Logo
  • โปรไฟล์มืออาชีพ
  • งาน
  • อาชีพ
    เส้นทางอาชีพ
    การเติบโต
    การศึกษา
    แรงบันดาลใจ
    บุคลิกภาพ
    งานและอุตสาหกรรม
    การค้นหางาน
    ประวัติ & ผลงาน
    เงินเดือน
    ความเป็นอยู่ที่ดี
  • การศึกษา
    หลักสูตร
    โปรแกรม
  • เครื่องมือสร้างเรซูเม่
  • สำหรับผู้ใช้งานองค์กร



  • Jobcadu Logo

    แพลตฟอร์มอาชีพที่ดีที่สุดสำหรับการหางาน, การสรรหาบุคลากร, ค้นหาอาชีพ และค้นพบแหล่งการศึกษา

    10,000+

    หน้าหางาน

    งานตามหมวดหมู่

    การบริหารและสำนักงาน

    การตลาด

    บริการลูกค้า

    เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT)

    บัญชีและการเงิน

    ทรัพยากรบุคคลและการจัดการคน

    การผลิตและห่วงโซ่อุปทาน

    วิศวกรรม

    สำหรับผู้หางาน

    หน้าหางาน

    เครื่องมือสร้างเรซูเม่

    ทรัพยากรด้านการศึกษา

    ทรัพยากรเรซูเม่

    สำหรับผู้ใช้งานองค์กร

    ประกาศงาน

    ราคา

    แหล่งข้อมูล

    เกี่ยวกับเรา

    ข้อกำหนดการใช้งาน

    นโยบายความเป็นส่วนตัว


    © 2025 Jobcadu. สงวนลิขสิทธิ์ทั้งหมด

    CV คืออะไร ต่างจาก Resume ยังไง ใช้สมัครงานแทนกันได้ไหม

    Resume & Portfolio
    1. Home

    2. Careers

    3. CV คืออะไร ต่างจาก Resume ยังไง ใช้สมัครงานแทนกันได้ไหม

    CV คืออะไร ต่างจาก Resume ยังไง ใช้สมัครงานแทนกันได้ไหม

    Posted November 15, 2024

    Career Path

    cv คืออะไร
    Resume คืออะไร
    CV vs Resume
    CV คืออะไร ต่างจาก Resume ยังไง ใช้สมัครงานแทนกันได้ไหม
    Career Path Description

    เมื่อพูดถึงเอกสารที่ใช้สมัครงาน หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า "CV" และ "Resume" แต่บางครั้งหลาย ๆ คนอาจไม่แน่ใจว่ามันต่างกันยังไง และใช้แทนกันได้หรือไม่ ในบทความนี้ Jobcadu จะพาไปทำความรู้จักกับความแตกต่างระหว่าง CV และ Resume รวมถึงวิธีการเลือกใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละงาน และแนวทางการนำ AI มาใช้เพื่อพัฒนา CV และ Resume ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น


    CV คืออะไร

    CV (Curriculum Vitae) คือเอกสารที่ใช้สำหรับแนะนำตัวเองแก่ผู้ที่กำลังมองหาผู้สมัครงาน โดยจะเน้นรายละเอียดเกี่ยวกับประวัติการทำงานและประสบการณ์ทำงาน ทักษะและความสามารถต่าง ๆ รวมถึงการฝึกอบรมที่มีความสำคัญต่อสายอาชีพ การใช้ CV มักจะพบในงานที่ต้องการรายละเอียดครบถ้วนมากกว่ารายละเอียดทั่วไป โดยเรียงไปตามไทม์ไลน์ 


    องค์ประกอบของ CV

    1. ข้อมูลส่วนตัว: ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร และอีเมล
    2. ประวัติการศึกษาและการทำงาน: ตำแหน่งงานที่เคยทำพร้อมรายละเอียด
    3. ทักษะและความสามารถ: ทักษะเฉพาะตัวที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่ง
    4. ผลงานหรือโครงการ: ตัวอย่างผลงานที่เคยทำเพื่อแสดงทักษะ
    5. การฝึกอบรมและการรับรอง: หากมีการเรียนรู้เพิ่มเติมที่เกี่ยวข้อง รวมถึงบุคคลอ้างอิง


    Resume คืออะไร

    Resume คือเอกสารที่ใช้ในการแนะนำตัวเองในแบบที่กระชับและเน้นไปที่ทักษะ และประสบการณ์ที่สำคัญต่อการสมัครงานในตำแหน่งนั้น ๆ การเขียน Resume จะต้องทำให้ผู้สมัครดูมีคุณสมบัติที่ตรงตามความต้องการของตำแหน่งงานนั้น ๆ โดยทั่วไป Resume จะมีความยาวสั้นกว่า CV


    องค์ประกอบของ Resume

    1. ข้อมูลส่วนตัว: ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร และอีเมล
    2. เป้าหมายในอาชีพ: ข้อความที่แสดงถึงทิศทางและความมุ่งมั่น
    3. ประสบการณ์การทำงาน: การสรุปตำแหน่งและหน้าที่ที่สำคัญ
    4. ทักษะ: ทักษะที่ตรงกับตำแหน่งงาน
    5. การศึกษา: สถาบันและหลักสูตรที่เกี่ยวข้อง
    6. ผลงานหรือโครงการ: หากมีเพื่อแสดงถึงความสามารถที่มี


    CV กับ Resume ต่างกันยังไง

    การเลือกใช้ CV หรือ Resume ขึ้นอยู่กับประเภทของงานและความต้องการขององค์กร โดย CV มักจะใช้ในการสมัครงาน การเรียนต่อ ในอาชีพที่ต้องการรายละเอียดครบถ้วน เช่น งานวิจัย หรือ Specialist ต่าง ๆ ในขณะที่ Resume จะใช้ในงานที่ต้องการข้อมูลที่กระชับและตรงกับตำแหน่งที่สมัครมากกว่า และยังโชว์ความเป็นตัวของตัวเองด้วยการเลือกเทมเพลตตามสายงาน ทั้งนี้ทั้งสองไม่สามารถใช้ทดแทนกันได้เต็มที่ เนื่องจากแต่ละแบบมีลักษณะและการใช้งานที่แตกต่างกันนั่นเอง


    CV มีความละเอียดและมักมีเนื้อหาที่ยาวกว่า Resume



    CV กับ Resume ใช้แทนกันได้ไหม

    คำตอบคือสามารถใช้ CV สมัครงานแทนเรซูเม่ได้ แต่อาจไม่ได้เหมาะสมนัก เนื่องจาก Recruiter ใช้เวลาสั้น ๆ เพื่อตัดสินใจว่าจะไปต่อกับใบสมัครนั้นไหม ทำให้ CV อาจละเอียดเกินไป ไม่กระชับ


    แต่หากเป็นการสมัครงานเฉพาะทาง เข้าเรียนต่อ ควรใช้ CV ไม่สามารถใช้เรซูเม่ได้ เนื่องจากมีรายละเอียดที่น้อยจนเกินไป


    การทำ CV หรือ Resume ต้องใส่รูปไหม

    ในการเขียน CV หรือ Resume อาจจะมีคำถามว่า ต้องใส่รูปไหม? ซึ่งอาจจะแล้วแต่ขึ้นอยู่กับประเภทของงานที่สมัคร สำหรับงานในสายอาชีพที่ไม่เกี่ยวข้องกับการติดต่อหรือให้บริการลูกค้า เช่น งานด้านการวิเคราะห์ข้อมูล บัญชี หรือเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) ผู้จ้างจะให้ความสำคัญกับทักษะและประสบการณ์การทำงานมากกว่าภาพลักษณ์ส่วนตัว ดังนั้นการใส่รูปในเรซูเม่จึงไม่ถือเป็นสิ่งจำเป็น และสามารถเลือกได้ตามความสะดวก


    ในขณะที่สำหรับงานในสายบริการหรือการขาย เช่น งานเซลล์ หรือบริการลูกค้า การใส่รูปถ่ายในเรซูเม่อาจช่วยเสริมภาพลักษณ์ให้ดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น รูปที่ใช้ควรเป็นภาพที่ดูสุภาพและเป็นทางการ เช่น การถ่ายภาพในชุดเสื้อเชิ้ตหรือสูท และควรเลือกพื้นหลังที่เรียบง่ายไม่รกรุงรัง หลีกเลี่ยงการใช้รูปในชุดรับปริญญาหรือรูปที่ดูไม่เหมาะสมกับบริบทของงาน


    เมื่อไหร่ควรใช้ CV แทน Resume?

    • ใช้ CV สำหรับตำแหน่งงานที่ต้องการความละเอียด ให้สื่อถึงประสบการณ์ทำงานที่เจาะลึงไปตามไทม์ไลน์

    เมื่อไหร่ควรใช้ Resume แทน CV?

    • ใช้ Resume สำหรับการสมัครงานในองค์กรที่ไม่ได้เคร่งเรื่องคุณสมบัติที่เคร่งมาก เพื่อสื่อถึงความเป็นตัวเองและไฮไลท์เฉพาะจุดที่สำคัญ



    การนำ AI มาใช้ในการทำ CV และ Resume เพื่อให้ได้งานตามที่ฝัน

    ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน การใช้ AI ในการทำ CV และ Resume กำลังเป็นที่นิยม เพราะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการออกแบบและจัดเรียงข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การใช้ AI เพื่อปรับรูปแบบของ CV หรือ Resume ให้ตรงกับคำสำคัญ (Keywords) ที่ใช้ในประกาศงาน หรือการใช้เทคโนโลยีในการแนะนำทักษะที่ตรงกับตลาดงาน ทำให้โอกาสในการได้รับการตอบรับจากบริษัทสูงขึ้น อีกทั้งยังสามารถใช้ AI ในการตรวจสอบคำผิดและปรับแต่งเนื้อหาให้ดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น


    ตัวอย่างเครื่องมือ AI ที่สามารถนำมาใช้ได้:

    • Resume Builder: เป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากมีเทมเพลตให้เลือกมากมาย และมีฟังก์ชันในการตรวจสอบไวยากรณ์และการสะกดคำ ทางเรา Jobcadu ก็มี Resume Builder ให้ใช้ด้วยน้า >> คลิก
    • Canva: แม้จะเป็นเครื่องมือออกแบบกราฟิก แต่ Canva ก็มีเทมเพลต Resume ที่สวยงามและใช้งานง่าย
    • ChatGPT: ถึงแม้ว่าจะออกแบบไม่ได้ แต่ก็เป็นอีกหนึ่ง Tools ที่จะช่วยวิเคราะห์ Keyword ให้ Resume เรามีความโดดเด่นมากขึ้นเช่นกัน


    เป็นอย่างไรกันบ้าง หลังจากนี้ทุกคนก็สามารถนำไปใช้ได้อย่างถูกวิธีและใช้ได้อย่างถูกจุดประสงค์ได้อย่างไม่ต้องสับสนแล้ว สำหรับคนไหนที่กำลังมองหางานคุณภาพ จากบริษัทชั้นนำในไทยและต่างประเทศ อย่าลืมฝากเรซูเม่ไว้ที่ Jobcadu ล่ะ เพราะเรารวบรวมบริษัทชั้นนำที่ใช่สำหรับคุณมาไว้ให้หมดแล้ว  


    Related Skills & Areas
    cv คืออะไร
    Resume คืออะไร
    CV vs Resume


    อาชีพที่เกี่ยวข้อง
    Thumbnail for Interpersonal หรือ Soft Skill ไหนที่ควรมีในการทำงานและใส่ใน Resume เพื่อให้ถูกใจ HR
    Resume & Portfolio

    Interpersonal หรือ Soft Skill ไหนที่ควรมีในการทำงานและใส่ใน Resume เพื่อให้ถูกใจ HR

    การทำงานในยุคปัจจุบันไม่ได้วัดกันเพียงแค่ Hard Skill อีกต่อไป เพราะ Interpersonal Skill หรือ Soft Skill กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เราสร้างความประทับใจให้กับเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า และโดยเฉพาะ HR หากเราสร้างโอกาสในการได้งานหรือพัฒนาสายอาชีพ การเรียนรู้และพัฒนาทักษะเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ มาดูกันว่า Interpersonal Skill คืออะไร และมี Soft Skill แบบไหนที่ควรใส่ในเรซูเม่หรือ CV เพื่อให้ถูกใจ HR กันบ้าง Interpersonal Skill หรือ Soft Skill คืออะไร Interpersonal Skill หรือ Soft Skill คือทักษะที่ใช้ในการทำงานร่วมกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสาร การทำงานเป็นทีม ความเห็นอกเห็นใจ หรือการแก้ปัญหา ทักษะเหล่านี้ไม่ได้มาจากการฝึกฝนทางวิชาการ แต่เกิดจากการพัฒนาฝึกฝนของตัวเองและประสบการณ์ โดย Soft Skill จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ในการทำงานและส่งเสริมการทำงานราบรื่นยิ่งขึ้น ตัวอย่างของ Interpersonal Skill หรือ Soft Skill ได้แก่: การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ (Effective Communication) ความสามารถในการแก้ปัญหา (Problem-Solving Skills) ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence) ทักษะการเจรจาต่อรอง (Negotiation Skills) การทำงานร่วมกับผู้อื่น (Teamwork) ตัวอย่าง Interpersonal Skill หรือ Soft Skill ที่สำคัญ เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เราขอยกตัวอย่าง Soft Skill ที่มักได้รับความสนใจในสายงานต่าง ๆ เช่น: 1. ทักษะการสื่อสาร (Communication Skills) การอธิบายข้อมูลหรือความคิดได้อย่างชัดเจน การฟังและเข้าใจผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง 2. การแก้ปัญหา (Problem-Solving Skills) การคิดวิเคราะห์สถานการณ์และหาวิธีแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ 3. การทำงานเป็นทีม (Teamwork) ความสามารถในการประสานงานและทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพ 4. ความเป็นผู้นำ (Leadership) การนำทีมและสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น ซึ่งเหมาะมากสำหรับคนที่สมัครตำแหน่ง manager หรือ Senior 5. ความยืดหยุ่นและการปรับตัว (Adaptability) การปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงและสถานการณ์ใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว Soft Skill ที่ควรใส่ใน Resume หรือ CV Soft Skill ที่ใส่ในเรซูเม่หรือ CV ควรเป็นทักษะที่สะท้อนถึงตัวเราจริง ๆ และเกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่เราสมัคร ตัวอย่าง Soft Skill ที่ HR ชื่นชอบมีดังนี้: 1. ทักษะการจัดการเวลา (Time Management) ช่วยแสดงว่าเราสามารถทำงานได้ตามกำหนดเวลาและบริหารจัดการงานหลายอย่างพร้อมกัน 2. ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) เหมาะสำหรับสายงานที่ต้องการไอเดียใหม่ ๆ เช่น งานออกแบบ การตลาด หรือพัฒนาโปรดักต์ 3. ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence) สกิลนี้แสดงให้เห็นว่าเรามีความเข้าใจอารมณ์ของตนเองและผู้อื่น ซึ่งช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ในที่ทำงาน 4. การแก้ไขข้อขัดแย้ง (Conflict Resolution) ทักษะนี้เหมาะสำหรับตำแหน่งที่ต้องบริหารทีม หรือต้องรับมือกับสถานการณ์ที่มีความขัดแย้ง 5. ทักษะการเรียนรู้ด้วยตัวเอง (Self-Learning) แสดงถึงความกระตือรือร้นในการพัฒนาตนเองและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ Interpersonal Skill หรือ Soft Skill เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในสายอาชีพ การเลือกใส่ Soft Skill ในเรซูเม่หรือ CV อย่างเหมาะสมไม่เพียงแต่จะช่วยสร้างความประทับใจให้ HR แต่ยังแสดงให้เห็นว่าเราเป็นผู้ที่พร้อมจะเติบโตและพัฒนาตนเอง หากเราสนใจบทความที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาตัวเองหรือเทคนิคหางานเพิ่มเติม อย่าลืมติดตามบทความอื่น ๆ ของเราได้เลยที่ Career

    Jan 27, 2025
    1 min
    Thumbnail for เคล็ดลับการทำ Resume ให้โดนใจนายจ้าง
    Resume & Portfolio

    เคล็ดลับการทำ Resume ให้โดนใจนายจ้าง

    การหางานที่ดีนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย หนึ่งในนั้นคือการสร้างเรซูเม่ที่น่าสนใจและการเตรียมตัวสัมภาษณ์ให้พร้อม วิชัย มาตะกุล และธนชาติ ศิริภัทราชัย สองผู้เชี่ยวชาญด้านการสรรหาบุคลากรในวงการโฆษณาและภาพยนตร์ ได้ให้คำแนะนำดีๆ ที่จะช่วยให้คุณได้งานในฝัน ดังนี้ 1.เรซูเม่ที่โดดเด่นคืออะไร? เรซูเม่ที่ดีไม่ได้แค่บอกว่าคุณเคยทำอะไรมาบ้าง แต่ต้องแสดงให้เห็นว่าคุณสร้างผลงานอะไรให้กับองค์กรได้บ้าง เช่น เน้นผลลัพธ์: แทนที่จะบอกว่า "ทำงานเป็นทีม" แต่ควรระบุบทบาทที่ชัดเจนในทีมและผลที่ได้จากการทำงานร่วมกับทีม กระชับและชัดเจน: คำอธิบายใน Resume ควรใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เรียงลำดับข้อมูลให้เป็นระบบ จัดรูปแบบให้สวยงาม: ใช้หัวข้อและย่อหน้า ช่วยให้เรซูเม่ดูเป็นระเบียบ ง่ายต่อการอ่าน และให้ผู้สัมภาษณ์เห็นจุดเด่นของคุณอย่างชัดเจน 2.เตรียมตัวสัมภาษณ์ให้มั่นใจ การเตรียมตัวให้พร้อมทุกด้านสำคัญมากสำหรับการสัมภาษณ์ อุปกรณ์พร้อมใช้: เช็คอินเทอร์เน็ต คอมพิวเตอร์ และโปรแกรมที่จำเป็นให้เรียบร้อย ภาพลักษณ์เป็นมืออาชีพ: แต่งกายสุภาพ ทำความสะอาดพื้นที่รอบตัว ฝึกซ้อม: ลองตอบคำถามสัมภาษณ์ทั่วไป เพื่อเพิ่มความมั่นใจ 3.จดหมายสมัครงานที่น่าประทับใจ จดหมายสมัครงานที่ดีควร สั้น กระชับ เข้าใจง่าย: บอกถึงความสนใจในตำแหน่งงาน และเหตุผลที่คุณเหมาะสมกับงานนั้น ชื่อไฟล์ชัดเจน: เช่น “Resume_ชื่อของคุณ” 4.เปลี่ยนงานบ่อย ไม่ได้แปลว่าไม่ดี ในยุคปัจจุบัน การเปลี่ยนงานบ่อยไม่ได้หมายความว่าคุณไม่น่าเชื่อถือเสมอไป อาจเป็นเพราะคุณกำลังมองหาโอกาสที่ดีกว่า หรือต้องการพัฒนาทักษะใหม่ๆ 5. กลยุทธ์ในการสมัครงาน เลือกงานที่เหมาะสม: คัดเลือกตำแหน่งที่ตรงกับทักษะและความสนใจของตัวเอง การส่งพอร์ตงาน: ควรคัดเลือกผลงานที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่สมัครเพื่อเพิ่มโอกาสในการได้งาน

    Resume Writing
    Career
    Resume Tips
    Dec 19, 2024
    1 min
    Thumbnail for Resume Tips เรซูเม่ฝึกงานเขียนและทำยังไงให้ถูกใจ Hr ด้วยเทคนิคจาก Jobcadu
    Resume & Portfolio

    Resume Tips เรซูเม่ฝึกงานเขียนและทำยังไงให้ถูกใจ Hr ด้วยเทคนิคจาก Jobcadu

    พอเข้าใกล้ช่วงฝึกงาน บางมหาลัยฯ ก็เริ่มให้นักศึกษาเริ่มหาที่ฝึกงานกันแล้ว แต่ว่าบางคนก็ยังไม่ได้เริ่มหาและเริ่มทำเรซูเม่ฝึกงานเลย วันนี้ Jobcadu จึงมาแนะนำวิธีการเขียนเรซูเม่ฝึกงานอย่างถูกต้อง ต้องเขียนยังไง ต้องมีอะไรบ้าง ไม่มีประสบการณ์ทำไง ทำในแอปไหน บทความนี้รวบรวมไว้ให้หมดแล้ว เรซูเม่ฝึกงานคืออะไร เรซูเม่ฝึกงาน (Internship Resume) คือเอกสารสำคัญที่ผู้สมัคต้องส่งให้กับ HR หรือนายจ้าง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการสมัครฝึกงาน โดยมีจุดประสงค์คือนำเสนอและอธิบายประวัติส่วนตัวภายในรูปแบบเอกสาร ซึ่งประกอบไปด้วย ข้อมูลส่วนตัว ประวัติการศึกษา ทักษะ และประสบการณ์ (ถ้ามี) ของผู้สมัคร เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการสมัครฝึกงาน (Internship) โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยให้ HR หรือนายจ้างเห็นว่าเราเหมาะสมกับตำแหน่งงานนั้นอย่างไร แม้ว่าผู้สมัครจะยังไม่มีประสบการณ์การทำงานเต็มตัวก็ตาม แต่ก็เพื่อเป็นใบเบิกทางสู่อาชีพ การฝึกงานจึงต้องเป็นเรื่องที่จำเป็น ทำไมต้องฝึกงานและต้องใช้เรซูเม่ฝึกงาน ได้ทดลองทำงานในสายงานนั้น ๆ การฝึกงานสิ่งหนึ่งที่เลี่ยงไม่ได้เลย เมื่อเวลาจบใหม่แล้วจะได้เปรียบถ้าเรามีประสบการณ์ฝึกงานในด้านนั้น ๆ ที่หาไม่ได้ที่ไหนแล้วในสถานที่ทำงานจริง สร้าง Connection การฝึกงานนั้น เราก็จะมีเพื่อนร่วมงานที่ทำงานในสายนั้นจริง ๆ หากเราเป็นคนที่มีความสามารถในด้าน ๆ นั้น เราก็จะเป็นที่จับตามองในกลุ่มคนทำงานว่า น้องคนนี้มันเก่ง เดี๋ยวไปแนะนำให้คนที่รู้จักดีกว่า ก็จะช่วยให้เรามีโอกาสในการได้งานในภายหลังก็ได้ สร้างข้อได้เปรียบในเรซูเม่ เรซูเม่ที่แข็งแกร่งพร้อมประสบการณ์จริงจะมอบจุดเด่นกว่าผู้สมัครรายอื่นเมื่อสมัครงานไม่ว่าจะเป็นทักษะ soft skills และ hard skills ที่ได้เรียนรู้ตอนฝึกงาน และทำให้ HR เห็นว่าเราเคยทำงานเนื้องานประมาณนี้ การเรียนรู้วัฒนธรรมองค์กร ในฐานะผู้ฝึกงาน เราจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำงานเป็นพนักงานเต็มเวลา ได้สังเกตการทำงานของมืออาชีพที่มีประสบการณ์และอยู่ในสายงานนั้น ๆ พัฒนาทักษะการจัดการเวลา การฝึกงานนั้น จะต้องใช้ทักษะในการ mange เวลาให้ตรงตามไทม์ไลน์ ซึ่งเป็นหนึ่งที่ที่จำเป็นสุด ๆ ในการนำไปปรับใช้ในการทำงานจริง เพิ่มความมั่นใจในการทำงาน การฝึกงานช่วยให้เรามีความมั่นใจในที่ทำงาน ไม่ว่าจะเป็นทักษะเฉพาะหรือเป็นน้องฝึกงานทั่วไป ยิ่งเรามีชั่วโมงบินในสภาพแวดล้อมการทำงานมากเท่าใด เราก็จะรู้สึกสบายใจและมั่นใจมากขึ้นในความสามารถของมากขึ้น ได้ Mentor ที่จริงใจ นอกจากได้ connection แล้ว เรายังจะได้เมนเทอร์ที่มีศักยภาพจากการฝึกงาน ที่จะคอยแนะนำ สอน ไกด์เส้นทางอาชีพที่เราสามารถไปต่อได้ในอนาคต ที่ไม่ได้หาเจอในอินเทอร์เน็ตว่า สายงานที่ต้องการมในอนาคต แต่เป็นข้อมูลภายในที่คนในวงการนั้นและรู้ปัญหาของงานนั้นจริง ๆ ทำไมต้องใช้เรซูเม่สำหรับฝึกงาน เป็นเอกสารแนะนำตัวเบื้องต้น เรซูเม่เป็นสิ่งแรกที่นายจ้างเห็นก่อนตัดสินใจเรียกสัมภาษณ์ ช่วยให้พวกเขาเข้าใจว่าเราเป็นใคร เรียนด้านไหน มีทักษะหรือความสนใจอะไร และเหมาะสมกับการฝึกงานในองค์กรหรือไม่ แสดงให้เห็นความพร้อมและความตั้งใจ การมีเรซูเม่แสดงถึงความใส่ใจและความจริงจังต่อการสมัครฝึกงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเรซูเม่นั้นถูกเรียบเรียงอย่างดีและตรงกับความต้องการของตำแหน่งที่สมัคร ช่วยนำเสนอศักยภาพแม้ไม่มีประสบการณ์การทำงาน สำหรับนักศึกษา หรือผู้ที่ยังไม่มีประสบการณ์ทำงานมาก่อน เรซูเม่เป็นสิ่งที่สามารถแสดงทักษะ ความสำเร็จในกิจกรรม หรือโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานได้ เช่น กิจกรรมในชมรม การทำโปรเจกต์ในมหาวิทยาลัย หรือการเข้าร่วมแข่งขัน เรซูเม่ฝึกงานไม่มีประสบการณ์ ส่งได้ไหม หากไม่มีประสบการณ์ในการทำงานเลย Jobcadu แนะนำว่าให้เราพูดถึงประสบการณ์ทำงานที่ทำในมหาลัยฯ เช่น การเป็นสโมสรนักเรียน การเป็นทีมงานงบประมาณของเอก หรือการทำกิจกรรม รวมถึงวิชาเรียนที่เราสามารถนำไปเชื่อมโยงกับตำแหน่งงานที่สมัครได้ และสิ่งเหล่านี้หวนคืนทำให้เป็นสิ่งที่จุดประกายและเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานตำแหน่งนี้ เรซูเม่ฝึกงานประกอบไปด้วยอะไรบ้าง 1. ข้อมูลส่วนตัว (Personal Information) เขียนอะไรบ้าง: ชื่อ-นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ อีเมล (ใช้ที่ดูเป็นทางการ) ลิงก์ LinkedIn หรือ Portfolio (ถ้ามี) เคล็ดลับการเขียน: ใช้ข้อมูลที่อัปเดต เป็นปัจจุบันและติดต่อได้ อีเมลควรดูเป็นมืออาชีพ เช่น [ชื่อ.นามสกุล]@gmail.com 2. เป้าหมายในการทำงาน (Career Objective) เขียนอะไรบ้าง: บอกเป้าหมายในการฝึกงาน ระบุว่าต้องการเรียนรู้อะไรและจะนำทักษะใดมาช่วยงานบริษัท ตัวอย่าง: "ฉันต้องการใช้ความรู้ด้าน [สาขาวิชาหรือทักษะเฉพาะ] เพื่อช่วยสนับสนุนองค์กร พร้อมทั้งพัฒนาทักษะในด้าน [ระบุด้านที่คุณอยากเรียนรู้] ให้มีความเชี่ยวชาญมากขึ้น" เคล็ดลับการเขียน: ใช้คำที่กระชับและเป็นมืออาชีพ ปรับข้อความให้ตรงกับตำแหน่งงานที่สมัคร 3. ประวัติการศึกษา (Education) เขียนอะไรบ้าง: ชื่อสถาบันการศึกษา ระดับการศึกษาและสาขาวิชา ปีที่คาดว่าจะสำเร็จการศึกษา เกรดเฉลี่ย (GPA) (ถ้ามีความโดดเด่น) ตัวอย่าง: มหาวิทยาลัย ABC, คณะบริหารธุรกิจ สาขาการตลาด (คาดว่าจะสำเร็จการศึกษา ปี 2568) เกรดเฉลี่ย: 3.75 เคล็ดลับการเขียน: เน้นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่สมัคร หากเกรดเฉลี่ยไม่สูง อาจจะไม่ใส่ก็ได้ เป็น Optional 4. ทักษะ (Skills) เขียนอะไรบ้าง: Hard Skills เช่น การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์, การออกแบบ, หรือการเขียนโค้ด Soft Skills เช่น การสื่อสาร, การทำงานเป็นทีม, หรือการแก้ปัญหา ตัวอย่าง: Hard Skills: Data Analytic, Adobe Photoshop, Python Programming Soft Skills: ความสามารถในการจัดการเวลา, การทำงานร่วมกับผู้อื่น เคล็ดลับการเขียน: จัดลำดับทักษะที่เกี่ยวข้องกับงานไว้ในตำแหน่งที่มองเห็นง่าย 5. ประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง (Experience) เขียนอะไรบ้าง: ระบุโครงการ การฝึกงาน หรือการทำงานชั่วคราวที่ผ่านมา บอกหน้าที่รับผิดชอบและสิ่งที่ได้เรียนรู้ ตัวอย่าง: โครงการพัฒนาระบบจัดการข้อมูลนักศึกษา มหาวิทยาลัย ABC (2565) หน้าที่: รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลร่วมกับทีม สิ่งที่ได้เรียนรู้: การทำงานร่วมกับคนในทีมและการใช้ Microsoft Access เคล็ดลับการเขียน: เน้นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าคุณมีทักษะและประสบการณ์ตรงกับงาน เขียนให้กระชับและมีโครงสร้างชัดเจน 6. กิจกรรมและความสำเร็จ (Activities and Achievements) เขียนอะไรบ้าง: กิจกรรมในมหาวิทยาลัย เช่น ชมรม การแข่งขัน หรือโครงการอาสา รางวัลหรือการยอมรับที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่าง: ประธานชมรมสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัย ABC (2564-2565) รองชนะเลิศอันดับ 1 การประกวดแผนการตลาดระดับประเทศ (2566) เคล็ดลับการเขียน: ระบุบทบาทและผลงานที่แสดงถึงความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น ทำเรซูเม่ในแอปไหนได้บ้าง Jobcadu Resume - เป็นเว็บไซต์ที่มี Tools AI ที่ช่วยเกลาคำภาษาอังกฤษของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีเทมเพลตให้เลือกใช้ เมื่อสร้างเสร็จสามารถดาวน์โหลดหรือนำส่งบริษัทชั้นนำได้อีกด้วย Canva - มีเทมเพลตให้เลือกมากมายหลากหลายสไตล์ ใช้ได้ทั้งในมือถือและแทปเล็ต สามารถปรับแต่งได้อย่างอิสระ มีทั้งแบบฟรีและแบบเสียเงิน ฟีเจอร์ครอบคลุมทั้งการออกแบบเรซูเม่ โปสเตอร์ และอื่นๆ Microsoft Word - เป็นโปรแกรมที่คุ้นเคย สามารถควบคุมรูปแบบและเนื้อหาได้อย่างละเอียด มีเทมเพลตให้เลือกไม่เยอะ แต่ก็เป็นโปรแกรมที่ทุกคนใช้เป็น นอกจากนั้นยังทำบนเว็บไซต์ได้อีกด้วย Rawpixel - เป็นเว็บไซต์ที่รวมรวมเทมเพลตมาเยอะมาก และสามารถโหลดมา edit ได้เลย Wix - เป็นเว็บไซต์สำเร็จรูปที่สามารถทำเรซูเม่ พอร์ตฟอลิโอ และเว็บไซต์ได้ เหมาะกับยุคดิจิทัลสุด ๆ ไปเลย แต่ก็อาจจะซับซ้อนเกินไปสำหรับมือใหม่ แต่น่าสนใจแน่นอนถ้าสามารถทำได้ การมีเรซูเม่ที่ดีเป็นสิ่งสำคัญในการฝึกงาน การใช้เว็บไซต์สร้างเรซูเม่จะช่วยให้มีเรซูเม่ที่สวยงามและน่าประทับใจ แต่การทำเรซูเม่ก็มีหลายจุดที่ต้องเช็กดี ๆ เพราะว่าบางจุดก็อาจจะทำให้ HR ปัดตกของเราได้ ไม่ว่าเราจะมาในตำแหน่งคนมาฝึกงานหรือมาสมัครงาน ซึ่งจะมีอะไรบ้าง มาดูที่บทความนี้ได้เลย ทำเรซูเมยังไงให้มัดใจ HR เมื่อแรกเห็น

    เรซูเม่ฝึกงาน
    นักศึกษาฝึกงาน
    Nov 25, 2024
    2 min
    Thumbnail for 5 เว็บทำเรซูเม่สุดปัง สวยเช้ง เทมเพลตมากมาย พร้อมมัดใจ Hr ทุกการสมัครงาน
    Resume & Portfolio

    5 เว็บทำเรซูเม่สุดปัง สวยเช้ง เทมเพลตมากมาย พร้อมมัดใจ Hr ทุกการสมัครงาน

    ใคร ๆ ก็อยากมี resume ที่โดดเด่นและน่าสนใจจน HR ทัก แต่ทำไมต้องเป็นอย่างงั้นล่ะ เพราะว่าในยุคที่การแข่งขันสูง การมีเรซูเม่ที่จับต้องทุกสายตาที่เห็นเป็นสิ่งสำคัญมาก และหนึ่งในวิธีที่จะทำให้เรซูเม่ของเราดูดีมีสไตล์ก็คือการใช้เว็บไซต์สร้างเรซูเม่นั่นเอง แต่ทำไมต้องใช้ผ่านเว็บไซต์ล่ะ เราทำเองด้วยโปรแกรม Word ไม่ได้หรอ วันนี้เราจะไปพาไขข้อสงสัยทั้งหมดกัน และนอกจากนั้นเรายังนำ 5 เว็บไซต์ทำเรซูเม่สุดปัง ที่จะช่วยให้เรซูเม่ของสวยงาม น่าประทับใจ และเพิ่มโอกาสในการได้งานในฝันได้อีกด้วย ทำไมต้องทำเรซูเม่ด้วยเว็บไซต์? เทมเพลตสวยงามหลากหลาย: เลือกสไตล์ที่เข้ากับบุคลิกและตำแหน่งงาน เช่น Content Creator หรือว่าสายงานที่ต้องการจะสมัครได้เลย ใช้งานง่าย: ไม่ต้องมีความรู้ด้านการออกแบบ ไม่ต้องมีหัวศิลปะ แต่มีความสามารถและประสบการณ์ก็พอ เดี๋ยวก็มีเทมเพลตสวย ๆ ให้เลือก ปรับแต่งและ Customize ได้: เราสามารถเพิ่มเติมรายละเอียดและทักษะได้อย่างอิสระ รวมถึงบางเว็บก็มี AI Tools ที่ช่วยขัดเกลาคำของเราให้น่าสนใจยิ่งขึ้น ประหยัดเวลา ไม่เสียเงิน: บางคนก็อาจจะกังวลกลัวเรซูเม่เราไม่สวย อาจจะจ้างทำ หรือว่ามัวนั่งคิดเกี่ยวกับ Design จนเสียเวลาไปเลย ดาวน์โหลดได้หลากหลายรูปแบบ: ทั้ง PDF, Word หรือรูปแบบอื่น ๆ เพื่อง่ายต่อการส่งต่อ รวมถึงบางเว็บไซต์ก็สร้างเสร็จแล้วส่งได้เลยในเว็บตนเอง 5 เว็บทำเรซูเม่สุดปัง ตัวช่วยในการทำ Resume ให้สวยเช้ง พร้อมเทมเพลตมากมาย สำหรับใครที่ไม่มีเวลาในการทำ Resume หรือว่าไม่เคยทำ ปัจจุบันก็มีตัวช่วยอย่างเว็บไซต์ออนไลน์ที่จะทำให้เรซูเม่ของเราสวยงามไม่แพ้คนอื่น ซึ่งก็มีทั้งแบบเสียเงินและใช้งานฟรีให้ได้เลือกสรรกัน เช่น Jobcadu Resume - เป็นเว็บไซต์ที่มี Tools AI ที่ช่วยเกลาคำภาษาอังกฤษของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีเทมเพลตให้เลือกใช้ เมื่อสร้างเสร็จสามารถดาวน์โหลดหรือนำส่งบริษัทชั้นนำได้อีกด้วย Canva - มีเทมเพลตให้เลือกมากมายหลากหลายสไตล์ สามารถปรับแต่งได้อย่างอิสระ มีทั้งแบบฟรีและแบบเสียเงิน ฟีเจอร์ครอบคลุมทั้งการออกแบบเรซูเม่ โปสเตอร์ และอื่นๆ Microsoft Word - เป็นโปรแกรมที่คุ้นเคย สามารถควบคุมรูปแบบและเนื้อหาได้อย่างละเอียด มีเทมเพลตให้เลือกไม่เยอะ แต่ก็เป็นโปรแกรมที่ทุกคนใช้เป็น นอกจากนั้นยังทำบนเว็บไซต์ได้อีกด้วย Rawpixel - เป็นเว็บไซต์ที่รวมรวมเทมเพลตมาเยอะมาก และสามารถโหลดมา edit ได้เลย Wix - เป็นเว็บไซต์สำเร็จรูปที่สามารถทำเรซูเม่ พอร์ตฟอลิโอ และเว็บไซต์ได้ เหมาะกับยุคดิจิทัลสุด ๆ ไปเลย แต่ก็อาจจะซับซ้อนเกินไปสำหรับมือใหม่ แต่น่าสนใจแน่นอนถ้าสามารถทำได้ การมีเรซูเม่ที่ดีเป็นสิ่งสำคัญในการหางาน การใช้เว็บไซต์สร้างเรซูเม่จะช่วยให้มีเรซูเม่ที่สวยงามและน่าประทับใจ แต่การทำเรซูเม่ก็มีหลายจุดที่ต้องเช็กดี ๆ เพราะว่าบางจุดก็อาจจะทำให้ HR ปัดตกของเราได้ จะมีอะไรบ้าง มาดูที่บทความนี้ได้เลย ทำเรซูเมยังไงให้มัดใจ HR เมื่อแรกเห็น หลังจากอ่านแล้วลองเลือกเว็บไซต์ที่ถูกใจและเริ่มสร้างเรซูเม่ได้เลย!

    เว็บทำเรซูเม่
    Nov 19, 2024
    1 min
    Thumbnail for พื้นฐานทำพอร์ตโฟลิโอสมัครงาน : ฉายแสงให้ตัวคุณ (Job-Winning Portfolio)
    Resume & Portfolio

    พื้นฐานทำพอร์ตโฟลิโอสมัครงาน : ฉายแสงให้ตัวคุณ (Job-Winning Portfolio)

    How to Create a Job-Winning Portfolio ในตลาดงานที่มีการแข่งขันสูงขึ้นในปัจจุบัน แคนดิเดตต่างเพิ่มพูนทักษะและสร้างเรซูเม่ด้วย AI การมีพอร์ตโฟลิโอสมัครงานที่แข็งแกร่งและจับใจ Hiring Manager หรือ Recruiter ได้ จะช่วยคุณสร้างความแตกต่างและช่วยให้คุณได้โอกาสสัมภาษณ์งานในฝันมากขึ้น ไม่ว่าคุณจะเป็นมืออาชีพสายสร้างสรรค์ วิศวกรซอฟต์แวร์ ฟรีแลนซ์หรือกำลังสมัครงานสายองค์กรขนาดใหญ่ การแสดงผลงานผ่านพอร์ตโฟลิโอเป็นหนึ่งในทางเลือกเพื่อขายเรื่องราวความสำเร็จ แบรนด์อาชีพส่วนตัวของคุณและสร้างความโดดเด่นจากคู่แข่ง นี่คือพื้นฐานในการสร้างพอร์ตโฟลิโอที่ประสบความสำเร็จ: 1. Understand the Purpose of Your Portfolio ก่อนเริ่มต้น ให้ชัดเจนถึงจุดประสงค์ของพอร์ตโฟลิโอว่าอยากเน้นอะไร: เพื่อแสดงทักษะและความสำเร็จของคุณ เพื่อแสดงความเชี่ยวชาญผ่านตัวอย่างงานที่ผ่านมา เพื่อเน้นว่าทำไมคุณจึงเหมาะสมที่สุดสำหรับบทบาทนี้ แต่ละอุตสาหกรรมมีความคาดหวังที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น ดีไซเนอร์อาจมุ่งเน้นการนำเสนอภาพ อารมณ์ เทสต์ ในขณะที่นักพัฒนาซอฟต์แวร์อาจรวมถึงกรณีศึกษาของโปรเจกต์และตัวอย่างโค้ดโดยละเอียด 2. Choose the Right Format เลือกว่าจะทำพอร์ตโฟลิโอแบบดิจิทัลหรือแบบเอกสารที่เหมาะสมกับคุณ: Digital Portfolios: เหมาะสำหรับสายอาชีพส่วนใหญ่ในปัจจุบัน คุณสามารถสร้างเว็บไซต์ ใช้แพลตฟอร์มอย่าง Notion, Wix, Canva, Behance หรือแชร์ในรูปแบบ PDF ได้ Physical Portfolios: เหมาะสำหรับการสัมภาษณ์หรือการนำเสนอในสถานที่จริง โดยเฉพาะสายงานดีไซน์ สถาปัตยกรรม หรือสาขาที่คล้ายกัน เสมือนนำเสนอขายโปรเจคให้กับลูกค้า 3. Structure Your Portfolio Effectively เรซูเม่มีการจัดระเบียบ พอร์ตโฟลิโอที่ดีก็ควรมีการจัดระเบียบที่ดีเช่นเดียวกัน โดยคำนึงถึงลำดับการเล่าเรื่อง สิ่งที่อยากให้คนเห็นก่อน โดยรวมส่วนต่างๆ ดังนี้: a. Cover Page ระบุชื่อ อาชีพ และข้อมูลติดต่อของคุณ ใช้การออกแบบที่สะอาดและดูเป็นมืออาชีพ b. Introduction or Personal Statement (คำนำพอร์ตโฟลิโอ) แนะนำตัวเองและเป้าหมายในอาชีพอย่างสั้นๆ อธิบายจุดเด่นเฉพาะตัวของคุณที่ทำให้คุณแตกต่างจากผู้สมัครคนอื่น c. Skills Overview เน้นทักษะและความสามารถสำคัญของคุณ จับคู่ทักษะกับความต้องการของตำแหน่งงานที่คุณสมัคร ข้อควรระวัง : หากคุณทำงานมาหลายปี ควรโฟกัสเฉพาะทักษะที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่องาน ไม่ควรโชว์ความหลากหลายของทักษะของคุณมากเกินไป d. Work Samples/Projects แสดงผลงานเด่น 3-5 ชิ้น ขึ้นอยู่กับสายงานของคุณ สำหรับแต่ละโปรเจกต์ให้รวมถึง: Context บริบท ปัญหาหรือเป้าหมายของโปรเจกต์ บทบาทของคุณและวิธีการแก้ไข ผลลัพธ์และความสำเร็จที่สำคัญ (เช่น เมตริกหรือคำชมจากลูกค้า) ข้อคิด : พิจารณาหลักการ Proof of Work and Competency พอร์ตโฟลิโอที่โดดเด่นแสดงให้เห็นมากกว่าความสำเร็จของคุณ แต่ยังรวมถึงหลักฐานของผลงานและความสามารถ แสดงทักษะในทางปฏิบัติ: เพิ่มตัวอย่างผลงานที่ชัดเจน เช่น โปรเจกต์ที่เสร็จสิ้น กรณีศึกษาที่คุณทำขึ้นเอง โดยเฉพาะผลงานที่ได้รับการเผยแพร่ เพื่อแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่คุณได้ทำสำเร็จจริง ๆ สร้างความเชื่อมั่น: นายจ้างมีแนวโน้มที่จะเชื่อถือผู้สมัครที่สามารถยืนยันสิ่งที่กล่าวอ้างด้วยหลักฐานที่ชัดเจน เน้นผลลัพธ์: ใช้ตัวเลขหรือผลลัพธ์เฉพาะ เช่น “เพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ขึ้น 40%” หรือ “ปรับปรุงการดำเนินงานให้ประหยัดเวลาได้ 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์” มีผู้ชมหรือผู้เชี่ยวชาญให้การยอมรับ เพื่อแสดงถึงความสำเร็จของคุณ สะท้อนความทุ่มเท: การทำพอร์ตโฟลิโอ แล้วเพิ่มหลักการ Proof of work เข้าไปจะยิ่งแสดงถึงความมุ่งมั่นในคุณภาพและความสามารถในการนำความรู้ไปใช้ได้จริง ทั้งยังสามารถต่อยอดเป็นหัวข้อพูดคุยในการสัมภาษณ์งานได้ด้วย เพราะบรรทัดสุดท้ายของการตัดสินใจเลือกผู้สมัครของผู้ว่าจ้าง คือการที่พวกเขาเชื่อมั่นว่าแคนดิเดตคนนั้นน่าจะทำงาน เข้ากับทีม หรือใช้เวลาปรับตัวได้ e. Resume or CV ใส่เวอร์ชันย่อของเรซูเม่ที่เน้นความสำเร็จ f. Certifications and Awards เพิ่มใบรับรองหรือรางวัลที่เกี่ยวข้องเพื่อยืนยันทักษะของคุณ g. Contact Information ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้จ้างงานสามารถติดต่อคุณได้ง่ายผ่านอีเมล โทรศัพท์ หรือ LinkedIn 4. Tailor Your Portfolio for Specific Jobs พอร์ตโฟลิโอของคุณควรสอดคล้องกับตำแหน่งงานที่คุณสมัคร เคล็ดลับได้แก่: ปรับแต่งบทนำและตัวอย่างงานสำหรับแต่ละการสมัคร เน้นโปรเจกต์ที่ตรงกับคำอธิบายงาน ใช้คำศัพท์เฉพาะอุตสาหกรรมเพื่อสร้างความสนใจให้กับผู้จ้างงาน อาจทำโปรเจคและกรณีศึกษาให้กับบริษัทหรืออุตสาหกรรมที่คุณสนใจสมัครงาน อย่างไรก็ตามต้องคำนึงถึงการถูกคัดลอกไอเดีย คุณควรใช้นำเสนอเนื้อหาแต่พอสมควรแล้วนำเสนอให้เขาติดต่อกลับ อาจเลือกปรับเฉพาะงานที่คุณอยากได้มากจริง ๆ 5. Design with Impact พอร์ตโฟลิโอของคุณควรมีข้อมูลครบถ้วนและน่าสนใจ: ใช้เลย์เอาต์ที่สะอาดและสม่ำเสมอ พร้อมพื้นที่ว่างเพียงพอ เลือกฟอนต์ที่อ่านง่ายและขนาดฟอนต์ที่สม่ำเสมอ รวมภาพคุณภาพสูงหรือภาพหน้าจอของงานของคุณ ใช้สีอย่างประหยัดเพื่อรักษาโทนมืออาชีพ การเลือกใช้คำ และไฮไลท์สิ่งที่สำคัญจะสร้าง Impact ได้มากกว่า ไม่จำเป็นต้องมีสีสันสดใสหากคุณไม่ใช่สาย Design หรือ Creative สุดท้ายขึ้นอยู่กับว่าผู้ว่าจ้างเปิดอ่านแล้วเข้าใจสิ่งที่เราจะสื่อสารหรือไม่ 6. การเลือกใช้ Tools and Platforms to Build Your Portfolio For Digital Portfolios Websites: Notion, Squarespace, Wix, WordPress Design Platforms: Behance, Dribbble, Canva Online Document Sharing: Google Drive, Dropbox. การใช้เครื่องมือที่สามารถแชร์ลิงก์ได้เป็นเรื่องที่ดี เพราะคุณอาจแปะลิงก์พอร์ตโฟลิโอหรือเว็บไซต์ไปบนเรซูเม่ได้ For Physical Portfolios ใช้แฟ้มที่ดูมืออาชีพ พิมพ์ตัวอย่างงานลงบนกระดาษคุณภาพสูง Jobcadu มีระบบแปะ Link พอร์ตโฟลิโอหรือเว็บไซต์ส่วนตัวเพื่อสมัครงาน 7. Test and Get Feedback ก่อนส่งพอร์ตโฟลิโอ ขอคำแนะนำจากเพื่อนหรือคนที่ไว้ใจทำงานร่วมกัน เมนเทอร์ หรือมืออาชีพในอุตสาหกรรมของคุณ ตรวจสอบว่า: ไม่มีคำผิดหรือข้อผิดพลาดในการจัดรูปแบบ เลย์เอาต์มีความลื่นไหลและดูดี ลิงก์ในพอร์ตโฟลิโอดิจิทัลทำงานอย่างถูกต้อง ไม่จำเป็นต้องใส่ Motion หรือ Transition จำนวนมาก หากคุณไม่ใช่ UI Designer, Frontend Developer หรือ Video Editor 8. Update Regularly พอร์ตโฟลิโอเป็นเอกสารที่ต้องปรับปรุงอยู่เสมอ อัปเดตเมื่อมี: โปรเจกต์หรือความสำเร็จใหม่ ข้อมูลติดต่อที่อัปเดต ดีไซน์ที่สะท้อนเทรนด์ปัจจุบัน กรณีศึกษาที่กำลังเป็นที่สนใจในอุตสาหกรรม ทิ้งท้ายเกี่ยวกับพอร์ตโฟลิโอ พอร์ตโฟลิโอหรือแฟ้มสะสมผลงานที่น่าสนใจไม่ใช่เพียงแค่การรวบรวมผลงานของคุณแล้วตัดแปะ แต่เป็นภาพสะท้อนของแบรนด์อาชีพของคุณ (Personal Brand) ด้วยการปฏิบัติตามขั้นตอนเบื้องต้นเหล่านี้ ผสมกับการปรับแต่งพอร์ตสำหรับการสมัครงานที่น่าสนใจจริง ๆ คุณจะสามารถแสดงความเชี่ยวชาญของคุณและโดดเด่นต่อผู้ว่าจ้างได้อย่างมั่นใจ พร้อมที่จะสร้างพอร์ตโฟลิโอของคุณหรือยัง? เริ่มต้นวันนี้และปล่อยให้ผลงานของคุณพูดแทนตัวเอง! นอกจากนั้นการมี CV หรือ Resume ที่ดีก็ถือเป็นด่านแรกที่จะพิชิตใจ HR ต้องทำอย่างไร ดูได้ที่นี่เลย >> ทำ CV ยังไงให้ HR หยิบเข้า Shortlist

    วิธีทำพอร์ต
    portfolio
    พอร์ตโฟลิโอ
    Nov 18, 2024
    2 min
    Thumbnail for Resume คืออะไร ทำเรซูเมยังไงให้มัดใจ HR เมื่อเห็นแว๊ปแรก
    Resume & Portfolio

    Resume คืออะไร ทำเรซูเมยังไงให้มัดใจ HR เมื่อเห็นแว๊ปแรก

    Resume คือเครื่องมือสำคัญในการแนะนำตัวเพื่อสมัครงาน หากเราต้องการสร้างความประทับใจแรกให้ HR การมีเรซูเมที่โดดเด่นและครบถ้วนคือกุญแจหลักที่จะช่วยให้เรามีโอกาสในการเข้าสู่ขั้นตอนการสัมภาษณ์ได้เลย โดยบทความนี้เราจะพาทุกคนไปทำความเข้าใจว่า Resume คืออะไร สำคัญอย่างไร ควรใส่ข้อมูลอะไรลงไปในเรซูเม่ และมีวิธีทำอย่างไรให้มัดใจ HR ตั้งแต่แว๊ปแรก Resume คืออะไร Resume อ่านว่า เรซูเม่ โดยเรซูเม่คือเอกสารสำคัญที่ผู้สมัครงานต้องส่งให้กับ HR หรือนายจ้าง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการสมัครงาน โดยมีจุดประสงค์คือนำเสนอและอธิบายประวัติส่วนตัวภายในรูปแบบเอกสาร ซึ่งใน Resume จะประกอบไปด้วยประวัติการทำงาน รางวัล ความสำเร็จ จุดมุ่งหมายในการทำงาน ประวัติการศึกษา ทักษะ ข้อมูลส่วนตัวและรูปถ่าย โดยรวมแล้ว Resume นั้นเปรียบเสมือนใบหน้าด่านแรกที่จะให้บริษัทเห็นนั่นเอง เรซูเม่ที่ดี จะช่วยให้ผู้สมัครงานโดดเด่นและได้รับโอกาสในการเข้าสัมภาษณ์งานมากขึ้น โดยจะต้องมีความชัดเจน สั้น กระทัดรัด และเน้นประเด็นสำคัญที่ตรงกับตำแหน่งงานที่สมัคร Resume เอาไว้ใช้ทำอะไร นอกจากสมัครงาน หลัก ๆ แล้ว Resume นั้นมีไว้สำหรับสมัครงาน แต่ก็สามารถนำไปใช้ในทางอื่น ๆ เช่น สมัครเรียนต่อ: ไม่เพียงแต่ใช้ในการสมัครงานเท่านั้น เรซูเม่ยังสามารถใช้ในการสมัครเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น หรือสมัครเข้าร่วมโครงการต่างๆ ได้อีกด้วย ขอทุนการศึกษา: หลายๆ โครงการทุนการศึกษาจะให้ผู้สมัครส่งเรซูเม่ เพื่อพิจารณาความเหมาะสมและความสามารถของผู้สมัคร ขอวีซ่า: ในบางกรณี เรซูเม่สามารถใช้ในการขอวีซ่า เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมั่นคงทางการเงินและวัตถุประสงค์ในการเดินทาง สร้างเครือข่าย: การแลกเปลี่ยนเรซูเม่กับบุคคลอื่นๆ ที่อยู่ในวงการเดียวกัน สามารถช่วยให้คุณสร้างเครือข่ายและได้พบเจอกับโอกาสใหม่ๆ พัฒนาตนเอง: การเขียนเรซูเม่บ่อยๆ จะช่วยให้คุณได้ทบทวนประสบการณ์และทักษะของตัวเอง ทำให้คุณเข้าใจตัวเองมากขึ้น และสามารถวางแผนอาชีพในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความสำคัญของการทำ Resume เรซูเม่จะเป็นตัวสร้างความประทับใจแรกระหว่างเราและบริษัท และถือว่าเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดในกระบวนการสมัครงาน และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเรซูเม่ถึงมีความสำคัญ: เปิดโอกาสในการแสดงศักยภาพแก่ผู้จ้างงาน: เรซูเม่เป็นช่องทางในการโปรโมตตัวเองให้โดดเด่นเหนือผู้สมัครรายอื่น แสดงทักษะ ประสบการณ์ และการศึกษา: ช่วยให้นายจ้างเข้าใจว่าประสบการณ์และความสามารถมีผลต่อความสำเร็จของบริษัทได้อย่างไร ช่วยนายจ้างคัดกรองผู้สมัครที่ไม่เหมาะสม: เรซูเม่ช่วยให้นายจ้างตัดสินใจได้ง่ายขึ้นในการเลือกผู้ที่เหมาะสมเข้าสู่กระบวนการสัมภาษณ์ แสดงความสามารถในการเขียน: การจัดเรียงข้อมูลในเรซูเม่ที่ดีบ่งบอกถึงความสามารถในการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ Resume ควรมีอะไรบ้าง ชื่อ-นามสกุล โดยชื่อของเราต้องสะกดอย่างถูกต้อง และชัดเจน อีเมล เบอร์โทร และ ที่อยู่ ตำแหน่งงาน ประสบการณ์ทำงาน ประวัติการศึกษา ประวัติการอบรม หรือรางวัลที่เคยได้รับ ความสามารถทางภาษา - แนะนำว่าไม่ควรเป็นหลอดพลัง แนะนำเขียนเป็นระดับ ดีมาก ปานกลาง เบื้องต้น เป็นต้น ความสามารถทางคอมพิวเตอร์ รูปถ่าย คำแนะนำสำหรับการทำ Resume ถ้าหาก Resume มีเนื้อหาที่น่าสนใจ แต่ถ้าอ่านยากหรือเป็นภาษาต่างดาวก็อาจทำให้ HR ไม่สนใจผลงานต่างๆ หรือประสบการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างทันที โดยหลัก ๆ ก็มีดังนี้ สีที่ใช้ - หากเป็นบริษัทที่สังเกตแล้วว่ามีความจริงจังสูง หรือ Conservative โดยจะเป็นบริษัทที่ก่อตั้งมานาน ควรลดการใช้สี หรือให้น้อยที่สุด หรือให้ดีควรเป็นสีดำ หากเป็นบริษัทรุ่นใหม่ หรือตำแหน่งที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ เช่น กราฟิก ครีเอทีฟ ก็สามารถใช้ลูกเล่นโดยการตกแต่งเรซูเม่ให้สวยงามได้หากเป็นบริษัทรุ่นใหม่ ฟ้อนต์ที่ใช้ - ฟ้อนในการใช้งานก็เป็นฟ้อนต์ทั่วไปที่มีในเครื่องทุก ๆ คน เพื่อเป็นการป้องกันการเป็นภาษาต่างดาวเวลาที่ HR เปิดไฟล์ของเราอ่านดู เช่น Calibri, Arial, Time New Roman, Roboto, Helvetica, Verdana, Trebuchet MS, TH Sarabun New ขนาด - ขนาดของเรซูเม่ควรเป็นไซส์ A4 และมีหนึ่งหน้าเท่านั้น ภาษา - สมัยนี้ เรซูเม่ควรเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด เพราะเป็นภาษาที่จำเป็นสำหรับการทำงาน ชื่อและนามสกุลไฟล์ - ต้องเป็นชื่อจริงและเป็นไฟล์ PDF ส่วนไฟล์อื่นๆอย่าง docx / jpg / png ไม่แนะนำ ตัวช่วยในการทำ Resume ด้วย AI เพื่อให้ได้งานตามที่ฝัน การใช้ AI ในการทำ Resume กำลังเป็นที่นิยม เพราะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการออกแบบและจัดเรียงข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การใช้ AI ปรับรูปแบบของ Resume ให้ตรงกับคำสำคัญ (Keywords) ที่ใช้ในประกาศงาน อีกทั้งยังสามารถใช้ AI ในการตรวจสอบคำผิดและปรับแต่งเนื้อหาให้ดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น โดยเราก็มีเครื่องมือในการสร้าง Resume ขึ้นมาได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ดาวน์โหลดพร้อมส่งให้กับบริษัทต่าง ๆ ได้ นี่ก็เป็นวิธีการทำ Resume ให้เป็นที่โดดเด่นกว่าผู้สมัครคนอื่น ๆ และนี่เป็นแค่ด่านแรกเท่านั้น การเตรียมตัวก็เป็นเรื่องสำคัญ แต่ถ้าส่งแล้วไม่ค่อยมีการตอบกลับหรือไม่รู้จะหางานที่ไหน เราก็ยังสามารถหางานดี ๆ ได้ที่ Jobcadu ได้อีกด้วย เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้งานในฝัน เพราะเรารวบรวมงานดี ๆ ไว้เพียบ ที่นี่ Jobcadu

    Resume คืออะไร
    Nov 17, 2024
    1 min
    Thumbnail for ส่ง Resume ตอนไหนดี? เคล็ด(ไม่)ลับการเปิดการมองเห็น Resume ของเราให้ HR
    Resume & Portfolio

    ส่ง Resume ตอนไหนดี? เคล็ด(ไม่)ลับการเปิดการมองเห็น Resume ของเราให้ HR

    การส่ง Resume อาจดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย แต่จริง ๆ แล้ว เวลาในการส่ง Resume มีผลต่อโอกาสที่ HR จะเปิดอ่าน หากคุณเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม โอกาสที่ Resume ของเราก็จะได้โดดเด่น เป็นที่ถูกมองเห็น และจะได้รับการพิจารณาก็เพิ่มขึ้นมาก ในบทความนี้ เราจะมาดูว่าทำไมการเลือกเวลาจึงสำคัญ พร้อมเคล็ดลับที่ช่วยให้ Resume ของเพื่อน ๆ โดดเด่นในสายตา HR ทำไมต้องส่ง Resume ให้ถูกเวลา จะช่วยอะไร การส่ง Resume ในเวลาที่เหมาะสมช่วยเพิ่มโอกาสในหลายด้าน เช่น: เพิ่มการมองเห็น (Visibility): HR มีแนวโน้มที่จะอ่านอีเมลใหม่ในช่วงต้นวันหรือเวลาทำงาน สร้างความประทับใจ: การส่ง Resume ตรงเวลาแสดงถึงความกระตือรือร้นและความใส่ใจในรายละเอียด ไม่รบกวนเวลางานของคนอื่น ลดความเสี่ยงถูกมองข้าม: ช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม เช่น ตอนเย็นหรือจะจบวัน ตอนกลางคืน อีเมลของเราก็อาจถูกดันลงไปด้านล่างด้วยอีเมล Candidate ท่านอื่น หรือเมลอื่น ๆ ช่วงเวลาที่ควรหลีกเลี่ยงส่ง Resume ด้วยเหตุผลดังนี้ ช่วงเย็นหรือกลางคืน (หลัง 18:00): HR อาจเลิกงานแล้ว และอีเมลของคุณอาจถูกดันลงไปในเช้าวันถัดมา วันหยุดสุดสัปดาห์: HR มักไม่เปิดอีเมลในวันหยุด การส่งในช่วงนี้ทำให้อีเมลของคุณตกไปอยู่ล่างสุดเมื่อถึงวันทำงาน และกลายเป็นที่ถูกลืมในที่สุด ก่อนหรือหลังวันหยุดยาว: ช่วงนี้ HR มักมีอีเมลเป็นจำนวนมาก ก็จะทำให้อีเมลของเราลงไปกองอยู่ด้านล่างเช่นกัน เคล็ดลับการส่ง Resume ให้เด่นกว่าผู้สมัครรายอื่น ๆ ส่งในช่วงเวลาทำงาน: เวลาที่ดีที่สุดคือช่วงเช้า (8:00-10:00) เพราะเป็นช่วงที่ HR เปิดคอมเข้ามาเช็กอีเมล เวลานี้ก็จะช่วยให้ HR เห็นอีเมลและเข้าไปอยู่ในใจ HR ง่ายที่สุด เลือกวันต้นสัปดาห์: วันจันทร์ถึงศุกร์มักเป็นช่วงที่ HR วางแผนงาน ทำให้ Resume ของคุณมีโอกาสถูกพิจารณาสูง เขียนหัวข้ออีเมลให้ชัดเจน: เช่น “สมัครงานตำแหน่ง [ชื่อตำแหน่ง] - [ชื่อ]” เพื่อช่วยให้ HR เข้าใจจุดประสงค์ทันที ว่านี่คืออีเมลสมัครงานนะ ส่งทันทีที่พบประกาศงาน: การส่งเร็วแสดงถึงความสนใจในตำแหน่งนั้นอย่างจริงจัง การส่ง Resume ที่ดีควรเลือกส่งในช่วงเวลาทำงานช่วงเช้า (8:00-10:00) เพื่อให้ HR มีโอกาสเห็นอีเมลมากที่สุด หลีกเลี่ยงการส่งในวันหยุดหรือช่วงเวลาที่ HR ไม่สะดวก การเลือกเวลาส่งที่เหมาะสมไม่ได้ยาก แต่เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้ Resume ถูกพิจารณาได้อย่างง่ายดาย แต่นอกจากนั้นเราก็ยังสามารถหางานดี ๆ ได้ที่ Jobcadu ได้อีกด้วย เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้งานในฝัน เพราะเรารวบรวมงานดี ๆ ไว้เพียบ ที่นี่ Jobcadu

    ส่ง resume
    ส่ง resume ตอนไหนดี
    ส่งอีเมลสมัครงานตอนไหนดี
    Nov 16, 2024
    1 min
    Thumbnail for เขียน CV ยังไงให้โดดเด่น: เคล็ดลับการมัดใจ HR หยิบเราเข้า Shortlist
    Resume & Portfolio

    เขียน CV ยังไงให้โดดเด่น: เคล็ดลับการมัดใจ HR หยิบเราเข้า Shortlist

    การเขียน CV (Curriculum Vitae) ที่ดีเป็นขั้นตอนแรกของการสมัครงานที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นสิ่งที่ HR จะพิจารณาเป็นลำดับแรก หาก CV ของตัวเราไม่โดดเด่นพอ ก็อาจพลาดโอกาสในการเข้าสู่การสัมภาษณ์ และการเข้าทำงาน ดังนั้น การเขียน CV ที่ดีจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทุก ๆ คนเลย CV คืออะไร ทำไมต้องเขียนให้ดี CV หรือ Curriculum Vitae คือเอกสารที่แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับประสบการณ์การทำงาน การศึกษา และทักษะของผู้สมัคร โดยทั่วไปใช้เพื่อแสดงให้ผู้ว่าจ้างเห็นว่าเราเหมาะสมกับตำแหน่งงานอย่างไร และมีศักยภาพเพียงพอหรือไม่ ทำไมต้องเขียน CV ให้ดี สร้างความประทับใจแรก: CV ที่ดีช่วยดึงดูดความสนใจของ HR ได้ทันที แสดงความเป็นมืออาชีพ: CV ที่มีโครงสร้างชัดเจนและเนื้อหาสมบูรณ์แบบจะสะท้อนถึงความใส่ใจในรายละเอียดและความรอบคอบ เพิ่มโอกาสเข้ารอบ Shortlist: CV ที่ชัดเจนและตรงประเด็นช่วยให้ HR เข้าใจว่าเรามีคุณสมบัติตรงตามที่พวกเขามองหาอยู่ 5 ประเภทของ CV Chronological CV - รูปแบบที่ได้รับความนิยมที่สุด แสดงประสบการณ์การทำงานเรียงตามลำดับเวลา เริ่มจากตำแหน่งล่าสุด Functional CV - เหมาะสำหรับผู้ที่มีทักษะมากมาย เหมาะกับคนที่มีความสามารถหลายอย่าง Combined CV - ผสมผสานระหว่าง Chronological และ Functional เหมาะกับคนที่มีประสบการณ์ทำงานและทักษะการทำงานที่สูง Creative CV - ใช้การออกแบบที่โดดเด่นและน่าสนใจ เหมาะสำหรับสายงานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์ เช่น การออกแบบกราฟิก หรือ Art Director Academic CV - สำหรับผู้สมัครในสายการศึกษาและวิจัย เน้นที่การศึกษา ผลงานวิจัย และสิ่งพิมพ์ทางวิชาการ การเขียน CV ที่ดี ต้องมีส่วนประกอบสำคัญอะไรบ้าง ข้อมูลส่วนตัว (Personal Information) เช่น ชื่อ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล และลิงก์ LinkedIn โปรไฟล์ส่วนตัว (Personal Profile) บทสรุปสั้น ๆ เกี่ยวกับตัวเองและเป้าหมายในการทำงาน ประสบการณ์การทำงาน (Work Experience) ระบุหน้าที่ ความสำเร็จ และผลลัพธ์ที่วัดได้ การศึกษา (Education) บอกระดับการศึกษา ทักษะ (Skills) ระบุทักษะที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่สมัคร ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นด้าน Soft skills หรือ Hard skills ซึ่งจะสื่อถึงศักยภาพของเรา รวมถึงคะแนนการสอบวัดระดับภาษาก็ได้เช่นกัน อ้างอิง (References) เพิ่มชื่อบุคคลที่สามารถยืนยันข้อมูลของเราได้ รวมถึงสอบถามถึงพฤติกรรมในการทำงานของเรา หลาย ๆ จุดที่ทุกคนชอบผิดเวลาเขียน CV สะกดคำผิด - แทบทุกสายงานจะสังเกตส่วนน้ ซึ่งเป็นหนึ่งในความละเอียดในการทำงาน และดูความเป็นมืออาชีพ ใช้รูปแบบไม่เหมาะสม - ฟอนต์ไม่สม่ำเสมอ หรือการจัดหน้าไม่เรียบร้อย รวมถึงเทมเพลตที่ไม่เหมาะกับสายงาน ข้อมูลล้าสมัย - ระบุข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่สมัคร หรือลืมเปลี่ยนอีเมล์ให้ตรงกับตามตำแหน่งที่สมัคร หรือเบอร์โทรที่ติดต่อไม่ได้ อีเมล์ที่ไม่ได้อัปเดต เป็นตัน ยาวเกินไป - CV ควรมีความยาวที่เพียงพอ หากสั้นนิดเดียว ก็อาจจะทำให้ HR ไม่รู้ว่าเราทำอะไรมาบ้าง Keyword ไม่เพียงพอ - การที่มี Keyword หรือคำหลักกระจายตัวอย่างพอดีใน CV จะช่วยให้เห็นว่าเราเข้าเอาใจใส่ในการเขียนเป็นอย่างดี แต่ถ้า cv ของใครที่ยังไม่แม่นพอ เราก็มี Tools ที่ใช้ AI ประเมินและวิเคราะห์ให้ CV หรือ Resume ของเรานั้นมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น คลิกเลย >>> Resume Builder แล้วเมื่อไหร่ที่เราจะเลือกใช้ CV หรือ Resume การเลือกใช้ CV หรือ Resume ขึ้นอยู่กับประเภทของงานและความต้องการขององค์กร โดย CV มักจะใช้ในการสมัครงาน การเรียนต่อ ในอาชีพที่ต้องการรายละเอียดครบถ้วน เช่น งานวิจัย หรือ Specialist ต่าง ๆ ในขณะที่ Resume จะใช้ในงานที่ต้องการข้อมูลที่กระชับและตรงกับตำแหน่งที่สมัครมากกว่า และยังโชว์ความเป็นตัวของตัวเองด้วยการเลือกเทมเพลตตามสายงาน ทั้งนี้ทั้งสองไม่สามารถใช้ทดแทนกันได้เต็มที่ เนื่องจากแต่ละแบบมีลักษณะและการใช้งานที่แตกต่างกันนั่นเอง การเขียน CV เป็นศิลปะที่ต้องอาศัยทั้งความคิดสร้างสรรค์และความรอบคอบ การเลือกประเภท CV ที่เหมาะสม การใส่เนื้อหาให้กระชับ และหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่พบบ่อย จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้ารอบ Shortlist และทำให้เราโดดเด่นในสายตา HR และเพิ่มโอกาสในการได้งานอีกด้วย

    CV vs Resume
    เขียน CV ยังไงดี
    cv คืออะไร
    Nov 15, 2024
    1 min
    Thumbnail for ส่อง Resume & Portfolio เด็กฝึกงานนิเทศ ฉบับมือโปร!
    Resume & Portfolio

    ส่อง Resume & Portfolio เด็กฝึกงานนิเทศ ฉบับมือโปร!

    👩🏻‍💻 เปิด Resume & Portfolio เด็กฝึกงานสายนิเทศ ในคลิปนี้มีการแบ่งปัน Resume และ Portfolio ที่ใช้จริงสำหรับการสมัครฝึกงานในสายงานสื่อสารมวลชน โดยเริ่มจากการแนะนำขั้นตอนการทำ Resume และ Portfolio อย่างละเอียด และมีคำแนะนำเพิ่มเติมให้สามารถปรับใช้ได้ 📝 การทำ Resume 1.รูปถ่าย: ควรเลือกรูปที่สุภาพ เช่น รูปในชุดนักศึกษา หรือรูปที่ดูเป็นทางการ เพื่อให้สอดคล้องกับการสมัครงาน 2.ข้อมูลติดต่อ (Contact): ควรระบุที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล และข้อมูลที่จำเป็นอื่น ๆ ในการติดต่อ 3.Soft Skills: ควรใส่ทักษะสำคัญ เช่น มนุษยสัมพันธ์ดี การปรับตัว การเรียนรู้เร็ว ความอดทน และความมุ่งมั่นในการทำงาน โดยเลือกทักษะที่สะท้อนตัวตนและตรงกับตำแหน่งที่สมัคร 4.ความสนใจ (Interest): เขียนถึงความสนใจในละคร ซีรีส์ ภาพยนตร์ และการมีส่วนร่วมในงานถ่ายทำ ซึ่งเกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่สมัคร 5.ทักษะ (Skills): ใช้แผนภาพแสดงทักษะด้านโปรแกรม เช่น Photoshop, Illustrator, Premiere Pro โดยระบุระดับความเชี่ยวชาญในแต่ละโปรแกรม 6.ประวัติการศึกษา (Education Background): ระบุประวัติการศึกษาจากปัจจุบันย้อนกลับไปถึงอดีต เช่น สาขานิเทศศาสตร์จากมหาวิทยาลัยศิลปากร 7.ทัศนคติ (Attitude): ระบุความตั้งใจในการฝึกงาน เช่น การสมัครในตำแหน่ง Assistant Director เนื่องจากอยากเรียนรู้กระบวนการทำงานและพัฒนาศักยภาพในการเล่าเรื่อง 💼 การทำ Portfolio 1. ข้อมูลส่วนตัว: ใส่ข้อมูลทั่วไป เช่น ชื่อเล่น วันเดือนปีเกิด สัญชาติ ศาสนา ประวัติการศึกษา และข้อมูลติดต่อเหมือนใน Resume 2.โครงสร้างผลงาน: แต่ละผลงานจะระบุชื่อผลงาน ตำแหน่งที่ทำ รายวิชาที่เกี่ยวข้อง และอธิบายความคิดและวิธีการทำงาน เช่น การทำมิวสิควิดีโอที่ได้รับยอดวิวสูงถึง 57,000 ครั้งใน YouTube 3.การเรียงลำดับผลงาน: แนะนำให้จัดเรียงผลงานโดยนำผลงานที่ดีที่สุดหรือเกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่สมัครไว้ด้านบน 4.ภาพบรรยากาศการทำงาน: ควรเก็บภาพถ่ายระหว่างการทำงาน เช่น ขณะออกกองถ่าย หรือทำงานร่วมกับทีม เพื่อเพิ่มความน่าสนใจ 5.การใส่รายละเอียดในผลงาน: ควรเขียนรายละเอียดในแต่ละผลงาน เช่น ตำแหน่งที่ทำ ชื่อผลงาน รายวิชา และโจทย์ที่ได้รับ รวมถึงความคิดเห็นส่วนตัวในการสร้างผลงานนั้น ๆ 🌟 ข้อแนะนำเพิ่มเติม ควรใส่เฉพาะผลงานที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่สมัคร เพื่อแสดงถึงความเชี่ยวชาญในด้านที่บริษัทสนใจ สำหรับคนที่มีทักษะการตัดต่อหรือทำกราฟิก แนะนำให้ทำ Portfolio ในรูปแบบเว็บไซต์ เพื่อให้สามารถคลิกเข้าไปดูผลงานได้ง่ายและสะดวก ควรใส่ภาพรวมของการทำงานใน Portfolio เพื่อให้เห็นถึงบรรยากาศการทำงานจริง เช่น รูปถ่ายตอนทำงานในกองถ่าย หรือขณะปรึกษางานกับทีม

    การเขียนเรซูเม่
    Resume Tips
    Resume
    Oct 18, 2024
    1 min
    Thumbnail for 6 เคล็ดลับเด็ด เตรียมตัวให้ปังก่อนไปงาน Job Fair
    Resume & Portfolio

    6 เคล็ดลับเด็ด เตรียมตัวให้ปังก่อนไปงาน Job Fair

    การเข้าร่วม job fair เป็นโอกาสพิเศษในการสร้างเครือข่ายและค้นหาโอกาสการจ้างงานที่เหมาะสมกับคุณ หากคุณมีการเตรียมตัวที่ดีและปฏิบัติอย่างถูกต้อง คุณสามารถเปลี่ยนการสนทนาสั้น ๆ เหล่านั้นให้กลายเป็นข้อเสนองานที่แท้จริงได้ บทความนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก Mandy Liu ซึ่งแนะนำ 7 กลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จใน job fair ครั้งต่อไปของคุณ Job Fair คืออะไร? Job fair (อ่านว่า จ๊อบแฟร์) คือ งานที่เปิดโอกาสให้ผู้หางานได้พบกับบริษัทต่าง ๆ ที่กำลังมองหาพนักงานใหม่ ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างความประทับใจแรกและสร้างเครือข่ายที่มีประโยชน์ รวมถึงสำรวจโอกาสงานที่เปิดรับ Job fair ต่างจาก Career Fair ไหม? Job fair และ career fair มีความคล้ายคลึงกันในแง่ของการจัดงานเพื่อให้ผู้หางานได้พบปะกับผู้ว่าจ้าง แต่มีความแตกต่างเล็กน้อยในจุดประสงค์และรูปแบบ: 1. Job Fair (งานสมัครงาน): มุ่งเน้นไปที่การหาผู้สมัครงานในตำแหน่งที่บริษัทต้องการเปิดรับโดยตรง ผู้เข้าร่วมงานจะสามารถสมัครงานได้ทันที และบางครั้งอาจมีการสัมภาษณ์หรือการทดสอบในวันนั้นเลย เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังหางานทันทีและต้องการทราบตำแหน่งที่ว่างในตลาดงานปัจจุบัน มักเป็นงานที่โฟกัสไปที่การว่าจ้างในระยะสั้น 2. Career Fair (งานแนะแนวอาชีพ): เน้นไปที่การให้ข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทางอาชีพและการสร้างเครือข่าย ผู้เข้าร่วมสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับโอกาสในการทำงานในระยะยาว พูดคุยกับผู้ว่าจ้างเกี่ยวกับวัฒนธรรมองค์กร และสำรวจเส้นทางอาชีพที่ต้องการ เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจสร้างเส้นทางอาชีพในระยะยาว หรือนักเรียน นักศึกษาที่ต้องการรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาชีพที่เหมาะสมกับตัวเอง อาจจะไม่ได้มุ่งเน้นการจ้างงานทันทีเหมือน job fair คุณควรเตรียมคำถามที่สงสัย อาจเตรียมเรซูเม่หากสนใจอยากฝึกงานเพื่อหาประสบการณ์ 3 ไฮไลท์สำคัญทำไม Job fair ถึงดีต่อผู้ว่าจ้างที่คุณต้องรู้! 🌟 Job Fair ช่วยประหยัดเวลา: ในงานเดียวที่รวมผู้จ้างงานหลายบริษัท ทำให้มีผู้สมัครจำนวนมากที่ต้องการได้งานอย่างแท้จริงทำให้สามารถพบปะกันได้ในวันเดียว 🤝 ประเมินผู้สมัครจากบุคลิกภาพ: โอกาสที่ดีสำหรับผู้ว่าจ้างในการประเมินบุคลิกภาพ ทักษะทางการสื่อสารให้กับผู้จ้างงาน 🎯 โปรโมทวัฒนธรรมองค์กร: โอกาสที่บริษัทจะได้พูดคุยกับผู้สมัครเพื่อโปรโมท วัฒนธรรมการทำงาน และบรรยากาศของบริษัท ช่วยให้คุณเข้าใจมากขึ้นว่างานและองค์กรนั้น ๆ เหมาะกับคุณหรือไม่ ก่อนเข้าร่วมงาน: การเตรียมตัวล่วงหน้า 1. ศึกษาข้อมูลบริษัทเป้าหมายล่วงหน้า การทำการบ้านเกี่ยวกับบริษัทที่คุณสนใจคือกุญแจสู่ความสำเร็จ พยายามค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ: ตำแหน่งที่บริษัทนั้นกำลังเปิดรับสมัคร ผลิตภัณฑ์ บริการและคุณค่าของบริษัทคืออะไร ข่าวหรืออัปเดตล่าสุดเกี่ยวกับบริษัท ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถพูดคุยกับตัวแทนบริษัทได้อย่างมั่นใจและตรงประเด็นมากขึ้น 2. พิมพ์เรซูเม่ในรูปแบบกระดาษ 10-15 ชุด แม้ว่าเราจะอยู่ในยุคดิจิทัล การยื่นเรซูเม่ในรูปแบบกระดาษใน job fair ยังคงสร้างความประทับใจได้ดี แนะนำให้พิมพ์เรซูเม่มากกว่าจำนวนบริษัทที่คุณสนใจเล็กน้อย เพื่อให้เพียงพอสำหรับทุกบริษัทและโอกาสที่ไม่คาดคิด 3. เตรียมบทแนะนำตัว 15 วินาที ที่ทรงพลัง คุณมีเวลาเพียงไม่กี่วินาทีในการสร้างความสนใจให้กับผู้ว่าจ้าง นอกจากแค่ยื่นเรซูเม่ การเตรียมบทแนะนำตัวสั้น ๆ ภายใน 15 วินาทีที่น่าจดจำจึงเป็นสิ่งสำคัญ บทแนะนำตัวนี้ควรเน้นจุดแข็งและทักษะของคุณที่ตรงกับความต้องการของบริษัท พูดให้กระชับ แสดงความมั่นใจ อย่าลืมยิ้ม ผู้ว่าจ้างมักพบกับอาการล้า การสร้างความเป็นมิตรสามารถเพิ่มคะแนนด้านมนุษยสัมพันธ์ ในระหว่างงาน: วิธีสร้างความโดดเด่น 4. ติดป้ายชื่อที่ด้านขวา การติดป้ายชื่อที่ด้านขวาของร่างกายเมื่อกล่าวทักทาย หรือเดินเข้าไปหา จะทำให้ผู้ว่าจ้างเห็นชื่อของคุณชัดเจน ทำให้ผู้ว่าจ้างจำเราได้มากขึ้น 5. เน้นที่ความต้องการของบริษัท การพูดคุยควรเน้นไปที่ความต้องการของบริษัท ไม่ใช่แค่ทักษะของคุณเท่านั้น ถามพวกเขาว่าต้องการพนักงานไปช่วยทำอะไร แล้วนำเสนอประสบการณ์ของคุณในลักษณะที่สามารถแก้ปัญหาและช่วยเติมเต็มความต้องการเหล่านั้นได้ 6. ถามคำถามที่เฉพาะเจาะจงและมีคุณค่า แทนที่จะถามคำถามทั่วไป เช่น "วันทำงานของคุณเป็นอย่างไร" ให้ลองถามคำถามที่ลงลึกและมีคุณค่า เช่น: ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดในตำแหน่งนี้คืออะไร? คุณทำงานร่วมกับทีมอื่น ๆ อย่างไร? สามารถพูดคุยเพื่อสร้าง Rapport หากที่บูทหรือผู้ว่าจ้างไม่วุ่นวาย คนไม่เยอะ คำถามเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าคุณใส่ใจและมีความสนใจที่แท้จริง ซึ่งอาจนำไปสู่การสนทนาที่มีความหมายยิ่งขึ้น หลังงาน: ติดตามผลอย่างมืออาชีพ 7. ส่งคำขอเชื่อมต่อ LinkedIn และอีเมลติดตาม หลังงาน job fair อย่าลืมติดตามผล ส่งคำขอ connect ใน LinkedIn โดยระบุถึงสิ่งที่คุณพูดคุยกันในการสนทนา กล่าวขอบคุณ หรือส่งอีเมลติดตามที่สรุปคุณสมบัติและความกระตือรือร้นของคุณต่อบริษัท ถึงแม้จะไม่ได้งานหรือโอกาสสัมภาษณ์ แต่การมีคอนเนคชั่นกับรีครูทเตอร์โดยตรงจะเพิ่มโอกาสของเราในอนาคต บทสรุป: วิธีใช้ประโยชน์จาก Job Fair การประสบความสำเร็จใน job fair ไม่ได้อยู่แค่การไปงาน แต่เกี่ยวกับการเตรียมตัวล่วงหน้า การสร้างความประทับใจที่ดี และการติดตามผลอย่างมืออาชีพ การปฏิบัติตามเคล็ดลับเหล่านี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้งานและสัมภาษณ์ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Job Fairs 1. ควรนำอะไรไปที่ จ๊อบแฟร์? ควรนำเรซูเม่สำเนาหลายชุด ปากกา และสมุดจด เพื่อเก็บข้อมูลที่สำคัญจากงาน 2. จะเตรียมตัวสำหรับ จ๊อบแฟร์ อย่างไร? ศึกษาข้อมูลบริษัทที่คุณสนใจ เตรียมบทแนะนำตัวที่สั้นและดึงดูด และฝึกซ้อมการแนะนำตัวเพื่อสร้างความประทับใจแรก อาจรวมถึงการเตรียมสัมภาษณ์เฉพาะหน้า หากรีครูทเตอร์อยากพูดคุยในรายละเอียด ณ งาน 3. จะติดตามผลหลัง จ๊อบแฟร์ อย่างไร? ส่งคำขอเชื่อมต่อใน LinkedIn หรืออีเมลติดตามที่เจาะจงและอ้างถึงการสนทนาของคุณในงาน 4. จ๊อบแฟร์ จัดที่ไหน? ส่วนใหญ่จัดที่กรุงเทพและหัวเมืองใหญ่ โดยมักจะจัดใน Hall ประชุมขนาดใหญ่ แต่หากกลุ่มเป้าหมายเป็นนักศึกษา มักจะจัดในตัวมหาวิทยาลัย 5. จะติดตาม จ๊อบแฟร์ ได้ที่ไหน? ติดตามเพจ career ของบริษัทที่คุณสนใจ โดยเฉพาะบน Linkedin รวมถึง Jobcadu เนื่องจากจะทำให้อัลกอริทึมจำความต้องการของคุณ หากผู้ว่าจ้างยิงโฆษณา คุณจะเป็นคนแรก ๆ ที่เห็นโปสเตอร์แน่นอน 6. บริษัทที่มักเข้าร่วม จ๊อบแฟร์? ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ มีชื่อเสียง มีความมั่นคง เช่น SCG PTT CP บริษัทขนาดกลาง บริษัทเทคอาจเข้าร่วมในบางครั้ง สำหรับงานประเภทโรงงานและโรงแรม มักจะมีงานเฉพาะที่ต้องคอยติดตาม

    job fair คือ
    career fair
    job fair
    Oct 1, 2024
    1 min