Logo
  • Pro Profile
  • Jobs
  • Career
    Career PathwayGrowthEducationInspirationPersonality
    Jobs & IndustriesJob SearchResume & PortfolioSalaryWell-being
  • Education
    Online CoursesMasters Programs
  • Resume Builder
  • Corporate Users



  • Jobcadu Logo

    Best career platform for job search, recruitment, career assessment & education

    20,000+

    Jobs

    Jobs Functions

    Administration & Office

    Marketing

    Customer Service

    Information Technology (IT)

    Accounting & Finance

    Human Resources & People

    Production & Supply Chain

    Engineering

    For Job Seekers

    Jobs

    Resume Builder

    Education Resources

    Resume Resources

    For Corporate Users

    Post Jobs

    Pricing

    Resources

    About Us

    Terms of Use

    Privacy Policy


    © 2025 Jobcadu. All rights reserved

    Career Path คืออะไร ทำไมในการทำงานทุกคนต้องให้ความสำคัญ

    Wellbeing
    1. Home

    2. Careers

    3. Career Path คืออะไร ทำไมในการทำงานทุกคนต้องให้ความสำคัญ

    Career Path คืออะไร ทำไมในการทำงานทุกคนต้องให้ความสำคัญ

    Posted February 3, 2025

    Career

    career path
    เส้นทางอาชีพ
    Career Path คืออะไร ทำไมในการทำงานทุกคนต้องให้ความสำคัญ

    Career Path คือเส้นทางการเติบโตในสายอาชีพของเรา ซึ่งหมายถึงลำดับขั้นของตำแหน่งงานที่สามารถพัฒนาไปได้ในอนาคต การมี Career Path ที่ชัดเจนช่วยให้เรารู้ทิศทางการเติบโตของตัวเอง และสามารถพัฒนาทักษะที่จำเป็นเพื่อก้าวไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นได้อย่างมีเป้าหมายได้อีกด้วย

    Career Path มีกี่แบบ

    Career Path สามารถแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับลักษณะงานและอุตสาหกรรมที่เราอยู่ โดยทั่วไปแบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้:

    Vertical Career Path (เส้นทางแนวดิ่ง)

    • เป็นการเติบโตในสายอาชีพเดิม โดยเลื่อนตำแหน่งขึ้นไปเรื่อย ๆ เช่น จากเจ้าหน้าที่ → หัวหน้า → ผู้จัดการ → ผู้บริหาร

    Horizontal Career Path (เส้นทางแนวขวาง)

    • เป็นการเปลี่ยนไปทำงานในตำแหน่งที่แตกต่างกันภายในองค์กรหรืออุตสาหกรรมเดียวกัน เช่น จากฝ่ายการตลาดไปฝ่ายพัฒนาธุรกิจ

    Diagonal Career Path (เส้นทางแนวทแยง)

    • เป็นการเติบโตที่รวมทั้งการเปลี่ยนสายงานและการเลื่อนตำแหน่ง เช่น การย้ายจากสายงาน HR ไปเป็นผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ

    ยกตัวอย่าง Career Path

    เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ลองดูตัวอย่าง Career Path ของสายงานต่าง ๆ:

    สายงานไอที (IT Career Path) - Junior Developer → Senior Developer → Tech Lead → CTO

    สายงานการตลาด (Marketing Career Path) - Marketing Executive → Senior Marketing Executive → Marketing Manager → Marketing Director >>> รวม 10 อาชีพการตลาดเงินเดือนสูง

    สายงานทรัพยากรบุคคล (HR Career Path) - HR Officer → HR Supervisor → HR Manager → HR Director

    การออกแบบเส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง

    การวางแผน Career Path ที่มีประสิทธิภาพต้องคำนึงถึงปัจจัยสำคัญดังต่อไปนี้:

    1. เป้าหมายระยะสั้นและระยะยาว – เราต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าต้องการไปถึงจุดไหนภายในระยะเวลาเท่าใด

    2. ทักษะและความสามารถที่จำเป็น – ต้องวิเคราะห์ว่าตำแหน่งงานในอนาคตต้องการทักษะอะไร และพัฒนาให้เหมาะสม

    3. โอกาสในตลาดแรงงาน – ศึกษาว่าตลาดงานปัจจุบันและอนาคตมีแนวโน้มอย่างไร เพื่อเลือก Career Path ที่มีโอกาสเติบโต

    4. การเรียนรู้และพัฒนา – วางแผนเรียนรู้เพิ่มเติม เช่น อบรมหลักสูตรเฉพาะทาง หรือศึกษาต่อเพื่อเพิ่มศักยภาพ

    5. ความสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว – ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัว เพื่อไม่ให้เกิดภาวะเครียดหรือหมดไฟ

    6. การสร้างเครือข่ายทางอาชีพ – การมีคอนเนคชั่นที่ดีในสายงานช่วยเปิดโอกาสใหม่ ๆ ในอนาคต

    7. การปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลง – เทคโนโลยีและตลาดงานเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราต้องเรียนรู้และพัฒนาให้ทันสมัยเสมอ

    ทำไม Career Path ถึงสำคัญในการทำงาน

    1. ช่วยให้มีเป้าหมายที่ชัดเจน – เรารู้ว่าควรพัฒนาทักษะอะไรเพื่อไปให้ถึงตำแหน่งที่ต้องการ

    2. สร้างแรงจูงใจในการทำงาน – เมื่อมีเป้าหมายที่แน่นอน เราจะมีความกระตือรือร้นมากขึ้น

    3. ช่วยในการวางแผนพัฒนาตนเอง – เราสามารถเลือกอบรมหรือเรียนรู้ทักษะที่จำเป็นล่วงหน้า

    4. เพิ่มโอกาสในการเติบโต – องค์กรให้ความสำคัญกับพนักงานที่มีแนวทางการพัฒนาอาชีพที่ชัดเจน

    5. ทำให้การตัดสินใจในการเปลี่ยนงานง่ายขึ้น – หากต้องการย้ายงาน การมี Career Path ที่ชัดเจนจะช่วยให้เลือกตำแหน่งที่เหมาะสมได้ง่ายขึ้น

    6. ลดความเสี่ยงในการทำงานที่ไม่มีความก้าวหน้า – การมีแผนที่ดีช่วยลดโอกาสที่เราจะติดอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เติบโต

    ตอบยังไงเมื่อถูกถามว่า Career Path ของคุณคืออะไร?

    เมื่อต้องตอบคำถามนี้ ควรแสดงให้เห็นว่าคุณมีเป้าหมายชัดเจน เช่น

    "ในช่วง 2–3 ปีข้างหน้า ผมตั้งเป้าเรียนรู้ทักษะด้าน [ทักษะเฉพาะ] ให้ลึกขึ้น และเติบโตไปในตำแหน่ง [ชื่อตำแหน่งเป้าหมาย] เพราะเป็นสายงานที่ผมสนใจและมีโอกาสสร้างผลลัพธ์ให้กับองค์กร"

    หากยังไม่แน่ใจ ให้เน้นว่าเปิดรับการเรียนรู้และต้องการค้นหาเส้นทางที่ใช่ร่วมกับองค์กร

    Career Path มีประโยชน์อย่างไรต่อพนักงาน?

    1. มีเป้าหมายชัดเจน – ทำให้พนักงานรู้ว่าควรพัฒนาอะไรเพื่อเติบโตในสายงาน

    2. สร้างแรงจูงใจในการทำงาน – เพราะรู้ว่าความพยายามในวันนี้จะนำไปสู่ตำแหน่งที่ต้องการ

    3. ลดการลาออก – พนักงานที่เห็นอนาคตในองค์กร มักจะมีความผูกพันมากขึ้น

    4. พัฒนาอย่างต่อเนื่อง – เส้นทางอาชีพช่วยให้แต่ละคนตั้งเป้าเรียนรู้และขยับขึ้นในหน้าที่ได้อย่างมีระบบ

    การมี Career Path เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เรามีทิศทางในการทำงานที่ชัดเจนขึ้น และทำให้การเติบโตในสายอาชีพเป็นไปอย่างมีแบบแผน Jobcadu เข้าใจถึงความสำคัญของการวางแผนสายอาชีพ เราจึงมีทั้ง Jobสำหรับค้นหางานที่เหมาะสม บทความมากมายที่ช่วยแนะแนวทางการเติบโต และ Education Portal สำหรับพัฒนาทักษะเพื่อความก้าวหน้าในอาชีพ เข้ามาเริ่มต้นวางแผนเส้นทางอาชีพของตัวเองได้ที่ Jobcadu!


    Table of Contents

    No table of contents found for this career.


    Related Careers
    Thumbnail for ความลับของคนฉลาดที่สำคัญกว่า IQ : อยู่คนเดียวให้เป็น สมองจะพัฒนาแบบก้าวกระโดด
    Wellbeing

    ความลับของคนฉลาดที่สำคัญกว่า IQ : อยู่คนเดียวให้เป็น สมองจะพัฒนาแบบก้าวกระโดด

    “ความฉลาดที่แท้จริง ไม่ได้วัดจาก IQ แต่จากความสามารถในการอยู่กับตัวเอง” — Dr. Joseph Jebelli, นักประสาทวิทยา เมื่อพูดถึงความฉลาดและความสำเร็จ เรามักจะนึกถึงคะแนน IQ สูง การทำงานหนัก หรือการมีทักษะพิเศษ แต่นักประสาทวิทยาเผยว่า สิ่งที่อัจฉริยะทั่วโลกมีเหมือนกันคือ "ศิลปะแห่งการอยู่คนเดียว" ซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จมากกว่าที่เราคิด ทำไม ‘ความโดดเดี่ยว’ ถึงทำให้สมองเก่งขึ้น? นักประสาทวิทยา Dr. Joseph Jebelli เปิดเผยว่า ช่วงเวลาที่เราอยู่คนเดียวโดยไม่มีสิ่งรบกวน สมองจะเข้าสู่โหมดที่เรียกว่า “Default Mode Network” ซึ่งเป็นช่วงที่สมองไม่หยุดทำงาน แต่กลับ เชื่อมโยงข้อมูลเดิม สร้างความเข้าใจใหม่ และพัฒนาไอเดียสร้างสรรค์ได้ดีกว่าช่วงที่เรากำลังจดจ่อกับบางสิ่งโดยตรง “สมองไม่ได้พักเมื่อเราอยู่นิ่งๆ ตรงกันข้าม มันกำลังทำงานอย่างลึกซึ้งที่สุด” การเขียนหนังสือ เล่นดนตรี วาดภาพ สวดมนต์ เดินเล่น หรือแม้แต่การนั่งเฉยๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ เพราะมันช่วยให้เรา ‘ได้ยินเสียงข้างในตัวเอง’ วิทยาศาสตร์เบื้องหลังการอยู่คนเดียว สมองกำลังทำอะไรอยู่? จากมุมมองทางความรู้ความเข้าใจ การอยู่คนเดียวสามารถเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ โดยการให้พื้นที่ที่จำเป็นสำหรับไอเดียต่างๆ ในการเจริญเติบโต ไม่ว่าจะเป็นการเขียน การเล่นเปียโน การวาดภาพ การทำขนม การทำสวน การสวดมนต์ หรือการทำสมาธิ การอยู่คนเดียวมักเป็นสิ่งที่สมองต้องการเพื่อให้ทำกิจกรรมเหล่านี้ได้ดี ในช่วงเวลาของการแยกตัว Default Network ของสมองจะทำงานอย่างขยันขันแข็งในการสร้างการเชื่อมต่อทางประสาทใหม่ๆ เสริมสร้างทักษะและความสามารถในการดูดซับข้อมูลใหม่ และบำรุงเลี้ยงความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น Default Network คือระบบในสมองที่ทำงานเมื่อเราไม่ได้มุ่งความสนใจไปที่งานเฉพาะใดเฉพาะหนึ่ง เหมือนกับโหมด "พักผ่อน" ของสมอง แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันกำลังทำงานอย่างหนักในการจัดระเบียบความทรงจำ ประมวลผลข้อมูล และสร้างการเชื่อมโยงใหม่ๆ กระบวนการทางชีววิทยา เมื่อเราอยู่คนเดียวและปล่อยให้จิตใจผ่อนคลาย สมองจะเริ่มกระบวนการสำคัญหลายอย่าง ดังนี้: การสร้างเส้นประสาทใหม่ (Neuroplasticity) - สมองสร้างการเชื่อมต่อใหม่ระหว่างเซลล์ประสาท ทำให้เกิดการเรียนรู้และความจำที่ดีขึ้น การรีเซ็ตระบบสารเคมี - ระดับ Cortisol (ฮอร์โมนความเครียด) จะลดลง ในขณะที่สารเคมีที่ช่วยให้รู้สึกดี เช่น Serotonin และ Dopamine จะเพิ่มขึ้น การประมวลผลอารมณ์ - สมองได้เวลาในการประมวลผลประสบการณ์และอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต ทำให้เข้าใจตัวเองมากขึ้น การเสริมสร้างความจำ - กระบวนการ Consolidation ทำให้ความรู้และประสบการณ์ต่างๆ ถูกจัดเก็บในหน่วยความจำระยะยาวได้ดีขึ้น อัจฉริยะที่รักการอยู่คนเดียว 1.Bill Gates และ "Think Week" หนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่นที่สุดคือ บิล เกตส์ ผู้ก่อตั้ง Microsoft ในช่วงแรกๆ ของบริษัท เขาจะมีพิธีกรรมพิเศษที่เรียกว่า "Think Week" สองครั้งต่อปี เขาจะหนีไปอยู่กระท่อมเล็กๆ นานหนึ่งสัปดาห์ พร้อมกับกองหนังสือเป็นเพื่อนเท่านั้น ไม่มีผู้เยี่ยมจากภายนอก ไม่มีครอบครัว ไม่มีพนักงาน ไม่มีการประชุม ไม่มีอีเมล นี่คือช่วงเวลาสำหรับการไตร่ตรอง การเรียนรู้ และการคิดอย่างไม่มีสิ่งใดมารบกวน ตามรายงานของ The Wall Street Journal งานที่เขาทำในช่วง Think Week หนึ่งครั้งนำไปสู่การเปิดตัว Internet Explorer ในปี 1995 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์อินเทอร์เน็ต 2.Leonardo da Vinci และศิลปะแห่งการสังเกต ลีโอนาร์โด ดาวินชี อัจฉริยะแห่งยุคเรเนสซองส์ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของคนที่ใช้การอยู่คนเดียวในการสร้างสรรค์ผลงาน เขาใช้เวลาเป็นชั่วโมงในการสังเกตธรรมชาติ วาดภาพ เขียนบันทึก และคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ผลงานที่ยิ่งใหญ่ของเขา ไม่ว่าจะเป็น Mona Lisa, The Last Supper หรือแม้แต่การออกแบบเครื่องบินและรถถัง ล้วนเกิดจากช่วงเวลาที่เขาอยู่คนเดียวกับความคิดของตัวเอง ตัวอย่างอื่นๆ ในประวัติศาสตร์ Albert Einstein ใช้เวลาเดินเล่นคนเดียวเป็นชั่วโมงเพื่อคิดเกี่ยวกับทฤษฎีต่างๆ J.K. Rowling เขียน Harry Potter ในช่วงที่เธออยู่คนเดียวในร้านกาแฟ Steve Jobs มีนิสัยเดินเล่นคนเดียวเพื่อคิดหาแนวทางใหม่ๆ Warren Buffett ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการอ่านและคิดวิเคราะห์คนเดียว ประโยชน์ของการอยู่คนเดียวต่อสมองและจิตใจ 1. การเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ เมื่อเราอยู่คนเดียวและไม่มีสิ่งรบกวน สมองจะเข้าสู่โหมดที่เรียกว่า "Divergent Thinking" ซึ่งเป็นการคิดแบบกระจาย ทำให้เกิดไอเดียใหม่ๆ ที่ไม่เคยนึกถึงมาก่อน การวิจัยพบว่า คนที่ใช้เวลาอยู่คนเดียวอย่างสม่ำเสมอจะมีคะแนนการทดสอบความคิดสร้างสรรค์สูงกว่าคนที่อยู่ในกลุ่มตลอดเวลา 2. การลดความเครียดและความวิตกกังวล การอยู่คนเดียวช่วยลดระดับ Cortisol ฮอร์โมนความเครียดในร่างกาย เมื่อความเครียดลดลง ระบบภูมิคุ้มกันจะทำงานได้ดีขึ้น การนอนหลับจะมีคุณภาพมากขึ้น และสุขภาพจิตโดยรวมจะดีขึ้น 3. การเพิ่มความเข้าใจตนเอง ในช่วงที่อยู่คนเดียว เราจะได้โอกาสส่องดูภายในใจตัวเอง ทำความเข้าใจกับความรู้สึก ความต้องการ และเป้าหมายที่แท้จริง นี่คือสิ่งที่นักจิตวิทยาเรียกว่า "Self-Reflection" 4. การพัฒนาทักษะการแก้ปัญหา เมื่อไม่มีใครให้คำแนะนำหรือช่วยเหลือ เราจะต้องพึ่งพาตัวเองในการแก้ปัญหา ซึ่งช่วยพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และการตัดสินใจ 5. การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การใช้เวลาอยู่คนเดียวเปรียบเสมือนการ "รีชาร์จแบตเตอรี่" ของสมอง เมื่อกลับมาทำงานหรือเข้าสังคม เราจะมีพลังงานและสมาธิที่ดีกว่าเดิม วิธีใช้ ‘ความโดดเดี่ยว’ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แม้เราไม่จำเป็นต้องมี Think Week แบบบิล เกตส์ แต่เราก็สามารถออกแบบ “พื้นที่ว่าง” สำหรับสมองตัวเองได้เช่นกัน ต่อไปนี้คือเทคนิคง่ายๆ ที่จะช่วยคุณฝึกฝนการอยู่กับตัวเองให้ได้ผลจริง 1. วางแผนการเดินทางคนเดียว ลองไปคาเฟ่ที่ไม่เคยไป หรือจัดรีทรีตแบบไม่ใช้มือถือในวันหยุด การเปลี่ยนบรรยากาศช่วยให้สมองเปิดรับสิ่งใหม่และมีเวลาคิดลึกๆ 2. เริ่มจากวันละ 10 นาที เพียงหามุมเงียบๆ เพื่อหายใจ นั่งเฉยๆ หรือจดความคิดในสมุด ก็เพียงพอที่จะเริ่มกระบวนการพักสมอง 3. เลือกมนุษย์สัมพันธ์อย่างมีคุณภาพ อยู่กับคนที่ทำให้คุณได้ “เติมพลัง” เวลาที่ใช้กับคนที่คุณไม่สบายใจ อาจเพิ่มฮอร์โมนความเครียด (Cortisol) ซึ่งส่งผลเสียต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีจริงๆ 4. สะท้อนความคิดอย่างสม่ำเสมอ การเขียนไดอารี่หรือการนั่งทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น ช่วยให้เราจัดระเบียบอารมณ์ ความคิด และเห็นตนเองชัดเจนขึ้น 5. มีกิจกรรมลำพังที่ทำให้ ‘อยู่กับปัจจุบัน’ ไม่ว่าจะเป็นเดินเล่น วาดรูป จิบกาแฟ ฟังเพลง หรือทำโยคะ  กิจกรรมเหล่านี้ช่วยให้เราผ่อนคลาย และสมองกลับมาสมดุล ผลกระทบต่อการทำงานและความสำเร็จ 1.การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน พนักงานที่ได้มีเวลาอยู่คนเดียวอย่างเพียงพอมักจะมีประสิทธิภาพในการทำงานที่สูงกว่า พวกเขามีสมาธิดีกว่า คิดสร้างสรรค์มากกว่า และตัดสินใจได้ดีกว่า 2.ภาวะผู้นำที่ดีขึ้น ผู้นำที่ดีมักจะเป็นคนที่รู้จักใช้เวลาคนเดียวเพื่อคิดและวิเคราะห์สถานการณ์ พวกเขาไม่ตัดสินใจแบบหุนหันพลันแล่น แต่ให้เวลาตัวเองในการพิจารณาอย่างรอบคอบ 3.การสร้างนวัตกรรม นวัตกรรมส่วนใหญ่เกิดจากช่วงเวลาที่คนคิดค้นอยู่คนเดียว ไม่ว่าจะเป็นการอาบน้ำ การเดิน การนั่งทำสมาธิ หรือการอ่านหนังสือ อยากฉลาดขึ้น ลองเริ่มที่ ‘การอยู่นิ่งๆ’ บางที “การไม่ทำอะไรเลย” อาจเป็นสิ่งที่เราขาดไป และนั่นแหละคือ ‘ความฉลาดรูปแบบใหม่’ ที่ผู้คนเริ่มมองเห็นและกลับมาให้ความสำคัญ “อยู่คนเดียวให้เป็น พักให้พอ แล้วคุณจะคิดได้ไกลกว่าที่เคย” — Joseph Jebelli, The Brain at Rest และสำหรับใครที่สนใจบทความเกี่ยวกับการพัฒนาตัวเอง สกิลต่างๆ และศักยภาพในการทำงาน รวมถึงวิธีการต่างๆให้ทำงานและร่วมงานกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ติดตามพวกเรา Jobcadu เพื่อติดตามและรออ่านบทความอื่นๆในเนื้อหาเหล่านี้เพิ่มเติมได้ที่ Career Portal ได้เลย! Reference

    Aug 1, 2025
    5 min
    Thumbnail for ความลับของคนฉลาดที่สำคัญกว่า IQ : อยู่คนเดียวให้เป็น สมองจะพัฒนาแบบก้าวกระโดด
    Wellbeing

    ความลับของคนฉลาดที่สำคัญกว่า IQ : อยู่คนเดียวให้เป็น สมองจะพัฒนาแบบก้าวกระโดด

    “ความฉลาดที่แท้จริง ไม่ได้วัดจาก IQ แต่จากความสามารถในการอยู่กับตัวเอง” — Dr. Joseph Jebelli, นักประสาทวิทยา เมื่อพูดถึงความฉลาดและความสำเร็จ เรามักจะนึกถึงคะแนน IQ สูง การทำงานหนัก หรือการมีทักษะพิเศษ แต่นักประสาทวิทยาเผยว่า สิ่งที่อัจฉริยะทั่วโลกมีเหมือนกันคือ "ศิลปะแห่งการอยู่คนเดียว" ซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จมากกว่าที่เราคิด ทำไม ‘ความโดดเดี่ยว’ ถึงทำให้สมองเก่งขึ้น? นักประสาทวิทยา Dr. Joseph Jebelli เปิดเผยว่า ช่วงเวลาที่เราอยู่คนเดียวโดยไม่มีสิ่งรบกวน สมองจะเข้าสู่โหมดที่เรียกว่า “Default Mode Network” ซึ่งเป็นช่วงที่สมองไม่หยุดทำงาน แต่กลับ เชื่อมโยงข้อมูลเดิม สร้างความเข้าใจใหม่ และพัฒนาไอเดียสร้างสรรค์ได้ดีกว่าช่วงที่เรากำลังจดจ่อกับบางสิ่งโดยตรง “สมองไม่ได้พักเมื่อเราอยู่นิ่งๆ ตรงกันข้าม มันกำลังทำงานอย่างลึกซึ้งที่สุด” การเขียนหนังสือ เล่นดนตรี วาดภาพ สวดมนต์ เดินเล่น หรือแม้แต่การนั่งเฉยๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ เพราะมันช่วยให้เรา ‘ได้ยินเสียงข้างในตัวเอง’ วิทยาศาสตร์เบื้องหลังการอยู่คนเดียว สมองกำลังทำอะไรอยู่? จากมุมมองทางความรู้ความเข้าใจ การอยู่คนเดียวสามารถเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ โดยการให้พื้นที่ที่จำเป็นสำหรับไอเดียต่างๆ ในการเจริญเติบโต ไม่ว่าจะเป็นการเขียน การเล่นเปียโน การวาดภาพ การทำขนม การทำสวน การสวดมนต์ หรือการทำสมาธิ การอยู่คนเดียวมักเป็นสิ่งที่สมองต้องการเพื่อให้ทำกิจกรรมเหล่านี้ได้ดี ในช่วงเวลาของการแยกตัว Default Network ของสมองจะทำงานอย่างขยันขันแข็งในการสร้างการเชื่อมต่อทางประสาทใหม่ๆ เสริมสร้างทักษะและความสามารถในการดูดซับข้อมูลใหม่ และบำรุงเลี้ยงความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น Default Network คือระบบในสมองที่ทำงานเมื่อเราไม่ได้มุ่งความสนใจไปที่งานเฉพาะใดเฉพาะหนึ่ง เหมือนกับโหมด "พักผ่อน" ของสมอง แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันกำลังทำงานอย่างหนักในการจัดระเบียบความทรงจำ ประมวลผลข้อมูล และสร้างการเชื่อมโยงใหม่ๆ กระบวนการทางชีววิทยา เมื่อเราอยู่คนเดียวและปล่อยให้จิตใจผ่อนคลาย สมองจะเริ่มกระบวนการสำคัญหลายอย่าง ดังนี้: การสร้างเส้นประสาทใหม่ (Neuroplasticity) - สมองสร้างการเชื่อมต่อใหม่ระหว่างเซลล์ประสาท ทำให้เกิดการเรียนรู้และความจำที่ดีขึ้น การรีเซ็ตระบบสารเคมี - ระดับ Cortisol (ฮอร์โมนความเครียด) จะลดลง ในขณะที่สารเคมีที่ช่วยให้รู้สึกดี เช่น Serotonin และ Dopamine จะเพิ่มขึ้น การประมวลผลอารมณ์ - สมองได้เวลาในการประมวลผลประสบการณ์และอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต ทำให้เข้าใจตัวเองมากขึ้น การเสริมสร้างความจำ - กระบวนการ Consolidation ทำให้ความรู้และประสบการณ์ต่างๆ ถูกจัดเก็บในหน่วยความจำระยะยาวได้ดีขึ้น อัจฉริยะที่รักการอยู่คนเดียว 1.Bill Gates และ "Think Week" หนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่นที่สุดคือ บิล เกตส์ ผู้ก่อตั้ง Microsoft ในช่วงแรกๆ ของบริษัท เขาจะมีพิธีกรรมพิเศษที่เรียกว่า "Think Week" สองครั้งต่อปี เขาจะหนีไปอยู่กระท่อมเล็กๆ นานหนึ่งสัปดาห์ พร้อมกับกองหนังสือเป็นเพื่อนเท่านั้น ไม่มีผู้เยี่ยมจากภายนอก ไม่มีครอบครัว ไม่มีพนักงาน ไม่มีการประชุม ไม่มีอีเมล นี่คือช่วงเวลาสำหรับการไตร่ตรอง การเรียนรู้ และการคิดอย่างไม่มีสิ่งใดมารบกวน ตามรายงานของ The Wall Street Journal งานที่เขาทำในช่วง Think Week หนึ่งครั้งนำไปสู่การเปิดตัว Internet Explorer ในปี 1995 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์อินเทอร์เน็ต 2.Leonardo da Vinci และศิลปะแห่งการสังเกต ลีโอนาร์โด ดาวินชี อัจฉริยะแห่งยุคเรเนสซองส์ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของคนที่ใช้การอยู่คนเดียวในการสร้างสรรค์ผลงาน เขาใช้เวลาเป็นชั่วโมงในการสังเกตธรรมชาติ วาดภาพ เขียนบันทึก และคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ผลงานที่ยิ่งใหญ่ของเขา ไม่ว่าจะเป็น Mona Lisa, The Last Supper หรือแม้แต่การออกแบบเครื่องบินและรถถัง ล้วนเกิดจากช่วงเวลาที่เขาอยู่คนเดียวกับความคิดของตัวเอง ตัวอย่างอื่นๆ ในประวัติศาสตร์ Albert Einstein ใช้เวลาเดินเล่นคนเดียวเป็นชั่วโมงเพื่อคิดเกี่ยวกับทฤษฎีต่างๆ J.K. Rowling เขียน Harry Potter ในช่วงที่เธออยู่คนเดียวในร้านกาแฟ Steve Jobs มีนิสัยเดินเล่นคนเดียวเพื่อคิดหาแนวทางใหม่ๆ Warren Buffett ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการอ่านและคิดวิเคราะห์คนเดียว ประโยชน์ของการอยู่คนเดียวต่อสมองและจิตใจ 1. การเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ เมื่อเราอยู่คนเดียวและไม่มีสิ่งรบกวน สมองจะเข้าสู่โหมดที่เรียกว่า "Divergent Thinking" ซึ่งเป็นการคิดแบบกระจาย ทำให้เกิดไอเดียใหม่ๆ ที่ไม่เคยนึกถึงมาก่อน การวิจัยพบว่า คนที่ใช้เวลาอยู่คนเดียวอย่างสม่ำเสมอจะมีคะแนนการทดสอบความคิดสร้างสรรค์สูงกว่าคนที่อยู่ในกลุ่มตลอดเวลา 2. การลดความเครียดและความวิตกกังวล การอยู่คนเดียวช่วยลดระดับ Cortisol ฮอร์โมนความเครียดในร่างกาย เมื่อความเครียดลดลง ระบบภูมิคุ้มกันจะทำงานได้ดีขึ้น การนอนหลับจะมีคุณภาพมากขึ้น และสุขภาพจิตโดยรวมจะดีขึ้น 3. การเพิ่มความเข้าใจตนเอง ในช่วงที่อยู่คนเดียว เราจะได้โอกาสส่องดูภายในใจตัวเอง ทำความเข้าใจกับความรู้สึก ความต้องการ และเป้าหมายที่แท้จริง นี่คือสิ่งที่นักจิตวิทยาเรียกว่า "Self-Reflection" 4. การพัฒนาทักษะการแก้ปัญหา เมื่อไม่มีใครให้คำแนะนำหรือช่วยเหลือ เราจะต้องพึ่งพาตัวเองในการแก้ปัญหา ซึ่งช่วยพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และการตัดสินใจ 5. การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การใช้เวลาอยู่คนเดียวเปรียบเสมือนการ "รีชาร์จแบตเตอรี่" ของสมอง เมื่อกลับมาทำงานหรือเข้าสังคม เราจะมีพลังงานและสมาธิที่ดีกว่าเดิม วิธีใช้ ‘ความโดดเดี่ยว’ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แม้เราไม่จำเป็นต้องมี Think Week แบบบิล เกตส์ แต่เราก็สามารถออกแบบ “พื้นที่ว่าง” สำหรับสมองตัวเองได้เช่นกัน ต่อไปนี้คือเทคนิคง่ายๆ ที่จะช่วยคุณฝึกฝนการอยู่กับตัวเองให้ได้ผลจริง 1. วางแผนการเดินทางคนเดียว ลองไปคาเฟ่ที่ไม่เคยไป หรือจัดรีทรีตแบบไม่ใช้มือถือในวันหยุด การเปลี่ยนบรรยากาศช่วยให้สมองเปิดรับสิ่งใหม่และมีเวลาคิดลึกๆ 2. เริ่มจากวันละ 10 นาที เพียงหามุมเงียบๆ เพื่อหายใจ นั่งเฉยๆ หรือจดความคิดในสมุด ก็เพียงพอที่จะเริ่มกระบวนการพักสมอง 3. เลือกมนุษย์สัมพันธ์อย่างมีคุณภาพ อยู่กับคนที่ทำให้คุณได้ “เติมพลัง” เวลาที่ใช้กับคนที่คุณไม่สบายใจ อาจเพิ่มฮอร์โมนความเครียด (Cortisol) ซึ่งส่งผลเสียต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีจริงๆ 4. สะท้อนความคิดอย่างสม่ำเสมอ การเขียนไดอารี่หรือการนั่งทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น ช่วยให้เราจัดระเบียบอารมณ์ ความคิด และเห็นตนเองชัดเจนขึ้น 5. มีกิจกรรมลำพังที่ทำให้ ‘อยู่กับปัจจุบัน’ ไม่ว่าจะเป็นเดินเล่น วาดรูป จิบกาแฟ ฟังเพลง หรือทำโยคะ  กิจกรรมเหล่านี้ช่วยให้เราผ่อนคลาย และสมองกลับมาสมดุล ผลกระทบต่อการทำงานและความสำเร็จ 1.การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน พนักงานที่ได้มีเวลาอยู่คนเดียวอย่างเพียงพอมักจะมีประสิทธิภาพในการทำงานที่สูงกว่า พวกเขามีสมาธิดีกว่า คิดสร้างสรรค์มากกว่า และตัดสินใจได้ดีกว่า 2.ภาวะผู้นำที่ดีขึ้น ผู้นำที่ดีมักจะเป็นคนที่รู้จักใช้เวลาคนเดียวเพื่อคิดและวิเคราะห์สถานการณ์ พวกเขาไม่ตัดสินใจแบบหุนหันพลันแล่น แต่ให้เวลาตัวเองในการพิจารณาอย่างรอบคอบ 3.การสร้างนวัตกรรม นวัตกรรมส่วนใหญ่เกิดจากช่วงเวลาที่คนคิดค้นอยู่คนเดียว ไม่ว่าจะเป็นการอาบน้ำ การเดิน การนั่งทำสมาธิ หรือการอ่านหนังสือ อยากฉลาดขึ้น ลองเริ่มที่ ‘การอยู่นิ่งๆ’ บางที “การไม่ทำอะไรเลย” อาจเป็นสิ่งที่เราขาดไป และนั่นแหละคือ ‘ความฉลาดรูปแบบใหม่’ ที่ผู้คนเริ่มมองเห็นและกลับมาให้ความสำคัญ “อยู่คนเดียวให้เป็น พักให้พอ แล้วคุณจะคิดได้ไกลกว่าที่เคย” — Joseph Jebelli, The Brain at Rest และสำหรับใครที่สนใจบทความเกี่ยวกับการพัฒนาตัวเอง สกิลต่างๆ และศักยภาพในการทำงาน รวมถึงวิธีการต่างๆให้ทำงานและร่วมงานกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ติดตามพวกเรา Jobcadu เพื่อติดตามและรออ่านบทความอื่นๆในเนื้อหาเหล่านี้เพิ่มเติมได้ที่ Career Portal ได้เลย! Reference

    Aug 1, 2025
    5 min
    Thumbnail for ลางานอย่างไรไม่เสียสิทธิ์ ไขข้อข้องใจให้ทุกคนเข้าใจถูกต้องเกี่ยวกับ ‘การลางาน’ ตามกฎหมายแรงงานไทย
    Wellbeing

    ลางานอย่างไรไม่เสียสิทธิ์ ไขข้อข้องใจให้ทุกคนเข้าใจถูกต้องเกี่ยวกับ ‘การลางาน’ ตามกฎหมายแรงงานไทย

    ในชีวิตการทำงาน ‘การลางาน’ อาจจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แค่เขียนอีเมลส่งล่วงหน้าตามจำนวนวันที่ทางบริษัทกำหนดและไม่เกินขอบเขตโควต้าของวันลาก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร แต่จริงๆแล้วพนักงานทุกคนควรให้ความสำคัญกับ ‘สิทธิการลา’ ให้ครบถ้วนและถูกต้อง เพื่อสิทธิประโยชน์สูงสุดที่เราควรได้รับ ซึ่งวันนี้ Jobcadu จะพาไปดูว่าการลางานคืออะไร มีกี่ประเภทตามกฎหมายไทย ข้อดี-ข้อเสียคืออะไร พร้อมเทมเพลตสำหรับใช้ยื่นลาทั้งภาษาไทยและอังกฤษ ที่ทุกคนสามารถนำไปใช้ได้จริง ลางานคืออะไร ลางาน คือการที่พนักงานงดทำงานตามช่วงเวลาที่แจ้งไว้ล่วงหน้า หรือกรณีกระทันหัน ซึ่งครอบคลุมทั้งกรณีที่รับค่าจ้างและไม่รับค่าจ้าง เช่น ลาป่วย ลาพักร้อน ลากิจ ลาคลอด เป็นต้น จุดประสงค์คือเพื่อให้พนักงานดูแลสุขภาพ ครอบครัว หรือภาระส่วนตัวอื่นๆได้ โดยในสถานประกอบการจะมี “ใบลางาน” เป็นเอกสารยืนยันการแจ้งลาและเก็บไว้เป็นหลักฐาน ลางานมีกี่ประเภทตามกฎหมาย สิทธิการลา ประกอบด้วยลาป่วย ลากิจ ลาพักร้อน และลาคลอด โดยสิทธิพื้นฐานที่กฎหมายกำหนด ได้แก่ ลาป่วยได้สูงสุด 30 วันต่อปีโดยได้รับค่าจ้าง ลากิจไม่ต่ำกว่า 3 วันต่อปี ลาพักร้อนอย่างน้อย 6 วันต่อปีสำหรับผู้ที่ทำงานครบ 1 ปี และลาคลอดบุตรสูงสุด 98 วันโดยได้รับค่าจ้าง 45 วันแรก ซึ่งสิทธิเหล่านี้มีขึ้นเพื่อคุ้มครองคุณภาพชีวิตของพนักงานให้สามารถบาล้านซ์ชีวิตส่วนตัวและการทำงานได้อย่างยั่งยืน ข้อดีและข้อเสียของการลางาน ข้อดีของการลางาน ช่วยฟื้นฟูสุขภาพกายและใจ ลดอาการเหนื่อยล้า จัดการธุระสำคัญได้เต็มที่ เช่น ราชการ ครอบครัว ช่วยสร้างสมดุลชีวิตและงาน เพิ่มประสิทธิภาพเมื่อกลับไปทำงาน ใช้สิทธิ์ตามกฎหมาย ไม่ถูกหักเงินเมื่อปฏิบัติตามข้อบังคับ ลดความเสี่ยงพนักงานไม่ให้ป่วยเรื้อรัง เพราะมีวันพักผ่อนให้ใช้อย่างเหมาะสม ข้อเสียของการลางาน หากลาบ่อยโดยไม่วางแผน อาจเสียภาพลักษณ์ในสายตาผู้บริหาร อาจทำให้โปรเจกต์สะดุดหากไม่มีผู้รับช่วงงาน ใช้สิทธิ์หมดเร็วอาจไม่มีวันลาเหลือในยามจำเป็นฉุกเฉิน บริษัทอาจพิจารณาคะแนนประเมินผลงานหรือโบนัสหากลาเกินโควต้า ทีมอาจวางแผนไม่ทัน หากพนักงานหลายคนลาพร้อมกัน เทมเพลตอีเมลขอลางาน (ภาษาไทย–อังกฤษ) ภาษาไทย เรื่อง ขออนุญาตลางาน เรียน คุณ/หัวหน้า…………………………………… ข้าพเจ้า………………………… ตำแหน่ง………………………… ขออนุญาตลางานเนื่องจาก __________________________ (ระบุอาการ/เหตุผล เช่น ไข้สูง, ปวดหัว, ธุระด่วน) ระหว่างวันที่ _______ ถึง _______ รวมจำนวน _______ วันทำงาน ข้าพเจ้าได้มอบหมายงานให้คุณ/คุณ X เรียบร้อยแล้ว จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาอนุญาต ลงชื่อ __________ วันที่ ____/____/____ ภาษาอังกฤษ Subject: Leave Request (Sick/Personal/Annual Leave) Dear [Manager’s Name], I would like to request [sick/personal/annual] leave due to ________________________ (Example: high fever, family emergency) The leave will be from [Start Date] to [End Date], totaling [number] working days. I have arranged for [Colleague’s Name] to cover my duties during my absence. Thank you for your understanding. Best regards, [Your Name] [Position] [Date] การลางานไม่ใช่แค่การหยุดพัก แต่มันคือสิทธิ์และการแสดงความรับผิดชอบอย่างหนึ่งในการทำงาน ควรให้ความสำคัญกับการวางแผนล่วงหน้า สื่อสารให้ชัดเจน และใช้สิทธิ์อย่างรับผิดชอบเพื่อให้แฮปปี้กันทุกฝ่าย และถ้าหากใครกำลังมองหาโอกาสงานใหม่ หรืออยากพัฒนาทักษะให้พร้อมรับทุกโอกาส ลองมาที่ Jobcadu แหล่งรวบรวมงานที่ใช่ และบทความเสริมทักษะช่วยทุกคนพัฒนาสกิล แต่สำหรับใครที่ไม่รู้จะใช้เหตุผลอะไรในการลา>> มาดู 25 เหตุผลในการใช้ลา ใช้ลางานได้เลย

    Category
    Jul 14, 2025
    5 min
    Thumbnail for   รวม 25 เหตุผลการลา พร้อมเหตุผลว่าทำไมถึงใช้ลาได้
    Wellbeing

    รวม 25 เหตุผลการลา พร้อมเหตุผลว่าทำไมถึงใช้ลาได้

    การลาเป็นสิทธิพื้นฐานของพนักงาน แต่บางครั้งการหาสาเหตุที่เมคเซนส์และมีรายละเอียดที่ชัดเจนก็อาจทำให้หลายคนคิดหนักเเละอาจคิดว่า “ลางานแบบนี้จะโอเคมั้ย?” วันนี้ Jobcadu รวม 25 เหตุผลที่ใช้ ลางานได้จริง พร้อมคำอธิบายแบบเข้าใจง่าย ใช้ยื่นลางานได้เลย ประเภทการลา: สิทธิ์ทีควรรู้ ลาป่วย: สำหรับการเจ็บป่วยทั้งกายและใจ ลากิจ: สำหรับธุระส่วนตัวที่จำเป็นและไม่สามารถทำนอกเวลางานได้ ลาพักร้อน/ลาหยุดพักผ่อนประจำปี: สำหรับการพักผ่อนประจำปี ลาเพื่อคลอดบุตร/ลาดูแลบุตร: สำหรับพนักงานหญิงที่ตั้งครรภ์และพนักงานชายเพื่อใช้ในการดูแลบุตร ลาอุปสมบท/ประกอบพิธีฮัจญ์: สำหรับการปฏิบัติศาสนกิจที่แล้วแต่ศาสนาที่นับถือ ลาเพื่อรับราชการทหาร: สำหรับการเกณฑ์ทหาร ซึ่งแล้วแต่นโยบายของบริษัท ลาเพื่ออบรม/สัมมนา: สำหรับการพัฒนาความรู้และทักษะ รวม 25 เหตุผลการลา พร้อมเหตุผลว่าทำไมถึงใช้ลาได้ ลาป่วย: เป็นสิทธิพื้นฐานตามกฎหมายแรงงาน ใช้เมื่อมีอาการเจ็บป่วย ไม่พร้อมทำงาน สามารถแนบใบรับรองแพทย์ (ถ้าลาเกิน 3 วัน) ไปหาหมอ / ตรวจสุขภาพ: แม้จะยังไม่ป่วยหนัก แต่การตรวจร่างกายประจำปีหรือดูแลสุขภาพก็สำคัญ ใช้ลาป่วยหรือลากิจได้ ลาพักร้อน (ลาพักผ่อนประจำปี): สิทธิที่ได้รับจากการทำงานครบปี หรือตามนโยบายบริษัท เพื่อฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ งานศพญาติใกล้ชิด: เช่น พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย บริษัทส่วนใหญ่อนุญาตให้ลางานเพื่อไปร่วมพิธี งานแต่งงานของตนเอง: หลายบริษัทมีนโยบายให้วันลาเพื่อใช้จัดงานหรือจดทะเบียนสมรส ไปจดทะเบียนสมรส / หย่า: ถือเป็นภารกิจส่วนตัวที่สำคัญ ใช้ลากิจได้ ลูก/คนในครอบครัวไม่สบาย ต้องพาไปโรงพยาบาล: ลากิจได้ในกรณีที่ไม่มีคนอื่นดูแลแทน สอบเรียนต่อ / สอบราชการ: เป็นเหตุผลที่หลายบริษัทเข้าใจและสนับสนุนการพัฒนาตัวเอง ไปดูแลพ่อแม่หรือผู้สูงอายุที่บ้านต่างจังหวัด: บริษัทที่สนับสนุน work-life balance เเละมีโครงสร้างการทำงานเเบบ Hybrid มักจะเข้าใจเหตุผลนี้ มีธุระส่วนตัว เช่น ทำธุรกรรมทางการเงินสำคัญ: ธนาคาร/ราชการมักเปิดทำการวันธรรมดา จึงสามารถลางานเพื่อไปจัดการได้ เดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อเลือกตั้ง: ถือเป็นสิทธิพลเมือง มีระเบียบรับรองการลาในวันเลือกตั้ง วันพระใหญ่/ถือศีล/กิจกรรมทางศาสนา: เช่น เข้าพรรษา ออกพรรษา ลาเพื่อไปวัด ทำบุญ ฯลฯ ตามศาสนาที่ตนเองนับถือ กิจกรรมลูก เช่น รับปริญญา, แข่งกีฬา, งานโรงเรียน: หลายบริษัทมักเข้าใจการลานี้ โดยเฉพาะเมื่อลูกมีช่วงเวลาสำคัญ ลาคลอด / ลาเลี้ยงดูบุตร: สิทธิตามกฎหมายแรงงาน สำหรับคุณแม่/คุณพ่อหลังมีบุตร ต้องย้ายที่อยู่ / ย้ายบ้าน: เหตุผลเรื่องบ้านเรือนถือว่าเข้าใจได้ ลากิจได้ 1-2 วันตามเหมาะสม เกิดอุบัติเหตุ / รถชน / มีเหตุฉุกเฉินทางจราจร: ใช้ลาป่วยได้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรง รวมถึงลาเพื่อตรวจเช็กสุขภาพหลังเกิดอุบัติเหตุ ไปต่างจังหวัดแบบฉุกเฉิน (เช่น เหตุครอบครัว / ภัยพิบัติ): บริษัทควรพิจารณาให้ลา เพราะถือเป็นเหตุจำเป็น ไปงานแต่งงาน / งานบวชของคนสนิท: เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวหรือเพื่อนสนิท สามารถลาได้ สุขภาพจิตไม่พร้อม / ภาวะเครียด / Burnout: แนวโน้มบริษัทสมัยใหม่เปิดใจยอมรับเรื่อง mental health มากขึ้น ก็สามารถนำมาใช้ลาป่วยได้ ไปเรียนคอร์สสั้น ๆ / สมนา / อบรมพัฒนาทักษะ: ลากิจเพื่อพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องกับงาน ยื่นเอกสารราชการ เช่น ทำบัตรประชาชน/พาสปอร์ต: จำเป็นต้องทำในวันราชการ ซึ่งมักตรงกับเวลางาน มีนัดกับหน่วยงานราชการ เช่น ขึ้นศาล / นัดสอบสวน: เป็นเหตุผลที่ชอบด้วยกฎหมาย ลาบวช: สำหรับผู้ชายโดยลาได้หลายวันหรือตามระยะเวลาบวช ลาฝึกทหาร / เรียกพล: เป็นสิทธิหน้าที่พลเมือง บริษัทต้องอนุญาตให้ลาได้ ภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉินในพื้นที่พักอาศัย เช่น เเผ่นดินไหว น้ำท่วม พายุเข้า: ใช้เหตุจำเป็นชั่วคราวในการลาได้ ไม่ว่าจะเป็นการลาด้วยเหตุผลใด ควรแจ้งหัวหน้างานและผู้ที่เกี่ยวข้องล่วงหน้าตามระเบียบของบริษัทเสมอ เพื่อให้การจัดการงานไม่สะดุด และแสดงถึงความเป็นมืออาชีพของคุณ การลา ไม่ใช่เรื่องผิด ถ้ามีเหตุผลชัดเจน และแจ้งให้ถูกต้องตามขั้นตอน ทุกเหตุผลข้างต้นนี้สามารถใช้ในการยื่นลาได้อย่างเหมาะสม และบางกรณียังได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายอีกด้วย หากกำลังมองหาบทความเกี่ยวกับ Work-Life Balance สามารถเข้ามาศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ Jobcadu เเนะนำเส้นทางอาชีพเเละพัฒนาทักษะ อัปเดตเเบบจัดเต็มทุกสัปดาห์

    Jul 14, 2025
    5 min
    Thumbnail for เงินโบนัส คืออะไร? เจาะลึกทุกเรื่องที่เราควรรู้ พร้อมเคล็ดลับเพิ่มโอกาสในรับโบนัสก้อนโต!
    Wellbeing

    เงินโบนัส คืออะไร? เจาะลึกทุกเรื่องที่เราควรรู้ พร้อมเคล็ดลับเพิ่มโอกาสในรับโบนัสก้อนโต!

    ช่วงปลายปีหรือต้นปีใหม่ทีไร "โบนัส" มักจะเป็นสิ่งที่พนักงานทุกคนเฝ้ารอคอย แล้วเราจะมีส่วนร่วมในการเพิ่มโอกาสให้ได้โบนัสก้อนโตได้อย่างไรบ้าง? Jobcadu จะพาทุกคนไปเจาะลึกทุกประเด็นเกี่ยวกับโบนัสที่ควรรู้ ไปดูกัน! เงินโบนัส คืออะไร? โบนัส (Bonus) คือเงินพิเศษที่นายจ้างจ่ายให้แก่พนักงานนอกเหนือจากเงินเดือนปกติ เป็น “ผลตอบแทน” ของผลงานที่ทำให้บริษัทเติบโต หรือเพื่อเป็นแรงจูงใจในการทำงานของพนักงาน เงินโบนัสจำเป็นไหม? ในทางกฎหมาย โบนัสไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่นายจ้างต้องจ่ายให้โดยอัตโนมัติเหมือนเงินเดือน แต่เป็นสวัสดิการที่ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัท อย่างไรก็ตาม สำหรับพนักงาน เงินโบนัสมีความสำคัญในหลายด้าน เช่น สร้างขวัญและกำลังใจ: เป็นการแสดงความชื่นชมและตอบแทนความทุ่มเทของพนักงาน เพิ่มรายได้: ช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน กระตุ้นประสิทธิภาพในการทำงาน: เป็นแรงจูงใจให้พนักงานตั้งใจทำงานให้ดีขึ้น เพื่อให้บริษัทมีผลประกอบการที่ดี ดึงดูดและรักษาพนักงาน: บริษัทที่มีนโยบายการจ่ายโบนัสที่ชัดเจนและจูงใจ มักจะดึงดูดคนเก่งเข้ามาทำงานและรักษาพนักงานให้อยู่กับองค์กรได้นานขึ้น ประเภทของโบนัส โบนัสประจำปี (Annual Bonus): จ่ายสิ้นปีตามผลประกอบการ โบนัสตามผลงาน (Performance Bonus): ขึ้นอยู่กับ KPI หรือผลงานรายบุคคล โบนัสตามสัญญา (Contractual Bonus): ระบุไว้ในสัญญา เช่น โบนัส 1 เดือน โบนัสพิเศษ (Special Bonus): เช่น โปรเจกต์ใหญ่ หรือรางวัลพนักงานดีเด่น โบนัสคิดยังไง? 1. คิดตามเปอร์เซ็นต์เงินเดือน เช่น: ได้โบนัส 2 เท่าของเงินเดือน เงินเดือน 30,000 → โบนัส 60,000 2. คิดตามคะแนนประเมินผลงาน (Performance Rating) เช่น: คะแนน 5/5 = 200% ของเงินเดือน คะแนน 3/5 = 100% คะแนน 1/5 = ไม่ได้รับเลย ซึ่งบริษัทใหญ่ ๆ มักใช้ สูตรผสม คือ ดูทั้งผลงาน + ภาพรวมบริษัท วิธีหรือเกณฑ์การประเมินว่าปีนี้ควรได้โบนัสไหม? เกณฑ์การพิจารณาการจ่ายโบนัสแตกต่างกันไปในแต่ละบริษัท แต่โดยทั่วไปแล้วมักพิจารณาจากปัจจัยหลักๆ ดังนี้ 1.ผลประกอบการของบริษัท: นี่คือปัจจัยสำคัญที่สุด หากบริษัทมีผลกำไรที่ดี มีรายได้ตามเป้าหมาย หรือเกินเป้าหมาย โอกาสในการจ่ายโบนัสก็จะสูงขึ้น ในทางกลับกัน หากบริษัทประสบภาวะขาดทุนหรือทำผลงานได้ไม่ดีนัก โบนัสก็อาจจะลดลงหรือไม่จ่ายเลย 2.ผลการปฏิบัติงานของพนักงาน (Individual Performance): KPI (Key Performance Indicator): ตัวชี้วัดผลงานของแต่ละบุคคล หากพนักงานสามารถทำได้ตามเป้าหมาย หรือเกินเป้าหมายที่กำหนดไว้ ก็มีแนวโน้มที่จะได้รับโบนัส – KPI คืออะไร การประเมินโดยหัวหน้างาน: การประเมินจากผู้จัดการโดยตรงเกี่ยวกับความรับผิดชอบที่มีต่องาน การทำงานร่วมกับผู้อื่น และคุณสมบัติอื่นๆ ประกอบการพิจารณา 3.ระยะเวลาการทำงาน: พนักงานที่ทำงานครบกำหนดตามเงื่อนไขของบริษัท (เช่น ครบ 1 ปี) มักจะมีสิทธิ์ได้รับโบนัสเต็มจำนวน ส่วนพนักงานที่เข้าทำงานไม่ครบปีอาจได้รับโบนัสตามสัดส่วน โบนัสจ่ายตอนไหน? ช่วงเวลาการจ่ายโบนัสแตกต่างกันไปตามนโยบายบริษัทและรอบการประเมินผลประกอบการ: ปลายปี (ธันวาคม - มกราคม): เป็นช่วงที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะบริษัทที่ปิดงบประมาณและประเมินผลงานประจำปีในช่วงปลายปี กลางปี (มิถุนายน - กรกฎาคม): บางบริษัทอาจจ่ายโบนัสกลางปี (Mid-year Bonus) เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ หรือจ่ายโบนัสตามผลประกอบการของครึ่งปีแรก จ่ายตามไตรมาส (Quarterly Bonus): สำหรับบางธุรกิจที่ต้องการกระตุ้นผลงานอย่างต่อเนื่อง อาจมีการจ่ายโบนัสทุกๆ ไตรมาส จ่ายเมื่อทำโปรเจกต์สำเร็จ (Project Bonus): สำหรับบางตำแหน่งงานหรือบางอุตสาหกรรม อาจมีโบนัสพิเศษเมื่อทำโปรเจกต์สำคัญสำเร็จตามเป้าหมาย Top 5 บริษัทจ่ายโบนัสสูง เเบ่งตามอุตสาหกรรม ภาคอุตสาหกรรม (โรงงาน/ผลิต) 1.Mitsubishi Electric โบนัสเฉลี่ย 7.5 เดือน เงินพิเศษ +10,000 บาท 2.Aisin Powertrain โบนัสเฉลี่ย 7.4 เดือน  เงินพิเศษ +41,000 บาท 3.Siam Aisin โบนัสเฉลี่ย 7.2 เดือน เงินพิเศษ +25,000 บาท 4.Daikin โบนัสเฉลี่ย 7 เดือน เงินพิเศษ +21,000 บาท 5.JTEKT โบนัสเฉลี่ย 6.5 เดือน เงินพิเศษ +34,000 บาท ภาคธนาคาร 1.ธนาคารไทยพาณิชย์ โบนัสเฉลี่ย 4.5 เดือน 2.ธนาคารกรุงไทย โบนัสเฉลี่ย 4.5 เดือน 3.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา โบนัสเฉลี่ย 4.5 เดือน 4.ธนาคารเกียรตินาคิน โบนัสเฉลี่ย 4.5 เดือน 5.ธนาคารกรุงเทพ โบนัสเฉลี่ย 4.5 เดือน กลุ่มยานยนต์ 1.Toyota โบนัสเฉลี่ย 8 เดือน  เงินพิเศษ +45,000 บาท 2.ISUZU โบนัสเฉลี่ย 8 เดือน 3.Hino โบนัสเฉลี่ย 7.3 เดือน เงินพิเศษ +40,000 บาท 4.Honda โบนัสเฉลี่ย 6.25 เดือน เงินพิเศษ +37,000 บาท 5.Ford โบนัสเฉลี่ย 6.03 เดือน  เงินพิเศษ +28,000 บาท อ้างอิง: KruDew TOEIC ติวโทอิค Online การจ่ายโบนัสของแต่ละบริษัทขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยและอาจมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละปี ดังนั้น ควรศึกษาข้อมูลจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ หรือสอบถามจากผู้ที่อยู่ในสายงานนั้นๆ เพิ่มเติม โบนัสคือแรงจูงใจที่สำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการพัฒนาตัวเองให้มีคุณค่าต่อองค์กร ซึ่งการเข้าใจว่าโบนัสคืออะไร มีเกณฑ์อย่างไร จะช่วยให้เราวางแผนการทำงานและพัฒนาตัวเองได้มากขึ้น หากใครที่กำลังมองหางานที่มีสวัสดิการดีๆ รวมถึงโบนัสที่น่าสนใจ เข้ามาหางานคุณภาพจากหลากหลายบริษัทชั้นนำได้ที่ Jobcadu พร้อม Career เเนะนำเส้นทางอาชีพเเละพัฒนาทักษะ อัปเดตเเบบจัดเต็มทุกสัปดาห์

    Jul 14, 2025
    5 min
    Thumbnail for Pride Month คืออะไร? ทำไมองค์กรควรให้ความสำคัญ และมีบริษัทไหนบ้างในไทยที่เปิดรับ LGBTQ+ อย่างจริงจัง
    Wellbeing

    Pride Month คืออะไร? ทำไมองค์กรควรให้ความสำคัญ และมีบริษัทไหนบ้างในไทยที่เปิดรับ LGBTQ+ อย่างจริงจัง

    Pride Month คืออะไร? Pride Month หรือ เดือนแห่งความภาคภูมิใจของชาว LGBTQ+ (1-30 มิถุนายน )จัดขึ้นในเดือนมิถุนายนของทุกปี เป็นช่วงเวลาที่ทั่วโลกร่วมกันเฉลิมฉลองความหลากหลายทางเพศและสนับสนุนสิทธิของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ หรือ LGBTQIAN+ (Lesbian, Gay, Bisexual, Transgender, Queer, Intersex, Asexual, Non-binary และอื่นๆ) เดือนนี้มีที่มาจากการจลาจลสโตนวอลล์ (Stonewall Riots) ในนครนิวยอร์กเมื่อปี 1969 ซึ่งเป็นการลุกฮือของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศเพื่อเรียกร้องสิทธิและความเท่าเทียม นับตั้งแต่นั้นมา Pride Month ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อการยอมรับ การเปิดเผยตัวตน และการสร้างความเข้าใจในสังคม Lesbian : ผู้หญิงที่รักหรือดึงดูดทางเพศกับผู้หญิงด้วยกัน Gay : ผู้ชายที่รักหรือดึงดูดทางเพศกับผู้ชายด้วยกัน (บางครั้งใช้รวมหมายถึงคนรักเพศเดียวกันทุกเพศ) Bisexual : คนที่ดึงดูดทางเพศได้ทั้งกับเพศเดียวกันและเพศตรงข้าม Transgender : คนที่อัตลักษณ์ทางเพศไม่ตรงกับเพศกำเนิด Queer : คำเรียกรวมๆ สำหรับคนที่ไม่เป็นไปตามเพศวิถีหรืออัตลักษณ์ทางเพศแบบดั้งเดิม (บางคนใช้เพื่อระบุอัตลักษณ์ของตนเอง) Intersex : คนที่เกิดมามีลักษณะทางเพศ (เช่น โครโมโซม อวัยวะสืบพันธุ์ หรือฮอร์โมน) ที่ไม่เข้ากับการจำแนกเป็นชายหรือหญิงแบบชัดเจน Asexual : คนที่ไม่รู้สึกดึงดูดทางเพศต่อผู้อื่น หรือดึงดูดน้อยมาก Non-binary : คนที่ไม่ระบุอัตลักษณ์ทางเพศของตนว่าเป็นชายหรือหญิงโดยตรง อาจอยู่ระหว่างหรืออยู่นอกเหนือระบบสองเพศ (binary) ในแต่ละปี Pride Month จะมีการจัดกิจกรรมต่างๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นขบวนพาเหรด (Pride Parade) การจัดงานเสวนา การแสดงดนตรี ศิลปะ และกิจกรรมที่เน้นการสร้างพื้นที่ปลอดภัยและการรวมตัวของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ Pride ไม่ใช่แค่การเฉลิมฉลอง  มันคือช่วงเวลาสำคัญในการ ทบทวนบทบาทของตนเองในที่ทำงานและสังคม ว่าเราได้เปิดพื้นที่ให้กับเพื่อนร่วมงานหรือไม่ และได้ส่งเสริมความหลากหลายอย่างแท้จริงหรือเปล่า ตัวอย่างบริษัทที่ใส่ใจความหลากหลาย สนับสนุน LGBTQ+ อย่างจริงจัง 1. ศรีจันทร์ สหโอสถ บริษัทไทยที่แสดงออกถึงการเปิดรับความหลากหลายผ่าน นโยบายสวัสดิการแบบครอบคลุม ไม่ว่าคุณจะโสด มีครอบครัว หรือเป็นชาว LGBTQ+ ทุกคนมีสิทธิ์ได้รับสวัสดิการอย่างเท่าเทียม โดยมีสิทธิประโยชน์ที่น่าสนใจ เช่น: ลาคลอด (Maternity Leave) ได้สูงสุด 180 วัน โดยยังได้รับค่าจ้างตามปกติ พ่อลางานได้ 30 วันเพื่อดูแลภรรยาและลูก (Parental Leave) ลาเพื่อการผ่าตัดแปลงเพศได้สูงสุด 30 วัน ลาพักใจในกรณีสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ได้ไม่เกิน 10 วัน 2. Johnson & Johnson องค์กรระดับโลกที่มีนโยบายด้านความหลากหลายทางเพศอย่างเด่นชัด และ ขยายสวัสดิการให้ครอบคลุมถึงคู่ชีวิตเพศเดียวกัน โดยพนักงาน LGBTQ+ สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลของคู่ชีวิตได้ และยังมีสิทธิ์ในการเข้าถึงประกันสุขภาพ การรักษาพยาบาลแบบผู้ป่วยใน/นอก รวมถึงบริการให้คำปรึกษาทางสุขภาพจิตทั้งของพนักงานและสมาชิกครอบครัว 3. LINE MAN Wongnai ภายใต้ Core Value อย่าง “Respect Everyone” องค์กรนี้ได้ออกสวัสดิการเฉพาะที่แสดงถึงการเคารพและสนับสนุนพนักงาน LGBTQ+ เช่น: เงินสนับสนุนการแต่งงานของคู่รักเพศเดียวกัน 20,000 บาท สิทธิ์ลาสำหรับการรับบุตรบุญธรรม 10 วัน ลาพักเพื่อผ่าตัดแปลงเพศสูงสุด 30 วัน นอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรมช่วง Pride Month ทั้งกิจกรรมดูหนัง LGBTQ+, เชิญแขกรับเชิญมาเสวนา และเปิดโครงการระดมทุนภายในเพื่อส่งต่อให้มูลนิธิด้านความเท่าเทียม 4. แสนสิริ ถือเป็นบริษัทไทยรายแรกที่ลงนามในแนวปฏิบัติระดับโลกของสหประชาชาติด้านสิทธิมนุษยชนของ LGBTQ+ โดยให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมทั้งในองค์กรและสังคม เช่น: วันลาสมรส 6 วัน/ปี (สำหรับทุกคู่ชีวิต) ลาผ่าตัดแปลงเพศ 30 วัน/ปี ลาฌาปนกิจคู่ชีวิต 15 วัน/ปี ลาดูแลคู่ชีวิตหรือบุตรบุญธรรม 7 วัน/ปี ขยายความคุ้มครองประกันสุขภาพให้กับคู่ชีวิตของพนักงาน 5. Shell Thailand Shell มีการจัดตั้งเครือข่าย LGBTQ+ Network ภายในบริษัท เพื่อส่งเสริมความเข้าใจและให้การสนับสนุนเพื่อนร่วมงาน LGBTQ+ อย่างแท้จริง นอกจากนี้ Shell ยังเป็นสมาชิกของ Workplace Pride ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรระดับนานาชาติ ที่มีเป้าหมายสนับสนุนความเท่าเทียมในสถานที่ทำงานทั่วโลก บริษัทที่สนับสนุน Pride Month โดยการบริจาคหรือทำแคมเปญ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.): จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว LGBTQ+ ทั่วประเทศ เเละสนับสนุนงาน Pride ผ่านการใช้ "Soft Power" ของเทศกาลและกิจกรรมสร้างสรรค์ เพื่อยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศและกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านการจัดกิจกรรม Amazing Thailand Love Wins Festival (Pride Month) 2568 ทั่วประเทศตลอดเดือนมิถุนายน TikTok Thailand: เปิดตัวแคมเปญ #PrideTogether ส่งเสริมเสียงของ LGBTQ+ creators บนแพลตฟอร์ม พร้อมทั้งสนับสนุนเงินให้มูลนิธิ LGBTQ+ ในไทย IKEA Thailand: ออกสินค้ารุ่น Pride พิเศษ ผ่านการใช้แฮชแท็ก #IKEAforeveryone เพื่อแสดงออกถึงการเคารพและสนับสนุนในความหลากหลาย เเละยังมีแคมเปญ "บ้าน...ที่ทุกคนเป็นตัวเองได้เต็มที่ (Make the World Everyone's Home)" โดยใช้ ธงสายรุ้งเป็นสัญลักษณ์หลัก เพื่อสะท้อนแนวคิดที่ว่า “ทุกคนควรรู้สึกว่าทุกที่คือบ้าน” ไม่ว่าจะเป็นเพศใด วัยไหน หรือมีอัตลักษณ์ทางเพศแบบใดก็ตาม โดยรายได้ส่วนหนึ่งบริจาคให้มูลนิธิที่ส่งเสริมความเท่าเทียม แนวทางปฏิบัติตัวต่อเพื่อนร่วมงาน LGBTQ+ ใช้สรรพนามให้ถูกต้อง: หากไม่แน่ใจ ให้ถามอย่างสุภาพ หรือดูจากลายเซ็นอีเมลหรือโปรไฟล์ อย่าเดาอัตลักษณ์ทางเพศ ของใครจากรูปลักษณ์ ไม่ใช้คำถามส่วนตัวหรือหยาบคาย เพราะถือเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัว ส่งเสริมและสนับสนุนอย่างแท้จริง เช่น เข้าร่วมกิจกรรม Pride, แชร์ข้อมูลหรือแคมเปญที่มีประโยชน์, สนับสนุนสินค้าหรือบริการจากกลุ่ม LGBTQ+ พูดคุยด้วยความเคารพเสมอ เช่นเดียวกับที่คุณอยากให้คนอื่นเคารพคุณ บริษัทที่แสดงการสนับสนุนอย่างชัดเจนและต่อเนื่องมักจะเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงและมีนโยบายด้านความหลากหลายที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว การที่บริษัทแสดงจุดยืนในการสนับสนุน Pride Month ไม่ใช่เพียงแค่การสร้างภาพลักษณ์ แต่ยังสะท้อนถึงค่านิยมขององค์กรที่ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียม การยอมรับ และการสร้างสังคมที่ทุกคนสามารถเป็นตัวเองได้อย่างภาคภูมิใจ ทำไม Pride ถึงสำคัญต่อที่ทำงาน? Pride Month ไม่ได้มีไว้แค่เฉลิมฉลอง แต่คือการชวนให้ทุกคน กลับมาทบทวนบทบาทของตัวเองในองค์กร ว่าเราได้เปิดพื้นที่และโอกาสให้ทุกคนอย่างเท่าเทียมแล้วหรือยัง หากคุณเป็นทั้งผู้สมัครงาน หรือ HR ขององค์กร Jobcadu ขอเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่สนับสนุนความหลากหลายทางเพศ ด้วยการเปิดให้คุณเลือกอัตลักษณ์ได้อิสระ สร้างโปรไฟล์ที่ตรงกับตัวตนของคุณ และเชื่อมโยงคุณกับองค์กรที่เห็นคุณค่าที่แท้จริงในตัวคุณ อย่ารอช้า! เริ่มต้นเส้นทางอาชีพใหม่ที่น่าตื่นเต้นกับ Jobcadu Jobs วันนี้! ลงทะเบียนสร้างโปรไฟล์ของ คุณ และค้นพบโอกาสงานที่รอคุณอยู่

    Jun 27, 2025
    5 min
    Thumbnail for Introvert, Ambivert, Extrovert คืออะไร ความหลากหลายของบุคลิกภาพสู่เส้นทางอาชีพที่ใช่
    Wellbeing

    Introvert, Ambivert, Extrovert คืออะไร ความหลากหลายของบุคลิกภาพสู่เส้นทางอาชีพที่ใช่

    Introvert, Ambivert, Extrovert: บุคลิกภาพที่หลากหลายสู่เส้นทางอาชีพที่ใช่ ด้วยความหลากหลายของผู้คน ทุกคนล้วนมีบุคลิกภาพที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพื่อให้การดำเนินชีวิตได้อย่างราบรื่น การเข้าใจบุคลิกภาพของตนเองและผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็น Introvert, Ambivert, หรือ Extrovert จะช่วยให้เราเลือกเส้นทางที่เหมาะสมกับจุดแข็งและจุดอ่อนของเราได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงนำไปสู่ความสำเร็จและความสุขในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นด้านอาชีพและการใช้ชีวิต Introvert คืออะไร? Introvert คือ บุคคลที่มักจะได้รับพลังงานจากการใช้เวลาอยู่กับตัวเอง อยู่คนเดียว หรือในสภาพแวดล้อมที่สงบ ซึ่งจะรู้สึกเหนื่อยง่ายเมื่อต้องเข้าสังคมเป็นเวลานาน หรืออยู่ในสถานการณ์ที่มีผู้คนพลุกพล่าน หรือเรียกง่าย ๆ ว่า ชอบอยู่คนเดียวนั่นเอง โดยจุดเด่นและจุดด้อยของ Introvert มีดังนี้ จุดเด่นของ Introvert: ช่างคิดและลึกซึ้ง: มักจะใช้เวลาไตร่ตรองก่อนตัดสินใจ มีความคิดสร้างสรรค์ และมองเห็นรายละเอียดที่ผู้อื่นอาจมองข้าม มีสมาธิสูง: สามารถจดจ่อกับงานที่ต้องการความละเอียดและใช้สมาธิได้ดี เป็นผู้ฟังที่ดี: มักจะฟังมากกว่าพูด ทำให้เข้าใจสถานการณ์และผู้อื่นได้ดี มีความเป็นอิสระ: ทำงานคนเดียวได้ดี และไม่ชอบการถูกรบกวน จุดด้อยของ Introvert (ที่สามารถพัฒนาได้): อาจดูเข้าถึงยาก: บางครั้งอาจถูกมองว่าเป็นคนเงียบหรือเข้ากับคนยาก แต่จริง ๆ แค่ชอบอยู่คนเดียว หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า: อาจไม่ถนัดในการโต้แย้งหรือแสดงความคิดเห็นที่ขัดแย้ง เหนื่อยง่ายกับการเข้าสังคม: ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูตัวเองหลังจากเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมหรืปาร์ตี้สังสรรค์ Ambivert คืออะไร? Ambivert คือ บุคคลที่อยู่กึ่งกลางระหว่าง Introvert และ Extrovert พวกเขาสามารถปรับตัวได้ดีกับสถานการณ์ที่หลากหลาย ทั้งการเข้าสังคมและการใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ซึ่งมีจุดเด่นละจุดด้อยดังนี้ จุดเด่นของ Ambivert: มีความยืดหยุ่นสูง: สามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์และผู้คนได้ดี เป็นนักสื่อสารที่ดี: สามารถเป็นทั้งผู้พูดและผู้ฟังที่ดี ทำให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพ สร้างสมดุลได้ดี: รู้จักการรักษาสมดุลระหว่างการเข้าสังคมและการอยู่คนเดียว เข้ากับคนได้ง่าย: สามารถสร้างความสัมพันธ์กับผู้คนได้หลากหลายประเภท จุดด้อยของ Ambivert (ที่สามารถพัฒนาได้): อาจไม่ชัดเจนในบุคลิก: บางครั้งอาจรู้สึกว่าตัวเองไม่มีบุคลิกที่ชัดเจน ตัดสินใจยาก: อาจลังเลเมื่อต้องเลือกว่าจะใช้เวลาอยู่กับตัวเองหรือออกไปเข้าสังคม Extrovert คืออะไร? Extrovert คือ บุคคลที่ได้รับพลังงานจากการเข้าสังคม การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คึกคัก พวกเขาจะรู้สึกมีชีวิตชีวาและกระตือรือร้นเมื่อได้อยู่ท่ามกลางผู้คน หรือเรียกง่าย ๆ ว่า จะมีเอเนอร์จี้ เติมพลังจากการอยู่ร่วมกับผู้อื่นนั่นเอง จุดเด่นของ Extrovert: กระตือรือร้นและมีพลัง: มีพลังงานสูง ชอบการลงมือทำและเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ เป็นผู้นำที่ดี: ชอบการเป็นจุดสนใจ และมีทักษะในการสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น เปิดเผยและเข้าถึงง่าย: แสดงออกถึงอารมณ์และความคิดได้อย่างเปิดเผย เป็นนักสร้างเครือข่าย: ชอบสร้างความสัมพันธ์และขยายวงสังคม จุดด้อยของ Extrovert (ที่สามารถพัฒนาได้): อาจพูดโดยไม่คิด: บางครั้งอาจพูดออกไปก่อนที่จะไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน เบื่อหน่ายง่าย: หากต้องอยู่คนเดียวนานๆ อาจรู้สึกเบื่อหรือไม่สบายใจ ต้องการการกระตุ้นจากภายนอก: อาจรู้สึกขาดพลังงานหากไม่ได้รับการปฏิสัมพันธ์จากผู้อื่น อาชีพที่เหมาะกับ Introvert, Ambivert, Extrovert การเข้าใจจุดเด่นของบุคลิกภาพแต่ละแบบจะช่วยให้เราเลือกอาชีพที่เหมาะสมและสามารถประกอบอาชีพนั้นได้อย่างเป็นตัวเอง ซึ่งจมีอะไรบ้าน มาดูกัน อาชีพที่เหมาะกับ Introvert ด้วยจุดเด่นในเรื่อง ความช่างคิดลึกซึ้ง, สมาธิสูง และ ความเป็นอิสระ Introvert จึงเหมาะกับอาชีพที่ต้องการการใช้ความคิด การวิเคราะห์ และการทำงานที่เน้นความละเอียด ดังนี้: นักวิจัย/นักวิทยาศาสตร์/ Data Analyst: อาชีพที่ต้องการการค้นคว้า ทดลอง และวิเคราะห์ข้อมูลอย่างลึกซึ้ง นักเขียน/บรรณาธิการ/ครีเอทีฟ: ต้องการสมาธิสูงในการเรียบเรียงความคิดและการใช้ภาษา - ชอบภาษา ประกอบอาชีพอะไรดี โปรแกรมเมอร์/นักพัฒนาซอฟต์แวร์: ต้องใช้การคิดเชิงตรรกะและจดจ่อ ใช้เวลากับการเขียนโค้ด นักบัญชี/นักวิเคราะห์การเงิน: ต้องการความละเอียดรอบคอบและการวิเคราะห์ข้อมูลตัวเลข นักออกแบบกราฟิก/ศิลปิน: อาชีพที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์และทำงานคนเดียวได้ บรรณารักษ์: ทำงานในสภาพแวดล้อมที่สงบ และต้องใช้ความละเอียดในการจัดการข้อมูล อาชีพที่เหมาะกับ Ambivert ด้วยจุดเด่นในเรื่อง ความยืดหยุ่นสูง, การสื่อสารที่ดี และ ความสามารถในการสร้างสมดุล Ambivert จึงสามารถปรับตัวเข้ากับอาชีพที่หลากหลาย ทั้งที่ต้องพบปะผู้คนและที่ต้องใช้เวลาอยู่กับตัวเอง: ครู/อาจารย์: สามารถปรับบทบาททั้งการสอนหน้าชั้นเรียนและการเตรียมการสอนส่วนตัว นักการตลาด/PR: ต้องพบปะลูกค้าและทำงานร่วมกับทีม แต่ก็มีเวลาในการวางแผนและสร้างสรรค์ผลงาน ผู้จัดการโครงการ: ต้องการทักษะการสื่อสารที่ดีในการประสานงานกับทีม และความสามารถในการจัดการงานส่วนตัว นักบำบัด/ที่ปรึกษา: ต้องรับฟังและให้คำแนะนำอย่างลึกซึ้ง แต่ก็ต้องมีความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้คน นักข่าว/ผู้สื่อข่าว: ต้องออกไปสัมภาษณ์ผู้คนและรวบรวมข้อมูล แต่ก็มีเวลาในการเขียนและเรียบเรียงข่าว อาชีพที่เหมาะกับ Extrovert ด้วยจุดเด่นในเรื่อง ความกระตือรือร้น, ความเป็นผู้นำที่ดี และ ทักษะการสร้างเครือข่าย Extrovert จึงเหมาะกับอาชีพที่ต้องการการปฏิสัมพันธ์กับผู้คน การนำเสนอ และการทำงานเป็นทีม: ฝ่ายขาย/ตัวแทนขาย: ต้องพบปะลูกค้าจำนวนมาก สร้างความสัมพันธ์ และนำเสนอสินค้า/บริการ นักแสดง/พิธีกร: ต้องการความสามารถในการเป็นจุดสนใจ และการสื่อสารกับผู้คนจำนวนมาก ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR): ต้องสื่อสารกับพนักงานจำนวนมาก สัมภาษณ์ และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในองค์กร ผู้บริหาร/ผู้นำองค์กร: ต้องสร้างแรงบันดาลใจให้ทีม ตัดสินใจ และนำเสนอวิสัยทัศน์ นักจัดกิจกรรม/อีเวนต์: ต้องประสานงานกับหลายฝ่าย วางแผน และดูแลกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมาก ทนายความ: ต้องมีการนำเสนอเหตุผล โน้มน้าว และโต้แย้ง การทำความเข้าใจบุคลิกภาพของตนเอง ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องถูกจำกัดอยู่กับอาชีพใดอาชีพหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นการช่วยให้เราเลือกเส้นทางที่เหมาะสมกับจุดแข็งของเรา เพื่อให้เราสามารถใช้ศักยภาพได้อย่างเต็มที่ และมีความสุขกับสิ่งที่ทำ หากคุณยังไม่แน่ใจว่าตนเองเป็น Introvert, Ambivert, หรือ Extrovert คุณสามารถลองทำแบบทดสอบบุคลิกภาพออนไลน์เพื่อทำความเข้าใจตนเองให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นได้ คุณพร้อมที่จะค้นหาเส้นทางอาชีพที่ใช่สำหรับคุณแล้วหรือยัง? มาเจอกันที่ Jobacdu Jobs

    Jun 23, 2025
    5 min
    Thumbnail for แชร์ 5 วิธีวางแผนการเงินในเศรษฐกิจยุคนี้ ฉบับพนักงานออฟฟิศ!
    Wellbeing

    แชร์ 5 วิธีวางแผนการเงินในเศรษฐกิจยุคนี้ ฉบับพนักงานออฟฟิศ!

    จะทำอย่างไรดี? เมื่อการเก็บเงินสำหรับใครหลายๆคนที่เป็นคนวัยทำงานก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งในยุคปัจจุบันที่ค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายต่างๆก็สูงขึ้นหลายเท่า แต่รายรับของหลายคนยังเท่าเดิม ดังนั้นวันนี้ Jobcadu จะขอเสนอ 5 ทริคและวิธีคิดเพื่อวางแผนการเงินและเก็บเงินยังไงให้รอด! แบบฉบับคนวัยทำงานยุคนี้ 1.วิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจและผลกระทบที่ตามมา จากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้โลกกำลังเผชิญกับสงครามการค้ารอบใหม่ที่ส่งผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจไทย ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นภาษีนำเข้า หรือการเติบโตของ GDP ที่มีแนวโน้มลดลง ส่งผลต่อการจ้างงาน การบริโภค และคุณภาพชีวิตของประชาชน 2.เงินสำรองฉุกเฉิน เกราะป้องกันความไม่แน่นอน ในสถานการณ์ที่อาจตกงานโดยไม่ทันตั้งตัว การมีเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 6-12 เดือนเป็นเรื่องจำเป็น เงินส่วนนี้จะช่วยให้สามารถดำรงชีวิตได้หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสุขภาพหรือรายได้ที่หายไปกะทันหัน 3.บริหารค่าใช้จ่าย และหนี้อย่างมีสติ จดบันทึกรายรับ-รายจ่ายเพื่อรู้สถานะทางการเงินของตัวเองอย่างแท้จริง พร้อมทั้งควบคุมภาระหนี้ให้อยู่ในระดับไม่เกิน 30-40% ของรายได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการก่อหนี้ซ้ำซ้อน และไม่ให้กระทบกับคุณภาพชีวิตในระยะยาว 4.วางแผนการออมและลงทุนระยะสั้น-ยาว การลงทุนควรเริ่มจากเป้าหมายที่ชัดเจน และแบ่งตามระยะเวลาอย่างสมดุล การออมแบบมีแผนสามารถช่วยเสริมสภาพคล่องในระยะสั้น และสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้ แม้ในภาวะเศรษฐกิจซบเซา 5.มองหาโอกาสใหม่ผ่านช่องทางออนไลน์ โลกออนไลน์คือทางรอดที่มีต้นทุนต่ำแต่โอกาสสูง ไม่ว่าจะเป็นค้าขายออนไลน์ ทำคอนเทนต์ สอนพิเศษ หรืออาชีพอิสระต่างๆ ล้วนเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์คนยุคใหม่ โดยเฉพาะผู้ที่ตกงานหรือต้องการรายได้เสริม ภาวะเศรษฐกิจแปรปรวนเป็นเรื่องที่ต้องเจอทุกคน แต่หากมีการวางแผนการเงินที่ดี พร้อมรับมือกับความเสี่ยงทั้งในวันนี้และอนาคต ก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมั่นคงและมีเป้าหมาย และหากคุณกำลังมองหาโอกาสใหม่ ๆ หรืออยากพัฒนาทักษะเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลง มาดูเพิ่มเติมได้ที่ Jobchttps://www.jobcadu.com/th/jobportaladu แหล่งรวมความรู้ ทักษะ และโอกาสต่างๆในการงาน อ้างอิง

    เทคนิคการเก็บเงิน
    Finance
    เก็บเงิน
    May 15, 2025
    1 min
    Thumbnail for ทำความรู้จักกับ Eysenck’s Personality Theory
    Wellbeing

    ทำความรู้จักกับ Eysenck’s Personality Theory

    เคยสงสัยไหมว่าอะไรที่ทำให้แต่ละคนมีลักษณะนิสัยที่แตกต่างกัน? ทฤษฎีบุคลิกภาพของฮันส์ ไอเซ็นค์ เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่น่าสนใจในการทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยเชื่อว่าบุคลิกภาพสามารถอธิบายได้ด้วยมิติหลัก ๆ ที่มีความเป็นชีวภาพเป็นพื้นฐาน ลองมาเจาะลึกทฤษฎีนี้ไปพร้อม ๆ กัน Eysenck's Personality คืออะไร? Eysenck's Personality หรือทฤษฎีบุคลิกภาพของไอเซ็นค์ เป็นแบบจำลองทางจิตวิทยาที่พยายามอธิบายโครงสร้างของบุคลิกภาพที่พัฒนาโดย Hans Jürgen Eysenck นักจิตวิทยาชาวเยอรมัน-อังกฤษ เป็นผู้พัฒนาทฤษฎีนี้ขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1940-1960 โดยเขาเชื่อว่าบุคลิกภาพของมนุษย์สามารถวัดได้ผ่านมิติพื้นฐานเพียงไม่กี่ด้าน ซึ่งสามารถทำนายพฤติกรรม ความชอบ และแนวโน้มทางอารมณ์ของบุคคลได้อย่างแม่นยำ จุดประสงค์หลักของทฤษฎีบุคลิกภาพของไอเซ็นค์คือการสร้างกรอบแนวคิดที่เป็นระบบและสามารถวัดผลได้ เพื่อทำความเข้าใจและทำนายพฤติกรรมของบุคคล โดยเชื่อว่าบุคลิกภาพไม่ใช่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ง่ายนัก แต่มีรากฐานมาจากพันธุกรรมและระบบประสาท แบบทดสอบบุคลิกภาพของไอเซ็นค์ (Eysenck Personality Questionnaire หรือ EPQ) จะวัดบุคลิกภาพตาม 3 มิติหลัก ได้แก่: Extraversion (E) - Introversion (I): มิตินี้อธิบายถึงระดับของการมุ่งเน้นพลังงานของบุคคล คนที่มีคะแนนสูงในด้าน Extraversion (ชอบแสดงตัว) มักจะเป็นคนเปิดเผย ชอบเข้าสังคม กระตือรือร้น มองโลกในแง่ดี และแสวงหาความตื่นเต้น ในทางตรงกันข้าม คนที่มีคะแนนสูงในด้าน Introversion (ชอบเก็บตัว) มักจะเป็นคนเงียบขรึม ชอบอยู่คนเดียว ระมัดระวัง และคิดทบทวน Neuroticism (N) - Emotional Stability (S): มิตินี้สะท้อนถึงความมั่นคงทางอารมณ์ของบุคคล คนที่มีคะแนนสูงในด้าน Neuroticism (วิตกกังวล) มักจะมีความรู้สึกไวต่อความเครียด วิตกกังวล หงุดหงิดง่าย และมีแนวโน้มที่จะมีอารมณ์แปรปรวน ในขณะที่คนที่มีคะแนนสูงในด้าน Emotional Stability (มั่นคงทางอารมณ์) มักจะเป็นคนใจเย็น มั่นคงทางอารมณ์ และสามารถรับมือกับความเครียดได้ดี Psychoticism (P): มิตินี้เป็นมิติที่เพิ่มเข้ามาในภายหลัง โดยอธิบายถึงระดับความไม่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ความหุนหันพลันแล่น และบางครั้งอาจเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมต่อต้านสังคม คนที่มีคะแนนสูงในด้าน Psychoticism (ชอบต่อต้านสังคม) อาจมีลักษณะแข็งกระด้าง ไม่สนใจความรู้สึกของผู้อื่น และมีแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรมที่ไม่เป็นมิตร อย่างไรก็ตาม ไอเซ็นค์เน้นย้ำว่าคะแนนสูงในมิตินี้ไม่ได้หมายความว่าบุคคลนั้นเป็นโรคจิต แต่เป็นเพียงแนวโน้มของลักษณะบุคลิกภาพ ผลการทดสอบ Eysenck’s Personality ประกอบด้วยอะไรบ้าง? Extraversion-Introversion: คะแนนสูงบ่งบอกถึงความเป็นคนชอบเข้าสังคม ชอบทำกิจกรรมกลุ่ม และมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ในขณะที่คะแนนต่ำบ่งบอกถึงความเป็นคนชอบอยู่คนเดียว ชอบความสงบ และอาจจะรู้สึกเหนื่อยล้าจากการเข้าสังคมมากเกินไป Neuroticism-Emotional Stability: คะแนนสูงบ่งบอกถึงแนวโน้มที่จะมีความรู้สึกด้านลบ เช่น ความวิตกกังวล ความเศร้า หรือความโกรธได้ง่าย ในขณะที่คะแนนต่ำบ่งบอกถึงความสามารถในการควบคุมอารมณ์ได้ดี มีความมั่นคงทางจิตใจ และสามารถรับมือกับความกดดันได้ Psychoticism-Normality: คะแนนสูงบ่งบอกถึงแนวโน้มที่จะมีลักษณะที่ไม่เป็นมิตร ไม่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น และอาจมีพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น ในขณะที่คะแนนต่ำบ่งบอกถึงความเป็นคนที่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น มีความรับผิดชอบ และปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ อาชีพที่เหมาะกับผลการทดสอบ Eysenck’s Personality 1.Extraversion สูง เหมาะกับอาชีพที่ต้องมีการปฏิสัมพันธ์กับผู้คนจำนวนมาก เช่น พนักงานขาย, นักการตลาด, วิทยากร, นักข่าว, นักรายการวิทยุ นักแสดง นักดนตรี ,ประชาสัมพันธ์ 2.Introversion สูง เหมาะกับอาชีพที่ไม่ต้องมีการปฏิสัมพันธ์กับผู้คนมากนัก หรือต้องการสมาธิและความเป็นอิสระสูง เช่น นักวิจัย, โปรแกรมเมอร์, นักเขียน, บรรณาธิการ, นักบัญชี 3.Neuroticism ต่ำ (Emotional Stability สูง) เหมาะกับอาชีพที่ต้องเผชิญกับความกดดันสูงและต้องการความมั่นคงทางอารมณ์ เช่น นักดับเพลิง, ตำรวจ, แพทย์ฉุกเฉิน, นักบิน, ผู้บริหารระดับสูง 4.Neuroticism สูง อาจต้องเลือกอาชีพที่ไม่ต้องเผชิญกับความเครียดมากนัก หรือมีระบบสนับสนุนที่ดี เช่น งานที่ปรึกษา, บรรณารักษ์, งานแอดมิน, งานด้านเอกสาร 5.Psychoticism ต่ำ เหมาะกับอาชีพที่ต้องการความร่วมมือ การทำงานเป็นทีม และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ เช่น ครู, พยาบาล, ข้าราชการ, พนักงานในองค์กรขนาดใหญ่ 6.Psychoticism สูง อาจจะเหมาะสมกับอาชีพที่ไม่ต้องการการประนีประนอมสูง หรือต้องการความคิดสร้างสรรค์นอกกรอบ เช่น ศิลปิน, นักออกเเบบ, ผู้ประกอบการ ทำแบบทดสอบได้ที่ไหน? ตัวอย่างเเบบทดสอบภาษาอังกฤษ (เวอร์ชันภาษาไทย อยู่ระหว่างการพัฒนา โปรดรอติดตาม) Eysenck’s Personality Theory เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการเข้าใจตนเองและผู้อื่น ช่วยในการแนะแนวอาชีพและพัฒนาทักษะส่วนบุคคล โดยเฉพาะในด้านการจัดการอารมณ์ ความสัมพันธ์ และการเลือกเส้นทางอาชีพที่เหมาะสม จากนั้นเราสามารถนำผลลัพธ์ไปต่อยอดเพื่อสำรวจอาชีพที่เหมาะสมกับบุคลิกของเรา วางแผนเส้นทางอาชีพอย่างมีทิศทาง หากชอบคอนเทนต์น้ี ติดตาม Jobcadu แพลตฟอร์มหางานและแนะแนวอาชีพสำหรับคนที่อยากรู้จักตัวเองให้มากขึ้นขึ้น และเติบโตอย่างมืออาชีพ

    Personality Test
    Eysenck's Personality
    Self-Awareness
    May 14, 2025
    1 min
    Thumbnail for รวม 7 ไอเทมสงกรานต์สำหรับมนุษย์ออฟฟิศ สนุกแบบไม่เสียลุค พร้อมกลับมาทำงานได้ต่อ!
    Wellbeing

    รวม 7 ไอเทมสงกรานต์สำหรับมนุษย์ออฟฟิศ สนุกแบบไม่เสียลุค พร้อมกลับมาทำงานได้ต่อ!

    สงกรานต์ คือ สงกรานต์คือเทศกาลปีใหม่ไทยที่เต็มไปด้วยความชุ่มฉ่ำ ความสุข และการเริ่มต้นใหม่ เป็นช่วงเวลาที่คนไทยใช้ในการพบปะครอบครัว รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ และคลายร้อนด้วยการเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน แม้จะเป็นมนุษย์ออฟฟิศที่ติดหน้าจอทั้งวัน แต่การออกไปเล่นน้ำในช่วงสงกรานต์ก็มีประโยชน์มากกว่าที่คิด เพราะการหัวเราะและการเล่นสนุกช่วยกระตุ้นสารแห่งความสุขอย่าง โดพามีน (Dopamine) และ เซโรโทนิน (Serotonin) ช่วยลดความเครียดจากงาน และเติมพลังให้กลับมาลุยต่อได้อย่างสดใส แต่จะเล่นน้ำทั้งที เราก็อยากสนุกแบบดูดี ไม่เปียกเละ ไม่เสียลุค! มาดูกันว่า 7 ไอเทมที่มนุษย์ออฟฟิศควรมีติดตัวช่วงสงกรานต์ มีอะไรบ้าง รวม 7 ไอเทมสงกรานต์แบบขอคนไม่เล่น (แต่พร้อมนะ!) 1.เสื้อฮาวายหรือลายดอกเท่ๆ เสื้อสไตล์นี้ไม่เพียงเข้ากับบรรยากาศสงกรานต์ แต่ยังใส่สบาย ไม่ร้อน และดูแฟชั่นเบาๆ ได้ฟีลสายชิลแบบมีคลาส 2.กางเกงขาสั้นแบบสุภาพ เลือกกางเกงผ้าร่มหรือผ้าคอตตอนที่แห้งไว สีสุภาพ ใส่แล้วดูคล่องตัว พร้อมลุยได้โดยไม่หลุดธีมออฟฟิศเกินไป 3.รองเท้าแบบลุยน้ำไม่เสียทรง แนะนำ Crocs, รองเท้าแตะรัดส้น, หรือ Sneaker กันน้ำ เพราะเปียกแล้วแห้งไว ไม่เสียทรง และไม่ทำให้รองเท้าคู่เก่งต้องพังหลังวันหยุด 4.ซองกันน้ำใส่มือถือแบบคล้องคอ ไอเทมเบสิคที่ทุกคนควรมี ไม่ใช่แค่ป้องกันมือถือเปียก แต่ยังสะดวกเวลาเซลฟี่ในบรรยากาศสนุกๆ ด้วย 5.เป้กันน้ำ / กระเป๋า Waterproof ใส่ของจำเป็น เช่น พาวเวอร์แบงค์, เครื่องสำอางเบาๆ หรือของใช้ส่วนตัว ไม่ต้องกลัวน้ำซึม 6.ผ้าขนหนูผืนเล็ก เลือกแบบพับเก็บง่าย พกไว้เช็ดหน้า หรือซับเหงื่อ จะได้ไม่ดูโทรมระหว่างวัน 7.ถุงผ้าสำรอง เผื่อเปลี่ยนเสื้อ หรือใส่เสื้อผ้าเปียกกลับบ้านแบบมีระเบียบ ไม่ต้องกังวลว่าจะเลอะกระเป๋าหลัก Tips เล็กๆ สำหรับมนุษย์ออฟฟิศสายสงกรานต์ เล่นน้ำให้พอได้ซึมซับบรรยากาศ อย่าเล่นนานหรือตัวเปียกนานเกินไปจนเสี่ยงเป็นหวัดหรือป่วยช่วงหยุดยาว ระวังของสำคัญ เช่น บัตรพนักงาน, เอกสารสำคัญ, Access Card ใส่ถุงซิปหรือเก็บแยกไว้ในซองกันน้ำเสมอ หลีกเลี่ยงการเล่นน้ำช่วงกลางวันจัดๆ เพราะอาจเสี่ยงแดดเผา ทำให้ผิวไหม้ หรืออาการจำพวกฮีตสโตรกได้ แนะนำให้เล่นช่วงเย็นหรือพื้นที่มีร่มเงา แหล่งเล่นน้ำสงกรานต์ใกล้ออฟฟิศ 🏙 สยาม (Siam Square Songkran) จัดงาน “SIAM SQUARE SONGKRAN” สงกรานต์แบบวัยรุ่นแฟชั่น เน้นโชว์ ดนตรี และโซนเล่นน้ำกลางเมือง ปีละหลายโซน มีคอนเสิร์ต-กิจกรรมจากศิลปินดัง โฟมปาร์ตี้ และโซนแห้งสำหรับคนไม่อยากเปียก เดินทางง่ายด้วย BTS สยาม สนุกแต่ปลอดภัย เหมาะกับสายถ่ายรูป+เล่นน้ำเบาๆ หลังเลิกงาน 🌈 สีลม (Silom Road) แลนด์มาร์กเล่นน้ำที่คึกคักสุดในกรุงเทพฯ คนแน่นทุกปี บรรยากาศคึกคักสุดๆ มีทั้งสายเต้น สายเปียก และสายแฟ มีเวทีดนตรี ปืนฉีดน้ำจัดเต็ม และจุดบริการน้ำสะอาด เดินทางสะดวกด้วย BTS ศาลาแดง แนะนำให้ใส่เสื้อผ้ามิดชิด พกซองกันน้ำและพกใจให้พร้อม! 🎶 RCA (Route66 x Songkran Party) สายปาร์ตี้ต้องมาที่นี่! มีดนตรี EDM เวทีคอนเสิร์ต และระบบสาดน้ำมันส์สะใจ เหมาะกับคนชอบแดนซ์ยาวๆ ถึงค่ำ สาดน้ำพร้อมดนตรีจากดีเจชื่อดังในคลับ มีหลายเวที/หลายโซนให้เลือก ทั้ง indoor และ outdoor เหมาะกับสายปาร์ตี้หลังเลิกงานหรือคืนวันหยุดยาว 💦 ข้าวสาร (Khao San Songkran) ถนนข้าวสารรวมทั้งชาวไทย-ต่างชาติ สนุกสุดเหวี่ยงตั้งแต่กลางวันยันดึก มีดีเจ บาร์เปิดทั่วแนวถนน บรรยากาศอินเตอร์สุดๆ บรรยากาศสุดชิลปนมันส์ สาดน้ำกันทุกตรอกซอกซอย มีทั้งร้านนั่งชิล ผับ และเวทีดนตรีเล็กๆ สำหรับสายสนุก ต่างชาติคึกคักมาก เหมาะกับสายชิลแบบอินเตอร์! สงกรานต์ไม่ใช่แค่เทศกาลแห่งการสาดน้ำ แต่ยังเป็นช่วงเวลาพักใจ พักกาย และเติมไฟให้ชีวิต หลังจากสนุกเต็มที่แล้ว ก็ถึงเวลาวางแผนอนาคต และถ้ากำลังมองหาโอกาสใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และการทำงานในแบบมนุษย์ออฟฟิศยุคใหม่ ลองมาดูเพิ่มเติมที่ Jobcadu แพลตฟอร์มหางานคุณภาพ ที่รวมแต่โอกาส และทักษะทางการงานดีๆ สุขสันต์วันสงกรานต์ค่ะ

    วันสงกรานต์
    สุขสันต์วันสงกรานต์
    สงกรานต์
    Apr 11, 2025
    1 min