Logo
  • โปรไฟล์มืออาชีพ
  • งาน
  • อาชีพ
    เส้นทางอาชีพการเติบโตการศึกษาแรงบันดาลใจบุคลิกภาพ
    งานและอุตสาหกรรมการค้นหางานประวัติ & ผลงานเงินเดือนความเป็นอยู่ที่ดี
  • การศึกษา
  • เครื่องมือสร้างเรซูเม่
  • สำหรับผู้ใช้งานองค์กร



  • Jobcadu Logo

    แพลตฟอร์มอาชีพที่ดีที่สุดสำหรับการหางาน, การสรรหาบุคลากร, ค้นหาอาชีพ และค้นพบแหล่งการศึกษา

    30,000+ หน้าหางาน

    งานตามหมวดหมู่

    การขาย

    การตลาด

    บัญชีและการเงิน

    เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT)

    ข้อมูลและการวิเคราะห์

    สำหรับผู้หางาน

    หน้าหางาน

    เครื่องมือสร้างเรซูเม่

    ทรัพยากรด้านการศึกษา

    ทรัพยากรเรซูเม่

    ประกาศงาน

    ประกาศงาน

    แหล่งข้อมูล

    เกี่ยวกับเรา

    ข้อกำหนดการใช้งาน

    นโยบายความเป็นส่วนตัว


    © 2025 Jobcadu. สงวนลิขสิทธิ์ทั้งหมด

    1. หน้าแรก

    2. อาชีพ

    3. Growth Mindset คืออะไร ทำไมเป็นหนึ่งในทักษะที่สำคัญในองค์กร

    Growth Mindset คืออะไร ทำไมเป็นหนึ่งในทักษะที่สำคัญในองค์กร

    โพสต์เมื่อ June 16, 2025

    Growth

    Growth Mindset คืออะไร ทำไมเป็นหนึ่งในทักษะที่สำคัญในองค์กร

    Growth Mindset คืออะไร? ทำไมจึงเป็นหนึ่งในทักษะที่สำคัญในองค์กร

    ในโลกของการทำงาน ทักษะที่จำเป็นได้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หนึ่งในทักษะที่ได้รับความสนใจอย่างมากและกลายเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตขององค์กรคือ "Growth Mindset" ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่คำศัพท์ติดปาก แต่เป็นทัศนคติและชุดความคิดที่สามารถพลิกโฉมวิธีการทำงานและการพัฒนาบุคลากรไม่ว่าจะต่อตนเองและผู้อื่น มาทำความรู้จักกับ Growth Mindset อย่างละเอียดกัน

    Growth Mindset คืออะไร?

    Growth Mindset หรือ แนวความคิดที่โฟกัสไปถึงการเติบโต คือความเชื่อที่ว่าความสามารถ สติปัญญา และทักษะของเรานั้นสามารถพัฒนาและเติบโตได้ผ่านการเรียนรู้ ความพยายาม และความมุ่งมั่น ไม่ใช่สิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิดและเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ผู้ที่มี Growth Mindset จะมองความท้าทายเป็นโอกาสในการเรียนรู้ ความล้มเหลวเป็นบทเรียน และคำวิจารณ์เป็นสิ่งที่จะนำไปพัฒนาตัวเอง

    Growth Mindset มีความสำคัญอย่างไร?

    การมี Growth Mindset ในองค์กรนำมาซึ่งประโยชน์มากมาย ไม่ใช่แค่เพียงการพัฒนาบุคคล แต่ยังส่งผลต่อภาพรวมขององค์กรในหลายมิติ:

    • ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง: พนักงานจะกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และพัฒนาทักษะอยู่เสมอ ไม่กลัวความผิดพลาด ทำให้องค์กรมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถทันสมัยอยู่ตลอดเวลา

    • สร้างนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์: เมื่อพนักงานไม่กลัวที่จะลองผิดลองถูกและเปิดรับแนวคิดใหม่ ๆ ย่อมนำไปสู่การคิดค้นนวัตกรรมและโซลูชั่นใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจและองค์กร

    • เพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัว: ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน องค์กรที่มี Growth Mindset จะสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ไม่ยึดติดกับวิธีการเดิม ๆ

    • สร้างวัฒนธรรมองค์กรเชิงบวก: บรรยากาศการทำงานที่สนับสนุนการเรียนรู้ การให้กำลังใจ และการยอมรับความผิดพลาดในฐานะส่วนหนึ่งของกระบวนการ ทำให้พนักงานรู้สึกปลอดภัยและมีความสุขในการทำงาน

    • ดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีคุณภาพ: องค์กรที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรย่อมเป็นที่น่าสนใจสำหรับผู้สมัครที่มีศักยภาพ และช่วยลดอัตราการลาออกของพนักงาน

    Growth Mindset มีอะไรบ้าง? (องค์ประกอบของ Growth Mindset)

    องค์ประกอบหลักของ Growth Mindset ได้แก่:

    • เชื่อมั่นในการพัฒนา: มีความเชื่อว่าความสามารถและสติปัญญาพัฒนาได้

    • มองความท้าทายเป็นโอกาส: ไม่หลีกหนีความท้าทาย แต่เห็นเป็นโอกาสในการเรียนรู้

    • เปิดรับคำวิจารณ์: มองคำวิจารณ์เป็นประโยชน์ในการปรับปรุงตนเอง

    • เรียนรู้จากความล้มเหลว: ไม่ท้อแท้กับความล้มเหลว แต่เรียนรู้จากมันเพื่อก้าวต่อไป

    • พยายามและมุ่งมั่น: มีความพยายามและอุตสาหะในการบรรลุเป้าหมาย

    • ชื่นชมความสำเร็จผู้อื่น: สามารถยินดีกับความสำเร็จของผู้อื่นและใช้เป็นแรงบันดาลใจ

    จะสร้าง Growth Mindset ได้อย่างไร?

    การสร้าง Growth Mindset ในองค์กรเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความสม่ำเสมอและมุ่งมั่น:

    1. ให้ความรู้และสร้างความเข้าใจ: จัดอบรมหรือเวิร์คช็อปเพื่ออธิบายแนวคิด Growth Mindset และประโยชน์ที่จะได้รับ

    2. ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต: สนับสนุนให้พนักงานเข้าร่วมการฝึกอบรม สัมมนา หรือเรียนรู้ด้วยตนเอง

    3. เปลี่ยนมุมมองต่อความผิดพลาด: สร้างวัฒนธรรมที่มองความผิดพลาดเป็นโอกาสในการเรียนรู้ ไม่ใช่สิ่งที่ต้องถูกลงโทษ

    4. ให้ฟีดแบ็กเชิงสร้างสรรค์: เน้นการให้ฟีดแบ็กที่ช่วยพัฒนาและชี้ให้เห็นถึงโอกาสในการปรับปรุง

    5. กำหนดเป้าหมายที่ท้าทายและเป็นไปได้: กระตุ้นให้พนักงานตั้งเป้าหมายที่ท้าทายแต่ยังสามารถทำได้ เพื่อให้เกิดความรู้สึกถึงความสำเร็จในการพัฒนา

    6. เป็นแบบอย่างที่ดี: ผู้นำในองค์กรควรเป็นผู้ที่มี Growth Mindset ที่ดี และแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการเรียนรู้และพัฒนา

    Fixed Mindset VS. Growth Mindset มีความแตกต่างกันอย่างไร?

    เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ลองพิจารณาความแตกต่างระหว่าง Fixed Mindset และ Growth Mindset:



    เห็นได้ว่าการมี Growth Mindset คือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดในตัวเอง เพราะจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้เราไม่เพียงแค่ "อยู่รอด" แต่ยังสามารถ "เติบโต" และ "โดดเด่น" ในสายอาชีพของคุณได้อย่างยั่งยืน และเตรียมพร้อมสำหรับทุกความท้าทายที่กำลังจะมาถึง


    หากกำลังมองหางานคุณภาพที่ใช้ Growth Mindset ในการขับเคลื่อนองค์กรและงานจากบริษัทชั้นนำ คลิ๊กเลย >> Jobcadu Jobs


    อาชีพที่เกี่ยวข้อง

    Thumbnail for 7S McKinsey คืออะไร? โมเดลเข้าใจองค์กรแบบรอบด้านสำหรับคนทำงานยุคใหม่

    7S McKinsey คืออะไร? โมเดลเข้าใจองค์กรแบบรอบด้านสำหรับคนทำงานยุคใหม่

    ในโลกการทำงานที่เปลี่ยนเร็ว การเข้าใจ “องค์กรของเรา” สำคัญพอ ๆ กับการเข้าใจ “งานของเรา” การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและสภาวะตลาดที่คาดเดาได้ยาก ทำให้องค์กรต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา และคนทำงานก็จำเป็นต้องเข้าใจโครงสร้างและความพร้อมขององค์กรเพื่อที่จะสามารถทำงานร่วมและนำการเปลี่ยนแปลงนั้นไปสู่ความสำเร็จได้ หนึ่งในโมเดลคลาสสิกที่ช่วยให้เห็นภาพชัดเจนคือ McKinsey 7S Framework ซึ่งเป็นเครื่องมือวิเคราะห์องค์กรที่ถูกใช้มานานหลายทศวรรษ แต่ยังคงมีประสิทธิภาพในการทำความเข้าใจพลวัตขององค์กร โมเดลนี้สามารถนำไปใช้ได้ทั้งระดับองค์กร ทีม และแม้แต่ “การวิเคราะห์ตัวเอง” ในเชิงโครงสร้างการทำงานและเป้าหมายอาชีพ 7S McKinsey คืออะไร? 7S McKinsey คือโมเดลการจัดการที่พัฒนาโดยที่ปรึกษาจากบริษัท McKinsey & Company ในช่วงทศวรรษ 1980 โดย Robert H. Waterman Jr. และ Tom Peters โมเดลนี้ใช้สำหรับวิเคราะห์และพัฒนาองค์กรโดยมอง “องค์ประกอบ 7 ด้าน” ที่ต้องเชื่อมโยงและสอดคล้อง (Alignment) กัน 7S มีทั้งหมด 7 องค์ประกอบ ได้แก่: Strategy – กลยุทธ์ Structure – โครงสร้างองค์กร Systems – ระบบการทำงาน Shared Values – ค่านิยมร่วม Style – รูปแบบการบริหาร Staff – บุคลากร Skills – ทักษะ อธิบายแต่ละองค์ประกอบของโมเดล 7S (พร้อมตัวอย่างเข้าใจง่าย) 1.Strategy (กลยุทธ์): หมายถึงแผนการดำเนินงานที่ถูกกำหนดขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์เป้าหมายระยะยาวขององค์กร และการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาด ตัวอย่าง: บริษัทที่มุ่งเน้น นวัตกรรม (Innovation) จะมีกลยุทธ์ที่เน้นการลงทุนในแผนกวิจัยและพัฒนา (R&D) มากกว่าการใช้เงินส่วนใหญ่ไปกับการตลาดแบบดั้งเดิม 2.Structure (โครงสร้างองค์กร): หมายถึงการจัดแผนผังความสัมพันธ์ของอำนาจ หน้าที่ ความรับผิดชอบ และช่องทางการสื่อสารภายในองค์กร ตัวอย่าง: บริษัทสตาร์ทอัปมักใช้โครงสร้างแบบแบน (Flat Structure) เพื่อลดลำดับขั้นการตัดสินใจ ทำให้ทีมทำงานได้อย่างรวดเร็วและยืดหยุ่นกว่าบริษัทขนาดใหญ่ที่มีโครงสร้างแบบลำดับขั้น (Hierarchical Structure) 3.Systems (ระบบการทำงาน): หมายถึงขั้นตอน วิธีการ หรือเครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินงานประจำวัน ซึ่งรวมถึงกระบวนการทางธุรกิจทั้งหมด ตัวอย่าง: ระบบประเมินผลงาน (Performance Review System), Workflow การอนุมัติโครงการ, Software ภายในสำหรับจัดการลูกค้า (CRM), หรือระบบซัพพลายเชน 4.Shared Values (ค่านิยมร่วม): หัวใจของโมเดลนี้  หมายถึงสิ่งที่ทุกคนในองค์กรเชื่อและยึดถือร่วมกันอย่างลึกซึ้ง ซึ่งเป็นรากฐานของวัฒนธรรมองค์กร ค่านิยมที่เข้มแข็งจะชี้นำพฤติกรรมและการตัดสินใจของพนักงาน ตัวอย่าง: ค่านิยมหลัก เช่น “Customer First” (ให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอันดับแรก), “Team over Individual” (ทำงานเป็นทีมเหนือผลประโยชน์ส่วนตัว) หรือ “Trust & Transparency” (ความไว้วางใจและความโปร่งใส) 5.Style (สไตล์การบริหาร): หมายถึงลักษณะของผู้นำและผู้บริหารระดับสูงในการปฏิสัมพันธ์กับพนักงานและบรรยากาศโดยรวมในการทำงานร่วมกัน ตัวอย่าง: สไตล์แบบเปิดรับฟัง (Participative), สไตล์แบบสั่งการ (Authoritative), หรือสไตล์แบบโค้ชชิ่ง (Coaching) ซึ่งมีผลต่อขวัญและกำลังใจของพนักงาน 6.Staff (บุคลากร): หมายถึงคนในองค์กรทั้งหมด รวมถึงจำนวน คุณภาพ วิธีการสรรหา การพัฒนา และการดูแลพนักงาน ตัวอย่าง: การอบรมเพื่อสร้างผู้นำรุ่นใหม่ (Leadership Development Program), การบริหารความหลากหลายของบุคลากร (Diversity Management) หรือการดูแลสวัสดิการของพนักงาน 7.Skills (ทักษะ): หมายถึง ความสามารถหลักขององค์กรที่สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และความสามารถเฉพาะตัวของบุคลากร ตัวอย่าง: ความสามารถหลัก เช่น ทักษะทางเทคนิค (Technical Skills) ในการพัฒนา AI ของบริษัทเทคโนโลยี, ทักษะด้านการเจรจาต่อรองของทีมขาย หรือ Soft Skills เช่น การคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) ของทีมงาน ประโยชน์ของการใช้โมเดล 7S ในองค์กร การใช้โมเดล 7S ช่วยให้ผู้นำและผู้บริหารมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งและรอบด้านในการจัดการการเปลี่ยนแปลง ใช้ประเมินความพร้อม ก่อนเปลี่ยนกลยุทธ์ครั้งใหญ่ หรือก่อนการควบรวมกิจการ ใช้วิเคราะห์จุดแข็ง-จุดอ่อน ขององค์กรในแต่ละด้าน เพื่อระบุปัญหาที่แท้จริง สร้างความสอดคล้อง ระหว่าง “เป้าหมาย” กับ “วัฒนธรรมองค์กร” (Soft S’s) ซึ่งเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน ใช้ในการสื่อสาร และพัฒนาทีมงาน รวมถึงทีม HR, Leader และทีมบริหารให้มีภาษาและกรอบความคิดร่วมกัน ตัวอย่างการนำ 7S มาใช้จริง ตัวอย่างสมมติ: บริษัทที่ต้องการเปลี่ยนจากออฟไลน์สู่ดิจิทัล Strategy: เพิ่มช่องทางออนไลน์ Structure: ปรับทีมตั้ง Digital Team Systems: นำ CRM และระบบ Automation มาใช้ Shared Values: สนับสนุนการทดลองสิ่งใหม่ Style: ผู้นำเป็นโค้ชมากขึ้น Staff: จ้างคนสาย Data / Digital Skills: Upskill พนักงานเดิมให้ใช้เครื่องมือดิจิทัล ใช้กับ “พนักงาน” ได้ด้วย คุณสามารถใช้ 7S วิเคราะห์ตัวเอง เช่น Strategy = Career Goal Skills = ทักษะที่ต้องพัฒนา Style = วิธีการทำงานของเรา Shared Values = สิ่งที่เราเชื่อและหาในที่ทำงาน เคล็ดลับใช้ 7S ให้ได้ผลจริง ต้องมีการพูดคุยจริงในองค์กร ไม่ใช่ทำแค่เอกสาร เริ่มจากกำหนด Shared Values ให้ชัด เพราะเป็นแกนกลาง ทบทวนระบบและโครงสร้างทุก 6 เดือน ใช้คู่กับเครื่องมืออื่น เช่น SWOT, Balanced Scorecard เพื่อผลวิเคราะห์ที่สมบูรณ์ โมเดล 7S McKinsey เป็นเหมือน “แผนที่” ที่ทำให้เห็นว่าทุกส่วนขององค์กรเชื่อมโยงกันอย่างไร ไม่ใช่แค่เรื่องกลยุทธ์หรือโครงสร้างเท่านั้น แต่รวมถึงจิตวิญญาณขององค์กรอย่างค่านิยมและทักษะของคนด้วย การวิเคราะห์และสร้างความสอดคล้องของทั้ง 7 องค์ประกอบนี้ จะช่วยให้องค์กรมีความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลง และสามารถรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันได้อย่างยั่งยืน คนทำงานยุคใหม่ที่เข้าใจโครงสร้างและค่านิยมองค์กร จะสามารถเติบโต ปรับตัว และสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับองค์กรได้เร็วกว่า อยากพัฒนาทักษะด้านการบริหารและเข้าใจองค์กรเชิงกลยุทธ์มากขึ้น? ค้นหาคอร์ส พัฒนาทักษะอาชีพ และบทความดี ๆ สำหรับคนทำงานยุคใหม่ได้ที่ 👉 www.jobcadu.com

    Dec 2, 2025
    Thumbnail for Mind Mapping แผนที่ความคิดที่ทำให้ทุกอย่างชัดขึ้นในพริบตา ช่วยให้คุณทำงานเป็นระบบและคิดไอเดียได้เร็วขึ้น!

    Mind Mapping แผนที่ความคิดที่ทำให้ทุกอย่างชัดขึ้นในพริบตา ช่วยให้คุณทำงานเป็นระบบและคิดไอเดียได้เร็วขึ้น!

    ในยุคที่ข้อมูลล้นมือ การจัดระเบียบความคิดให้เป็นระบบไม่ใช่แค่ “ทักษะที่ดีมีไว้” แต่เป็น “ทักษะจำเป็น” สำหรับการเรียน การทำงาน และการวางแผนชีวิต หนึ่งในเครื่องมือที่ได้รับความนิยมที่สุดทั่วโลกก็คือ Mind Mapping หรือแผนที่ความคิด เทคนิคที่ช่วยให้คุณมองภาพรวมได้ชัด คิดต่อยอดได้เร็ว และวางแผนอย่างมีประสิทธิภาพ Jobcadu จะพาคุณไปรู้จัก Mind Mapping ตั้งแต่พื้นฐาน วิธีทำ ประโยชน์ ไปจนถึงตัวอย่างและเครื่องมือที่เหมาะสำหรับมือใหม่ Mind Mapping คืออะไร? Mind Map คือแผนภาพที่ช่วยจัดระเบียบข้อมูล โดยเริ่มจาก “หัวข้อกลาง” แล้วแตกแขนงเป็นหัวข้อย่อยลักษณะคล้ายโครงสร้างรังผึ้งหรือกิ่งไม้ ช่วยให้เราเห็นภาพรวมและความเชื่อมโยงของแต่ละไอเดียได้ชัดเจนกว่าการจดแบบลิสต์ธรรมดา ผู้ที่ทำให้ Mind Mapping กลายเป็นที่นิยมทั่วโลกคือ Tony Buzan นักเขียนและนักจิตวิทยาชาวอังกฤษ เขาสังเกตว่า “สมองมนุษย์คิดแบบรัศมี (Radiant Thinking)” คือกระจายออกไปเป็นกิ่งก้าน เมื่อเราจดด้วยภาพ เส้น สี และคำสำคัญ สมองจะจดจำได้ดีกว่าการเขียนตัวหนังสือเรียงยาว ๆ จึงเกิดเป็นเทคนิค Mind Mapping ที่ใช้กันจนถึงทุกวันนี้ ทำไม Mind Mapping จึงนิยมมาก? Mind Mapping ช่วยให้ข้อมูลที่ซับซ้อนกลายเป็นภาพที่เข้าใจง่าย ใช้ได้ทั้งการเรียน การประชุม วางแผนงาน ไปจนถึงการออกแบบกลยุทธ์ธุรกิจ หลักการสำคัญของการทำ Mind Mapping โครงสร้างแบบ Radiant Thinking: แตกข้อมูลจากแกนกลางเป็นกิ่งก้าน ใช้คำหลัก (Keywords): ไม่เขียนยาว ใช้คำสั้น ๆ ที่เห็นปุ๊บเข้าใจปั๊บ ใช้สี สัญลักษณ์ และภาพ: ทำให้จดจำง่ายและกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ มีลำดับชั้นของข้อมูล: จากหัวข้อหลัก → หัวข้อรอง → รายละเอียดย่อย ประโยชน์ของการทำ Mind Mapping Mind Mapping มีประโยชน์หลายด้าน ทั้งสำหรับนักเรียน คนทำงาน และผู้บริหาร เช่น ช่วยจัดระเบียบความคิด ให้ชัดเจน เพิ่มประสิทธิภาพการจำ และการทบทวน ทำให้คิดไอเดียใหม่ ๆ ได้ง่ายขึ้นเวลาประชุมหรือ Brainstorm วางแผนงานได้เป็นระบบ เห็นลำดับงานชัดเจน ใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารให้ทีมเข้าใจตรงกัน ลดเวลาในการทำงาน เพราะทุกอย่างถูกจัดโครงสร้างไว้แล้ว Mind Mapping ใช้ทำอะไรได้บ้าง? วางแผนงาน (Work Planning) ทบทวนหนังสือหรือเนื้อหาการเรียน ทำ Project Management วางกลยุทธ์ธุรกิจ เขียนบทความ/วางคอนเทนต์ วางแผนชีวิต (Life Planning / Goal Setting) สรุปหนังสือ Brainstorm แคมเปญการตลาด วิธีทำ Mind Mapping สำหรับมือใหม่ Step 1 : เลือกหัวข้อกลาง (Central Topic) Step 2 : แตกหัวข้อหลักเป็นกิ่งก้าน (Main Branches) Step 3 : แตกต่อเป็นหัวข้อย่อย (Sub-branches) เพื่อขยายไอเดีย Step 4 : ใช้สี รูปภาพ และสัญลักษณ์ เพื่อให้จำง่าย Step 5 : ทบทวนอีกครั้งว่าลำดับข้อมูลลื่นไหลหรือไม่ Step 6 : นำไปใช้งานจริง เช่น เขียนบทความ วางแผนโปรเจกต์ หรือจัดประชุม ตัวอย่าง Mind Mapping แบบง่าย Mind Map สำหรับเขียนบทความ: แตกเป็นโครงร่างหลัก เช่น หัวเรื่อง → อินโทร → พาร์ทย่อย → สรุป Mind Map สำหรับวางแผนโปรเจกต์: เช่น Objectives → Timeline → Task → ผู้รับผิดชอบ Mind Map สำหรับตั้งเป้าชีวิต: เช่น การเงิน สุขภาพ การงาน ความสัมพันธ์ การเรียนรู้ เครื่องมือทำ Mind Mapping (ทั้งฟรีและเสียเงิน) แบบออนไลน์ Canva Miro MindMeister XMind Figma FigJam แบบออฟไลน์ / ทำมือ สมุดจด ปากกาหลากสี กระดาษ A4 / A3 เทคนิคทำ Mind Mapping ให้มีประสิทธิภาพ หลีกเลี่ยงการใส่ข้อมูลเยอะเกินไป ใช้คำสั้น ๆ เพื่อดึงภาพจำ ใช้สีเพื่อแบ่งหมวดหมู่ นำ Mind Map ไปใช้งานจริง ไม่ใช่แค่ทำให้สวย อัปเดตทุกครั้งเมื่อไอเดียเปลี่ยน Mind Mapping เป็นเทคนิคที่ช่วยเปลี่ยนความคิดกระจัดกระจายให้กลายเป็นภาพที่เข้าใจง่ายในหน้าเดียว ช่วยให้เราคิดเป็นระบบ จัดลำดับงานได้ชัดเจน และต่อยอดไอเดียได้เร็วขึ้น ไม่ว่าจะใช้ในการเรียน ทำงาน หรือวางแผนชีวิต Mind Map ก็ช่วยให้คุณเห็นภาพรวมและตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากขึ้น ที่สำคัญคือเริ่มทำได้ทันที ทั้งแบบเขียนมือและแบบออนไลน์ ทำให้เป็นเครื่องมือที่เหมาะสำหรับทุกคนที่อยากพัฒนาทักษะการคิดและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในทุกวัน ค้นหาคอร์สอัปสกิล, ความรู้ด้านอาชีพ และเทคนิคการทำงานแบบมืออาชีพได้ที่ Jobcadu พร้อมเครื่องมือช่วยวางแผนเส้นทางอาชีพ ให้คุณก้าวหน้าได้อย่างมั่นใจ

    Nov 24, 2025
    Thumbnail for Entrepreneur คืออะไร? เส้นทางสู่การเป็นผู้ประกอบการยุคใหม่

    Entrepreneur คืออะไร? เส้นทางสู่การเป็นผู้ประกอบการยุคใหม่

    ในยุคที่เทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว “การเป็นผู้ประกอบการ” หรือ Entrepreneur กลายเป็นเส้นทางอาชีพที่หลายคนสนใจมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่ที่อยากเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง ฟรีแลนซ์ที่ต้องการโตเป็นแบรนด์ หรือคนทำงานประจำที่กำลังมองหาโอกาสใหม่ ๆ บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจอย่างละเอียดว่า Entrepreneur คืออะไร, ต้องมีทักษะอะไรบ้าง, และจะเริ่มต้นเส้นทางนี้ได้อย่างไร Entrepreneur คืออะไร? Entrepreneur คือ “ผู้ประกอบการ” ผู้ที่เห็นโอกาสทางธุรกิจ คิดสร้างไอเดียใหม่ และลงมือทำให้เกิดขึ้นจริง โดยยอมรับความเสี่ยงเพื่อแลกกับการเติบโตในอนาคต ไม่จำกัดว่าต้องเป็นบริษัทใหญ่เสมอไป อาจเป็นธุรกิจเล็ก ธุรกิจออนไลน์ หรือธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ความแตกต่างระหว่าง Entrepreneur / Self-employed / Freelancer Freelancer: ขายความสามารถ รับงานตามโปรเจกต์ รายได้ตามเวลาที่ลงแรง Self-employed: เจ้าของกิจการที่ทำงานเองเป็นหลัก เช่น ร้านกาแฟร้านเดียว คนทำอาหารเดลิเวอรี Entrepreneur: เน้นสร้างระบบ สร้างทีม สร้างโมเดลธุรกิจที่เติบโตได้ด้วยตัวเอง (Scalable) ผู้ประกอบการยุคใหม่ (Digital Entrepreneur, Tech Founder, Creator Entrepreneur) ยุคนี้ Entrepreneur ไม่ได้หมายถึงผู้เปิดบริษัทใหญ่เสมอไป แต่รวมถึง: Digital Entrepreneur: ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์สร้างธุรกิจ Tech Founder: พัฒนาสตาร์ทอัพหรือผลิตภัณฑ์เทคโนโลยี Creator Entrepreneur: คอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่ต่อยอดเป็นธุรกิจ คุณสมบัติของการเป็น Entrepreneur ที่แท้จริง 1. ความกล้าเสี่ยงอย่างมีการคำนวณ (Calculated Risk-taking): ผู้ประกอบการไม่ใช่คนเสี่ยงแบบไร้แผน แต่คือคนที่รู้ความเสี่ยง วิเคราะห์ข้อมูล และเลือกเสี่ยงในจุดที่คุ้มค่า 2. ทักษะการแก้ปัญหา + คิดเชิงธุรกิจ: มองปัญหาเป็นโอกาส วิเคราะห์ตลาด คู่แข่ง โมเดลรายได้ และต้นทุนได้อย่างเป็นระบบ 3. ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม: กล้าที่จะคิดต่างและสร้างสิ่งใหม่ แม้เพียงเล็กน้อย เช่น การนำ AI มาช่วยทำงานหรือสร้างบริการรูปแบบใหม่ 4. การบริหารคนและทรัพยากร: รู้วิธีจัดการทีม การเงิน เวลา และทรัพยากรที่มีจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด 5. Growth Mindset: เชื่อว่าทักษะพัฒนาได้ เรียนรู้จากความผิดพลาด และพร้อมปรับตัวเสมอ ประเภทของ Entrepreneur ที่พบบ่อย 1.Small Business Entrepreneur: เจ้าของร้าน ร้านอาหาร SME ธุรกิจบริการในชุมชน 2.Startup Founder: ผู้สร้างธุรกิจที่เน้นเทคโนโลยีและการเติบโตแบบรวดเร็ว (Scale-up) 3.Social Entrepreneur: ธุรกิจที่สร้างผลกระทบเชิงสังคม เช่น การศึกษา สิ่งแวดล้อม 4.Solopreneur / Creator / Influencer Entrepreneur: ทำธุรกิจคนเดียวโดยใช้ทักษะ การสร้างคอนเทนต์ และเครื่องมือออนไลน์เป็นหลัก 5.Franchise Entrepreneur: ซื้อแฟรนไชส์เพื่อนำระบบสำเร็จรูปมาทำธุรกิจ ทำไมปี 2025–2026 ถึงเป็นยุคทองของ Entrepreneur 1. เศรษฐกิจดิจิทัลเติบโต: ตลาดออนไลน์เติบโตจากอีคอมเมิร์ซ คอนเทนต์ และบริการดิจิทัลทุกประเภท 2. ต้นทุนเริ่มธุรกิจต่ำ: อุปกรณ์ไม่มาก เครื่องมือออนไลน์ฟรีหรือราคาถูก เช่น เว็บไซต์โค้ดน้อย ระบบจ่ายเงินสำเร็จรูป 3. AI ช่วยให้ทำงานคนเดียวได้เหมือนทีม: สร้างคอนเทนต์ ออกแบบ จัดการระบบลูกค้า วิเคราะห์ข้อมูล—all-in-one 4. ผู้บริโภคเปิดรับแบรนด์ใหม่: คนรุ่นใหม่ให้โอกาสแบรนด์เล็ก แบรนด์ท้องถิ่น และสินค้าที่มีคอนเซปต์เฉพาะกลุ่มมากขึ้น อยากเป็น Entrepreneur ต้องเริ่มยังไง? Step 1: วางไอเดียธุรกิจ (Problem → Solution → Market Fit) เริ่มจากปัญหาของลูกค้าจริง ไม่ใช่สิ่งที่เราคิดไปเอง Step 2: หา Insight ลูกค้า สัมภาษณ์ลูกค้า สำรวจพฤติกรรม วิเคราะห์พฤติกรรมตลาด Step 3: สร้างสินค้า/บริการเวอร์ชันทดลอง (MVP) เริ่มแบบเล็กที่สุด ใช้ต้นทุนน้อยที่สุด เพื่อนำไปทดสอบตลาดจริง Step 4: หาเงินทุนเริ่มต้น Bootstrap ลงทุนเอง Angel Investor Venture Capital Step 5: สร้างแบรนด์และการตลาด สร้างตัวตนบนออนไลน์ ทำคอนเทนต์ รันโฆษณา สร้างชุมชนลูกค้า Step 6: สเกลธุรกิจด้วย Tech + AI ระบบอัตโนมัติ Chatbot ระบบจัดการหลังบ้าน เทคโนโลยีช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ ทักษะจำเป็นของ Entrepreneur ยุคใหม่ Digital Marketing Data Literacy (การอ่านและใช้ข้อมูล) การขายและการเจรจา การบริหารเงินและวางแผนธุรกิจ Leadership & Communication ข้อดีของการเป็น Entrepreneur 1.อิสระในการทำงาน: กำหนดเวลาและรูปแบบชีวิตได้เอง 2. รายได้ไม่จำกัด: รายได้เติบโตตามความสามารถและการสเกลธุรกิจ 3.สร้างอิมแพ็กกับผู้คนหรือสังคม: สร้างคุณค่าและผลกระทบที่จับต้องได้ 4. ได้เรียนรู้ทักษะหลากหลาย: ธุรกิจคือสนามจริงที่ทำให้เติบโตเร็วที่สุด ความท้าทายที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ รายได้ไม่แน่นอน ความกดดันสูง ต้องบริหารทุกอย่างด้วยตัวเองในช่วงแรก มีความเสี่ยงที่ต้องวางแผนอย่างรอบคอบ ตัวอย่างธุรกิจที่เริ่มได้ง่ายในปี 2025 1.Online Coaching / Consulting: ใช้ความรู้เป็นรายได้ 2.E-commerce Brand: เริ่มจากสินค้าชิ้นเล็ก ๆ ก็ได้ 3.Digital Product: E-book, Template, คอร์สอบรม ฯลฯ 4.Homemade F&B: อาหาร เบเกอรี่ เครื่องดื่ม โฮมเมดคุณภาพสูง 5.Agency (Marketing / Content / Media Buying): เริ่มจาก 1 คนก็ทำได้ 6.AI Automation Service: ช่วยธุรกิจใช้ AI เพิ่มประสิทธิภาพ การเป็น Entrepreneur ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ยุคนี้คือยุคที่ทุกคนสามารถเป็นผู้ประกอบการได้ ต้นทุนเริ่มต้นต่ำ เครื่องมือพร้อม และความรู้หาได้ง่าย ๆ บนอินเทอร์เน็ต หากคุณมีไอเดีย ความกล้าลอง และพร้อมพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง โอกาสบนเส้นทาง Entrepreneur รอคุณอยู่เสมอ อยากเริ่มต้นเส้นทางผู้ประกอบการ?  ค้นหาทักษะ อบรม และข้อมูลอาชีพที่ช่วยให้คุณเติบโตได้ที่ www.jobcadu.com

    Nov 24, 2025
    Thumbnail for SWOT คืออะไร? เครื่องมือเข้าใจตัวเองและวางแผนชีวิตแบบคนทำงานยุคใหม่

    SWOT คืออะไร? เครื่องมือเข้าใจตัวเองและวางแผนชีวิตแบบคนทำงานยุคใหม่

    SWOT คืออะไร? SWOT คือเครื่องมือในการวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ที่ใช้ในการประเมินสถานการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นองค์กร โครงการ หรือแม้แต่ตัวบุคคล เพื่อให้เห็นภาพรวมของปัจจัยทั้งภายในและภายนอกที่มีผลต่อการบรรลุเป้าหมาย คำว่า SWOT มาจากอักษรย่อขององค์ประกอบ 4 ส่วน ได้แก่ S - Strengths (จุดแข็ง): ปัจจัยภายในที่เป็นประโยชน์และสร้างความได้เปรียบ W - Weaknesses (จุดอ่อน): ปัจจัยภายในที่เป็นข้อบกพร่องหรือข้อจำกัดที่ทำให้เสียเปรียบ O - Opportunities (โอกาส): ปัจจัยภายนอกที่เป็นสถานการณ์หรือแนวโน้มที่เราสามารถใช้ประโยชน์ได้ T - Threats (อุปสรรค): ปัจจัยภายนอกที่เป็นสถานการณ์หรือความเสี่ยงที่อาจส่งผลเสียต่อเรา การวิเคราะห์ SWOT ช่วยให้สามารถวางแผนกลยุทธ์โดยการนำจุดแข็งมาใช้ประโยชน์จากโอกาส จัดการกับจุดอ่อน และป้องกันหรือลดผลกระทบจากอุปสรรค การทำ SWOT ส่วนบุคคล (Personal SWOT) คืออะไร? การทำ SWOT ส่วนบุคคล (Personal SWOT Analysis) คือการนำแนวคิดการวิเคราะห์ SWOT มาประยุกต์ใช้กับตัวเราเอง เพื่อทำความเข้าใจศักยภาพและข้อจำกัดของตนเอง รวมถึงมองเห็นสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องในปัจจุบันและอนาคต การทำ SWOT ส่วนบุคคลจะช่วยให้เรา: รู้จักตนเองอย่างลึกซึ้ง ทั้งในแง่ทักษะ ความสามารถ และบุคลิกภาพ กำหนดเป้าหมายอาชีพ และการพัฒนาตนเองได้อย่างชัดเจนและเป็นจริง วางแผนการทำงาน และการตัดสินใจในชีวิตการงานได้อย่างมีกลยุทธ์ เพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ และลดความเสี่ยงหรือความผิดพลาด วิธีวิเคราะห์ SWOT ของตัวเอง การวิเคราะห์ SWOT ของตัวเองอย่างเป็นระบบจะแบ่งเป็น 2 ส่วนหลักคือ ปัจจัยภายใน (Strengths และ Weaknesses) และ ปัจจัยภายนอก (Opportunities และ Threats): การปรับใช้ SWOT กับการทำงาน การวิเคราะห์ SWOT จะมีประโยชน์อย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อเรานำผลลัพธ์ไปใช้ในเชิงปฏิบัติ เช่น วางแผนพัฒนาตนเอง (Self-Development Plan) – ใช้จุดแข็งต่อยอด เพิ่มโอกาสเรียนรู้ใหม่ ๆ การสื่อสารกับหัวหน้า / HR – ใช้ SWOT เป็นข้อมูลประกอบการวางแผนเส้นทางอาชีพ (Career Path) การบริหารเวลาและงาน – รู้จุดอ่อนของตัวเอง ช่วยให้จัดลำดับงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การประเมินผลงาน (Performance Review) – ใช้ SWOT ในการอธิบายพัฒนาการของตนเองอย่างชัดเจน เคล็ดลับการพัฒนาและต่อยอด SWOT ให้ได้ผล มองให้เป็นความจริง (Be Objective): การวิเคราะห์ต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง ให้ผู้อื่นที่ไว้ใจช่วยประเมินทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำที่สุด มุ่งเน้นที่การปฏิบัติ (Action-Oriented): ผลลัพธ์ของ SWOT ต้องนำไปสู่ แผนปฏิบัติการที่ชัดเจน ไม่ใช่แค่การจดรายการ เช่น แทนที่จะเขียนว่า "จุดอ่อน: จัดการเวลาไม่ดี" ให้เปลี่ยนเป็น "แผน: ลงทะเบียนเรียนคอร์สบริหารเวลา ภายใน 1 เดือน" ติดตามและปรับปรุง (Monitor and Update): สภาพแวดล้อมและตัวเราเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ควรทบทวนและปรับปรุงการวิเคราะห์ SWOT อย่างสม่ำเสมอ (เช่น ทุก 6 เดือน หรือเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตการงาน) ใช้จุดแข็งปิดจุดอ่อน (Leverage Strengths): ใช้จุดแข็งที่มีอยู่เพื่อช่วยลดผลกระทบหรือแก้ไขจุดอ่อน เช่น หากจุดแข็งคือ "การทำงานละเอียด" แต่จุดอ่อนคือ "นำเสนอไม่เก่ง" ให้ใช้ความละเอียดรอบคอบในการเตรียมสคริปต์การนำเสนอให้สมบูรณ์แบบที่สุด การปรับใช้ SWOT ของตัวเองกับการทำงานเป็นกระบวนการที่ช่วยให้เรามองเห็นศักยภาพและขีดจำกัดของตัวเองอย่างมีระบบ เมื่อเรารู้ว่าจุดแข็งคืออะไร ควรพัฒนาอะไร และโลกภายนอกเปิดโอกาสหรือมีความท้าทายใดอยู่ เราก็จะสามารถวางกลยุทธ์ในการทำงานและพัฒนาตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของ “คนทำงานยุคใหม่” ที่ไม่เพียงทำงานเก่ง แต่ยัง “เข้าใจตัวเอง” อย่างแท้จริง เปลี่ยนผลลัพธ์จากการวิเคราะห์ SWOT ของคุณให้กลายเป็นการเติบโตในสายอาชีพจริง ค้นหาเคล็ดลับ เครื่องมือ และงานที่ตรงกับเป้าหมายของคุณได้ที่ www.jobcadu.com

    Nov 4, 2025
    Thumbnail for HR Hero Summit 2025: เมื่อ “AI” ไม่ได้มาแทนที่คน  แต่คนที่ “ใช้ AI เป็น” ต่างหาก ที่จะพาองค์กรไปได้ไกลกว่า

    HR Hero Summit 2025: เมื่อ “AI” ไม่ได้มาแทนที่คน  แต่คนที่ “ใช้ AI เป็น” ต่างหาก ที่จะพาองค์กรไปได้ไกลกว่า

    ในยุคที่เทคโนโลยี AI กำลังเปลี่ยนแปลงทุกมิติของโลกการทำงาน คำถามใหญ่ที่หลายองค์กรกำลังเผชิญคือ “เราจะอยู่รอดได้อย่างไร ในวันที่ AI ฉลาดขึ้นทุกวัน?” งาน HR Hero Summit 2025 เวทีแห่งผู้นำ HR และเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดแห่งปี ภายใต้ธีม “Future by AI, Shaped by People” ได้จุดประกายคำตอบใหม่ให้กับวงการทรัพยากรมนุษย์และผู้บริหารธุรกิจอีกครั้ง ณ True Digital Park (Grand Hall) เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2025 ภายในงานรวบรวมทั้งเวทีความรู้สุดเข้มข้นผ่านการเผยอินไซต์จากผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าของประเทศไทย ที่ครอบคลุมกลยุทธ์ Talent, People Transformation, การประยุกต์ใช้ AI ในงาน HR ตั้งแต่การสรรหาจนถึงการวัดผลลัพธ์ บูธเทคโนโลยีจากแบรนด์ชั้นนำ และเวิร์กชอปที่ออกแบบมาเพื่อปลดล็อกศักยภาพ “คน” ให้พร้อมเติบโตไปพร้อมกับ AI สรุปจาก 3 Session ที่น่าสนใจ Impact Leadership: ผู้นำต้อง "นำ" องค์กรไปได้ไกลกว่า AI ใน Session Impact Leadership: Leading People Beyond AI ดร.สุทธิโสพรรณ ช่วยวงศ์ญาติ, Partner จาก Slingshot Group ได้ให้คำตอบสำหรับคำถามที่ผู้นำส่วนใหญ่ค้นหา: ผู้นำจะใช้ AI มาช่วยในการเปลี่ยนแปลงองค์กรได้อย่างไร? ดร.สุทธิโสพรรณชี้ว่า "Beyond AI" หมายถึงการไปได้ไกลกว่าเทคโนโลยี ซึ่งต้องอาศัยทักษะผู้นำที่สามารถนำพาองค์กรก้าวข้ามสิ่งที่เป็นอยู่ โดยเน้นย้ำว่า คำถามสำคัญไม่ใช่ว่า AI จะเข้ามาทำอะไร แต่เป็น “เรา” จะทำอย่างไรกับ AI ต่างหาก ผู้นำต้องนำองค์กร “ไปให้ไกลกว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่ตอนนี้” และเข้าใจ 3 แนวโน้มสำคัญที่จะกำหนดอนาคตองค์กร 1. Beyond Crisis: AI มาพร้อม “Polycrisis”  ความท้าทายหลายมิติ ทั้ง Climate Change, Talent Shortage และ Geopolitical Tension  สิ่งสำคัญคือผู้นำจะใช้เครื่องมือและทีมอย่างไรเพื่อผ่านวิกฤตเหล่านี้ไปด้วยกัน 2. Beyond Culture: วัฒนธรรมองค์กรไม่เพียงพออีกต่อไป สิ่งที่องค์กรต้องการคือ “Leadership Culture” คือการสร้างสภาพแวดล้อมที่คนกล้าให้ Feedback, กล้าตัดสินใจ และร่วมขับเคลื่อนเป้าหมายเดียวกัน 3. Beyond Mindset: ผู้นำยุคใหม่ต้องมี “Augmented Mindset”  มองไกล คิดสร้างสรรค์ และทำงานร่วมกับคนอื่นได้ดี “ผู้นำไม่จำเป็นต้องไปคนเดียว แต่ต้องพาทั้งองค์กรไปด้วยกัน” การบริหาร “การเมืองในองค์กร” ก็ไม่ใช่เรื่องลบ หากเข้าใจว่าเป้าหมายคือความสำเร็จร่วมกัน ผู้นำที่กล้าท้าทาย (Challenger Mindset) เปิดรับสิ่งใหม่ และปลูกฝังการเติบโต (Growth Mindset)  จะพาองค์กร “ไปได้ไกลกว่าเทคโนโลยี” Unlocking Human Potential with Agentic AI: The Future of People & Work คุณอภินันท์ รุดดิษฐ์, Co-founder & MD ของ SE Tech  ได้แชร์มุมมองจากประสบการณ์จริงว่า “AI ไม่ใช่ศัตรูของคน แต่คือเครื่องมือที่ช่วยให้เรากลับมาทำงานที่เป็นมนุษย์มากขึ้น” Agentic AI คือพัฒนาการขั้นต่อไปของ AI  ที่ไม่ใช่แค่ Chatbot ตอบคำถาม แต่สามารถ “รับโจทย์ วางแผน ดึงข้อมูล และลงมือทำงานอัตโนมัติได้” ช่วยจัดการงาน "กินพลังงาน" (งาน Routine ซ้ำ ๆ) เพื่อให้คนมีเวลาไปมุ่งเน้นงานเชิงกลยุทธ์และงานที่เป็นมนุษย์มากขึ้น คุณอภินันท์เน้นย้ำว่า "AI ไม่ได้มาแทนที่คน แต่ AI จะทำให้เราใช้ AI เก่งขึ้น" โดยเป้าหมายคือ: People + AI = Highest Organization Performance ตัวอย่างการทำงาน: Agentic AI สามารถสกรีน CV ด้วย Smart Framework และนัดสัมภาษณ์ผู้สมัคร ทำให้กระบวนการที่ใช้เวลา 2-3 วัน ลดเหลือเพียง 1 วัน ซึ่งช่วยลด HR Burnout ได้อย่างชัดเจน หลักการทำงานร่วมกับ AI: ต้องอยู่บนหลักการ Zero Trust (ความไว้วางใจเกิดจากความไม่ไว้วางใจ) คือการทบทวนและตรวจสอบผลลัพธ์ของ AI ทุกขั้นตอน เพื่อให้มั่นใจในความถูกต้องและประสิทธิภาพสูงสุด KPI ของ Agentic AI ที่ดีมี 5 ข้อ 1.Speed: ตอบสนองรวดเร็ว ลดเวลาทำงานซ้ำซ้อน 2.Accuracy: ข้อมูลถูกต้อง ลดความเครียดของทีม 3.Adoption: คนเลือกใช้ด้วยความเชื่อมั่น ไม่ใช่เพราะถูกบังคับ 4.Experience: ทุกคำตอบคือประสบการณ์ที่สร้างความไว้ใจ 5.Business: ประสิทธิภาพดีขึ้น รายได้เร็วขึ้น ต้นทุนลดลง “When people are unlocked, work becomes meaningful.”  เมื่อคนถูกปลดล็อก ศักยภาพขององค์กรก็จะเติบโตแบบไม่สิ้นสุด บทสรุปของเซสชันนี้คือ "ปัญหาคน จบที่เรา" ผู้นำ HR ต้องหันกลับไปมองพนักงาน แล้วถามว่างานที่ทำอยู่นั้นมีความหมายและคุณค่าเพียงพอต่อความสุขในการทำงานหรือไม่ Reskilling HR: เลือกใช้ AI ให้เป็น ไม่ใช่แค่ใช้ได้ คุณปฤณ จําเริญพานิช, Founder & CEO ของ AEIOU Solution ได้มาให้มุมมองเชิงปฏิบัติในเซสชัน Reskilling HR for the AI Age โดยชี้ว่า ไม่ต้องกลัวว่า AI จะมาแทนที่หรอก แต่ควรกลัวคนที่ใช้ AI เป็นต่างหาก เพราะ AI เป็นเพียงเครื่องมือขับเคลื่อน ไม่ต่างจากอินเตอร์เน็ต คุณปฤณแบ่งระดับการใช้ AI ออกเป็น 4 Level ตั้งแต่ AI Explorer (ช่วยแปล/สรุปข้อมูล) ไปจนถึง AI Transformer (มองเป็นกลยุทธ์) โดยเน้นย้ำเคล็ดลับสำคัญคือ: 1.แตก Job เป็น Task: สิ่งสำคัญที่สุดคือการ "แตก Job เป็น Task" และสร้าง Workflow เพื่อเลือกใช้ AI Tools ที่เหมาะสมกับแต่ละงาน 2.มนุษย์คือผู้ตรวจสอบ (Verification): AI เป็นเพียงผู้สร้างไอเดียเริ่มต้น แต่มนุษย์คือผู้ที่ต้อง Verification และใช้ความคิดสร้างสรรค์เข้าไปยกระดับผลงาน 3.การตั้งคำถามคือสกิลสำคัญ: คนที่ใช้ AI เก่งคือคนที่ "ตั้งคำถามเก่ง" และทำ Deep Conversation กับ AI เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำที่สุด คุณปฤณทิ้งท้ายว่า หลายองค์กรต้องกล้า "รื้อโมเดลเก่า" ที่เคยเป็นรถยนต์แล้วพัฒนาเป็นจรวด เพราะรูปแบบเดิมๆ อาจใช้ไม่ได้อีกต่อไปในยุคนี้ HR Hero Summit 2025 ไม่ใช่แค่งานสัมมนา แต่คือ เวทีรวมโซลูชัน HR ที่ครบที่สุดแห่งปี ผู้เข้าร่วมงานจะได้ครบทุกคำตอบเรื่อง HR ตั้งแต่กลยุทธ์ Talent, การ Transform องค์กร ไปจนถึงการประยุกต์ใช้ AI ในทุกมิติ พร้อมโอกาสสร้างเครือข่ายกับผู้นำด้านคนแบบใกล้ชิด งานในปีนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า “อนาคตของ HR” ไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวแต่ถูก “กำหนดโดยคน”  คนที่กล้าเรียนรู้ ปรับตัว และใช้เทคโนโลยีอย่างมีจริยธรรม เพราะในโลกแห่งอนาคต “AI อาจฉลาดกว่าเรา” แต่ “มนุษย์ที่เข้าใจคุณค่า ความคิดสร้างสรรค์ และหัวใจของผู้คน”  คือพลังที่แท้จริงในการสร้างองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน

    Oct 9, 2025
    Thumbnail for  ScaleFast Summit & Expo 2025: ปลดล็อกการเติบโตแบบติดสปีด สู่ผู้ประกอบการยุคใหม่

    ScaleFast Summit & Expo 2025: ปลดล็อกการเติบโตแบบติดสปีด สู่ผู้ประกอบการยุคใหม่

    งานสัมมนาธุรกิจที่ผู้ประกอบการตัวจริงไม่ควรพลาดอย่าง SCALE FAST Business Accelerator Summit & Expo 2025 ได้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ณ TRUE ICON HALL, ICONSIAM ชั้น 7 เมื่อวันที่ 30 กันยายน – 1 ตุลาคม 2025 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นพื้นที่แบ่งปันประสบการณ์และกลยุทธ์การ "Scale ธุรกิจให้โตไว" จากผู้นำทางธุรกิจรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการทุกระดับก้าวข้ามขีดจำกัดและเติบโตจากหลักล้านสู่พันล้านได้อย่างยั่งยืน Highlight ภายในงาน: 60+ Speaker & Sessions: พบกับเจ้าของธุรกิจตัวจริงกว่า 60 คน จากหลากหลายอุตสาหกรรม ที่มาแชร์ประสบการณ์การฝ่าวิกฤตและเคล็ดลับการ Scale ธุรกิจอย่างยั่งยืนจนเติบโตแตะหลักร้อยล้าน-พันล้าน 50+ Booths จาก Scale Up Expo: จัดแสดงโซลูชันธุรกิจที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณขยับจากผู้เล่นไปเป็นผู้นำ ครอบคลุมทุกระบบสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นบัญชี, การตลาด, HR, Logistics, และ Automation 200+ Attendee Exclusive Networking Night: โอกาสทองในการสร้างเครือข่ายกับนักลงทุนและเจ้าของธุรกิจทั่วประเทศ เพื่อต่อยอดโอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจ 20+ Workshop Sessions: เวิร์คช็อปแบบลงมือปฏิบัติจริงในหัวข้อสำคัญที่เจ้าของธุรกิจต้องรู้ เช่น การขาย, ระบบการบริหารคน, การตลาด, การใช้ข้อมูล, และการขยายทีม เพื่อให้ผู้เข้าร่วมสามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจได้ทันที Sessions ที่ Jobcadu ได้มีโอกาสเข้าร่วม 1.เจาะลึกกลยุทธ์ HAAB's: เมื่อขนมไข่ท้องถิ่น ทัชใจคนทั้งประเทศ หนึ่งใน Session ที่ได้รับความสนใจอย่างมากคือการนำเสนอของคุณจูเนียร์ ทัพไทย ฤทธาพรม ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ขนมไข่ชื่อดัง Haab ในหัวข้อ "HAAB's Heatwave : When Local Flavor Becomes a Lifestyle Icon" ซึ่งเผยเบื้องหลังการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ Haab จากขนมไข่ท้องถิ่น สู่การเป็นแบรนด์ที่สร้างกระแสติดปากคนทั่วประเทศ จุดเริ่มต้นจาก "ความเชื่อ" ที่ไม่ใช่ "ความชอบ" คุณจูเนียร์ได้แชร์เรื่องราวส่วนตัวว่าในวัยเด็กเป็นคนขี้อาย และไม่ได้มีความคิดที่จะทำธุรกิจอาหารเลย เพราะไม่ถนัดและทำไม่เป็น แต่เขามีความเชื่อมั่นในเรื่องอื่น ๆ มากกว่า เช่น e-commerce และ data for business ด้วยพื้นฐานที่เรียนจบด้านเศรษฐศาสตร์และเคยทำงานเป็น Business Analyst ให้กับ Amazon.com จุดเริ่มต้นของ Haab จึงไม่ได้มาจากความชอบในผลิตภัณฑ์ แต่มาจาก Co-founder (คุณมอส) ซึ่งเป็นคนสงขลาที่ต้องการผลักดัน "Project ขนมไข่" ในช่วงแรก คุณจูเนียร์ยังไม่เห็นดีมานด์ในตลาดขนมหวานเลย แต่หลังจากนั้น 1.5 ปี การกลับมาทบทวน (revisit) โปรเจกต์นี้ก็เกิดขึ้น เมื่อพบว่ามีร้านขนมไข่ร้านหนึ่งทำยอดขายได้เป็นหมื่นออเดอร์บน Shopee นั่นจึงเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า "ดีมานด์" มีอยู่จริง แม้จะยังไม่เข้าใจทั้งหมดว่าทำไมเทรนด์นี้ถึงเกิดขึ้น สูตรการ Scale ธุรกิจแบบมินิมัล สู่การขยายช่องทางการขายเเบบยั่งยืน คุณจูเนียร์เน้นย้ำถึงหลักการเริ่มต้นธุรกิจที่ว่า ควรเริ่มจาก Minimum Viable Product (MVP) หรือการทำในขนาดเล็กก่อน โดยให้ความสำคัญกับการ "Demand Research" ที่ไม่ใช่แค่ "Expected Demand" แต่ต้องเป็น "Actual Demand" ที่มีการพิสูจน์แล้ว ก้าวแรก: การทดลองตลาดด้วยงบประมาณจำกัด การทดลองเปิดบูธครั้งแรก ใช้เงินลงทุนเพียง 20,000 บาท บวกค่า Marketing 10,000 บาท สำหรับจ้าง KOL มารีวิว วันแรก ขายได้ 2,000 บาท แต่เพียง 1 สัปดาห์ ยอดขายก็พุ่งขึ้นเป็น 12,000 บาทต่อสัปดาห์ เพราะลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ บอกต่อ และการเลือก KOL ที่ตรง Target นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทีมงานมองหา "โมเดลทางธุรกิจ" ที่จริงจัง Turning Point: การสร้าง Brand Development และ Full Scale Event หลังจากเปิดร้านได้ 3 เดือน จุดเปลี่ยนสำคัญในการยืนระยะให้ได้ยาวคือการ Branding Development และการทำ Full Scale Event โดยในปีที่ผ่านมา Haab ออกอีเวนต์ไปถึง 205 ครั้ง เป้าหมายหลักไม่ใช่แค่ยอดขาย แต่คือการ "Test" เพื่อดูว่า "กลุ่มลูกค้าตัวจริง" อยู่ในห้างสรรพสินค้าใด หรือพื้นที่ใดบ้าง โดยเน้นย้ำว่า "ไม่เน้นกำไร แต่ก็ไม่ต้องการขาดทุน" การเติบโตแบบ Collaboration สู่การเป็น Global Brand คุณจูเนียร์เปิดเผยถึงกลยุทธ์สำคัญอีกข้อคือการ Collaboration กับแบรนด์อื่น ๆ ที่มีกลุ่มเป้าหมายสอดคล้องกัน เช่น ฉันจะกินชาไทยทุกวัน, Layers, Guss Damn Good, Bonnana เเละอีกหลายเเบรนด์เพื่อขยายฐานลูกค้าและสร้างการรับรู้ในวงกว้าง เพื่อช่วยให้แบรนด์สามารถยืนได้นาน Business Direction ของ Haab มุ่งเน้นไปที่: Domestic Growth via Franchise Model: การเติบโตในประเทศผ่านระบบแฟรนไชส์ Regional Expansion & Scale: การขยายไปในระดับภูมิภาค จากยอดขาย 150 ล้านบาทในปีที่แล้ว Haab ตั้งเป้าไว้ที่ 400-500 ล้านบาท ในปีนี้ พร้อมกับการขยายไปในต่างจังหวัด และต่างประเทศ ปัจจุบัน Haab มี 4 สาขาในมาเลเซีย รวมถึงการเปิดตัวแบรนด์ในเครืออย่าง Haroy เเละ Yogurbara ที่เปิดตัวในไทยและมีแผนจะขยายไปยังฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย "เราเกือบเป็น National Brand แล้ว แต่อยากให้เป็นระดับประเทศ อยากเป็น Global" คือวิสัยทัศน์ที่คุณจูเนียร์ส่งต่อ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า Haab กำลังก้าวข้ามจากการเป็นแค่ร้านขนมไข่สู่การเป็น Lifestyle Icon ที่พร้อมจะเติบโตไปทั่วโลก 2. La Glace: ปั้นแบรนด์ความงามให้ไวรัล ชนะใจ Gen Z ด้วย "พลังบวก" ใน Panel Discussion “Viral Beauty Branding: How La Glace Wins the Hearts of Gen Z” คุณไอติม (CEO) และ คุณเฟรนส์ฟรายส์ (COO) ได้เผยเส้นทางของ La Glace จากจุดเริ่มต้นที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ จนกลายเป็นแบรนด์ที่มียอดขายกว่า 420 ล้านบาทภายในสองปี จุดเริ่มต้นจาก "คำถาม" และ "ฐานลูกค้า" ทั้งสองเริ่มต้นธุรกิจขณะเป็นนักศึกษา ด้วยโจทย์ว่า "อะไรคือสิ่งที่คนถามถึงคุณมากที่สุด?" คำตอบคือ "เมคอัพ" คุณไอติมซึ่งเคยเป็นอินฟลูเอนเซอร์มาก่อน เริ่มจากการเป็นตัวแทนขาย จนกระทั่งตัดสินใจทำแบรนด์ของตัวเองด้วยความเชื่อมั่น แม้จะเจออุปสรรคในรอบแรกที่ขายไม่ได้เลย จนต้องถ่ายทอดความท้อแท้ผ่าน IG Stories ซึ่งกลายเป็นการสะสมฐานลูกค้าอย่างเป็นธรรมชาติ Turning Point คือเมื่อเพื่อนที่ร่ำรวยคนหนึ่งทักเรื่องหน้าผ่อง แต่ติเรื่องแพ็กเกจจิ้งที่ดูเชย นั่นทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจพัฒนาแบรนด์อย่างจริงจัง โดยการขอซื้อสูตรจากโรงงานและพัฒนา Branding ให้ทันสมัยขึ้น ความสำเร็จจึงเกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกเพราะ "มีฐานลูกค้าที่เชื่อใจอยู่แล้ว" แม้จะเคยโดนดราม่าเรื่องราคา (690 บาท) และการออกแบบ แต่พวกเขารับฟังและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนลูกค้าเปิดใจ กลยุทธ์การเติบโตที่มากกว่าแค่ "เครื่องสำอาง" La Glace ไม่ได้มองตัวเองเป็นเพียงแบรนด์เครื่องสำอาง แต่สื่อถึง "ความมั่นใจ" และการให้ทุกคน "สู้กับทุกปัญหา" แบรนด์จึงขาย "ฟีลลิ่ง" และ "Power" ให้กับลูกค้า ซึ่งเป็นข้อแตกต่างสำคัญที่ทำให้แบรนด์สามารถสู้กับคู่แข่งได้ กุญแจสู่ความเป็น Viral และการเข้าถึง Gen Z ความเข้าใจลูกค้าและแพลตฟอร์ม: คุณเฟรนส์ฟรายส์เสริมว่า กลยุทธ์สำคัญคือการพยายาม เข้าใจว่าลูกค้า (Gen Z) เสพสื่ออะไร และ เข้าใจเงื่อนไขของแต่ละ Platform พนักงานส่วนใหญ่ก็อยู่ในช่วงอายุ Gen Z ทำให้แบรนด์ส่งสารและแก่นสารถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด การบริหารคนแบบทีม "Avengers" (Growth Mindset): คุณไอติมเน้นว่าการคัดเลือกทีมงานนั้นสำคัญมาก โดยมองหาคนที่มี Growth Mindset, กล้าสู้, และเป็นผู้ให้ (Giver) La Glace มุ่งมั่นที่จะสร้างองค์กรที่ดีที่สุด ให้พื้นที่ในการเติบโตและเปิดโอกาสให้ทีมงานได้ออกไอเดียอย่างเต็มที่ ส่งผลให้ได้รับเรซูเม่กว่า 10,000 ใบ และมีอัตราการลาออกที่ต่ำมาก สวัสดิการที่ "ให้ใจ": สวัสดิการที่ดี เช่น เงิน 10,000 บาทเมื่อทำงานครบปี,โบนัสประจำปี, ลาวันเกิดพ่อแม่/แฟน, และการส่งต่อพลังบวกภายในทีม ทำให้พนักงานรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ "ลูกค้าต้องชนะเรา": หัวใจของการชนะใจ Gen Z คือการทำให้ลูกค้าเหนือความคาดหวัง หน้าที่ของแบรนด์คือการทำให้สิ่งที่ลูกค้าได้รับจากการเสียเงินนั้น ได้กลับมามากกว่าที่เสียไป ความไว้วางใจและการสนับสนุนจากลูกค้าคืออำนาจในการต่อรองกับ Suppliers เพื่อลดต้นทุนและ Scale up ต่อไป การขยายสู่ Offline แม้พฤติกรรมลูกค้าจะมักกลับไปซื้อออนไลน์ (เพื่อใช้โค้ด) La Glace ยังคงขยายสู่ร้านค้า Offline กว่าหมื่นสาขา โดยมีเป้าหมายที่ "ไปอยู่ทุกที่ของลูกค้า" และสร้างประสบการณ์ที่ลูกค้าสามารถทดลองสินค้าได้อย่างอิสระ 3. PAÑPURI: ถอดรหัส Thai Luxury Wellness จาก Slow Scale สู่ Global Brand คุณปราโมทย์ เดชะบุญศิริพานิช Managing Director ของ PAÑPURI ได้มาแบ่งปันกลยุทธ์ใน Session "Scent, Soul & Strategy : The Wellness Magnet" โดยยอมรับว่าเส้นทางของ PAÑPURI อาจเป็นแบบ "Scale Slow" เมื่อเทียบกับแบรนด์อื่น ๆ แต่มีเป้าหมายที่ชัดเจนคือการสร้างแบรนด์ไทยให้ไประดับโลกด้วยปรัชญา Wellness พลิกวิกฤตเป็นโอกาสและการ Transformation หลังโควิด PAÑPURI ยืนหยัดในฐานะแบรนด์ที่มุ่งเน้น Holistic Wellness หรือสุขภาพองค์รวม ซึ่งแตกต่างจากกระแส J-Beauty หรือ K-Beauty ที่เน้นความสวยงามเฉพาะหน้า แม้ในช่วงเริ่มต้นหลายปีก่อน Wellness จะยังไม่เป็นที่เข้าใจ แต่หลังโควิด-19 ความตระหนักรู้เรื่องนี้ก็เพิ่มขึ้นทั่วโลก ในช่วงวิกฤตที่เงินสดติดขัด PAÑPURI สามารถสร้าง Cash Flow ได้ถึง 4 ล้านบาทจากการผลิต เจลแอลกอฮอล์ การเอาตัวรอดครั้งนั้นกลายเป็นบทเรียนว่าต้องทำอย่างไรให้ดีกว่าเดิม จนนำไปสู่ Post Covid Transformation กลยุทธ์การ Transformation Don’t Follow The Big Guys: เลือกทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับแบรนด์ใหญ่ เพราะการทำตามอย่างมากก็แค่เสมอตัว PAÑPURI เลือกที่จะเก่งใน Segment ที่เล็กกว่า แต่เป็นจุดแข็งของตัวเอง Product Strategy (The Triangle of Truth): ผลิตภัณฑ์แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ Fine Fragrance, Bath Body & Hair, และ Skincare (รวมถึง Home Fragrance) โดยใส่ Value เข้าไปในผลิตภัณฑ์ ทั้งด้านคุณภาพ การออกแบบ Packaging โดยนักออกแบบเก่ง ๆ และเน้น Service ตามแบบฉบับ Thai Hospitality Stores & Experiences (Offline is the New Online): แม้โลกจะเปลี่ยนไปสู่ Online แต่ PAÑPURI ลงทุนใน Offline Store เพื่อสร้าง "ประสบการณ์" ให้ลูกค้าได้ทดลองกลิ่นและผลิตภัณฑ์จริง ๆ โดยแต่ละสาขาจะถูกออกแบบให้มี Concept ที่ไม่ซ้ำกัน สวยงาม และ "Instagammable" (เช่น สาขา Emquartier คอนเซปต์ Night Club / พัทยา คอนเซปต์เรือ) เพื่อดึงดูดลูกค้า Personalized & Experiential Retail: การให้บริการลูกค้าสามารถ ทดลองทำกลิ่นน้ำหอมกับครอบครัว ได้ที่ Emsphere & Emquartier สร้าง "Lifetime Customer" เพราะแบรนด์เชื่อว่า "Brand Story ไม่สำคัญเท่า Customer Story" การ Collaboration และวิสัยทัศน์ระดับโลก PAÑPURI สร้างสรรค์ Storytelling ในทุกแคมเปญ เช่น การ Collaborate กับ Jim Thomson โดยใช้เศษผ้ามาทำแพ็กเกจจิ้ง ซึ่งมีมูลค่าสูงและเป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้ยังมีการนำผลิตภัณฑ์ไปวางในร้านอาหาร Fine Dining กว่า 50 แห่งทั่วประเทศ วิสัยทัศน์ต่อไปของแบรนด์คือการก้าวสู่ระดับโลก ด้วยการขยายสาขา 40-50 แห่งทั่วเอเชีย รวมถึงการสร้างแคมเปญระดับโลก เช่น การเปิดตัวคอเลคชั่น “LOTUS ECLIPSE” ซึ่งมาจากชื่อซีรีส์ดังระดับโลก “The White Lotus” โดยมีเป้าหมายในการพา Thai Wellness Luxury ไปไกลในทุกมุมโลก 4. iHAVECPU: จากโลกออนไลน์สู่หน้าร้านจริง สูตรขยายธุรกิจคอมพิวเตอร์แบบติดสปีด คุณเปา พีรดนย์ เหมยากร เจ้าของแบรนด์ iHAVECPU ได้มาแบ่งปันเส้นทางการเปลี่ยนธุรกิจจากลูกเจ้าของ "กงสี" ที่กำลังจะแพ้ ให้กลายมาเป็นแบรนด์ไอทีที่เติบโตแบบไม่รอใคร ด้วยยอดขายที่พุ่งจาก 1,300 ล้านบาท (ปี 2023) เป็น 2,700 ล้านบาท (ปี 2025) สร้างตัวตนให้โดดเด่นท่ามกลางคู่แข่ง ท่ามกลางตลาดคอมพิวเตอร์ที่มีคู่แข่งมากมาย คุณเปาเริ่มต้นจากการขายของมือสอง ก่อนจะขยายสู่ Social Media โดยเน้นการ "สร้างตัวตน" ให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง Real & Relatable Branding: แทนที่จะสร้างภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบ คุณเปาเลือกที่จะเป็น "เจ้าพ่อคำคม" และนำเสนอตัวเองอย่าง "เรียล ๆ" ซึ่งทำให้ผู้คนเข้าถึงและจดจำได้ง่าย ลงคอนเทนต์ทุกแพลตฟอร์ม: ด้วยความเชื่อที่ว่า "ยิ่งคนรู้จักยิ่งสร้างโอกาสการขาย" iHAVECPU จึงลงคอนเทนต์ในทุกแพลตฟอร์มที่มี เพื่อให้คนเห็นแบรนด์ในวงกว้างที่สุด โดยต้อง เข้าใจธรรมชาติของแต่ละแพลตฟอร์ม ว่าควรลงคอนเทนต์แบบใด กลยุทธ์ Offline เสริม Online: เปิดร้านในจุดยุทธศาสตร์ ในขณะที่ร้านค้าอื่นมักจะเติบโตจากหน้าร้านสู่โลกออนไลน์ iHAVECPU เติบโตจาก Online จนต้องมีหน้าร้าน กลยุทธ์การเปิดร้าน (ปัจจุบันมี 16 สาขา) เน้นไปที่: พื้นที่ Stand Alone/ปั๊ม/Avenue: เลือกพื้นที่ที่ค่าเช่าไม่แพง และลูกค้ามีความตั้งใจเดินเข้ามาซื้ออยู่แล้ว ซึ่งมีโอกาสปิดการขายสูงถึง 70-80% แตกต่างจากการขายในห้างสรรพสินค้าที่ลูกค้าอาจแค่เดินดู Offline เพื่อเสริม Online: หน้าร้านจริงทำหน้าที่เป็นตัวเสริมความมั่นใจให้กับลูกค้าที่รู้จักแบรนด์จากโลกออนไลน์ สร้างความแตกต่างให้ "คอมที่เหมือนกัน" ในธุรกิจที่สินค้าอย่างคอมพิวเตอร์ถูกมองว่า "เหมือนกันทุกร้าน" iHAVECPU ใช้กลยุทธ์ในการสร้างความแตกต่างเพื่อเพิ่มอำนาจการตัดสินใจซื้อ: Collaboration: สร้างสรรค์สินค้าที่ไม่มีใครเหมือนด้วยการคอลแลปส์กับแบรนด์อื่น ในส่วนประกอบ เช่น แรม การ์ดจอ หรือคีย์บอร์ด โดยลูกค้าจะได้อุปกรณ์ที่มี "iHAVECPU" เป็นส่วนหนึ่ง Customization และ Accessories: การทำเคสและอุปกรณ์เสริมที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งยังไม่มีใครทำอย่างจริงจัง ช่วยให้ลูกค้าเชื่อมั่นว่าได้สินค้าที่เป็น ลิมิเต็ด และมีคุณค่า Expertise is Trust: สร้างความไว้วางใจด้วยการเป็น "ตัวจริง" ในสิ่งที่ขาย ต้อง "รู้ทุกอย่าง" ที่ทำ เพื่อให้เป็น Top of Mind ของลูกค้า การที่ CEO นำหน้ามาขายเอง ยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือและความทุ่มเทให้กับแบรนด์ คุณเปาทิ้งท้ายว่า การเริ่มต้นช้ากว่าคนอื่นด้วยเงินทุนและประสบการณ์ที่น้อยกว่า ทำให้ต้อง "Work Hard" ควบคู่ไปกับ "Work Smart" เพื่อให้ก้าวข้ามทุกอุปสรรคไปให้ได้ 5. White Story: เรื่องเล่าพันล้านจากเมนูอร่อยและ Local Insight คุณแวว วาศิณี สุรชาติชัยฤทธิ์ ผู้ก่อตั้ง White Story ได้แบ่งปันเส้นทางการพลิกธุรกิจจากคาเฟ่ขนาดเล็กสู่แบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่ตั้งเป้ารายได้ 800 ล้านบาทในปีนี้ ด้วยการเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของคนไทยอย่างลึกซึ้ง การปรับตัวจาก "คาเฟ่" สู่ "ร้านอาหารครอบครัว" จุดเริ่มต้นของ White Story มาจากคาเฟ่เล็ก ๆ ที่เน้นขายกาแฟและขนมเค้กย่านวงเวียนพระราม 5  แต่รายได้ไม่เป็นไปตามเป้า คุณแววได้แก้ปัญหาด้วยการ "คุยกับลูกค้าทุกวัน" เพื่อทำความเข้าใจ Local Insight การเพิ่มเมนูอาหารจานเดียว: ลูกค้าในย่านวงเวียนพระราม 5 เป็นกลุ่มที่หลังส่งลูกเสร็จ หรือครอบครัวที่เพิ่งย้ายมาอยู่ ซึ่งต้องการ อาหารจานเดียว ทำให้ White Story ตัดสินใจ เพิ่มเมนูอาหาร เพื่อตอบโจทย์ความต้องการนี้ การขยายสาขาตามเทรนด์: หลังน้ำท่วมใหญ่ ธุรกิจเลือกย้ายจากบ้านเก่าที่รีโนเวทไปสู่ Community Mall (The Walk ราชพฤกษ์) เพื่อเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้น และใช้พื้นที่ใหญ่ให้เกิดประสิทธิภาพ พลิกโฉมสู่ Grab & Go และ F.L.A.V.O.R. Framework จุดเปลี่ยนสำคัญคือการปรับภาพจำจากร้านอาหาร Dine-in สู่ Grab & Go โดยเริ่มต้นจาก "ขนมปัง" ด้วยการสังเกตเทรนด์ว่าคนไทยชอบเที่ยวญี่ปุ่น และมีตลาดร้านอาหารไทยในญี่ปุ่นเปิดตัวเยอะ จึงนำ "ขนมญี่ปุ่น" มาประยุกต์ให้ถูกปากคนไทย เช่น ขนมปังห่อไดฟุกุ เพราะอร่อย ทานง่าย เเละอิ่มนาน Make it F.L.A.V.O.R. Framework คือสูตรลับที่ใช้ในการพัฒนาสินค้าและการเติบโต: F - Fusion: ผสมผสานวัฒนธรรมหรือรสชาติที่ได้รับแรงบันดาลใจ L - Local Insight: อิงพฤติกรรม วัฒนธรรม หรือความชอบของคนไทย A - Aesthetic: ความสวยงาม ถ่ายรูปแล้วปัง V - Value Add: การเพิ่มคุณค่า เช่น ด้านสุขภาพ (ไม่ใส่สารกันเสีย) หรือบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ O - Occasion Fit: เหมาะสมกับโอกาสในการซื้อ เช่น เทศกาล หรือซื้อกินระหว่างเดินทาง R - Repeatability: อะไรที่ทำให้คนอยากกลับมาซื้อซ้ำ การ Scale คุณภาพด้วยครัวกลางและการขยายสาขา เพื่อคงคุณภาพแม้จะขยายสาขาอย่างรวดเร็ว (ปัจจุบันมี 104 สาขา) White Story เล็งเห็นถึงความสำคัญของ "ครัวกลาง" ในการ ควบคุม QA QC และการพัฒนาสินค้าให้ตรงตามเทรนด์และดีมานด์อย่างต่อเนื่อง ด้วยวิสัยทัศน์ที่อยากให้คนไทยทุกคนได้ทานอาหารที่ดี และความตื่นตัวด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้น ทำให้ White Story ประสบความสำเร็จในการขยายตัวไปทั่วกรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดใหญ่ ๆ โดยยังคงมุ่งมั่นที่จะขยายสาขาให้เข้าถึงลูกค้าทั่วประเทศมากที่สุด 6. Pramy: กลยุทธ์ปั้นแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงไทยสู่พันล้านและตลาดโลกใน 3 ปี คุณคริส ฐิติภัทร์ ยิมเศรษฐี เจ้าของแบรนด์อาหารแมวพรีเมียม Pramy ใช้พื้นฐานจากการจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Cambridge และการที่เคยทำงานที่ McKinsey & Company เข้ามาพลิกโฉมตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงที่หลายคนมองว่าเป็น Red Ocean จนสามารถทำยอดขาย 1,000 ล้านบาท ใน 3 ปี และส่งออกไป 25 ประเทศ แรงขับเคลื่อนและความเข้าใจตลาด คุณคริสมีแรงบันดาลใจจากการเลี้ยงแมว 3 ตัว และตระหนักว่าคนในยุค "Pet Parent" ยอมจ่ายแพงเพื่อให้ลูก ๆ ได้อยู่ด้วยนาน ๆ แต่ความรู้ยังมีจำกัดและมักจะเลือกผลิตภัณฑ์ที่แพงที่สุด ซึ่งอาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด 5 Key Lessons สู่ความสำเร็จ Differentiate: เสนอทางออกด้วยการใช้วัตถุดิบ Human Grade (ปลาเนื้อขาว) ซึ่งคนทานได้และไม่คาว พร้อมตั้งราคาให้ "เข้าถึงได้" (Accessible Price) แตกต่างจากคู่แข่งพรีเมียมรายอื่น ๆ Branding: เน้นภาพลักษณ์ที่ดูเป็นสากลและเข้าถึงได้ โดยการเน้นภาพ วัตถุดิบเนื้อสัตว์ บนบรรจุภัณฑ์ แทนที่จะใช้รูปแมวแบบทั่วไป เพื่อสื่อสารกับตลาดโลก Customer Obsession: ใน 3 ปีแรก คุณคริสอ่านข้อความและข้อติชมของลูกค้าทั้งหมด การรับฟังอย่างหมกมุ่นนี้เองที่ทำให้ Pramy ขยายผลิตภัณฑ์จาก 9 SKU สู่กว่า 100 สูตร ในปัจจุบัน รวมถึงการแตกไลน์สินค้าใหม่ (Lola & Co.) ที่มีราคาถูกลง Authenticity and Trust (No Over Claim): ใช้เวลาเป็นปีในการออกสินค้าใหม่ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคว่าสินค้ามีการวิจัยและพัฒนาอย่างจริงจัง ไม่ใช่การโอ้อวดสรรพคุณเกินจริง Quality is Key to Create Community: คุณภาพของสินค้าที่ใช้จริง (เช่น เคสแมวถูกทิ้งที่เป็นโรคผิวหนัง กลับมาขนฟูแข็งแรงหลังทาน Pramy) คือสิ่งที่สร้าง Community และเป็นหลักฐานที่ทรงพลังที่สุดในการพาแบรนด์ไปสู่ตลาดโลก ทาง Jobcadu ได้มีโอกาสเข้าฟัง 6 session ที่น่าสนใจ ซึ่งล้วนถ่ายทอดประสบการณ์ตรงจากผู้นำธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่แบรนด์ขนมท้องถิ่นจนถึงสินค้าระดับไลฟ์สไตล์และเทคโนโลยี ความรู้ที่ได้รับไม่เพียงสะท้อนแนวคิดการ “โตไว” แต่ยังตอกย้ำว่า การเติบโตทางธุรกิจต้องมาคู่กับความเข้าใจตลาด ความจริงใจกับลูกค้า และการสร้างทีมที่แข็งแรง ขอบคุณทาง ScaleFast ที่สร้างพื้นที่ดี ๆ ให้ผู้ประกอบการไทยได้มาแลกเปลี่ยน เรียนรู้ และต่อยอดธุรกิจร่วมกันอย่างเข้มข้นและสร้างสรรค์

    Oct 1, 2025
    Thumbnail for “ตั้งตัว Franchise & Investment 2025” งานใหญ่ที่รวมโลกแฟรนไชส์และการลงทุน

    “ตั้งตัว Franchise & Investment 2025” งานใหญ่ที่รวมโลกแฟรนไชส์และการลงทุน

    เมื่อวันที่ 18–20 กันยายน 2568 ณ ฮอลล์ 6 อิมแพค เมืองทองธานี ได้มีการจัดงาน “ตั้งตัว Franchise & Investment 2025” มหกรรมแฟรนไชส์และการลงทุนครั้งยิ่งใหญ่ ที่รวมเอาทั้งโซนสัมมนา แฟรนไชส์ชั้นนำ การให้คำปรึกษาธุรกิจ และ Business Matching มาไว้ในที่เดียว จุดหมายคือการสร้างโอกาสให้ผู้ที่มีความฝันอยากทำธุรกิจ ได้ก้าวจาก “พนักงานตัวเล็ก ๆ” สู่ “เจ้าของกิจการ” ภายในงานมีทั้ง Main Stage Sessions ที่เสริมความรู้จากนักธุรกิจตัวจริง, Franchise Consultant ให้คำปรึกษาแบบเจาะลึก, Franchise Exhibition รวมแฟรนไชส์ดังที่พร้อมเปิดโอกาสให้ลงทุน และ Redemption Activity แจกของรางวัลรวมมูลค่ากว่า 300,000 บาท Insight จาก 2 Session ที่ทาง Jobcaduได้มีโอกาสเข้าฟัง Session 1: What’s Next – เช็กเทรนด์ธุรกิจร้านอาหาร 2025 โดย คุณยิม ฐากูร ชาติสุทธิผล ผู้ร่วมก่อตั้ง FoodStory และหัวหน้าฝ่ายนวัตกรรม POS, LINE MAN Wongnai หนึ่งใน Session ที่น่าสนใจที่สุดคือการอัปเดต สถานการณ์ร้านอาหารไทยในยุคดิจิทัล ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจปี 2025 ยอดขายเฉลี่ยของร้านอาหารลดลงกว่า 14% จากปี 2023 ร้านเปิดใหม่ 30% มีรายได้ต่ำกว่าที่คาด และ กว่า 50% ปิดตัวในปีแรก ต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้น 25%, ค่าแรงเพิ่มขึ้น 5% แต่เพดานราคาขายไม่สามารถขยับได้ ทางรอดของร้านอาหารไทย ใช้เทคโนโลยี – POS/CRM/ระบบ Digital Ordering เพื่อเพิ่มยอดขาย ลด food waste และจัดการต้นทุน เข้าถึงแหล่งทุน – ร้านที่ไม่มีการจดทะเบียนกว่า 79% อาจพลาดโอกาสเงินกู้และสิทธิสนับสนุน ความช่วยเหลือจากภาครัฐ – เช่นโครงการ co-payment หรือสิทธิประโยชน์ SMEs เพื่อเสริมสภาพคล่อง Insight ลูกค้า 2025 72% ต้องการร้านที่มีช่องทางขายหลากหลาย (ไม่ใช่แค่หน้าร้าน) 66% ต้องการการชำระเงินที่สะดวก (QR, บัตร, e-wallet) 60% ให้ความสำคัญกับความเร็ว 43% ต้องการการจัดคิวที่เป็นระบบ เมนูขายดีปี 2025 ไก่ทอด, ส้มตำปูปลาร้า, ข้าวผัด, ข้าวมันไก่, กะเพราหมูกรอบ สุกี้ กลายเป็น rising star โตขึ้นกว่า 30% มัทฉะฟีเวอร์ ครองตลาด ครึ่งปี 2025 ยอดขายทะลุ 5 ล้านแก้ว จนวัตถุดิบขาดตลาด บทสรุป: ร้านอาหารไทยต้อง “กลับมามองลูกค้าเป็นศูนย์กลาง” ใช้เทคโนโลยีและข้อมูลเพื่อเข้าใจความต้องการจริง ๆ และสร้างความยั่งยืนในระยะยาว Session 2: Business with Purpose – เปลี่ยนจุดยืนให้เป็นจุดขาย โดย คุณที นที จรัสสุริยงค์ และ คุณระริน ธรรมวัฒนะ ผู้ร่วมก่อตั้ง Guss Damn Good อีกหนึ่งไฮไลต์บนเวทีคือเรื่องราวการเดินทางของ Guss Damn Good แบรนด์ไอศกรีม “Crafted Ice Cream” ที่สร้างจากแนวคิด “Story to Flavor” จุดเริ่มต้น ทั้งคู่พบกันที่ Babson College มหาวิทยาลัยที่ขึ้นชื่อเรื่องการสร้างผู้ประกอบการ ได้แรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมการกินไอศกรีมในบอสตัน แม้ในวันที่หิมะตก แต่คนยังต่อคิวเพราะ “มันทำให้คิดถึงหน้าร้อนที่รอคอย” ความท้าทายในวันแรก ตอนเปิดตัวใหม่ ๆ ไม่มีใครเชียร์ เพราะไอศกรีม scoop ล้วน ๆ ไม่สวยเหมือน dessert ถ่ายรูป แต่ทีมผู้ก่อตั้ง “เลือกเชื่อในจุดยืนตัวเอง” ราคา 95 บาท/สกูป เมื่อ 10 ปีก่อนถือว่าสูงมาก แต่พวกเขาเชื่อว่า “คุณค่ามาจากรสชาติและวัตถุดิบ ไม่ใช่ท็อปปิ้ง” จุดยืนคือพลังของแบรนด์ Brand Promise: Inspired by People Story Boston Culture Damn Good Place มากกว่า 100 Collaboration กับแบรนด์ดัง ทำให้ Guss Damn Good กลายเป็น ice cream ที่ไม่ใช่แค่ของหวาน แต่เป็น สิ่งที่สร้างบทสนทนาและความรู้สึก ถึงแม้บางรสชาติจะขายได้น้อย แต่ยังคงผลิตเพื่อเสริม Brand Identity มุมมองต่ออนาคต โปรเจกต์ Guss Grocery 2024–2025 ที่หยิบวัตถุดิบไทยที่ผู้คนผูกพัน (เช่น ปลากระป๋องปุ้มปุ้ย, ทาโร่, เอมร้อยห้าสิบ) มาพัฒนาเป็นไอศกรีม มุ่งเน้น Micro Creamery ผลิตแบบคราฟต์ในโรงงานเล็ก แต่คงคุณภาพและตัวตน ฝากข้อคิด: “ถ้าจุดยืนไม่ชัด แบรนด์จะส่งต่อความรู้สึกไม่ถึงที่สุด แต่ถ้าเชื่อตัวเอง 100% มันจะกลายเป็นจุดขายที่แข็งแรง” สรุป งาน ตั้งตัว Franchise & Investment 2025 ไม่ได้เป็นแค่งานแฟรนไชส์ธรรมดา แต่เป็นเวทีที่สะท้อนว่า ในทุกวิกฤติธุรกิจยังมีโอกาส ถ้า “ปรับตัวไวและฟังลูกค้า” จุดยืนที่ชัดเจน ไม่เพียงทำให้แบรนด์อยู่รอด แต่ยังทำให้เติบโตอย่างยั่งยืน จาก Insight ของธุรกิจร้านอาหาร และเรื่องเล่าของ Guss Damn Good นี่คือเครื่องพิสูจน์ว่า “ธุรกิจที่ยั่งยืน ต้องมีทั้งการมองอนาคต และการยึดมั่นในแก่นแท้ของตัวเอง” ขอบคุณสำหรับงานดี ๆ ที่สร้างทั้งแรงบันดาลใจและโอกาสให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ได้ตั้งตัวและเติบโตไปด้วยกัน

    Sep 20, 2025
    Thumbnail for The Next Humanity: เมื่อ AI กลายเป็นบททดสอบความเป็นมนุษย์

    The Next Humanity: เมื่อ AI กลายเป็นบททดสอบความเป็นมนุษย์

    ในโลกที่เทคโนโลยีกำลังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่สุดของยุคสมัย คำถามใหญ่ของสังคมไทยวันนี้คือ “เราจะกำกับทิศทางของ AI ด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ได้อย่างไร”  งานเสวนา The Next HumAnIty ที่จัดโดย ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) จึงเกิดขึ้นเพื่อเปิดพื้นที่สนทนา ค้นหาคำตอบ และจุดประกายสังคมไทยให้ใช้ คุณธรรมเป็นเข็มทิศ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดยั้งของโลกดิจิทัล และครั้งนี้ Jobcadu ก็ได้มีโอกาสเข้าร่วมงานด้วย ซึ่งเปิดให้ผู้สนใจเข้าฟังฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย เริ่มด้วยรศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม ได้เปิดเผยผลสำรวจล่าสุดว่า “ดัชนีชี้วัดคุณธรรมของคนไทยทั้ง 3 ช่วงวัย (13–24 ปี, 25–40 ปี และ 41 ปีขึ้นไป) อยู่ในระดับ ‘พอใช้’ เฉลี่ย 4.3 คะแนน ขณะที่ดัชนีทุนชีวิตอยู่ในระดับ ‘ดี’ มีคะแนนเฉลี่ยเกือบ 79% โดยเฉพาะกลุ่มวัย 41 ปีขึ้นไปที่มี ‘พลังตัวตน’ โดดเด่นที่สุด ส่วนในระดับภูมิภาค พบว่าภาคตะวันตกมีค่าเฉลี่ยสูงสุด อยู่ในระดับ ‘ดีมาก’ ที่ร้อยละ 80.41 สะท้อนถึงศักยภาพทุนชีวิตที่แข็งแรงและเป็นรากฐานสำคัญในการกำหนดทิศทางสังคมไทยในอนาคต” การจัดงานครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี AI ที่ส่งผลกระทบต่อทุกมิติของสังคม ตั้งแต่การทำงาน การใช้ชีวิต ไปจนถึงโครงสร้างเศรษฐกิจ แต่ขณะเดียวกันก็สร้างความท้าทายใหม่ๆ ทั้งด้านจริยธรรม ภัยคุกคามทางไซเบอร์จาก Deepfake และ AI Phishing รวมถึงคำถามสำคัญต่ออนาคตของแรงงานไทย ศูนย์คุณธรรมจึงเห็นความจำเป็นเร่งด่วนในการสร้าง “พื้นที่กลาง” เพื่อเปิดเวทีพูดคุยและหาทางออกอย่างมีส่วนร่วม เพื่อให้การพัฒนา AI เดินหน้าไปบนรากฐานของ คุณธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อสะท้อนหัวใจของการเสวนา รศ.นพ.สุริยเดว ได้ทิ้งท้ายด้วยคำถามสำคัญว่า “เรากำลังสร้างคนให้กลายเป็นหุ่นยนต์ หรือสร้างให้เป็นมนุษย์ที่เดินได้กันแน่?” พร้อมทั้งชี้ให้เห็นถึง 5 คุณสมบัติที่ทำให้มนุษย์แตกต่างและ AI ไม่สามารถแทนที่ได้ ได้แก่: ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) – การมองเห็นสิ่งใหม่และคิดนอกกรอบ แรงบันดาลใจ (Inspiration) – การปลุกพลังให้ผู้อื่นเดินตามฝัน ความใฝ่รู้ (Curiosity) – ความอยากเรียนรู้สิ่งใหม่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด คุณธรรม (Morality) – การยึดถือสิ่งที่ถูกต้องและมีจริยธรรม สายใยรักและความเอื้ออาทร (Loving Care) – ความห่วงใย ความผูกพัน และความเมตตาต่อกันในสังคม ทั้งหมดนี้ตอกย้ำว่า แม้ AI จะพัฒนาอย่างรวดเร็วและทรงพลังเพียงใด แต่สิ่งที่ทำให้มนุษย์มีคุณค่าและแตกต่าง คือ จิตใจ ความรัก และคุณธรรม ที่เทคโนโลยีไม่สามารถทดแทนได้ “เมื่อเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว คำถามต่อมาคือ…แนวโน้มใดบ้างที่จะกำหนดทิศทางของมนุษยชาติในยุคถัดไป?” เราจะพาไปเจาะลึกกันทีละหัวข้อ 1.Mega Trends 2025: 4 คลื่นใหญ่กำหนดอนาคตมนุษยชาติ ในเวที Trends to Watch คุณณัฐกร เวียงอินทร์ Head of Content & Branding, Future Trends ได้พูดเกี่ยวกับอนาคตผ่าน 4 เมกะเทรนด์สำคัญ ที่จะหล่อหลอมสังคมมนุษย์หลังปี 2025 Responsible AI – ปัญญาประดิษฐ์ที่ต้องรับผิดชอบต่อสังคม จากคดีความลิขสิทธิ์ที่ Anthropic ต้องจ่ายกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ ไปจนถึงภัย Deepfake และกรณี AI ที่สร้างโศกนาฏกรรมในชีวิตจริง ล้วนเป็นสัญญาณว่าโลกยังขาด “มาตรฐานและความรู้เท่าทัน” (AI Literacy) เพื่อนำ AI ไปใช้อย่างถูกต้องและปลอดภัย Sustainability Resilience – ความยั่งยืนเพื่อรับมือโลกเดือด จาก “เมืองฟองน้ำ” ที่อู่ฮั่น ไปจนถึง “Boston Climate Ready Plan” ทุกประเทศต่างต้องเร่งปรับตัวเพื่อรับมือภัยธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงขึ้น การสร้าง resilience จึงไม่ใช่แค่คำสวยหรู แต่เป็นยุทธศาสตร์เพื่อความอยู่รอดของเมืองและมนุษยชาติ Longevity Society – อายุยืนอย่างมีคุณภาพ แนวคิด “ยืนอย่างสุข” ไม่ได้หมายถึงเพียงการมีชีวิตยาวนาน แต่คือการมีสุขภาพกายและใจที่แข็งแรง อิงจากบทเรียนของชุมชนอายุยืนทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นโอกินาว่าที่กินมันม่วงเป็นอาหารหลัก หรือวัฒนธรรมการใช้ชีวิตเรียบง่ายที่ลดความเครียดลงได้อย่างมหาศาล Geopolitics 2.0 – เมื่อการเมืองโลกสั่นคลอน ความตึงเครียดระหว่างประเทศ ตั้งแต่รัสเซีย–ยูเครน ไปจนถึงตะวันออกกลาง ล้วนส่งผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและเกษตรกรรมโดยตรง ประเทศไทยจึงต้องเร่งใช้ AgriTech และ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต มิฉะนั้นจะไม่สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้ 2.AI at Work: นิยามใหม่ของงานและคนทำงาน อีกหนึ่งเวทีสำคัญคือ Deep Dive Panel: AI at Work โดยคุณแทนพงศ์ CPO, FutureSkill และคุณปฤณ CEO, AEIOU ที่ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า AI จะไม่มาแย่งงานมนุษย์ แต่จะ เปลี่ยนวิธีทำงาน ไปโดยสิ้นเชิง AI = Scale & Speed งานที่ต้องการความเร็วและปริมาณ AI ทำได้ดีกว่า เช่น การเขียน การแปล การสร้างคอนเทนต์ หรือการวิเคราะห์ข้อมูล Human = Sense & Soul งานที่ต้องใช้ความรู้สึก ความคิดสร้างสรรค์ และจิตวิญญาณ ยังเป็นพื้นที่ของมนุษย์ เช่น การสัมภาษณ์ผู้สมัครงาน หรือการออกแบบประสบการณ์ลูกค้า คุณแทนพงศ์เสนอว่า “มนุษย์ต้องเป็น AI Driver ไม่ใช่แค่ AI Passenger”  ต้องรู้เท่าทันข้อจำกัด เข้าใจอคติ (Bias) และใช้ AI อย่างมีวิจารณญาณ ขณะที่คุณปฤณย้ำว่า หนทางรอดคือการพัฒนาตัวเองให้เหนือกว่าค่าเฉลี่ยของ AI ไม่ว่าจะเป็นการฝึก Critical Thinking, Communication หรือการต่อยอด Domain Knowledge ของตนเอง 3.Digital Wisdom: เกราะป้องกันดิจิทัลของมนุษย์ ในเซสชัน Digital Shield: Building AI Literacy for All Generations คุณทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ และ รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ย้ำถึง “ภูมิคุ้มกันดิจิทัล” ที่ทุกคนควรมี นั่นคือการใช้ วิจารณญาณและคุณธรรม เป็นเกราะป้องกัน เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อข้อมูลเท็จหรือ Deepfake การรู้จัก “เสียงของตัวเอง” จึงเป็นทักษะใหม่ที่สำคัญ เพราะในยุคที่ AI เลียนแบบทุกอย่างได้หมด อัตลักษณ์และความไม่สมบูรณ์แบบของมนุษย์กลับกลายเป็นสิ่งล้ำค่า 4.Longevity Tech: AI กับสังคมอายุยืน ปิดท้ายโดย ผศ.นพ.จิรยศ จินตนาดิลก อายุรเเพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทางด้านการนอนหลับ MedPark Hospital และ คุณกัญจน์ภัสสร สุริยาแสงเพ็ชร์ CEO , Founder ของ Ooca ชี้ให้เห็นว่า AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสร้างสังคมผู้สูงวัยที่มีคุณภาพ เช่น การช่วยตรวจจับภาวะนอนไม่หลับ ความเหงา หรือการดูแลสุขภาพแบบ personalized แต่หัวใจสำคัญคือ AI ต้องไม่แทนที่มนุษย์ หากแต่เป็นผู้ช่วยในการยืด Health Span (ช่วงเวลาที่มีสุขภาพแข็งแรง) ไม่ใช่แค่ Life Span (ช่วงชีวิตที่ยืนยาว) บทสรุป: AI เป็นเพียงเครื่องมือ มนุษย์คือผู้กำหนดทิศทาง “The Next HumAnIty” คือสัญญาณสำคัญว่า อนาคตของ AI และสังคมไทยจะเดินไปทางใด ขึ้นอยู่กับ การเลือกของเรา หากเราร่วมกันใช้คุณธรรมเป็นเข็มทิศ AI ก็จะไม่ใช่ภัยร้าย แต่จะเป็นพลังสร้างสรรค์ที่พาเราก้าวสู่โลกใหม่อย่างมีคุณภาพ ยั่งยืน และไม่ทิ้งหัวใจความเป็นมนุษย์ ขอขอบคุณ ศูนย์คุณธรรม (Moral Space) ที่จัดงานเสวนาดี ๆ ครั้งนี้ขึ้นมา เพื่อจุดประกายให้สังคมไทยมองเห็นอนาคตของเทคโนโลยีผ่านเลนส์ของคุณธรรม และหากไม่อยากพลาด ข่าวสารงานดี ๆ บทความพัฒนาตัวเอง และเทรนด์โลกการทำงาน ติดตาม Jobcadu ไว้ได้เลย

    Sep 12, 2025
    Thumbnail for เรียน ป.โท อย่างไรให้คุ้ม! พร้อมแนะนำคณะที่ควรเรียนต่อป.โท เพื่อโอกาสที่ดีกว่า

    เรียน ป.โท อย่างไรให้คุ้ม! พร้อมแนะนำคณะที่ควรเรียนต่อป.โท เพื่อโอกาสที่ดีกว่า

    หลายคนคงมีคำถามติดอยู่ในใจว่า “เรียนต่อป.โทดีไหม?” หรือ “เรียนแล้วคุ้มจริงหรือเปล่า?” ความจริงคือ คำตอบไม่ได้ตายตัว เพราะบางสายงาน ปริญญาตรีก็เพียงพอแล้ว แต่บางสายงาน การมีปริญญาโทติดตัวเหมือนการได้ตั๋วพิเศษที่จะพาเราไปสู่โอกาสใหม่ ๆ ที่ป.ตรีอาจเข้าไม่ถึง บทความนี้เลยจะพาไปดูกันว่า ทำไมคนถึงเลือกเรียนป.โท มีอะไรต้องเตรียมตัว และคณะไหนที่เรียกได้ว่า “เรียนแล้วรุ่ง” มากกว่าจบแค่ป.ตรี ทำไมคนถึงเลือกเรียนป.โท? เหตุผลมีหลายแบบ บางคนอยากได้ตำแหน่งงานที่สูงขึ้น บางคนอยากเปลี่ยนสายงาน หรือบางคนก็แค่อยากพิสูจน์ตัวเองให้เก่งขึ้นในสายที่เรียนมา อีกอย่างที่หลายคนมองคือเรื่องเงินเดือน—เพราะต้องยอมรับว่าหลายองค์กรให้ค่าตอบแทนกับคนที่มีวุฒิสูงกว่าป.ตรี เรียนแบบไหนที่ใช่เรา? (รู้จักประเภทของหลักสูตร) สายวิจัยล้วน - เน้นทำธีสิส หนักไปทางวิชาการ เหมาะกับคนอยากต่อเอกหรือเป็นนักวิจัยจริงจัง เรียน + ทำวิจัย - ได้ทั้งเรียนทฤษฎีและลองทำวิจัยไปพร้อม ๆ กัน เรียนอย่างเดียว - จบด้วยโปรเจ็กต์หรือรายงาน เหมาะกับคนทำงานที่อยากเอาความรู้ไปใช้จริง ไม่ได้เน้นทำวิทยานิพนธ์ ขั้นตอนสมัครก็ไม่ยาก (แต่ต้องเตรียมเอกสารให้ครบ!) เริ่มจากเลือกมหาวิทยาลัยและคณะที่ใช่ → เช็กคุณสมบัติ → เตรียมเอกสารสำคัญอย่าง Transcript, SOP, Recommendation Letter → บางที่ก็ต้องสอบภาษาอังกฤษหรือสอบสัมภาษณ์เพิ่มเติม ใครที่อยากไปเรียนต่อต่างประเทศก็อาจต้องสอบ GRE/GMAT อีกด้วย หากกำลังหาข้อมูลการเตรียม CV สำหรับไปเรียนต่อสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ ที่นี่ ก่อนเรียนต่อ เตรียมตัวยังไงบ้าง? สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ ภาษาอังกฤษ เพราะแทบทุกหลักสูตรต้องใช้ ทั้งอ่านทั้งเขียน เรื่องถัดมาคือ การเงิน ควรวางแผนไว้ก่อนว่าจะเอาค่าเล่าเรียนและค่าครองชีพมาจากไหน และสุดท้ายคือ การทำวิจัย ลองอ่านบทความวิชาการในสายที่สนใจ เผื่อจะได้ไอเดียหัวข้อที่จะทำต่อ ค่าใช้จ่ายและทุน มีทางเลือกเยอะกว่าที่คิด ค่าเล่าเรียนป.โทในไทยอยู่ราว ๆ หลักแสนต้น ๆ ถึงครึ่งล้าน ส่วนถ้าไปต่างประเทศก็อาจแตะหลักล้าน แต่ก็ใช่ว่าต้องควักเองทั้งหมด เพราะมีทุนหลากหลายให้เลือก ทั้งทุนรัฐบาล ทุนมหาวิทยาลัย หรือทุนจากต่างประเทศ เช่น Fulbright, Erasmus+, DAAD เป็นต้น จบแล้วไปได้ดีกว่าป.ตรีจริงไหม? ขึ้นอยู่กับคณะและสายงาน แต่มีบางคณะที่เรียกได้ว่า “บวกแต้มต่อ” แน่นอน เช่น MBA (บริหารธุรกิจ) – ต่อยอดสู่ผู้จัดการหรือผู้บริหาร การเงิน/บัญชี/เศรษฐศาสตร์ – ได้งานในองค์กรใหญ่หรือสายการเงิน วิศวกรรม/ไอที – โดยเฉพาะ Data Science, AI, Cybersecurity ที่ตลาดต้องการสูง สายสุขภาพ (พยาบาล, สาธารณสุข, เภสัช) – เงินเดือนสูงขึ้นทันทีเมื่อเทียบกับป.ตรี กฎหมาย/รัฐศาสตร์/นโยบายสาธารณะ – เปิดประตูสู่งานภาครัฐและองค์กรระหว่างประเทศ หากมีเเพลนสนใจจะไปเรียนต่อต่างประเทศ สามารถเข้าไปดูลิสต์ประเทศที่น่าสนใจได้ที่นี่เลย เพื่อประกอบการตัดสินใจ การเรียนต่อป.โทไม่ใช่เรื่องที่ต้องทำเพราะใคร ๆ ก็ทำ แต่ควรถามใจตัวเองก่อนว่าอยากไปต่อเพื่ออะไร ถ้าเป้าหมายชัด มีความพร้อมด้านภาษาและการเงิน ป.โทก็เป็นการลงทุนที่คุ้มสุด ๆ เพราะนอกจากได้วุฒิการศึกษา ยังได้เครือข่ายใหม่ ๆ และโอกาสในการก้าวหน้าในอาชีพที่กว้างขึ้นกว่าเดิม สามารถเข้ามาศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Jobcadu

    Sep 2, 2025
    Thumbnail for เข้าใจธุรกิจง่ายขึ้นด้วยการทำความรู้จัก BMC เครื่องมือที่คนทำงานยุคใหม่ต้องใช้

    เข้าใจธุรกิจง่ายขึ้นด้วยการทำความรู้จัก BMC เครื่องมือที่คนทำงานยุคใหม่ต้องใช้

    BMC คืออะไร และมีที่มาอย่างไร BMC (Business Model Canvas) คือเครื่องมือที่ช่วยวางแผนและมองภาพรวมของโมเดลธุรกิจได้ในแผ่นเดียว พัฒนาโดย Alexander Osterwalder นักวิชาการด้านธุรกิจที่ต้องการทำให้การออกแบบธุรกิจเข้าใจง่ายขึ้น เห็นเชื่อมโยงทุกส่วนในภาพเดียวแทนที่จะเขียนแผนธุรกิจหนา ๆ หลายร้อยหน้า ความสำคัญของ BMC ต่อการทำธุรกิจและสตาร์ตอัป สำหรับ ผู้ประกอบการ/สตาร์ตอัป → BMC ช่วยมองเห็นว่าธุรกิจของเราจะสร้างคุณค่าอย่างไร ขายให้ใคร และสร้างรายได้จากตรงไหน สำหรับ คนทำงาน → BMC ไม่ได้ใช้แค่กับเจ้าของธุรกิจ แต่ยังช่วยให้พนักงานเข้าใจภาพรวม ว่าเรามีบทบาทอย่างไรในการสร้างคุณค่า ทำให้การทำงานเชื่อมโยงกับเป้าหมายองค์กรได้ชัดเจนขึ้น Business Model Canvas ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง? หลังจากที่เราได้รู้จักความหมายของ Business Model Canvas (BMC) กันแล้ว ลำดับถัดมาคือการเจาะลึกในรายละเอียดว่า “BMC” จริง ๆ แล้วมีส่วนประกอบอะไรบ้าง และแต่ละส่วนสำคัญต่อการทำธุรกิจอย่างไร 1. พาร์ตเนอร์หลัก (Key Partners) การมีพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจช่วยเสริมศักยภาพให้กับองค์กรได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้าน ทรัพยากร เทคโนโลยี เงินทุน หรือช่องทางการกระจายสินค้า การร่วมมือกับบุคคลที่สามหรือองค์กรอื่น ๆ จึงเป็นส่วนสำคัญในการลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสทางการตลาด เช่น ธุรกิจออนไลน์ที่ต้องมีพาร์ตเนอร์การขนส่งและระบบการชำระเงิน เพื่อทำให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่น 2. กิจกรรมหลัก (Key Activities) กิจกรรมที่ธุรกิจทำเพื่อให้การส่งมอบ Value หรือคุณค่า ให้ไปถึงมือลูกค้าได้จริง เช่น การผลิตสินค้า การพัฒนาบริการ การออกแบบผลิตภัณฑ์ หรือการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ ตัวอย่างเช่น ร้านอาหารที่มีลูกค้าแน่นและรอคิวนาน อาจพัฒนา “ระบบจองคิวออนไลน์” เพื่อแก้ปัญหาและเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้า 3. ทรัพยากรหลัก (Key Resources) ทรัพยาการในส่วนนี้ หมายถึงสิ่งที่ธุรกิจต้องมีเพื่อให้การขับเคลื่อนไปสู่ความสำเร็จ ซึ่งอาจเป็นทั้ง ทรัพย์สินทางกายภาพ (เครื่องจักร อาคารสำนักงาน), ทรัพย์สินทางปัญญา (สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า), และ ทรัพยากรมนุษย์ (ทีมงาน) 4. คุณค่าที่นำเสนอ (Value Proposition) หัวใจของ BMC อยู่ที่ “คุณค่า” ที่ธุรกิจสร้างขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ลูกค้า เราต้องตอบให้ได้ว่า สินค้าหรือบริการของเรามีจุดเด่นอะไร? สามารถแก้ Pain point ของลูกค้าได้ไหม? และแตกต่างจากคู่แข่งอย่างไร? เช่น ธุรกิจเดลิเวอรี่อาหารที่เน้น “ส่งเร็วใน 30 นาที” หรือแอปพลิเคชันที่ช่วย “ลดต้นทุนการทำงานขององค์กร” สิ่งเหล่านี้คือคุณค่าที่ดึงดูดลูกค้าได้จริง 5. ความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relationships) รูปแบบการสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า เช่น การให้ลูกค้าสมัครสมาชิก การให้บริการหลังการขาย การขอรีวิว หรือการถาม Feedback ของสินค้าและบริการ การสร้างคอมมูนิตี้ (เช่น กลุ่ม Facebook, LINE OA) การใช้ระบบอัตโนมัติ (Chatbot, Self-service platform) ทั้งหมดนี้คือการมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความผูกพันกับแบรนด์ 6. กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (Customer Segments) การทำธุรกิจจะประสบความสำเร็จไม่ได้เลย หากไม่เข้าใจว่า “ลูกค้าของเราคือใคร” การแบ่งกลุ่มลูกค้าตาม อายุ เพศ รายได้ อาชีพ พฤติกรรมการบริโภค หรือความต้องการเฉพาะ ช่วยให้โฟกัสกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายในการสื่อสารและทำการตลาด 7. ช่องทางจัดจำหน่ายและสื่อสาร (Channels) คือช่องทางการส่งมอบคุณค่าของสินค้าและบริการให้ถึงมือกลุ่มเป้าหมาย ช่องทางเหล่านี้อาจเป็นทั้ง ออนไลน์ (เว็บไซต์ อีคอมเมิร์ซ โซเชียลมีเดีย) และ ออฟไลน์ (หน้าร้าน ตัวแทนจำหน่าย) ซึ่งธุรกิจต้องเลือกช่องทางที่เหมาะสมกับสินค้าหรือบริการ รวมถึงพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย 8. แหล่งรายได้ (Revenue Streams) รายได้ของธุรกิจอาจมาจากหลายช่องทาง เช่น ค่าสมาชิก (Subscription) การขายตรง (Direct Sales) การให้เช่า หรือค่าบริการรายครั้ง รายได้จากโฆษณา การวิเคราะห์ Revenue Streams จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจรู้ว่า รายได้หลักอยู่ที่ไหน และจะต่อยอดสร้างรายได้ใหม่ ๆ ได้อย่างไร 9. โครงสร้างต้นทุน (Cost Structure) การเข้าใจโครงสร้างต้นทุนช่วยให้ธุรกิจวางแผนได้แม่นยำมากขึ้น แบ่งออกเป็น: ต้นทุนคงที่ (Fixed Costs): เช่น ค่าเช่าสำนักงาน เงินเดือนพนักงาน ต้นทุนผันแปร (Variable Costs): เช่น วัตถุดิบ ค่าแรงงานตามปริมาณผลิต ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ (Other Expenses): เช่น ค่าโฆษณา การตลาด หรือบริการจาก Outsource เมื่อธุรกิจเห็นภาพรวมต้นทุนทั้งหมด จะช่วยในการวิเคราะห์ความคุ้มค่า และหาทางปรับปรุงกระบวนการเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายได้ วิธีการเขียน BMC อย่างมีประสิทธิภาพ เริ่มจาก Customer Segments และ Value Propositions เพราะเป็นหัวใจหลัก ใช้โพสต์อิท/สติ๊กเกอร์ เพื่อยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยน เขียนให้สั้น กระชับ และเข้าใจง่าย อัปเดต BMC เรื่อย ๆ เพราะสภาพตลาดเปลี่ยนตลอดเวลา ตัวอย่าง BMC (เช่น ร้านกาแฟท้องถิ่น) Customer Segments: คนทำงานและนักเรียนในพื้นที่ Value Propositions: กาแฟคุณภาพ ราคาจับต้องได้ บรรยากาศอบอุ่น Channels: หน้าร้าน + แอปสั่งอาหาร Customer Relationships: บัตรสะสมแต้ม, โปรโมชัน Revenue Streams: การขายกาแฟและเบเกอรี Key Resources: พนักงานบาริสต้า, วัตถุดิบกาแฟ Key Activities: การชงกาแฟ, การทำการตลาด Key Partnerships: Supplier เมล็ดกาแฟ, แอปฟู้ดเดลิเวอรี Cost Structure: ค่าเช่าร้าน, ค่าจ้างพนักงาน, ค่าวัตถุดิบ ข้อดีและข้อเสียของการใช้ BMC ข้อดีของ BMC: เห็นภาพรวมธุรกิจใน 1 หน้า เข้าใจง่าย ใช้สื่อสารกับทีมได้ทันที ยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ ข้อเสียของ BMC: เป็นภาพรวม ไม่ลงรายละเอียดเชิงลึก อาจไม่ครอบคลุมประเด็นด้านกฎหมาย/การเงินที่ซับซ้อน ต้องใช้คู่กับการวิเคราะห์อื่น ๆ เช่น SWOT, Business Plan เครื่องมือออนไลน์ที่ช่วยทำ BMC ได้ง่าย Canva (มี Template ฟรี ใช้งานง่าย) Miro / MURAL (สำหรับทำงานร่วมกันแบบออนไลน์) Strategyzer (แพลตฟอร์มของผู้คิดค้น BMC เอง) BMC เกี่ยวข้องกับชีวิตคนทำงานอย่างไร เข้าใจภาพใหญ่: ไม่ว่าเราจะอยู่ฝ่ายไหน (HR, Marketing, Sales) เราจะเห็นชัดว่าบทบาทของเรามีผลต่อ Value Proposition และ Revenue Streams อย่างไร ใช้พัฒนาไอเดียส่วนตัว: ฟรีแลนซ์หรือคนที่คิดทำธุรกิจเล็ก ๆ สามารถใช้ BMC มาลองวางแผนก่อนได้ง่าย ๆ ช่วยวิเคราะห์องค์กรที่เราทำงานอยู่: เข้าใจจุดแข็ง จุดอ่อน และโอกาสของบริษัท → ทำให้ปรับตัวกับกลยุทธ์ขององค์กรได้ดีขึ้น BMC (Business Model Canvas) เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราเข้าใจธุรกิจในภาพรวมได้ง่ายและชัดเจน เหมาะกับทั้งผู้ประกอบการ สตาร์ทอัพ และคนทำงานทุกสายอาชีพ เพราะช่วยเชื่อมโยงบทบาทการทำงานกับคุณค่าที่องค์กรสร้างได้ดียิ่งขึ้น หากคุณอยากวางแผนธุรกิจใหม่ ๆ หรือเข้าใจการทำงานเชิงกลยุทธ์ BMC คือเครื่องมือที่ไม่ควรมองข้าม หากคุณอยากพัฒนาทักษะการทำงานและหาความรู้เรื่องการตลาด อาชีพ และการออกแบบเส้นทางสายงาน เข้าไปเรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ Jobcadu แพลตฟอร์มหางานที่มาพร้อมแหล่งความรู้สร้างแรงบันดาลใจ เพื่อการเติบโตในอาชีพของคุณ Reference

    Aug 25, 2025