เพื่อขอวีซ่านักเรียน 8.วีซ่านักเรียน: ต้องตรวจสอบข้อกำหนดของแต่ละประเทศ 9.ประกันสุขภาพนักเรียนต่างชาติ: บางมหาวิทยาลัยกำหนดให้ต้องมีประกันสุขภาพ เรียนต่อต่างประเทศต้องใช้เงินเท่าไหร่? ค่าใช้จ่ายในการเรียนต่อต่างประเทศขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ประเทศที่เลือก มหาวิทยาลัย สาขาวิชา และค่าครองชีพในเมืองที่อยู่ โดยค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ได้แก่: 1. ค่าเล่าเรียน สหรัฐอเมริกา: $20,000 - $80,000 ต่อปี (ประมาณ 590,000-2,690,000 บาท) สหราชอาณาจักร: £10,000 - £40,000 ต่อปี (ประมาณ 420,000-1,700,000 บาท) ออสเตรเลีย: AUD 20,000 - AUD 50,000 ต่อปี (ประมาณ 420,000-1,070,000 บาท) แคนาดา: CAD 15,000 - CAD 40,000 ต่อปี (ประมาณ 355,000- 949,000 บาท) ยุโรป (เช่น เยอรมนี, ฝรั่งเศส, เนเธอร์แลนด์): บางประเทศมีค่าเล่าเรียนต่ำหรือไม่มีเลย (ขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัย) 2. ค่าครองชีพ สหรัฐอเมริกา: $1,000 - $2,500 ต่อเดือน (ประมาณ 33,000-84,000 บาท) สหราชอาณาจักร: £800 - £2,000 ต่อเดือน (ประมาณ 34,000-85,000 บาท) ออสเตรเลีย: AUD 1,200 - AUD 2,500 ต่อเดือน (ประมาณ 25,000-53,000 บาท) แคนาดา: CAD 1,000 - CAD 2,500 ต่อเดือน (ประมาณ 23,000-59,000 บาท) ยุโรป: €600 - €1,500 ต่อเดือน (ประมาณ 21,000-52,000 บาท) 3. ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ค่าหนังสือและอุปกรณ์การเรียน: $500 - $2,000 ต่อปี ค่าประกันสุขภาพ: $500 - $2,000 ต่อปี ค่าเดินทาง (ตั๋วเครื่องบินไปกลับ): $800 - $2,500 ขึ้นอยู่กับระยะทาง รวมค่าใช้จ่ายต่อปี: โดยเฉลี่ยแล้ว นักศึกษาต่างชาติอาจต้องใช้เงินประมาณ $30,000 - $100,000 ต่อปี ขึ้นอยู่กับประเทศและมหาวิทยาลัยที่เลือก ทุนการศึกษาในการเรียนต่อต่างประเทศ หากต้องการลดภาระค่าใช้จ่าย สามารถสมัครทุนการศึกษาจากแหล่งต่าง ๆ เช่น: ทุนรัฐบาล เช่น Fulbright (สหรัฐอเมริกา), Chevening (สหราชอาณาจักร), DAAD (เยอรมนี) ทุนมหาวิทยาลัย เช่น Gates Cambridge Scholarship, Australia Awards ทุนจากองค์กรเอกชนและมูลนิธิต่าง ๆ การวางแผนค่าใช้จ่ายและมองหาทุนการศึกษาเป็นวิธีที่ช่วยให้การเรียนต่อต่างประเทศเป็นไปได้ง่ายขึ้น อย่าลืมศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วนก่อนตัดสินใจ 10 สาขาน่าเรียนต่อในไทย 1. บริหารธุรกิจและการบัญชี รายละเอียดหลักสูตร: มุ่งเน้นการเรียนรู้ด้านการจัดการธุรกิจ การเงิน การตลาด และการบัญชี เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการทำงานในองค์กรต่าง ๆ ตัวอย่างมหาวิทยาลัย: คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ค่าเล่าเรียน: ประมาณ 17,000 บาท/เทอม ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: นักบัญชี (Accountant) – เงินเดือนเริ่มต้น 18,000 - 25,000 บาท/เดือน นักวิเคราะห์ทางการเงิน (Financial Analyst) – เงินเดือนเริ่มต้น 25,000 - 35,000 บาท/เดือน ที่ปรึกษาทางธุรกิจ (Business Consultant) – เงินเดือนเริ่มต้น 30,000 - 50,000 บาท/เดือน ผู้จัดการฝ่ายการตลาด (Marketing Manager) – เงินเดือนเริ่มต้น 25,000 - 45,000 บาท/เดือน ผู้บริหาร (Business Executive) – รายได้เริ่มต้น 30,000 - 70,000 บาท/เดือน 2. วิศวกรรมศาสตร์ รายละเอียดหลักสูตร: ศึกษาเกี่ยวกับการออกแบบ พัฒนา และบำรุงรักษาระบบและโครงสร้างต่าง ๆ ในหลากหลายสาขา เช่น วิศวกรรมไฟฟ้า วิศวกรรมเครื่องกล และวิศวกรรมโยธา ตัวอย่างมหาวิทยาลัย: คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ค่าเล่าเรียน: ประมาณ 18,200 บาท/เทอม ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: วิศวกรไฟฟ้า (Electrical Engineer) – เงินเดือนเริ่มต้น 25,000 - 35,000 บาท/เดือน วิศวกรเครื่องกล (Mechanical Engineer) – เงินเดือนเริ่มต้น 30,000 - 45,000 บาท/เดือน วิศวกรโยธา (Civil Engineer) – เงินเดือนเริ่มต้น 28,000 - 40,000 บาท/เดือน ผู้จัดการโครงการ (Project Manager) – เงินเดือนเริ่มต้น 50,000 - 100,000 บาท/เดือน 3. นิติศาสตร์ รายละเอียดหลักสูตร: มุ่งเน้นการศึกษาเกี่ยวกับกฎหมายและระบบกฎหมาย เพื่อเตรียมความพร้อมในการเป็นนักกฎหมาย ตัวอย่างมหาวิทยาลัย: คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ค่าเล่าเรียน: ประมาณ 24,000 บาท (ในภาคการศึกษาแรกหลังรวมค่าธรรมเนียมอื่นๆ) ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: ทนายความ (Lawyer) – เงินเดือนเริ่มต้น 25,000 - 40,000 บาท/เดือน ที่ปรึกษากฎหมาย (Legal Advisor) – เงินเดือนเริ่มต้น 50,000 - 70,000 บาท/เดือน ผู้พิพากษา (Judge) – เงินเดือนเริ่มต้น 50,000 - 100,000 บาท/เดือน อัยการ (Prosecutor) – เงินเดือนเริ่มต้น 40,000 - 70,000 บาท/เดือน 4. แพทยศาสตร์ รายละเอียดหลักสูตร: ศึกษาเกี่ยวกับการแพทย์และการรักษาโรค เพื่อเตรียมความพร้อมในการเป็นแพทย์ ตัวอย่างมหาวิทยาลัย: คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ค่าเล่าเรียน: ภาคการศึกษาละ 30,000 บาท ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: แพทย์ (Medical Doctor) – เงินเดือนเริ่มต้น 30,000 - 50,000 บาท/เดือน ศัลยแพทย์ (Surgeon) – เงินเดือนเริ่มต้น 60,000 - 120,000 บาท/เดือน แพทย์เฉพาะทาง (Specialist Doctor) – เงินเดือนเริ่มต้น 100,000 บาท/เดือน แพทย์ในโรงพยาบาลเอกชน (Private Hospital Doctor) – รายได้สูงกว่า 200,000 บาท/เดือน 5. วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ รายละเอียดหลักสูตร: มุ่งเน้นการศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาซอฟต์แวร์ ระบบคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ ตัวอย่างมหาวิทยาลัย: คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ค่าเล่าเรียน: หลักสูตรปกติ12,000 บาท/เทอม , โครงการพิเศษ 30,000 บาท/เทอม ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: นักพัฒนาซอฟต์แวร์ (Software Developer) – เงินเดือนเริ่มต้น 30,000 - 50,000 บาท/เดือน วิศวกรระบบ (Systems Engineer) – เงินเดือนเริ่มต้น 40,000 - 70,000 บาท/เดือน นักวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analyst) – เงินเดือนเริ่มต้น 25,000 - 50,000 บาท/เดือน ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI (AI Specialist) – เงินเดือนเริ่มต้น 60,000 - 100,000 บาท/เดือน 6. นิเทศศาสตร์ รายละเอียดหลักสูตร: ศึกษาเกี่ยวกับการสื่อสารมวลชน การประชาสัมพันธ์ และสื่อสารการตลาด ตัวอย่างมหาวิทยาลัย: คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ค่าเล่าเรียน: ประมาณ 21,000 บาท/เทอม ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: นักข่าว (Journalist) – เงินเดือนเริ่มต้น 15,000 - 30,000 บาท/เดือน นักประชาสัมพันธ์ (PR Specialist) – เงินเดือนเริ่มต้น 20,000 - 50,000 บาท/เดือน ผู้จัดการการตลาด (Marketing Manager) – เงินเดือนเริ่มต้น 50,000 - 100,000 บาท/เดือน คอนเทนต์ครีเอเตอร์ (Content Creator) – เงินเดือนเริ่มต้น 18,000 - 40,000 บาท/เดือน 7. เศรษฐศาสตร์ รายละเอียดหลักสูตร: มุ่งเน้นการศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ การวิเคราะห์เศรษฐกิจ และนโยบายเศรษฐกิจ ตัวอย่างมหาวิทยาลัย: คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ค่าเล่าเรียน: ประมาณ 28,400 บาท/เทอม ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: นักเศรษฐศาสตร์ (Economist) – เงินเดือนเริ่มต้น 30,000 - 50,000 บาท/เดือน นักวิเคราะห์เศรษฐกิจ (Economic Analyst) – เงินเดือนเริ่มต้น 40,000 - 80,000 บาท/เดือน ผู้บริหารธนาคาร (Bank Executive) – เงินเดือนเริ่มต้น 100,000 บาท/เดือน 8. ศึกษาศาสตร์ รายละเอียดหลักสูตร: ศึกษาเกี่ยวกับการสอนและการบริหารการศึกษา เพื่อเตรียมความพร้อมในการเป็นครูหรือผู้บริหารการศึกษา ตัวอย่างมหาวิทยาลัย: คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ค่าเล่าเรียน: ประมาณ 20,000 บาท/เทอม ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: ครู (Teacher) – เงินเดือนเริ่มต้น 20,000 - 35,000 บาท/เดือน ผู้บริหารโรงเรียน (School Administrator) – เงินเดือนเริ่มต้น 40,000 - 70,000 บาท/เดือน ที่ปรึกษาด้านการศึกษา (Education Consultant) – เงินเดือนเริ่มต้น 30,000 - 60,000 บาท/เดือน 9. ภาษาต่างประเทศ รายละเอียดหลักสูตร: มุ่งเน้นการเรียนรู้และฝึกฝนทักษะภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน หรือภาษาญี่ปุ่น ตัวอย่างมหาวิทยาลัย: คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ค่าเล่าเรียน: ประมาณ 15,000 บาท/เทอม ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: ล่าม (Interpreter) – เงินเดือนเริ่มต้น 20,000 - 35,000 บาท/เดือน นักแปล (Translator) – เงินเดือนเริ่มต้น 20,000 - 35,000 บาท/เดือน ผู้สอนภาษาต่างประเทศ (Foreign Language Teacher) – เงินเดือนเริ่มต้น 20,000 - 50,000 บาท/เดือน 10. เทคโนโลยีสารสนเทศ รายละเอียดหลักสูตร: ศึกษาเกี่ยวกับการจัดการและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในองค์กร ตัวอย่างมหาวิทยาลัย: สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น ค่าเล่าเรียน: เฉลี่ยค่าเทอมแต่ละคณะ ประมาณ 45,000 - 50,000 บาท/เทอม ตัวอย่างอาชีพที่สามารถประกอบได้: นักพัฒนาซอฟต์แวร์ (Software Developer) - เงินเดือนเริ่มต้น: 30,000 - 50,000 บาท/เดือน นักวิเคราะห์ระบบ (Systems Analyst) - เงินเดือนเริ่มต้น: 35,000 - 55,000 บาท/เดือน นักวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analyst) - เงินเดือนเริ่มต้น: 25,000 - 45,000 บาท/เดือน ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity Specialist) - เงินเดือนเริ่มต้น: 50,000 - 80,000 บาท/เดือน ผู้เชี่ยวชาญด้านคลาวด์ (Cloud Specialist) - เงินเดือนเริ่มต้น: 45,000 - 70,000 บาท/เดือน ผู้จัดการโครงการเทคโนโลยี (IT Project Manager) - เงินเดือนเริ่มต้น: 50,000 - 100,000 บาท/เดือน นอกจากนี้ในประเทศไทยยังมีมหาวิทยาลัยหลายแห่งที่เปิดสอนหลักสูตรนานาชาติที่มีคุณภาพไม่แพ้กับการเรียนที่ต่างประเทศเลย เช่น 1. มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (Assumption University - ABAC) คณะบริหารธุรกิจและเศรษฐศาสตร์ (MSME): เป็นคณะที่ใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย มุ่งเน้นการพัฒนานักศึกษาให้เป็นผู้ประกอบการที่มีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่งกับศิษย์เก่าและภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ เกณฑ์การรับสมัคร: นักศึกษาสามารถสมัครเข้าเรียนได้โดยไม่จำเป็นต้องมีผลคะแนนภาษาอังกฤษหรือคณิตศาสตร์ เนื่องจากมหาวิทยาลัยมีการจัดสอบวัดระดับภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์เอง อย่างไรก็ตาม หากมีผลคะแนน TOEFL (iBT) ≥ 60 หรือ IELTS (Academic) ≥ 5.0 จะได้รับการยกเว้นบางวิชา ค่าเล่าเรียน: ประมาณ 70,000 บาท/เทอม 2. วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล (Mahidol University International College - MUIC) สาขาวิชาบริหารธุรกิจ: มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะด้านการจัดการธุรกิจในระดับสากล สาขาวิชาวิทยาศาสตร์: เน้นการเรียนการสอนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาวิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์: เตรียมความพร้อมให้นักศึกษาในด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ เกณฑ์การรับสมัคร: ต้องมีผลคะแนนภาษาอังกฤษ เช่น IELTS ≥ 6.0 (โดย Writing ≥ 6.0) หรือ TOEFL (iBT) ≥ 69 (โดย Writing ≥ 22) ค่าเล่าเรียน: ประมาณ 200,000 - 300,000 บาท/เทอม 3. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Chulalongkorn University) คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ (International Program in Design and Architecture - INDA): หลักสูตรนานาชาติที่มุ่งเน้นการออกแบบและสถาปัตยกรรม คณะบริหารธุรกิจ (Bachelor of Business Administration - BBA): หลักสูตรนานาชาติที่เน้นการจัดการธุรกิจในระดับสากล คณะวิศวกรรมศาสตร์ (International School of Engineering - ISE): หลักสูตรนานาชาติที่มุ่งเน้นด้านวิศวกรรมศาสตร์ ค่าเล่าเรียน: คณะ INDA ประมาณ 417,750 บาทต่อปี, คณะ BBA ประมาณ 251,250 บาทต่อปี, คณะ ISE ประมาณ 219,000 บาทต่อปี 4. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (Thammasat University) คณะบริหารธุรกิจ (Bachelor of Business Administration - BBA): หลักสูตรนานาชาติที่มุ่งเน้นการจัดการธุรกิจในระดับสากล คณะวิศวกรรมศาสตร์ (Thammasat English Programme of Engineering - TEPE): หลักสูตรนานาชาติที่เน้นด้านวิศวกรรมศาสตร์ เกณฑ์การรับสมัคร: ต้องมีผลคะแนนภาษาอังกฤษ เช่น TOEFL (iBT) ≥ 80 หรือ IELTS (Academic) ≥ 6.0 และคะแนน SAT (Math) ≥ 600 ค่าเล่าเรียน: ประมาณ 90,000 - 101,000 บาท/เทอม 5. สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (King Mongkut's Institute of Technology Ladkrabang - KMITL) คณะวิศวกรรมศาสตร์ (International College): หลักสูตรนานาชาติที่มุ่งเน้นด้านวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ (School of Architecture, Art, and Design): หลักสูตรนานาชาติที่เน้นการออกแบบและสถาปัตยกรรม เกณฑ์การรับสมัคร: ต้องมีผลคะแนนภาษาอังกฤษ เช่น TOEFL (iBT) ≥ 61 หรือ IELTS (Academic) ≥ 5.0 ค่าเล่าเรียน: ประมาณ 92,500 -100,000 บาท/เทอม การเรียนต่อไม่ใช่แค่โอกาสในการเพิ่มพูนความรู้ แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการสร้างเส้นทางอาชีพและพัฒนาตัวเองในระดับสากล ไม่ว่าจะเลือกเรียนต่อในไทยหรือต่างประเทศ การวางแผนล่วงหน้าและเลือกสาขาที่เหมาะสมกับความสนใจและตลาดแรงงานเป็นสิ่งสำคัญ สำหรับผู้ที่สนใจเรียนต่อต่างประเทศ ควรพิจารณาปัจจัยสำคัญ เช่น ค่าใช้จ่าย เอกสารที่ต้องใช้ และโอกาสทางอาชีพหลังเรียนจบ หากใครกำลังมองหาแนวทางในการเรียนต่อทั้งในไทยเเละต่างประเทศหรืออัปสกิลเพื่อต่อยอดอาชีพ สามารถเข้าไปดูเพิ่มเติมได้ที่ Education Portal

    เรียนต่อต่างประเทศ
    Study Abroad
    เรียนต่อ
    Feb 24, 2025
    7 min
    Thumbnail for ฝึกภาษาอังกฤษอย่างไรให้เก่ง ครบทุกมิติ(ฟัง พูด อ่าน เขียน) ด้วยเทคนิค 6 ข้อ ก้าวสู่การเติบโตในโลกการทำงาน
    Education

    ฝึกภาษาอังกฤษอย่างไรให้เก่ง ครบทุกมิติ(ฟัง พูด อ่าน เขียน) ด้วยเทคนิค 6 ข้อ ก้าวสู่การเติบโตในโลกการทำงาน

    ในการทำงาน การสื่อสารกับผู้อื่นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลภายนอกหรือภายใน ซึ่งเราจะได้เปรียบเป็นอย่างมากถ้าเรามีทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ แต่บางคนก็อาจจะไม่มั่นใจหรือยังไม่เก่งพอ วันนี้ jobcadu จะมาเสนอเทคนิคทั้งหมด 6 ข้อ เป็นการชี้แนวทางสำหรับผู้ที่กำลังอยากเริ่มต้นพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษให้เก่งและพัฒนาขึ้นครบทุกมิติในการสื่อสาร และสามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันรวมไปถึงเติบโตในสังคมการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำไมต้องฝึกภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษสำคัญอย่างไร? การเรียนภาษาอังกฤษในสมัยนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป จะเห็นได้ว่า ไม่ใช่แค่ผู้ใหญ่วัยทำงานที่ให้ความสนใจกับการเรียนภาษาอังกฤษ แต่มีเด็กวัยเรียนหรือนักศึกษาในปัจจุบันจำนวนไม่น้อยหันมาให้ความสนใจกับการเรียนภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาศักยภาพของตัวเองกันมากขึ้น เนื่องจากในยุคปัจจุบัน คนส่วนใหญ่เริ่มตระหนักว่า หนึ่งในความก้าวหน้าในอาชีพหรือสายการเรียนในอนาคต หรือแม้กระทั่งการเพิ่มฐานเงินเดือนของตนเอง นั่นคือทักษะภาษาอังกฤษ รวมทั้งสามารถต่อยอดไปถึงการไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ เพราะภาษาอังกฤษถือเป็นหนึ่งภาษาที่ช่วยให้เราสื่อสารกับผู้คนที่มาจากเชื้อชาติและวัฒนธรรมที่แตกต่างได้ เห็นได้ว่า ภาษาอังกฤษเหมาะกับทุกวัย ถึงแม้จะยังไม่ได้นำไปใช้ในวันนี้ แต่การฝึกทักษะนี้ไว้ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอก็ย่อมเป็นผลประโยชน์ที่ดีต่อตัวท่านเองในสายงานในอนาคตที่ตั้งใจจะไปถึง โดยเฉพาะบุคคลวัยทำงาน, นักศึกษาที่วางแผนเรียนต่อต่างประเทศ และผู้ที่ต้องการเพิ่มทักษะภาษาอังกฤษเพื่อไปใช้ในผลประโชน์ต่าง ๆ เช่น เพื่อใช้เป็นคะแนนในการยื่นเพื่อศึกษาต่อในสายงานที่ลงลึกมากขึ้น และหากสนใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับการพัฒนาตนเองสู่สายงานที่ต้องการสามารถเข้ามาเพื่อรับข้อมูลข่าวสารได้ที่ Career Portal เทคนิค 6 ข้อที่จะช่วยฝึกภาษาอังกฤษให้เก่งทั้งฟัง พูด อ่าน เขียน ข้อที่ 1 : กำหนดเป้าหมายในการฝึกภาษาที่ชัดเจน การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนว่าเราอยากจะเรียนภาษาอังกฤษอย่างจริงจังในครั้งนี้ไปเพื่ออะไร? เราอยากได้อะไรจากการเรียนภาษาอังกฤษ? เป็นนิมิตหมายอันดีในการเริ่มต้นที่จุดสตาร์ท เพื่อเป็นการกำหนดทิศทาง และระยะเวลาให้เรามีกำลังใจในการมีวินัยฝึกฝน ไม่หลงทางหรือท้อจนล้มเลิกไประหว่างทาง และควรกำหนดเดดไลน์ในการฝึกฝนให้ชัดเจนเพื่อให้เราฝึกภาษาได้อย่างมีจุดมุ่งหมาย ข้อที่ 2 : อ่านและจดศัพท์ภาษาอังกฤษใหม่ ๆ อยู่เสมอ การตั้งใจเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ ไปพร้อมกับการจดให้เห็นผ่านตาอยู่เสมอ เป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างก้าวกระโดดเลยทีเดียว เนื่องจากการมีคลังคำศัพท์ในหัวที่มากขึ้น ย่อมทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจในบางรูปประโยคและบริบทได้ดียิ่งขึ้นตามไปด้วย รวมถึงเป็นตัวซัพพอร์ตในการฝึกพัฒนาการพูดได้คล่องแคล่วและเติมรูปประโยคได้สละสลวยมากยิ่งขึ้นอีกด้วย ข้อที่ 3 : ฟังเพลง ฟังพอดแคสต์ และ ดูหนังภาษาอังกฤษ ต้องยอมรับว่าอีกหนึ่งทักษะที่ช่วยให้การฝึกภาษาอังกฤษให้พัฒนามากขึ้น คือการฟัง หลายคนเก่งขึ้นจากทักษะการฟังที่ดีเยี่ยม นอกจากนี้ การฟังภาษาอังกฤษจากต้นฉบับ ทำให้เราไม่ต้องคอยสงสัยในตัวเองว่าที่เรากำลังฝึกสื่อสารอยู่มันถูกต้องหรือยัง และการฟังทำให้เราเข้าใจว่าธรรมชาติของต้นฉบับเขาสื่อสารกันในสำเนียงแบบไหน ใช้รูปประโยคแบบใดในแต่ละบริบท เช่น บริบทที่ใช้ในการสื่อสารเป็นเพลง บริบทที่ใช้พูดในพอดแคสต์หรืองานทอล์คโชว์ต่าง หรือบริบทที่ใช้สื่อการในหนังของตัวละคร ทุกอย่างล้วนใช้จากทักษะการฟังและการจดจำได้ที่มากพอ และจะยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นถ้าได้เห็นเป็นภาพเหตุการณ์ควบคู่ไปด้วยจากการดูหนังหรือรายการต่าง ๆ ของต่างประเทศ ข้อที่ 4 : นำภาษาอังกฤษไปใช้จริงทุกครั้งที่มีโอกาส การเรียนรู้เพียงอย่างเดียวย่อมไม่ทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดเท่ากับการนำสิ่งที่เรียนรู้มาทั้งหมดไปปรับใช้จริง เมื่อฝึกภาษาอังกฤษมาได้สักระยะหนึ่ง ควรเริ่มนำไปใช้ในชีวิตประจำวันบ้าง เช่น ลองนำไปใช้สื่อสารกับเพื่อน อาจารย์ คนในที่ทำงาน หรือนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เราอาจบังเอิญได้ไปพบเจอในบางโอกาส การลองก้าวข้ามคอมฟอร์ตโซนจะช่วยให้เราพัฒนาได้ไกลและรวดเร็วอย่างมีนัยสำคัญเลยทีเดียว ข้อที่ 5 : หาคู่สื่อสารที่เป็นชาวต่างชาติในชีวิตประจำวัน สภาพแวดล้อมเป็นสิ่งที่สำคัญมาก การที่เรามุ่งมั่นตั้งใจฝึกภาษาอังกฤษมาก ๆ แต่ไม่มีใครที่เราสามารถสื่อสารและขอคำแนะนำจากผู้ที่เป็นต้นแบบภาษา (Native Speaker)ได้เลย ย่อมเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ดังนั้น เพื่อประสิทธิภาพที่สูงสุดในการเรียนรู้ เราควรพาตัวเองเข้าไปอยู่ในสังคมที่ใช้การสื่อสารภาษาอังกฤษอย่างเป็นปกติ หรือหาเพื่อนที่เป็นเจ้าของภาษาเพื่อสื่อสารด้วยในชีวิตประจำวันอย่างสม่ำเสมอ รับประกันได้ว่า ทักษะภาษาอังกฤษของเราจะพัฒนาขึ้นได้อย่างก้าวกระโดดแน่นอน ข้อที่ 6 : หาคอร์สเรียนออนไลน์เพิ่มเติม สำหรับผู้ที่ต้องการนำไปใช้สอบเพื่อยื่นคะแนนต่าง ๆ หรือรีบนำไปใช้จริงในระยะเวลาอันสั้น ควรตัดสินใจจัดงบเพื่อหาเรียนคอร์สภาษาอังกฤษเพิ่มเติมเพื่อความแม่นยำในการเรียนภาษา และคำแนะนำจากผู้สอนที่เป็นเหมือนทางลัดให้เราไม่ต้องฝึกฝนนาน ๆ หรือผิดพลาดบ่อย ๆ ซึ่งในแต่ละคอร์สก็จะมีความเข้มข้น ราคา และระยะเวลาในการเรียนที่แตกต่างกันไป การเลือกคอร์สจึงขึ้นอยู่กับเป้าหมายและความต้องการส่วนตัวของแต่คน สรุปได้ว่า ยิ่งหากเรามีทักษะทางภาษาอังกฤษ เราย่อมได้เปรียบในสังคมการทำงานกว่าผู้ที่ไม่มีทักษะทั้งในเรื่องสภาพแวดล้อมและทางการเงิน เนื่องจากโลกในปัจจุบันสามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างอิสระเสรีมากขึ้น รวมทั้งในแง่ขององค์กร ซึ่งมีหลายองค์กรในประเทศที่มองหาลู่ทางในการไปเติบโตในต่างประเทศ และองค์กรคุณภาพจากต่างประเทศที่ต้องการหาลู่ทางและร่วมงานกับหน่วยงานในประเทศไทย ดังนั้น บริษัทชั้นนำต่าง ๆ จึงมองหาพนักงานที่สามารถติดต่อสื่อสารกับชาวต่างชาติได้เพื่อผลประโยชน์ขององค์กรและประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันสูงสุด นอกจากนี้ หากเก่งภาษาอังกฤษแล้ว อย่าลืมหางานที่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ ได้ที่ www.jobcadu.com แหล่งที่รวบรวมตำแหน่งงานคุณภาพที่ได้ใช้ภาษาจากบริษัทชั้นนำมากมาย

    พัฒนาตัวเอง
    ฝึกภาษาอังกฤษฟรี
    เรียนภาษาอังกฤษ
    Jan 30, 2025
    1 min
    Thumbnail for 5 แพลตฟอร์ม/เว็บไซต์ไว้ฝึกภาษาอังกฤษให้ปัง ให้เป๊ะ ได้ทั้ง พูด อ่าน เขียน
    Education

    5 แพลตฟอร์ม/เว็บไซต์ไว้ฝึกภาษาอังกฤษให้ปัง ให้เป๊ะ ได้ทั้ง พูด อ่าน เขียน

    อยากเก่งภาษาอังกฤษ ไม่ต้องเสียเงินแพงก็เก่งได้ เพราะยุคนี้เทคโนโลยีพัฒนาไปไกล มีแพลตฟอร์มและเว็บไซต์มากมายที่เปิดสอนภาษาอังกฤษที่มีทั้งเวอร์ชันฟรีและเสียเงิน แต่ได้ผลลัพธ์เกินคาด ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฟัง พูด อ่าน หรือเขียน วันนี้เราได้นำ 5 แพลตฟอร์มที่จะช่วยให้คุณเก่งภาษาอังกฤษได้ง่าย ๆ ผ่านโลกออนไลน์กัน 5 แพลตฟอร์ม/เว็บไซต์ไว้ฝึกภาษาอังกฤษ 1.Jobcadu’s Education Portal : ตัวช่วยที่ครบเครื่อง หากคุณกำลังมองหาคอร์สเรียนที่สามารถนำไปพัฒนาต่อในสายอาชีพหรือเรียนเพื่อพัฒนาตัวเองในด้านต่าง ๆ Online Course ของเรามีคอร์สออนไลน์จากสถาบันชั้นนำมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Udemy Coursera และอื่น ๆ อีกมากมาย 2. แอปและแพลตฟอร์มเรียนภาษาออนไลน์ Duolingo: แอปพลิเคชันเรียนภาษาผ่านเกม ใช้งานง่าย สนุก และเหมาะสำหรับทุกระดับ BBC Learning English: รวมบทเรียนฟรี วิดีโอ และพอดแคสต์ที่เหมาะสำหรับการพัฒนาภาษาในชีวิตประจำวันและการทำงาน TED Talks: ฝึกทักษะการฟังผ่านหัวข้อที่น่าสนใจและได้ความรู้มากมาย Quizlet: เรียนคำศัพท์อย่างมีประสิทธิภาพผ่าน Flashcard และเกมแบบโต้ตอบ Busuu: แอปที่ให้คุณเรียนรู้ภาษาอังกฤษผ่านบทเรียนที่หลากหลาย และมีฟังก์ชันที่ช่วยพัฒนาการออกเสียงให้ถูกต้องได้อีกด้วย Memrise: แอปนี้เน้นการจดจำคำศัพท์ผ่านภาพและเสียงที่น่าสนใจ ช่วยให้คุณจำคำศัพท์ได้นานขึ้น Randall's ESL Cyber Listening Lab: ครอบคลุมหัวข้อต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ทำให้คุณได้ฝึกฟังภาษาอังกฤษในสถานการณ์จริง เเละมีบทเรียนให้เลือกหลายระดับ ตั้งแต่ระดับเริ่มต้นจนถึงระดับสูง 3. ช่อง YouTube สอนภาษาอังกฤษ แพลตฟอร์มที่รวมคอร์สเรียนเนื้อหาฟรีมากมาย ทั้งคอร์สสอนภาษา บทสนทนา และเทคนิคการเรียนภาษาอังกฤษ แนะนำช่องดี ๆ เช่น English Addict with Mr Duncan, BBC Learning English, EnglishbyChris, ครูพี่เเอน, ครูหวาน: English On Air เเละอีกมากมาย 4. พอดแคสต์ หรือเพลงและภาพยนตร์ภาษาอังกฤษ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อยแต่ต้องการฝึกทักษะการฟังและการออกเสียงภาษาอังกฤษ โดยเรียนรู้ผ่านการฟังพอดแคสต์ เช่น All Ears English, Ted Talks Daily, BCC 6 Minutes English, หรือคำนี้ดี ซึ่งการฟังพอดเเคสต์นั้นจะช่วยให้เราฝึกการฟังและสำเนียงได้ทุกที่ทุกเวลา นอกจากนี้ฟังเพลงภาษาอังกฤษและดูภาพยนตร์โดยมี Sub-Title ภาษาอังกฤษ จะช่วยให้คุณคุ้นเคยกับสำเนียงและการใช้ภาษาในชีวิตจริง อาจจะเริ่มจากการฟังเพลงของนักร้องที่ชอบ หรือการดูหนังของนักเเสดงคนโปรด จะช่วยให้เรามีเเรงบันดาลใจในการฝึกภาษาอังกฤษมากขึ้น 5. ฝึกภาษาจากแอปหรือกลุ่มคนต่างชาติ ในโซเซียลมีเดียจะมีกลุ่มที่มีชาวต่างชาติที่อยากฝึกภาษาไทยมากมาย หรือหาเพื่อนต่างชาติมาฝึกพูดคุยด้วยกัน จะช่วยให้คุณได้ฝึกใช้ภาษาอังกฤษในสถานการณ์จริงกับเจ้าของภาษารวมถึงแอปต่าง ๆ ที่ทำให้เราได้ฝึกกับเจ้าของภาษาได้ออนไลน์ เช่น HelloTalk, Tandem หรือ HiNative เคล็ดลับเพิ่มเติมที่จะช่วยให้ฝึกภาษาอังกฤษได้เก่งขึ้น ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน: กำหนดเป้าหมายในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เช่น อยากพูดคุยกับชาวต่างชาติได้คล่องแคล่ว หรืออยากสอบ IELTS ให้ได้คะแนนตามที่ต้องการ ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ: พยายามฝึกภาษาอังกฤษทุกวัน แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ ก็ตาม หาเพื่อนร่วมเรียน: การเรียนรู้ร่วมกับเพื่อนจะช่วยให้คุณมีแรงบันดาลใจและสามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ อย่ากลัวที่จะผิดพลาด: การผิดพลาดเป็นเรื่องปกติ การกล้าพูดและกล้าทำผิดจะช่วยให้คุณพัฒนาภาษาอังกฤษได้เร็วขึ้น การพัฒนาภาษาอังกฤษเป็นสิ่งสำคัญในยุคที่ภาษาเป็นกุญแจสำคัญในโลกการทำงาน แต่ถ้าคุณอยากไปไกลกว่าแค่การใช้ภาษา ลองสำรวจคอร์สเรียนอื่น ๆ ที่สามารถเติมเต็มทักษะในสายอาชีพของคุณได้ และอย่าลืมแวะดู Online Course ที่ Education Portal

    ฝึกภาษา
    เรียนภาษาอังกฤษ
    ฝึกภาษาอังกฤษฟรี
    Jan 30, 2025
    1 min
    Thumbnail for GMAT ข้อสอบวัดระดับที่กำลังได้รับความนิยมในไทยและต่างประเทศในสถานการณ์ปัจจุบัน
    Education

    GMAT ข้อสอบวัดระดับที่กำลังได้รับความนิยมในไทยและต่างประเทศในสถานการณ์ปัจจุบัน

    เมื่อพูดถึงยุคสมัยปัจจุบัน ที่การไปศึกษาต่อหรือไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ทำให้มีหลายครอบครัว หรือผู้อ่าน เริ่มมองหาสถาบันศึกษาต่อในระดับปริญญาโท หรือปริญญาทั้งในประเทศหรือต่างประเทศ ไม่เพียงเท่านั้น แต่ละสถาบันมีเงื่อนไขในการรับเข้าศึกษาที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นค่าเทอม, ค่าใช้จ่ายในการเรียน รวมไปถึงผลคะแนนที่ต้องใช้ในการยื่นเพื่อผ่านเกณฑ์รับเข้าสมัคร ซึ่งวันนี้เราจะมากล่าวถึงข้อสอบวัดระดับในการศึกษาต่อ ซึ่งมีผลบังคับใช้ในการศึกษาต่อทั้งในไทยและต่างประเทศในปัจจุบันค่อนข้างเป็นที่แพร่หลายมากขึ้น ซึ่งนั่นคือ GMAT GMAT คืออะไร GMAT (อ่านว่า จี-แมท) ย่อมาจาก Graduate Management Admission Test คือ ข้อสอบวัดสามารถของผู้สนใจเข้าศึกษาต่อปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจ ประเทศสหรัฐอเมริกา และ คะแนนดังกล่าวยังสามารถใช้ยื่นเข้า MBA ทุกมหาวิทยาลัยในไทย เช่น MBA CU , MBA TU , NIDA , SASIA , MBA KU สาเหตุที่ GMAT ถือเป็นคะแนนที่จำเป็นต้องสอบเพื่อยื่นเข้า เพราะกว่า 7,000 สถาบันการศึกษาในต่างประเทศ ให้ความเชื่อมั่นในเกณฑ์การวัดผลของ GMAT ที่วัดความพร้อมของผู้สมัครถึงศักยภาพในการเรียนด้านบริหารธุรกิจและความสามารถในการจัดการปัญหาซับซ้อนได้ทั้งเชิงตรรกะ คำนวณ วิเคราะห์และตีความอย่างเข้าใจ ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญในการใช้ในธุรกิจ และเรียน MBA ซึ่งต้องยอมรับตามตรงว่า ข้อสอบค่อนข้างยาก เพราะมีอัตราการสอบเข้าต่อปีเป็นจำนวนมาก และข้อสอบ GMAT มีหลายพาร์ต ซึ่งผู้เข้าสอบมีเวลาสอบทั้งหมดถึงประมาณ 3 ชั่วโมง การแบ่งเวลาทำข้อสอบแต่ละพาร์ทจึงเป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝนและวางแผนให้ดี ดังนั้นการเตรียมตัวให้พร้อมจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ GMAT มีกี่พาร์ต ออกสอบอะไรบ้าง อัพเดทล่าสุด ข้อสอบ GMAT มีด้วยกันทั้งหมด 64 ข้อ ภายในเวลา 2 ชั่วโมง 15 นาที , แบ่งเป็น 3 พาร์ท ได้แก่ Part 1 : Quantitative Reasoning: วัดความสามารถคณิตศาสตร์และเหตุผลเชิงปริมาณ จำนวน 21 ข้อ, 45 นาที Part 2 : Verbal Reasoning: วัดทักษะการอ่าน การทำความเข้าใจ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงภาษา จำนวน 23 ข้อ, 45 นาที Part 3 : Data Insights: วัดความสามารถในการวิเคราะห์ตีความข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น กราฟ ตาราง และข้อมูลหลายแหล่ง จำนวน 20 ข้อ, 45 นาที GMAT เสียค่าสอบเท่าไหร่ จัดสอบที่ไหน ค่าสอบ (อัพเดทล่าสุด) : แบบ On-site: 275 USD หรือ 9,482.82 บาท, แบบ Online: 300 USD หรือ 10,347.00 บาท / สอบได้คนละ 5 ครั้งต่อปีเท่านั้น และรอผลคะแนนสอบภายใน 2 สัปดาห์หลังสอบ สถานที่สอบ: ผู้สอบสามารถเลือกได้ 2 แบบระหว่าง สอบแบบ Online หรือ On-site โดย อัพเดทล่าสุด ปี2025 ในประเทศไทย สำหรับการสอบแบบ On-site มีสถานที่เปิดสอบ 2 จังหวัดด้วยกันคือ 1.จังหวัดกรุงเทพมหานคร Pearson Professional Centers : ชั้น 10 ห้อง 1010 อาคาร Bangkok Business (ตึก BB / Emirates) เลขที่ 54 ถนน สุขุมวิท 21 (อโศก) กรุงเทพฯ Paradigm Education 2. จังหวัดเชียงใหม่ A&A Neo Technology: 248/55-56 ถนน มณีนพรัตน์ ตำบล ศรีภูมิ อำเภอ เมือง จังหวัด เชียงใหม่ ตัวอย่างข้อสอบ GMAT 1.(Quantitative Part) If r and s are positive integers such that (2^r)(4^s) = 16, then 2r + s =? (A) 2 (B) 3 (C) 4 (D) 5 (E) 6 [ข้อนี้ตอบ (D) 5 เพราะมีกรณีเดียวที่ทำให้ (2^r)(4^s) = 16 โดยที่ r และ s เป็น positive integers นั่งคือ r=2 และ s=1 (โดยที่ 0 ไม่ใช่ positive integer)] 2. (Verbal Part) Since the deregulation of airlines, delays at the nation's increasingly busy airports have increased by 25 percent. To combat this problem, more of the takeoff and landing slots at the busiest airports must be allocated to commercial airlines. Which of the following, if true, casts the most doubt on the effectiveness of the solution proposed above? (A) The major causes of delays at the nation's busiest airports are bad weather and overtaxed air traffic control equipment. (B) Since airline deregulation began, the number of airplanes in operation has increased by 25 percent. (C) Over 60 percent of the takeoff and landing slots at the nation's busiest airports are reserved for commercial airlines. (D) After a small mid western airport doubled its allocation of takeoff and landing slots, the number of delays that were reported decreased by 50 percent. (E) Since deregulation the average length of delay at the nation's busiest airports has doubled. ตอบ (A) คะแนนเฉลี่ยยื่น GMAT และแนะนำมหาลัยที่สามารถใช้ยื่นได้ โดยทั่วไปแล้วหลักสูตร MBA ชั้นนำกำหนดให้มีคะแนน GMAT ระหว่าง 550 ถึง 730 คะแนน มหาลัยที่ใช้คะแนน GMAT เช่น Harvard, Stanford และ Wharton มีคะแนน GMAT เฉลี่ยที่กำหนดไว้ที่ประมาณ 730-735 คะแนน ข้อแตกต่างของ GMAT กับ GRE จุดประสงค์ที่ใช้: GMAT (Graduate Management Admission Test) เน้นใช้สำหรับการสมัครเข้าเรียนในหลักสูตรบริหารธุรกิจ (MBA) หรือหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับการจัดการ GRE (Graduate Record Examination) ใช้สำหรับสมัครเรียนในหลักสูตรบัณฑิตศึกษาหลากหลายสาขา รวมทั้ง MBA, ปริญญาโท และ ปริญญาเอก ซึ่งคะแนนสอบ GRE มีความยืดหยุ่นกว่า GMAT ราคา (In general update 2025): GMAT : $275 หรือ 9,482.82 บาท GRE : $220 หรือ 7,585.60 บาท โครงสร้างของข้อสอบ (อัพเดท 2025): GMAT (คะแนนรวมทั้งหมด 205-805 คะแนน) มีทั้งหมด 3 ส่วน ระยะเวลา 2 ชั่วโมง 15 นาที ประกอบด้วย Quantitative Reasoning วัดความสามารถคณิตศาสตร์และเหตุผลเชิงปริมาณ Verbal Reasoning วัดทักษะการอ่าน การทำความเข้าใจ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงภาษา Data Insights วัดความสามารถในการวิเคราะห์ตีความข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เช่น กราฟ ตาราง และข้อมูลหลายแหล่ง GRE (คะแนนรวมทั้งหมด 260-340 คะแนน) มีทั้งหมด 4 ส่วน ระยะเวลา 3 ชั่วโมง 45นาที ประกอบด้วย Analytical Writing ทดสอบการเขียนเชิงวิเคราะห์ Verbal Reasoning ทดสอบภาษาอังกฤษ Quantitative ทดสอบคณิตศาสตร์ Experimental/research section เขียนบทความ ความยาก: GMAT ยากกว่า GRE เนื่องจาก GMAT มีความเฉพาะเจาะจงมากกว่าทางสาขาธุรกิจ(MBA) และการจัดการ หากกำลังมองหามหาลัยในการเรียนต่อ MBA หรือคณะ หลักสูตรอื่น ๆ เพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ Education Portal

    GMAT
    GMAT ค่าใช้จ่าย
    GMAT คืออะไร
    Jan 21, 2025
    3 min
    Thumbnail for อยากไปเรียนต่อ/ทำงานที่ออสเตรเลีย  ต้องทำยังไงบ้าง เรามีคำตอบ
    Education

    อยากไปเรียนต่อ/ทำงานที่ออสเตรเลีย ต้องทำยังไงบ้าง เรามีคำตอบ

    การไปเรียนต่อที่ออสเตรเลียเป็นความฝันของใครหลายคน ด้วยคุณภาพการศึกษาที่เป็นที่ยอมรับในระดับโลก สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยเเละน่าอยู่ วัฒนธรรมที่หลากหลาย และโอกาสทางการงานที่เปิดกว้าง อย่างไรก็ตาม การวางแผนและเตรียมตัวอย่างรอบคอบเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลือกหลักสูตรจนถึงการวางเเผนในการใช้ชีวิต ทาง Jobcadu เลยอยากมาเเชร์ข้อมูลในการเตรียมตัวไปเรียนหรือไปทำงานที่ออสเตรเลียที่คาดว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ยังไม่รู้จะเริ่มเตรียมตัวอย่างไร 1. การเลือกมหาวิทยาลัยและหลักสูตรในออสเตรเลีย มหาวิทยาลัยชั้นนำในออสเตรเลีย ในออสเตรเลียมีมหาวิทยาลัยให้เลือกมากมาย ที่ทั้งดี มีคุณภาพ และติดอันดับโลกหลายแห่ง ซึ่งแตละมหาวิทยาลัยก็มีจุดเด่นเฉพาะตัว โดยมีตัวอย่างมหาวิทยาลัยดังนี้ ออสเตรเลียมีมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับโลกหลายแห่ง ซึ่งล้วนมีจุดเด่นเฉพาะตัว เช่น University of Melbourne: หนึ่งในมหาวิทยาลัยชั้นนำที่เก่าแก่ที่สุดในออสเตรเลีย มีชื่อเสียงในด้านการแพทย์ กฎหมาย ธุรกิจ และศิลปศาสตร์ หลักสูตรเน้นการวิจัยและพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ Australian National University (ANU): ตั้งอยู่ที่ Canberra มีความโดดเด่นด้านการวิจัยและการศึกษารัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ University of Sydney: มหาวิทยาลัยที่มีความหลากหลายในด้านวิชาการ มีชื่อเสียงด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ สถาปัตยกรรม และศิลปะการแสดง University of New South Wales (UNSW): เป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีและวิศวกรรมศาสตร์ โดยเฉพาะสาขาพลังงานทดแทนและวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ 2. ค่าเล่าเรียนและระยะเวลาในการเรียนในออสเตรเลีย ระดับปริญญาตรีในออสเตรเลีย ค่าเล่าเรียน: ประมาณ 20,000 – 45,000 AUD ต่อปี (ประมาณ 424,800 - 955,800 บาท) ขึ้นอยู่กับสาขาและมหาวิทยาลัย ระยะเวลา: ปกติ 3-4 ปี บางสาขา เช่น แพทยศาสตร์ อาจใช้เวลา 5-6 ปี ระดับปริญญาโทในออสเตรเลีย ค่าเล่าเรียน: ประมาณ 22,000 – 50,000 AUD ต่อปี (ประมาณ 472,300 - 1,073,000 บาท) โดยหลักสูตร MBA และวิทยาศาสตร์อาจมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า ระยะเวลา: 1-2 ปี โดยขึ้นอยู่กับประเภทของหลักสูตร เช่น หลักสูตรเน้นวิจัยหรือการเรียนการสอน เเนะนำมหาวิทยาลัยเเละหลักสูตรที่น่าสนใจสำหรับเรียนต่อปริญญาโทในออสเตรเลีย 1. The University of Melbourne หลักสูตรเด่น: Master of Business Administration : หลักสูตร MBA ของที่นี่ติดอันดับท็อป 3 ในเอเชียแปซิฟิก ค่าเล่าเรียน 112,500 AUD (ประมาณ 2,415,300 บาท) ระยะเวลา: 2 ปี 2. The University of New South Wales (UNSW Sydney) หลักสูตรเด่น: Master of Commerce ค่าเล่าเรียน 101,000 AUD (ประมาณ 2,168,100 บาท) ระยะเวลา: 1 ปี 7 เดือน 3. The University of Sydney หลักสูตรเด่น: Master of Management ค่าเล่าเรียน: 47,500 AUD (ประมาณ 1,019,600 บาท) ระยะเวลา: 1 ปี 3 เดือน 4.Australian National University (ANU) หลักสูตรเด่น: หลักสูตรปริญญาโทด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (Master of International Relations) ค่าเล่าเรียน: 53,700 AUD (ประมาณ 1,152,700 บาท) ระยะเวลา: 2 ปี 5. Monash University หลักสูตรเด่น: Master of Business Analytics ค่าเล่าเรียน: 37,100 AUD (ประมาณ 796,400 บาท) ระยะเวลา: 1.5-2 ปี หลักสูตรของทั้งท็อป 5 มหาวิทยาลัยนี้ เป็นเพียงหลักสูตรที่น่าสนใจ มีชื่อเสียง มีคนลงเรียนต่อปีในจำนวนมาก เเต่หากเพื่อนๆสนใจในหลักสูตรหรือสาขาวิชาอื่น สามารถเข้าไปดูได้ในเว็บไซต์ของเเต่ละมหาวิทยาลัยได้เลย 3.ทุนการศึกษาในการเรียนต่อที่ออสเตรเลีย สำหรับคนที่กำลังมองหาทุนการศึกษา ออสเตรเลียมีทุนการศึกษาหลากหลายรูปแบบ เช่น: 1.Australia Awards Scholarships: ทุนจากรัฐบาลออสเตรเลียที่ครอบคลุมค่าเล่าเรียนและค่าครองชีพ 2.Destination Australia Scholarship: เป็นทุนที่สนับสนุนให้ทั้งนักเรียนออสเตรเลียเเละนักเรียนต่างชาติไปศึกษานอกเขตเมืองใหญ่ของออสเตรเลียหรือมหาวิทยาลัยท้องถิ่นของออสเตรเลีย 3.ทุนมหาวิทยาลัย: หลายมหาวิทยาลัยมีทุนลดค่าเล่าเรียนหรือทุนสำหรับนักศึกษาต่างชาติที่มีผลการเรียนดี เช่น Vice Chancellor’s International Scholarships: มอบโดยมหาวิทยาลัยชั้นนำ เช่น University of Melbourne, University of Canberra, Western Sydney University เเละอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งครอบคลุมค่าเรียน 50% หรือเต็มจำนวน Charles Darwin University โดยมีมูลค่าทุนการศึกษา 30% ตลอดหลักสูตร Australian National University: ANU Chancellor’s International Scholarship (South East Asia) มอบทุนส่วนลด 25% – 50% ของค่าเรียน (จำนวน 200 ทุน) 4. ค่าใช้จ่ายที่ต้องเตรียมในการเรียนต่อที่ออสเตรเลีย 1.ค่าครองชีพโดยเฉลี่ย ออสเตรเลียเป็นประเทศที่ค่าครองชีพค่อนข้างสูง ดังนั้นการวางแผนด้านการเงินเป็นสิ่งจำเป็น ที่พัก: นักศึกษาสามารถเลือกพักในหอพักมหาวิทยาลัย (ประมาณ 1,200 – 2,500 AUD หรือ 25,000- 53,000 บาทต่อเดือน) หรือหาที่พักเช่าเองในเมืองใหญ่ เช่น ซิดนีย์และเมลเบิร์น อาหารและของใช้ส่วนตัว: ค่าใช้จ่ายประมาณ 300 – 1000 AUD ต่อเดือน (เเล้วเเต่บุคคล) ขนส่งสาธารณะ: ค่าเดินทางอยู่ที่ประมาณ 150 – 300 AUD ต่อเดือน โดยบางรัฐมีส่วนลดสำหรับนักศึกษา 2.ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด ประกันสุขภาพนักศึกษา (OSHC-Overseas Student Health Cover): เป็นข้อบังคับสำหรับนักศึกษาต่างชาติ โดยมีค่าใช้จ่ายประมาณ 500 – 700 AUD ต่อปี ค่าหนังสือและอุปกรณ์การเรียน: 500 – 1,000 AUD ต่อปี 5. ผลสอบและเอกสารที่ต้องเตรียมก่อนจะไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย 1.ผลสอบที่จำเป็น IELTS: คะแนนขั้นต่ำ 6.0-7.0 ขึ้นอยู่กับหลักสูตร TOEFL: คะแนนขั้นต่ำ 79-100 GMAT/GRE: สำหรับหลักสูตรปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจหรือวิทยาศาสตร์ 2.เอกสารที่ต้องจัดเตรียม ใบรับรองผลการศึกษา (Transcript) พร้อมคำแปลภาษาอังกฤษ Statement of Purpose (SOP) หรือจดหมายแนะนำตัวที่อธิบายเหตุผลและเป้าหมายในการเรียน Letter of Recommendation (LOR): จดหมายรับรองจากอาจารย์ที่ปรึกษา สำเนาหนังสือเดินทางและวีซ่า เอกสารทางการเงิน เช่น ใบรับรองจากธนาคารเพื่อยืนยันความสามารถในการชำระค่าเล่าเรียน 6. ข้อดีของการจบการศึกษาจากออสเตรเลีย 1.โอกาสการทำงานในไทย นักศึกษาที่จบจากออสเตรเลียได้รับการยอมรับในตลาดแรงงานไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต้องการทักษะเฉพาะ เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ การแพทย์ และพลังงาน 2.โอกาสการทำงานในออสเตรเลีย นักศึกษาต่างชาติสามารถขอวีซ่าทำงานหลังเรียนจบ (Temporary Graduate Visa) ซึ่งช่วยให้สามารถหาประสบการณ์การทำงานในสายอาชีพของตนได้ หากมีประสบการณ์และคุณสมบัติตรงตามที่กำหนด นักศึกษายังมีโอกาสยื่นขอพำนักถาวร (Permanent Residency) ซึ่งเป็นเส้นทางสู่การเป็นพลเมืองออสเตรเลีย 3.ประสบการณ์ระหว่างประเทศ การเรียนในออสเตรเลียช่วยพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษและความสามารถในการปรับตัวในสภาพแวดล้อมที่หลากหลายทางวัฒนธรรม การมีเครือข่ายเพื่อนจากทั่วโลกช่วยสร้างโอกาสในการทำงานและพัฒนาธุรกิจในอนาคต 7.การขอวีซ่า การเดินทางสู่ออสเตรเลียจำเป็นต้องมีวีซ่า ซึ่งแต่ละประเภทมีจุดประสงค์และเงื่อนไขที่แตกต่างกัน มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับวีซ่าที่คนไทยสามารถขอได้ วิธีการเตรียมตัว และขั้นตอนการยื่นขอวีซ่ากัน ประเภทของวีซ่าที่คนไทยสามารถขอได้ วีซ่าชั่วคราว (Non-Immigrant Visa) 1. วีซ่านักเรียน (Student Visa - ประเภท 500) สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาในออสเตรเลีย ระยะเวลาพำนัก: ขึ้นอยู่กับระยะเวลาของหลักสูตร ค่าใช้จ่าย: ประมาณ AUD 650 เอกสารที่ต้องเตรียม: หนังสือเดินทาง, จดหมายตอบรับจากสถาบันการศึกษา (Confirmation of Enrolment: CoE), หลักฐานการเงิน (เช่น ค่าใช้จ่ายรายปีและค่าเล่าเรียน), ประกันสุขภาพสำหรับนักเรียน (Overseas Student Health Cover: OSHC) 2. วีซ่าทำงานและท่องเที่ยว (Work and Holiday Visa - ประเภท 462) สำหรับผู้ที่มีอายุ 18-30 ปี ต้องการทำงานระยะสั้นและท่องเที่ยว โดยเปิดรับสมัครปีละครั้งและยื่นสมัครทางออนไลน์เท่านั้น ระยะเวลาพำนัก: สูงสุด 12 เดือน ค่าใช้จ่าย: ประมาณ AUD 510 เงื่อนไขพิเศษ: มีหลักฐานแสดงทักษะภาษาอังกฤษ (คนส่วนใหญ่นิยมใช้ IELTS หรือ TOEFL), IELTS ประเภทใดก็ได้ คะแนนไม่ต่ำกว่า 4.5 ในทุกทักษะ มีอายุไม่เกิน 1 ปี, TOEFL iBT มีอายุไม่เกิน 1 ปี คะแนนover all ไม่ต่ำกว่า 32, PTE Academic คะแนน over all ไม่ต่ำกว่า 30, Cambridge English: CAE คะแนน over all ไม่ต่ำกว่า 147, ต้องมีเงินสำรองอย่างน้อย AUD 5,000 วิธีการเตรียมตัวก่อนยื่นขอวีซ่า 1. ศึกษาข้อมูลและเลือกประเภทวีซ่า: เข้าไปยังเว็บไซต์ของกระทรวงกิจการภายในประเทศออสเตรเลีย (Department of Home Affairs) เพื่อดูรายละเอียดของวีซ่าที่เหมาะสมกับคุณ 2. เตรียมเอกสารให้ครบถ้วน: ตรวจสอบรายการเอกสารที่จำเป็นและจัดเตรียมให้ครบ เช่น หนังสือเดินทาง หรือ หลักฐานทางการเงิน 3. ยื่นคำร้องออนไลน์ สมัครผ่านระบบออนไลน์ของออสเตรเลีย (ImmiAccount) อัปโหลดเอกสารและชำระค่าธรรมเนียม เข้ารับการตรวจสุขภาพ (ถ้าจำเป็น) ผู้ยื่นบางประเภทต้องเข้ารับการตรวจสุขภาพตามข้อกำหนดของออสเตรเลีย 4. รอผลการพิจารณา: ระยะเวลาการพิจารณาขึ้นอยู่กับประเภทของวีซ่า เช่น วีซ่าท่องเที่ยวอาจใช้เวลา 15-30 วันทำการ การเรียนต่อในออสเตรเลียเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าทั้งในด้านการศึกษาและการพัฒนาตนเอง ด้วยมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง หลักสูตรที่ครอบคลุม และโอกาสในการทำงานการเตรียมตัวที่ดีจะช่วยให้คุณก้าวไปถึงเป้าหมายและเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในอนาคต การเดินทางสู่ออสเตรเลียสำหรับคนไทยนั้นไม่ยากหากมีการเตรียมตัวอย่างเหมาะสม การเลือกประเภทวีซ่าที่เหมาะสมกับจุดประสงค์ของการเดินทางและการเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด และหากใครกำลังมองหลักสูตรต่าง ๆ จากสถาบันชั้นนำต่างประเทศทั้งประเทศออสเตรเลียเเละอื่นๆสามารถเข้ามาดูได้ที่ Education Portal

    เรียนต่อต่างประเทศ
    ไปทำงานที่ออสเตรเลีย
    วีซ่าออสเตรเลีย
    Jan 21, 2025
    3 min
    Thumbnail for คู่มือเรียนต่อ MBA | MBA คืออะไร สำคัญอย่างไร ค่าเรียนเเพงไหม?
    Education

    คู่มือเรียนต่อ MBA | MBA คืออะไร สำคัญอย่างไร ค่าเรียนเเพงไหม?

    MBA หรือ Master of Business Administration เป็นระดับการศึกษาที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกออกแบบมาเพื่อพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับอาชีพด้านธุรกิจและการจัดการ นอกเหนือจากวงการธุรกิจแล้ว MBAยังสามารถเตรียมความพร้อมให้กับเราในบทบาทผู้นำในภาคส่วนต่างๆ เช่น การบริหารธุรกิจ การศึกษา และเทคโนโลยี สำหรับคนไทยเเล้ว การเรียนต่อ MBA ไม่ใช่เพียงแค่การได้ใบปริญญา แต่ยังเป็นโอกาสในการได้รับประสบการณ์ที่มากขึ้น ได้สร้างคอนเนคชั่น และเพิ่มโอกาสในการทำงาน ส่งเสริมการคิดเชิงกลยุทธ์ สามารถเป็นผู้นำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทักษะในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในระดับสากล ทาง Jobcadu เลยอยากมาเเชร์ประโยชน์ของการเรียนต่อ MBA เเละเเนะนำหลักสูตรที่น่าสนใจ เผื่อเป็นแนวทางให้กับคนที่มีแพลนจะเรียนต่อปริญญาโทในหลักสูตร MBA เคล็ดลับในการเข้าศึกษาต่อหลักสูตร MBA 1.วางแผนการเรียนต่อ MBA ล่วงหน้า เลือกหลักสูตรที่เหมาะสม: ตัดสินใจว่าคุณต้องการเรียน MBA แบบเต็มเวลา พาร์ทไทม์ ออนไลน์ หรือสำหรับผู้บริหาร ตามเป้าหมายอาชีพและไลฟ์สไตล์ของคุณ 2.เตรียมตัวสำหรับการสอบเข้า MBA หลักสูตร MBA ส่วนใหญ่กำหนดให้มีคะแนนสอบมาตรฐาน เช่น GMAT หรือ GRE มุ่งเป้าไปที่คะแนนที่แข่งขันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับหลักสูตรชั้นนำของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ สำหรับหลักสูตรต่างประเทศ การสอบวัดความสามารถทางภาษาอังกฤษ เช่น IELTS หรือ TOEFL เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับหลักสูตรต่างประเทศ เพื่อนำไปใช้ยื่นสมัครสอบหรือเข้าเรียนต่อ 3.เตรียมตัวในการสมัคร MBA ให้พร้อม เรซูเม่: โชว์ทักษะและประสบการณ์ที่โดดเด่น บทความเเนะนำตัว (SOP): เขียนเรียงความที่น่าสนใจโดยอธิบายเป้าหมายของคุณและเหตุผลที่คุณเหมาะสมกับหลักสูตร จดหมายรับรอง: ขอคำรับรองจากหัวหน้างานหรืออาจารย์ที่ปรึกษาที่สามารถรับรองทักษะและลักษณะนิสัยของคุณ 4.เตรียมความพร้อมในด้านการเงิน หลักสูตร MBA อาจมีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้นการวางแผนงบประมาณเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากลองทุนดูว่ามหาลัยไหนที่เราสนใจมีทุนการศึกษาให้หรืออาจจะเป็นการขอการสนับสนุนจากครอบครัว 5 อันดับหลักสูตร MBA ชั้นนำในเอเชีย 1.NUS Business School – National University of Singapore (NUS) ค่าเล่าเรียน: 87,000 SGD (ประมาณ 2,203,000 บาท) ระยะเวลา: 17 เดือน จุดเด่น: ได้รับการจัดอันดับเป็นหนึ่งในหลักสูตร MBA ชั้นนำของเอเชีย หลักสูตร MBA ของ NUS มอบประสบการณ์การเรียนรู้แบบไดนามิกและหลากหลายโดยเน้นการพัฒนาทัศนคติทางธุรกิจระดับโลก 2.Tsinghua University, School of Economics and Management: Tsinghua Global MBA Program ค่าเล่าเรียน: 198,000 RMB (ประมาณ 939,000 บาท) ระยะเวลา: 2 ปี จุดเด่น: หลักสูตร MBA ของมหาวิทยาลัยซิงหัวโดดเด่นด้วยการผสมผสานการเรียนรู้เชิงทฤษฎีที่เข้มข้นกับประสบการณ์จริงในด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีและการประกอบธุรกิจ 3.Nanyang Business School, Singapore ค่าเล่าเรียน: 75,000 SGD (ประมาณ 1,899,100 บาท) ระยะเวลา: 1 ปี จุดเด่น: หลักสูตร MBA ของ Nanyang Business School เน้นการพัฒนาผู้เรียนให้เป็นนักคิดเชิงนวัตกรรมที่มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนด้วยวิธีการที่สร้างสรรค์ 4.China Europe International Business School (CEIBS) ค่าเล่าเรียน: 488,000 RMB (ประมาณ 2,314,400 บาท) ระยะเวลา: 12-16 เดือน จุดเด่น: CEIBS มอบประสบการณ์การเรียนรู้ MBA เพื่อพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำระดับโลก ผสมผสานการเรียนรู้เชิงทฤษฎีที่เข้มข้นกับความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 5. SMU (Lee Kong Chian School of Business) , Singapore ค่าเล่าเรียน: 81,750 SGD (ประมาณ 2,070,000 บาท) ระยะเวลา: 15-20 เดือน จุดเด่น: หลักสูตร MBA ของ SMU มุ่งพัฒนาผู้นำธุรกิจที่มีความรอบรู้และสามารถปรับตัวได้อย่างคล่องตัวด้วยหลักสูตรที่เข้มข้นและเน้นการมีส่วนร่วมแนวทางการเป็นผู้นำ SMU ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมนวัตกรรมและความสามารถในการปรับตัวเพื่อเตรียมความพร้อมให้นักศึกษาประสบความสำเร็จในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน หลักสูตรเน้นการเรียนรู้แบบโต้ตอบเพื่อให้นักศึกษาได้รับความรู้เชิงลึกและประสบการณ์จริง บอกต่อ 5 หลักสูตร MBA ที่น่าสนใจในประเทศไทย 1. สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์เเห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Sasin School of Management, Chulalongkorn University) ค่าเล่าเรียน: ประมาณ 1,600,000 บาท ระยะเวลาหลักสูตร: 12 เดือน จุดเด่น: หลักสูตร MBA ของศศินทร์ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติด้วยการเน้นย้ำเรื่องการเป็นผู้ประกอบการและการ พัฒนาความเป็นผู้นำ หลักสูตรนี้มอบการผสมผสานระหว่างความเข้มข้นทางวิชาการและความเข้าใจในธุรกิจเชิงปฏิบัติ เตรียมความพร้อมให้นักศึกษาก้าวสู่การเป็นผู้นำในสภาพแวดล้อมธุรกิจระดับโลก 2. มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ - M.B.A. Fast Track (Assumption University) ค่าเล่าเรียน: ประมาณ 500,000 บาท ระยะเวลาหลักสูตร: 1.5 - 2 ปี จุดเด่น: หลักสูตร Fast Track MBA ของอัสสัมชัญมุ่งเน้นเฉพาะด้านการตลาด การเงิน และการจัดการทั่วไป หลักสูตรนี้ออกแบบมาสำหรับมืออาชีพที่ต้องการเร่งความก้าวหน้าในอาชีพด้วยตารางเรียนที่ยืดหยุ่นและหลักสูตรที่เน้นการประยุกต์ใช้งานจริง เหมาะสำหรับผู้ที่ทำงานไปด้วย 3. Thammasart Business School: MBA ค่าเล่าเรียน: ประมาณ 361,420 บาท ระยะเวลาหลักสูตร: 2 ปี จุดเด่น: หลักสูตร MBA ของธรรมศาสตร์ได้รับการยกย่องในด้านหลักสูตรที่เข้มข้น ผสมผสานความเป็นเลิศทางวิชาการกับการเน้นย้ำเรื่องความเป็นผู้นำที่มีจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม หลักสูตรนี้เสริมสร้างทักษะและความรู้ให้นักศึกษาสามารถจัดการกับความท้าทายทางธุรกิจที่ซับซ้อน พร้อมทั้งปลูกฝังความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและรับผิดชอบต่อสังคม 4. สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) - International MBA (National Institute of Development Administration) ค่าเล่าเรียน: ประมาณ 358,400 บาท ระยะเวลาหลักสูตร: 22 เดือน จุดเด่น: หลักสูตร International MBA ของ NIDA มุ่งเน้นการบริหารรัฐกิจและการจัดการการพัฒนา หลักสูตรนี้เหมาะสำหรับมืออาชีพที่ต้องการสร้างผลกระทบในภาครัฐและเอกชนด้วยการเน้นย้ำเรื่องความเป็นผู้นำและการคิดเชิงกลยุทธ์ 5. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี: หลักสูตร MBA ภาษาอังกฤษ (Chulalongkorn University – Chulalongkorn Business School) ค่าเล่าเรียน: ประมาณ 498,500 บาท ระยะเวลาหลักสูตร: 2 ปี จุดเด่น: หลักสูตร MBA ภาคภาษาอังกฤษของจุฬาฯ เน้นการประยุกต์ใช้งานจริงและเตรียมความพร้อมให้นักศึกษาสำหรับบทบาทผู้นำในโลกที่เชื่อมโยงกันมากขึ้นเรื่อยๆ ควรทำงานต่างประเทศหรือกลับมาทำงานในประเทศไทยหลังจบ MBA? ข้อดีของการทำงานต่างประเทศ เงินเดือนสูงกว่า: อุตสาหกรรมบางประเภทในประเทศ เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง หรือสหรัฐอเมริกา มีฐานเงินเดือนที่ค่อนข้างสูง ได้รับประสบการณ์ที่หลากหลาย: ได้รับประสบการณ์ในตลาดต่างประเทศ โอกาสในการสร้างเครือข่าย: เพิ่มโอกาสในการสร้างคอนเนคชันกับผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายอุตสาหกรรม ข้อดีของการกลับมาทำงานในประเทศไทย ตำแหน่งผู้นำ: บริษัทไทยและบริษัทข้ามชาติหลายแห่งในประเทศไทยให้ความสำคัญกับผู้สมัครที่มีประสบการณ์สูงและจบหลักสูตร MBA ค่าครองชีพต่ำกว่า: เมื่อเทียบกับเมืองใหญ่ระดับโลก โอกาสในการเริ่มต้นธุรกิจ: ใช้ MBA ของคุณในการเปิดธุรกิจของคุณเองในประเทศไทย เส้นทางอาชีพหลังจบ MBA อาชีพยอดนิยม การเงิน (Finance): ธุรกิจการลงทุน การให้คำปรึกษาทางการเงิน วาณิชธนกร (Investment banker) และบทบาทด้านการเงินขององค์กร การตลาด (Marketing): การจัดการแบรนด์ การตลาดดิจิทัล หรือการวิจัยตลาด ฝ่ายหัวหน้าผลิตภัณฑ์ (Product) : ผู้ดูแลผลิตภัณฑ์ ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ Product Manager การให้คำปรึกษา (Consultant): บทบาทที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ การดำเนินงาน หรือการจัดการ ผู้ประกอบการ (Entrepreneur): เริ่มต้นธุรกิจของคุณเองหรือเข้าร่วมกับสตาร์ทอัพ ตำแหน่งผู้นำ (Leader and Management): ตำแหน่ง เช่น CEO, COO หรือกรรมการผู้จัดการ เงินเดือนเฉลี่ย ในประเทศไทย: ผู้สำเร็จการศึกษา MBA สามารถคาดหวังเงินเดือนเริ่มต้นระหว่าง 50,000-150,000 บาทต่อเดือน ขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรม ต่างประเทศ: เงินเดือนสามารถอยู่ระหว่าง 150,000-500,000 บาทต่อเดือนในประเทศ เช่นสิงคโปร์ ฮ่องกง หรือสหรัฐอเมริกา MBA เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจเเละคุ้มค่าที่จะเรียน เหมาะสำหรับคนที่ต้องการพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำไปจนถึงการเปิดโอกาสสู่งานที่มีรายได้ดี อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจเรียนต่อ MBA ควรสอดคล้องกับเป้าหมายอาชีพ สถานการณ์ทางการเงินและเป้าหมายในระยะยาว ไม่ว่าคุณจะเลือกทำงานต่างประเทศหรือกลับมาทำงานในประเทศไทย การจบ MBA ก็สามารถสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับอาชีพของเราได้ และหากใครกำลังมองหาหลักสูตร MBA หรือหลักสูตรต่าง ๆ จากสถาบันชั้นนำต่างประเทศสามารถเข้ามาดูได้ที่ Education Portal

    ปริญญาโท
    MBA
    MBAtips
    Jan 14, 2025
    2 min
    Thumbnail for Coursera ราคาเท่าไหร่ ทำไมคนถึงนิยมลงเรียนคอร์สที่นี่
    Education

    Coursera ราคาเท่าไหร่ ทำไมคนถึงนิยมลงเรียนคอร์สที่นี่

    Coursera คืออะไร Coursera เป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ระดับโลกที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2012 โดยมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้คนทั่วโลกเข้าถึงการศึกษาคุณภาพสูงได้อย่างง่ายดาย ซึ่งในปัจจุบัน Coursera ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยและองค์กรชั้นนำกว่า 200 แห่งทั่วโลก เช่น มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยมิชิแกน และบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ เช่น Google และ IBM เพื่อนำเสนอคอร์สเรียนที่หลากหลาย นอกจากนั้นยังมี่คอร์สที่ครอบคลุมหลากหลายสาขาวิชา เช่น วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ธุรกิจ การตลาด และ Data Scientist ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนคอร์สที่ตรงกับความสนใจและเป้าหมายจองตัวเองได้เลย Coursera ราคาเท่าไหร่ Coursera มีรูปแบบการชำระเงินที่หลากหลาย เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้เรียน Single learning program : คอร์สนี้จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 49 - 79 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน(ประมาณ 1,600 บาท ถึง 2,700 บาท ) โดยจะเรียนได้แค่หัวข้อเดียวหรือทักษะเดียวในคอร์สนั้น ๆ พร้อมใบประกาศนียบัตร ถ้าจะเรียนเพิ่มต้องจ่ายเพิ่ม Coursera Plus Monthly : คอร์สนี้จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 59 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน(ประมาณ 1,800 บาท) โดยจะเข้าถึงคอร์สเรียนทั้งหมดได้ จากบริษัทและมหาลัยชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น Google, Meta และรับใบประกาศนียบัตรได้ไม่จำกัด Coursera Plus Annual : คอร์สนี้จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 399 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ประมาณ 14,000 บาท) เหมาะสำหรับคนที่จะลงเรียนระยะยาว หรือเรียนตอนไหนก็ได้ในปีนั้น ๆ Coursera คุ้มไหม มีฟรีไหม Coursera มีตัวเลือกการเรียนรู้ฟรีและมีค่าใช้จ่าย เรียนฟรี (Audit): ผู้เรียนสามารถเข้าถึงเนื้อหาคอร์สได้ฟรี แต่ไม่สามารถทำแบบทดสอบหรือรับใบรับรองได้ คอร์สฟรีพร้อมใบรับรอง: บางคอร์สมีการให้ทุนการศึกษา (Financial Aid) ซึ่งผู้เรียนสามารถสมัครเพื่อรับการเรียนฟรีพร้อมใบรับรอง การลงทุนใน Coursera ถือว่าคุ้มค่ามาก ๆ เนื่องจากผู้เรียนสามารถเข้าถึงคอร์สคุณภาพสูงจากมหาวิทยาลัยและองค์กรชั้นนำทั่วโลก โดยจ่ายแบบบุฟเฟต์ (อยู่ที่ความขยันเรียนแล้วล่ะ) Coursera สมัครยังไง การสมัครสมาชิกและเริ่มเรียนบน Coursera มีขั้นตอนดังนี้: สมัครสมาชิก: เข้าสู่เว็บไซต์ Coursera และคลิกที่ "Join for Free" เพื่อสร้างบัญชีผู้ใช้ เลือกคอร์ส: ใช้ฟังก์ชันค้นหาเพื่อค้นหาคอร์สที่ตรงกับความสนใจ สมัครเรียน: เมื่อเลือกคอร์สที่ต้องการ คลิกที่ "Enroll" และเลือกวิธีการเรียน (ฟรีหรือมีค่าใช้จ่าย) ชำระเงิน (ถ้ามี): หากเลือกคอร์สที่มีค่าใช้จ่าย ให้ดำเนินการชำระเงินตามขั้นตอนที่กำหนด เริ่มเรียน: หลังจากสมัครเรียนแล้ว สามารถเริ่มเรียนรู้ผ่านวิดีโอ บทความ และแบบฝึกหัดต่าง ๆ Coursera เป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ที่มีคอร์สหลากหลายจากมหาวิทยาลัยและองค์กรชั้นนำทั่วโลก ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนฟรีหรือสมัครสมาชิกเพื่อเข้าถึงคอร์สทั้งหมด การลงทุนใน Coursera ถือว่าคุ้มค่า เนื่องจากผู้เรียนสามารถพัฒนาทักษะและความรู้ที่จำเป็นสำหรับการเติบโตในสายอาชีพ สำหรับใครที่กำลังมองหาแหล่งพัฒนาทักษะอาชีพเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ Education Portal ที่เป็นแหล่งรวมคอร์สเรียนที่น่าสนใจ เพื่อเสริมทักษะและความสามารถ เพิ่มโอกาสในการได้งานในฝันอีกด้วย

    Coursera ราคา
    Dec 2, 2024
    1 min
    Thumbnail for ComSci VS วิศวคอมพิวเตอร์: เรียนอะไร ต่างกันอย่างไร? (Computer Science vs. Computer Engineering: What Do They Study, and How Are They Different?)
    Education

    ComSci VS วิศวคอมพิวเตอร์: เรียนอะไร ต่างกันอย่างไร? (Computer Science vs. Computer Engineering: What Do They Study, and How Are They Different?)

    ทุกวันนี้โลกของเทคโนโลยีได้ก้าวไกลอย่างรวดเร็ว ทำให้หลายๆ คนสนใจศึกษาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีมากขึ้น แต่การตัดสินใจเลือกเรียนสาขาที่ใช่ อาจไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อทั้ง “วิศวกรรมคอมพิวเตอร์” และ “วิทยาการคอมพิวเตอร์” ดูเหมือนจะมีความคล้ายคลึงกันในแง่ของการศึกษาและทักษะที่ได้ แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญอยู่ ที่เราต้องเข้าใจเพื่อหาทางที่เหมาะสมกับตัวเอง วิดีโอนี้จะพูดถึงความแตกต่างทางวิชาและการเรียนรู้ในแต่ละสาขา รวมถึงคำแนะนำจากนักศึกษา เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่สนใจในโลกของคอมพิวเตอร์ 1.หลักสูตรปีแรก: การเรียนวิชาพื้นฐาน • วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ (Computer Engineering) ปีแรกนักเรียนในสายวิศวะจะได้เรียนพื้นฐานในด้านวิศวกรรมทั่วไปที่รวมถึงการวาดแบบ (Engineering Drawing) ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับวิศวกร ในบางคณะอาจมีการเรียนการเขียนโค้ดพื้นฐานเพิ่มเติม โดยจะเริ่มต้นที่การเขียนโปรแกรมขั้นพื้นฐาน • วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ (Computer Science) นักศึกษาสายวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จะเรียนพื้นฐานวิทยาศาสตร์กว้างๆ ครอบคลุมทั้งฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา และคณิตศาสตร์ ที่จำเป็นสำหรับการวิเคราะห์เชิงทฤษฎี พร้อมกับเสริมทักษะทางการคิดวิเคราะห์เชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Thinking) ความแตกต่าง: สายวิศวกรรมเน้นทักษะการออกแบบเชิงวิศวกรรมและพื้นฐานการเขียนโค้ด ส่วนวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์เน้นการวิเคราะห์ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งส่งผลต่อแนวทางในการเรียนต่อในปีถัดไป 2.การเน้นที่เนื้อหาด้านซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ • วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ เมื่อเข้าสู่ปีที่สอง นักศึกษาจะเริ่มเน้นไปที่ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่เชื่อมโยงกับฮาร์ดแวร์ ซึ่งรวมถึงการเรียนรู้การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ชิ้นส่วนเล็กๆ เช่น Logic Gates ไปจนถึงการออกแบบสถาปัตยกรรมระบบ (System Architecture) • วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ปีที่สองของสายวิทย์คอมพ์จะเน้นที่ซอฟต์แวร์เป็นหลัก เช่น การเขียนโปรแกรมและแนวคิดเกี่ยวกับการจัดการข้อมูล (Data Structures) รวมถึงการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในสถานการณ์ต่างๆ เช่น Business Case ความแตกต่าง: วิศวกรรมคอมพิวเตอร์จะเจาะลึกทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ โดยให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกันของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ส่วนวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์มุ่งเน้นที่การพัฒนาซอฟต์แวร์และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคอมพิวเตอร์เป็นหลัก 3.ความแตกต่างในวิชาคณิตศาสตร์ • วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มีวิชาคณิตศาสตร์ที่ครอบคลุมในเรื่องของตรรกศาสตร์ (Logic) และคณิตศาสตร์เชิงวิศวกรรม โดยเน้นที่การใช้คณิตศาสตร์ในด้านการออกแบบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ รวมถึงการคำนวณที่ซับซ้อน เช่น การคำนวณเชิงเส้น (Linear Algebra) • วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ มุ่งเน้นการใช้คณิตศาสตร์เพื่อการคำนวณข้อมูลและอัลกอริทึม โดยมีวิชาคณิตศาสตร์ที่เน้นในด้านการใช้เหตุผลตรรกะ รวมถึงการคำนวณที่เน้นการใช้ตัวเลขและการประมวลผลข้อมูล ความแตกต่าง: วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ใช้คณิตศาสตร์ในการออกแบบและคำนวณที่เกี่ยวข้องกับฮาร์ดแวร์ ส่วนวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์เน้นไปที่การใช้คณิตศาสตร์เพื่อประมวลผลข้อมูลและอัลกอริทึมที่เกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์ 4.วิชาเฉพาะทางและเน้นที่ความถนัด • วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ วิชาที่นักศึกษาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ชอบ เช่น วิชาที่เกี่ยวกับการออกแบบระบบ (System Architecture) และการทำงานของระบบปฏิบัติการ (Operating Systems) เนื่องจากได้เรียนรู้การทำงานของระบบตั้งแต่รากฐานจนถึงการเขียนโปรแกรมควบคุมฮาร์ดแวร์ต่างๆ • วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ วิชาที่นักศึกษาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ชอบ เช่น การเรียนด้าน AI และการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing) ที่ใช้ทักษะทางซอฟต์แวร์ในการสร้างโมเดลการเรียนรู้และการใช้งานโปรแกรมที่มีความฉลาด ความแตกต่าง: วิศวกรรมคอมพิวเตอร์จะเน้นวิชาที่เกี่ยวกับการทำงานของระบบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ประสานงานกัน ส่วนวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จะเน้นวิชาที่เกี่ยวกับการวิเคราะห์ข้อมูลและการพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูล สรุปภาพรวมความแตกต่าง • วิศวกรรมคอมพิวเตอร์: เน้นไปที่ฮาร์ดแวร์และการออกแบบระบบที่เชื่อมโยงกับซอฟต์แวร์ เพื่อให้เข้าใจการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างละเอียด เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจในระบบที่ต้องประสานงานกันระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ • วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์: มุ่งเน้นด้านซอฟต์แวร์และการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นหลัก โดยมีความรู้พื้นฐานด้านคณิตศาสตร์และการวิเคราะห์เชิงวิทยาศาสตร์ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะการเขียนโปรแกรมและทำงานด้านซอฟต์แวร์ ________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________ Today, technology is advancing quickly, and many people are interested in studying computers and technology. However, choosing the right field, like “Computer Engineering” or “Computer Science,” isn’t as simple as it might seem. While both areas may look similar in terms of what you study and the skills you learn, they have important differences. This article will help you understand these differences to find the best path for you, with insights from students to guide those interested in the computer field. 1.First-Year Basics • Computer Engineering: In the first year, engineering students study general engineering basics, such as engineering drawing, essential for engineers. Some courses might include basic coding as an introduction to programming. • Computer Science: Computer science students cover broad science basics, including physics, chemistry, biology, and math, which are essential for theoretical analysis and scientific thinking. Difference: Computer Engineering focuses on engineering skills and basic coding, while Computer Science emphasizes scientific analysis, influencing future studies in each field. 2.Focus on Software and Hardware • Computer Engineering: By the second year, students focus on both hardware and software related to hardware, learning about computer systems from small parts like logic gates to system architecture design. • Computer Science: In the second year, computer science students focus mainly on software, such as programming and data structures, and how computers are used in various situations, like business. Difference: Computer Engineering delves into both software and hardware, emphasizing how they work together, while Computer Science focuses more on software development and data analysis. 3.Math in Each Field • Computer Engineering: Covers math topics like logic and engineering mathematics, using math for designing hardware and software, including complex calculations such as linear algebra. • Computer Science: Uses math for data calculations and algorithms, with courses focused on logic and data processing. Difference: Computer Engineering uses math for hardware design and calculations, while Computer Science focuses on using math for data processing and software-related algorithms. 4.Specialized Courses and Interests • Computer Engineering: Popular courses include system architecture and operating systems, where students learn to work with systems from the basics to programming hardware control. • Computer Science: Students enjoy courses like AI and natural language processing, using software skills to create intelligent models and applications. Difference: Computer Engineering focuses on systems that combine hardware and software, while Computer Science emphasizes data analysis and software development. Summary • Computer Engineering: Focuses on hardware and system design that integrates with software, ideal for those interested in how hardware and software work together. • Computer Science: Emphasizes software and data analysis, with a foundation in math and scientific analysis, ideal for those interested in programming and software development.

    การเรียนรู้
    Learning
    วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์
    Nov 22, 2024
    3 min