โพสต์เมื่อ November 25, 2024
Jobs & Industries
แท็ก:


KPI (Key Performance Indicator) หรือ ตัวชี้วัดประสิทธิภาพ หรือจะอธิบายง่าย ๆ ก็คือ เครื่องมือที่องค์กรใช้ในการประเมินและติดตามผลลัพธ์ของการทำงานของพนักงานหรือบริษัทเพื่อเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ทีมงานทุกส่วนในองค์กรเข้าใจหน้าที่และเป้าหมายของตนเองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น การกำหนด KPI อย่างมีประสิทธิภาพไม่เพียงแต่ช่วยขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เป้าหมายเท่านั้น แต่ยังช่วยประเมินสุขภาพขององค์กรในเชิงกลยุทธ์อีกด้วย
Key: ตัวชี้วัดที่เป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จหรือกุญแจที่ช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมาย
Performance: ประสิทธิภาพหรือผลลัพธ์ของการทำงานในแต่ละด้าน
Indicator: ดัชนีชี้วัดที่ใช้ประเมินผล
KPI และ OKR (Objective and Key Results) ต่างก็เป็นเครื่องมือวัดผลที่องค์กรนิยมใช้ แต่มีจุดมุ่งหมายและลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
วัตถุประสงค์:
KPI: เน้นการวัดผลและปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงาน เพื่อช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมายระยะยาว
OKR: มุ่งเน้นเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงและท้าทาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแรงจูงใจและผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
การกำหนดเป้าหมาย:
KPI: ใช้แนวทาง "Top-Down" คือ ผู้บริหารกำหนดตัวชี้วัดและส่งต่อไปยังพนักงาน
OKR: ใช้ได้ทั้งแนวทาง "Top-Down" และ "Bottom-Up" เปิดโอกาสให้พนักงานมีส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมาย
ค่าตอบแทน:
KPI: มักใช้ในการประเมินเพื่อการปรับเงินเดือน โบนัส หรือรางวัล
OKR: ไม่ควรเกี่ยวข้องกับค่าตอบแทนโดยตรง เพราะอาจทำให้พนักงานไม่กล้าที่จะตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย หรือตั้งเพื่อเซฟ ๆ
การติดตามและวัดผล:
KPI: มีการติดตามเป็นรายเดือนหรือรายไตรมาส เพื่อประเมินความคืบหน้า
OKR: มีการติดตามผลอย่างยืดหยุ่นตามระยะเวลาของเป้าหมาย
KPI สามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายและบทบาทของแต่ละส่วนในองค์กร ดังนี้
KPI ประเภทนี้เน้นการวัดผลที่ส่งผลต่อภาพรวมขององค์กร ใช้เพื่อติดตามเป้าหมายระดับสูงที่สำคัญ เช่น การเติบโตของรายได้หรือการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด
ตัวอย่าง KPI เชิงกลยุทธ์:
ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI)
รายได้รวม (Revenue)
ส่วนแบ่งตลาด (Market Share)
KPI ประเภทนี้เน้นการวัดผลในระยะสั้น โดยมุ่งเน้นที่กระบวนการทำงานหรือประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
ตัวอย่าง KPI เชิงปฏิบัติการ:
ยอดขายต่อภูมิภาค
ต้นทุนต่อการได้มาของลูกค้า (Cost per Acquisition)
ระยะเวลาเฉลี่ยในการจัดส่งสินค้า
KPI เหล่านี้ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของแต่ละแผนก เช่น การเงิน การตลาด หรือไอที
ตัวอย่าง KPI สำหรับหน่วยงานเฉพาะทาง:
ฝ่ายการเงิน: กำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin), ผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (Return on Assets)
ฝ่ายไอที: เวลาแก้ไขปัญหา (Time to Resolution), ช่วงเวลาที่ระบบพร้อมใช้งานเฉลี่ย (Average Uptime)
Leading Indicators: ตัวชี้วัดที่ช่วยคาดการณ์ผลลัพธ์ในอนาคต เช่น จำนวนลูกค้าใหม่ที่ติดต่อเข้ามา
Lagging Indicators: ตัวชี้วัดที่ใช้วัดผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นแล้ว เช่น รายได้ประจำปี
การพัฒนา KPI อย่างถูกต้องเริ่มต้นจากการเข้าใจเป้าหมายขององค์กร และสร้างตัวชี้วัดที่สามารถสะท้อนความสำเร็จได้อย่างแท้จริง การกำหนด KPI ควรเป็นไปตามหลักการ SMART (Specific, Measurable, Attainable, Realistic, Time-Bound) เพื่อให้สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง
ผูก KPI กับเป้าหมายธุรกิจ: โดยการเลือกตัวชี้วัดที่สอดคล้องกับเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ขององค์กร
ทำให้ KPI ชัดเจน: สื่อสารให้พนักงานเข้าใจเป้าหมายและตัวชี้วัด เพื่อให้ทุกคนเดินไปในทิศทางเดียวกัน
ติดตามและปรับปรุง: ตรวจสอบความเหมาะสมของ KPI อย่างสม่ำเสมอ และปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง
โฟกัสที่คุณภาพมากกว่าปริมาณ: อย่าวัดทุกสิ่งที่ทำได้ แต่ควรเลือกเฉพาะตัวชี้วัดที่มีผลกระทบสูงสุดต่อองค์กร
สมมติว่าบริษัทต้องการเพิ่มยอดขายในไตรมาสหน้า ทีมงานสามารถกำหนด KPI ที่เกี่ยวข้องได้ เช่น
เพิ่มยอดขาย 10% ภายในไตรมาสถัดไป
เพิ่มจำนวนลูกค้าใหม่ 20 รายต่อเดือน
ลดต้นทุนต่อการได้ลูกค้าลง 5%
เมื่อมี KPI ที่ชัดเจน ทีมงานจะสามารถแบ่งหน้าที่ วางแผน และติดตามผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เห็นได้ว่า KPI เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถวางแผน ติดตามผล และปรับปรุงกลยุทธ์เพื่อบรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกใช้ KPI ที่เหมาะสม ไม่เพียงช่วยให้องค์กรมองเห็นจุดแข็งและจุดอ่อนของตนเอง แต่ยังช่วยสร้างความร่วมมือภายในทีมงานให้ก้าวไปในทิศทางเดียวกันอย่างมั่นคงนั่นเอง สำหรับใครคนไหนที่สนใจอ่านบทความต่าง ๆ ที่น่าสนใจ ก็สามารถติดตามบทความเพิ่มเติมได้ เส้นทางอาชีพจาก Jobcadu