ScaleFast Summit & Expo 2025: ปลดล็อกการเติบโตแบบติดสปีด สู่ผู้ประกอบการยุคใหม่
งานสัมมนาธุรกิจที่ผู้ประกอบการตัวจริงไม่ควรพลาดอย่าง SCALE FAST Business Accelerator Summit & Expo 2025 ได้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ณ TRUE ICON HALL, ICONSIAM ชั้น 7 เมื่อวันที่ 30 กันยายน – 1 ตุลาคม 2025 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นพื้นที่แบ่งปันประสบการณ์และกลยุทธ์การ "Scale ธุรกิจให้โตไว" จากผู้นำทางธุรกิจรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการทุกระดับก้าวข้ามขีดจำกัดและเติบโตจากหลักล้านสู่พันล้านได้อย่างยั่งยืน Highlight ภายในงาน: 60+ Speaker & Sessions: พบกับเจ้าของธุรกิจตัวจริงกว่า 60 คน จากหลากหลายอุตสาหกรรม ที่มาแชร์ประสบการณ์การฝ่าวิกฤตและเคล็ดลับการ Scale ธุรกิจอย่างยั่งยืนจนเติบโตแตะหลักร้อยล้าน-พันล้าน 50+ Booths จาก Scale Up Expo: จัดแสดงโซลูชันธุรกิจที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณขยับจากผู้เล่นไปเป็นผู้นำ ครอบคลุมทุกระบบสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นบัญชี, การตลาด, HR, Logistics, และ Automation 200+ Attendee Exclusive Networking Night: โอกาสทองในการสร้างเครือข่ายกับนักลงทุนและเจ้าของธุรกิจทั่วประเทศ เพื่อต่อยอดโอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจ 20+ Workshop Sessions: เวิร์คช็อปแบบลงมือปฏิบัติจริงในหัวข้อสำคัญที่เจ้าของธุรกิจต้องรู้ เช่น การขาย, ระบบการบริหารคน, การตลาด, การใช้ข้อมูล, และการขยายทีม เพื่อให้ผู้เข้าร่วมสามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจได้ทันที Sessions ที่ Jobcadu ได้มีโอกาสเข้าร่วม 1.เจาะลึกกลยุทธ์ HAAB's: เมื่อขนมไข่ท้องถิ่น ทัชใจคนทั้งประเทศ หนึ่งใน Session ที่ได้รับความสนใจอย่างมากคือการนำเสนอของคุณจูเนียร์ ทัพไทย ฤทธาพรม ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ขนมไข่ชื่อดัง Haab ในหัวข้อ "HAAB's Heatwave : When Local Flavor Becomes a Lifestyle Icon" ซึ่งเผยเบื้องหลังการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ Haab จากขนมไข่ท้องถิ่น สู่การเป็นแบรนด์ที่สร้างกระแสติดปากคนทั่วประเทศ จุดเริ่มต้นจาก "ความเชื่อ" ที่ไม่ใช่ "ความชอบ" คุณจูเนียร์ได้แชร์เรื่องราวส่วนตัวว่าในวัยเด็กเป็นคนขี้อาย และไม่ได้มีความคิดที่จะทำธุรกิจอาหารเลย เพราะไม่ถนัดและทำไม่เป็น แต่เขามีความเชื่อมั่นในเรื่องอื่น ๆ มากกว่า เช่น e-commerce และ data for business ด้วยพื้นฐานที่เรียนจบด้านเศรษฐศาสตร์และเคยทำงานเป็น Business Analyst ให้กับ Amazon.com จุดเริ่มต้นของ Haab จึงไม่ได้มาจากความชอบในผลิตภัณฑ์ แต่มาจาก Co-founder (คุณมอส) ซึ่งเป็นคนสงขลาที่ต้องการผลักดัน "Project ขนมไข่" ในช่วงแรก คุณจูเนียร์ยังไม่เห็นดีมานด์ในตลาดขนมหวานเลย แต่หลังจากนั้น 1.5 ปี การกลับมาทบทวน (revisit) โปรเจกต์นี้ก็เกิดขึ้น เมื่อพบว่ามีร้านขนมไข่ร้านหนึ่งทำยอดขายได้เป็นหมื่นออเดอร์บน Shopee นั่นจึงเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า "ดีมานด์" มีอยู่จริง แม้จะยังไม่เข้าใจทั้งหมดว่าทำไมเทรนด์นี้ถึงเกิดขึ้น สูตรการ Scale ธุรกิจแบบมินิมัล สู่การขยายช่องทางการขายเเบบยั่งยืน คุณจูเนียร์เน้นย้ำถึงหลักการเริ่มต้นธุรกิจที่ว่า ควรเริ่มจาก Minimum Viable Product (MVP) หรือการทำในขนาดเล็กก่อน โดยให้ความสำคัญกับการ "Demand Research" ที่ไม่ใช่แค่ "Expected Demand" แต่ต้องเป็น "Actual Demand" ที่มีการพิสูจน์แล้ว ก้าวแรก: การทดลองตลาดด้วยงบประมาณจำกัด การทดลองเปิดบูธครั้งแรก ใช้เงินลงทุนเพียง 20,000 บาท บวกค่า Marketing 10,000 บาท สำหรับจ้าง KOL มารีวิว วันแรก ขายได้ 2,000 บาท แต่เพียง 1 สัปดาห์ ยอดขายก็พุ่งขึ้นเป็น 12,000 บาทต่อสัปดาห์ เพราะลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ บอกต่อ และการเลือก KOL ที่ตรง Target นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทีมงานมองหา "โมเดลทางธุรกิจ" ที่จริงจัง Turning Point: การสร้าง Brand Development และ Full Scale Event หลังจากเปิดร้านได้ 3 เดือน จุดเปลี่ยนสำคัญในการยืนระยะให้ได้ยาวคือการ Branding Development และการทำ Full Scale Event โดยในปีที่ผ่านมา Haab ออกอีเวนต์ไปถึง 205 ครั้ง เป้าหมายหลักไม่ใช่แค่ยอดขาย แต่คือการ "Test" เพื่อดูว่า "กลุ่มลูกค้าตัวจริง" อยู่ในห้างสรรพสินค้าใด หรือพื้นที่ใดบ้าง โดยเน้นย้ำว่า "ไม่เน้นกำไร แต่ก็ไม่ต้องการขาดทุน" การเติบโตแบบ Collaboration สู่การเป็น Global Brand คุณจูเนียร์เปิดเผยถึงกลยุทธ์สำคัญอีกข้อคือการ Collaboration กับแบรนด์อื่น ๆ ที่มีกลุ่มเป้าหมายสอดคล้องกัน เช่น ฉันจะกินชาไทยทุกวัน, Layers, Guss Damn Good, Bonnana เเละอีกหลายเเบรนด์เพื่อขยายฐานลูกค้าและสร้างการรับรู้ในวงกว้าง เพื่อช่วยให้แบรนด์สามารถยืนได้นาน Business Direction ของ Haab มุ่งเน้นไปที่: Domestic Growth via Franchise Model: การเติบโตในประเทศผ่านระบบแฟรนไชส์ Regional Expansion & Scale: การขยายไปในระดับภูมิภาค จากยอดขาย 150 ล้านบาทในปีที่แล้ว Haab ตั้งเป้าไว้ที่ 400-500 ล้านบาท ในปีนี้ พร้อมกับการขยายไปในต่างจังหวัด และต่างประเทศ ปัจจุบัน Haab มี 4 สาขาในมาเลเซีย รวมถึงการเปิดตัวแบรนด์ในเครืออย่าง Haroy เเละ Yogurbara ที่เปิดตัวในไทยและมีแผนจะขยายไปยังฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย "เราเกือบเป็น National Brand แล้ว แต่อยากให้เป็นระดับประเทศ อยากเป็น Global" คือวิสัยทัศน์ที่คุณจูเนียร์ส่งต่อ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า Haab กำลังก้าวข้ามจากการเป็นแค่ร้านขนมไข่สู่การเป็น Lifestyle Icon ที่พร้อมจะเติบโตไปทั่วโลก 2. La Glace: ปั้นแบรนด์ความงามให้ไวรัล ชนะใจ Gen Z ด้วย "พลังบวก" ใน Panel Discussion “Viral Beauty Branding: How La Glace Wins the Hearts of Gen Z” คุณไอติม (CEO) และ คุณเฟรนส์ฟรายส์ (COO) ได้เผยเส้นทางของ La Glace จากจุดเริ่มต้นที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ จนกลายเป็นแบรนด์ที่มียอดขายกว่า 420 ล้านบาทภายในสองปี จุดเริ่มต้นจาก "คำถาม" และ "ฐานลูกค้า" ทั้งสองเริ่มต้นธุรกิจขณะเป็นนักศึกษา ด้วยโจทย์ว่า "อะไรคือสิ่งที่คนถามถึงคุณมากที่สุด?" คำตอบคือ "เมคอัพ" คุณไอติมซึ่งเคยเป็นอินฟลูเอนเซอร์มาก่อน เริ่มจากการเป็นตัวแทนขาย จนกระทั่งตัดสินใจทำแบรนด์ของตัวเองด้วยความเชื่อมั่น แม้จะเจออุปสรรคในรอบแรกที่ขายไม่ได้เลย จนต้องถ่ายทอดความท้อแท้ผ่าน IG Stories ซึ่งกลายเป็นการสะสมฐานลูกค้าอย่างเป็นธรรมชาติ Turning Point คือเมื่อเพื่อนที่ร่ำรวยคนหนึ่งทักเรื่องหน้าผ่อง แต่ติเรื่องแพ็กเกจจิ้งที่ดูเชย นั่นทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจพัฒนาแบรนด์อย่างจริงจัง โดยการขอซื้อสูตรจากโรงงานและพัฒนา Branding ให้ทันสมัยขึ้น ความสำเร็จจึงเกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกเพราะ "มีฐานลูกค้าที่เชื่อใจอยู่แล้ว" แม้จะเคยโดนดราม่าเรื่องราคา (690 บาท) และการออกแบบ แต่พวกเขารับฟังและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนลูกค้าเปิดใจ กลยุทธ์การเติบโตที่มากกว่าแค่ "เครื่องสำอาง" La Glace ไม่ได้มองตัวเองเป็นเพียงแบรนด์เครื่องสำอาง แต่สื่อถึง "ความมั่นใจ" และการให้ทุกคน "สู้กับทุกปัญหา" แบรนด์จึงขาย "ฟีลลิ่ง" และ "Power" ให้กับลูกค้า ซึ่งเป็นข้อแตกต่างสำคัญที่ทำให้แบรนด์สามารถสู้กับคู่แข่งได้ กุญแจสู่ความเป็น Viral และการเข้าถึง Gen Z ความเข้าใจลูกค้าและแพลตฟอร์ม: คุณเฟรนส์ฟรายส์เสริมว่า กลยุทธ์สำคัญคือการพยายาม เข้าใจว่าลูกค้า (Gen Z) เสพสื่ออะไร และ เข้าใจเงื่อนไขของแต่ละ Platform พนักงานส่วนใหญ่ก็อยู่ในช่วงอายุ Gen Z ทำให้แบรนด์ส่งสารและแก่นสารถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด การบริหารคนแบบทีม "Avengers" (Growth Mindset): คุณไอติมเน้นว่าการคัดเลือกทีมงานนั้นสำคัญมาก โดยมองหาคนที่มี Growth Mindset, กล้าสู้, และเป็นผู้ให้ (Giver) La Glace มุ่งมั่นที่จะสร้างองค์กรที่ดีที่สุด ให้พื้นที่ในการเติบโตและเปิดโอกาสให้ทีมงานได้ออกไอเดียอย่างเต็มที่ ส่งผลให้ได้รับเรซูเม่กว่า 10,000 ใบ และมีอัตราการลาออกที่ต่ำมาก สวัสดิการที่ "ให้ใจ": สวัสดิการที่ดี เช่น เงิน 10,000 บาทเมื่อทำงานครบปี,โบนัสประจำปี, ลาวันเกิดพ่อแม่/แฟน, และการส่งต่อพลังบวกภายในทีม ทำให้พนักงานรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ "ลูกค้าต้องชนะเรา": หัวใจของการชนะใจ Gen Z คือการทำให้ลูกค้าเหนือความคาดหวัง หน้าที่ของแบรนด์คือการทำให้สิ่งที่ลูกค้าได้รับจากการเสียเงินนั้น ได้กลับมามากกว่าที่เสียไป ความไว้วางใจและการสนับสนุนจากลูกค้าคืออำนาจในการต่อรองกับ Suppliers เพื่อลดต้นทุนและ Scale up ต่อไป การขยายสู่ Offline แม้พฤติกรรมลูกค้าจะมักกลับไปซื้อออนไลน์ (เพื่อใช้โค้ด) La Glace ยังคงขยายสู่ร้านค้า Offline กว่าหมื่นสาขา โดยมีเป้าหมายที่ "ไปอยู่ทุกที่ของลูกค้า" และสร้างประสบการณ์ที่ลูกค้าสามารถทดลองสินค้าได้อย่างอิสระ 3. PAÑPURI: ถอดรหัส Thai Luxury Wellness จาก Slow Scale สู่ Global Brand คุณปราโมทย์ เดชะบุญศิริพานิช Managing Director ของ PAÑPURI ได้มาแบ่งปันกลยุทธ์ใน Session "Scent, Soul & Strategy : The Wellness Magnet" โดยยอมรับว่าเส้นทางของ PAÑPURI อาจเป็นแบบ "Scale Slow" เมื่อเทียบกับแบรนด์อื่น ๆ แต่มีเป้าหมายที่ชัดเจนคือการสร้างแบรนด์ไทยให้ไประดับโลกด้วยปรัชญา Wellness พลิกวิกฤตเป็นโอกาสและการ Transformation หลังโควิด PAÑPURI ยืนหยัดในฐานะแบรนด์ที่มุ่งเน้น Holistic Wellness หรือสุขภาพองค์รวม ซึ่งแตกต่างจากกระแส J-Beauty หรือ K-Beauty ที่เน้นความสวยงามเฉพาะหน้า แม้ในช่วงเริ่มต้นหลายปีก่อน Wellness จะยังไม่เป็นที่เข้าใจ แต่หลังโควิด-19 ความตระหนักรู้เรื่องนี้ก็เพิ่มขึ้นทั่วโลก ในช่วงวิกฤตที่เงินสดติดขัด PAÑPURI สามารถสร้าง Cash Flow ได้ถึง 4 ล้านบาทจากการผลิต เจลแอลกอฮอล์ การเอาตัวรอดครั้งนั้นกลายเป็นบทเรียนว่าต้องทำอย่างไรให้ดีกว่าเดิม จนนำไปสู่ Post Covid Transformation กลยุทธ์การ Transformation Don’t Follow The Big Guys: เลือกทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับแบรนด์ใหญ่ เพราะการทำตามอย่างมากก็แค่เสมอตัว PAÑPURI เลือกที่จะเก่งใน Segment ที่เล็กกว่า แต่เป็นจุดแข็งของตัวเอง Product Strategy (The Triangle of Truth): ผลิตภัณฑ์แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ Fine Fragrance, Bath Body & Hair, และ Skincare (รวมถึง Home Fragrance) โดยใส่ Value เข้าไปในผลิตภัณฑ์ ทั้งด้านคุณภาพ การออกแบบ Packaging โดยนักออกแบบเก่ง ๆ และเน้น Service ตามแบบฉบับ Thai Hospitality Stores & Experiences (Offline is the New Online): แม้โลกจะเปลี่ยนไปสู่ Online แต่ PAÑPURI ลงทุนใน Offline Store เพื่อสร้าง "ประสบการณ์" ให้ลูกค้าได้ทดลองกลิ่นและผลิตภัณฑ์จริง ๆ โดยแต่ละสาขาจะถูกออกแบบให้มี Concept ที่ไม่ซ้ำกัน สวยงาม และ "Instagammable" (เช่น สาขา Emquartier คอนเซปต์ Night Club / พัทยา คอนเซปต์เรือ) เพื่อดึงดูดลูกค้า Personalized & Experiential Retail: การให้บริการลูกค้าสามารถ ทดลองทำกลิ่นน้ำหอมกับครอบครัว ได้ที่ Emsphere & Emquartier สร้าง "Lifetime Customer" เพราะแบรนด์เชื่อว่า "Brand Story ไม่สำคัญเท่า Customer Story" การ Collaboration และวิสัยทัศน์ระดับโลก PAÑPURI สร้างสรรค์ Storytelling ในทุกแคมเปญ เช่น การ Collaborate กับ Jim Thomson โดยใช้เศษผ้ามาทำแพ็กเกจจิ้ง ซึ่งมีมูลค่าสูงและเป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้ยังมีการนำผลิตภัณฑ์ไปวางในร้านอาหาร Fine Dining กว่า 50 แห่งทั่วประเทศ วิสัยทัศน์ต่อไปของแบรนด์คือการก้าวสู่ระดับโลก ด้วยการขยายสาขา 40-50 แห่งทั่วเอเชีย รวมถึงการสร้างแคมเปญระดับโลก เช่น การเปิดตัวคอเลคชั่น “LOTUS ECLIPSE” ซึ่งมาจากชื่อซีรีส์ดังระดับโลก “The White Lotus” โดยมีเป้าหมายในการพา Thai Wellness Luxury ไปไกลในทุกมุมโลก 4. iHAVECPU: จากโลกออนไลน์สู่หน้าร้านจริง สูตรขยายธุรกิจคอมพิวเตอร์แบบติดสปีด คุณเปา พีรดนย์ เหมยากร เจ้าของแบรนด์ iHAVECPU ได้มาแบ่งปันเส้นทางการเปลี่ยนธุรกิจจากลูกเจ้าของ "กงสี" ที่กำลังจะแพ้ ให้กลายมาเป็นแบรนด์ไอทีที่เติบโตแบบไม่รอใคร ด้วยยอดขายที่พุ่งจาก 1,300 ล้านบาท (ปี 2023) เป็น 2,700 ล้านบาท (ปี 2025) สร้างตัวตนให้โดดเด่นท่ามกลางคู่แข่ง ท่ามกลางตลาดคอมพิวเตอร์ที่มีคู่แข่งมากมาย คุณเปาเริ่มต้นจากการขายของมือสอง ก่อนจะขยายสู่ Social Media โดยเน้นการ "สร้างตัวตน" ให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง Real & Relatable Branding: แทนที่จะสร้างภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบ คุณเปาเลือกที่จะเป็น "เจ้าพ่อคำคม" และนำเสนอตัวเองอย่าง "เรียล ๆ" ซึ่งทำให้ผู้คนเข้าถึงและจดจำได้ง่าย ลงคอนเทนต์ทุกแพลตฟอร์ม: ด้วยความเชื่อที่ว่า "ยิ่งคนรู้จักยิ่งสร้างโอกาสการขาย" iHAVECPU จึงลงคอนเทนต์ในทุกแพลตฟอร์มที่มี เพื่อให้คนเห็นแบรนด์ในวงกว้างที่สุด โดยต้อง เข้าใจธรรมชาติของแต่ละแพลตฟอร์ม ว่าควรลงคอนเทนต์แบบใด กลยุทธ์ Offline เสริม Online: เปิดร้านในจุดยุทธศาสตร์ ในขณะที่ร้านค้าอื่นมักจะเติบโตจากหน้าร้านสู่โลกออนไลน์ iHAVECPU เติบโตจาก Online จนต้องมีหน้าร้าน กลยุทธ์การเปิดร้าน (ปัจจุบันมี 16 สาขา) เน้นไปที่: พื้นที่ Stand Alone/ปั๊ม/Avenue: เลือกพื้นที่ที่ค่าเช่าไม่แพง และลูกค้ามีความตั้งใจเดินเข้ามาซื้ออยู่แล้ว ซึ่งมีโอกาสปิดการขายสูงถึง 70-80% แตกต่างจากการขายในห้างสรรพสินค้าที่ลูกค้าอาจแค่เดินดู Offline เพื่อเสริม Online: หน้าร้านจริงทำหน้าที่เป็นตัวเสริมความมั่นใจให้กับลูกค้าที่รู้จักแบรนด์จากโลกออนไลน์ สร้างความแตกต่างให้ "คอมที่เหมือนกัน" ในธุรกิจที่สินค้าอย่างคอมพิวเตอร์ถูกมองว่า "เหมือนกันทุกร้าน" iHAVECPU ใช้กลยุทธ์ในการสร้างความแตกต่างเพื่อเพิ่มอำนาจการตัดสินใจซื้อ: Collaboration: สร้างสรรค์สินค้าที่ไม่มีใครเหมือนด้วยการคอลแลปส์กับแบรนด์อื่น ในส่วนประกอบ เช่น แรม การ์ดจอ หรือคีย์บอร์ด โดยลูกค้าจะได้อุปกรณ์ที่มี "iHAVECPU" เป็นส่วนหนึ่ง Customization และ Accessories: การทำเคสและอุปกรณ์เสริมที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งยังไม่มีใครทำอย่างจริงจัง ช่วยให้ลูกค้าเชื่อมั่นว่าได้สินค้าที่เป็น ลิมิเต็ด และมีคุณค่า Expertise is Trust: สร้างความไว้วางใจด้วยการเป็น "ตัวจริง" ในสิ่งที่ขาย ต้อง "รู้ทุกอย่าง" ที่ทำ เพื่อให้เป็น Top of Mind ของลูกค้า การที่ CEO นำหน้ามาขายเอง ยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือและความทุ่มเทให้กับแบรนด์ คุณเปาทิ้งท้ายว่า การเริ่มต้นช้ากว่าคนอื่นด้วยเงินทุนและประสบการณ์ที่น้อยกว่า ทำให้ต้อง "Work Hard" ควบคู่ไปกับ "Work Smart" เพื่อให้ก้าวข้ามทุกอุปสรรคไปให้ได้ 5. White Story: เรื่องเล่าพันล้านจากเมนูอร่อยและ Local Insight คุณแวว วาศิณี สุรชาติชัยฤทธิ์ ผู้ก่อตั้ง White Story ได้แบ่งปันเส้นทางการพลิกธุรกิจจากคาเฟ่ขนาดเล็กสู่แบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่ตั้งเป้ารายได้ 800 ล้านบาทในปีนี้ ด้วยการเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของคนไทยอย่างลึกซึ้ง การปรับตัวจาก "คาเฟ่" สู่ "ร้านอาหารครอบครัว" จุดเริ่มต้นของ White Story มาจากคาเฟ่เล็ก ๆ ที่เน้นขายกาแฟและขนมเค้กย่านวงเวียนพระราม 5 แต่รายได้ไม่เป็นไปตามเป้า คุณแววได้แก้ปัญหาด้วยการ "คุยกับลูกค้าทุกวัน" เพื่อทำความเข้าใจ Local Insight การเพิ่มเมนูอาหารจานเดียว: ลูกค้าในย่านวงเวียนพระราม 5 เป็นกลุ่มที่หลังส่งลูกเสร็จ หรือครอบครัวที่เพิ่งย้ายมาอยู่ ซึ่งต้องการ อาหารจานเดียว ทำให้ White Story ตัดสินใจ เพิ่มเมนูอาหาร เพื่อตอบโจทย์ความต้องการนี้ การขยายสาขาตามเทรนด์: หลังน้ำท่วมใหญ่ ธุรกิจเลือกย้ายจากบ้านเก่าที่รีโนเวทไปสู่ Community Mall (The Walk ราชพฤกษ์) เพื่อเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้น และใช้พื้นที่ใหญ่ให้เกิดประสิทธิภาพ พลิกโฉมสู่ Grab & Go และ F.L.A.V.O.R. Framework จุดเปลี่ยนสำคัญคือการปรับภาพจำจากร้านอาหาร Dine-in สู่ Grab & Go โดยเริ่มต้นจาก "ขนมปัง" ด้วยการสังเกตเทรนด์ว่าคนไทยชอบเที่ยวญี่ปุ่น และมีตลาดร้านอาหารไทยในญี่ปุ่นเปิดตัวเยอะ จึงนำ "ขนมญี่ปุ่น" มาประยุกต์ให้ถูกปากคนไทย เช่น ขนมปังห่อไดฟุกุ เพราะอร่อย ทานง่าย เเละอิ่มนาน Make it F.L.A.V.O.R. Framework คือสูตรลับที่ใช้ในการพัฒนาสินค้าและการเติบโต: F - Fusion: ผสมผสานวัฒนธรรมหรือรสชาติที่ได้รับแรงบันดาลใจ L - Local Insight: อิงพฤติกรรม วัฒนธรรม หรือความชอบของคนไทย A - Aesthetic: ความสวยงาม ถ่ายรูปแล้วปัง V - Value Add: การเพิ่มคุณค่า เช่น ด้านสุขภาพ (ไม่ใส่สารกันเสีย) หรือบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ O - Occasion Fit: เหมาะสมกับโอกาสในการซื้อ เช่น เทศกาล หรือซื้อกินระหว่างเดินทาง R - Repeatability: อะไรที่ทำให้คนอยากกลับมาซื้อซ้ำ การ Scale คุณภาพด้วยครัวกลางและการขยายสาขา เพื่อคงคุณภาพแม้จะขยายสาขาอย่างรวดเร็ว (ปัจจุบันมี 104 สาขา) White Story เล็งเห็นถึงความสำคัญของ "ครัวกลาง" ในการ ควบคุม QA QC และการพัฒนาสินค้าให้ตรงตามเทรนด์และดีมานด์อย่างต่อเนื่อง ด้วยวิสัยทัศน์ที่อยากให้คนไทยทุกคนได้ทานอาหารที่ดี และความตื่นตัวด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้น ทำให้ White Story ประสบความสำเร็จในการขยายตัวไปทั่วกรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดใหญ่ ๆ โดยยังคงมุ่งมั่นที่จะขยายสาขาให้เข้าถึงลูกค้าทั่วประเทศมากที่สุด 6. Pramy: กลยุทธ์ปั้นแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงไทยสู่พันล้านและตลาดโลกใน 3 ปี คุณคริส ฐิติภัทร์ ยิมเศรษฐี เจ้าของแบรนด์อาหารแมวพรีเมียม Pramy ใช้พื้นฐานจากการจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Cambridge และการที่เคยทำงานที่ McKinsey & Company เข้ามาพลิกโฉมตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงที่หลายคนมองว่าเป็น Red Ocean จนสามารถทำยอดขาย 1,000 ล้านบาท ใน 3 ปี และส่งออกไป 25 ประเทศ แรงขับเคลื่อนและความเข้าใจตลาด คุณคริสมีแรงบันดาลใจจากการเลี้ยงแมว 3 ตัว และตระหนักว่าคนในยุค "Pet Parent" ยอมจ่ายแพงเพื่อให้ลูก ๆ ได้อยู่ด้วยนาน ๆ แต่ความรู้ยังมีจำกัดและมักจะเลือกผลิตภัณฑ์ที่แพงที่สุด ซึ่งอาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด 5 Key Lessons สู่ความสำเร็จ Differentiate: เสนอทางออกด้วยการใช้วัตถุดิบ Human Grade (ปลาเนื้อขาว) ซึ่งคนทานได้และไม่คาว พร้อมตั้งราคาให้ "เข้าถึงได้" (Accessible Price) แตกต่างจากคู่แข่งพรีเมียมรายอื่น ๆ Branding: เน้นภาพลักษณ์ที่ดูเป็นสากลและเข้าถึงได้ โดยการเน้นภาพ วัตถุดิบเนื้อสัตว์ บนบรรจุภัณฑ์ แทนที่จะใช้รูปแมวแบบทั่วไป เพื่อสื่อสารกับตลาดโลก Customer Obsession: ใน 3 ปีแรก คุณคริสอ่านข้อความและข้อติชมของลูกค้าทั้งหมด การรับฟังอย่างหมกมุ่นนี้เองที่ทำให้ Pramy ขยายผลิตภัณฑ์จาก 9 SKU สู่กว่า 100 สูตร ในปัจจุบัน รวมถึงการแตกไลน์สินค้าใหม่ (Lola & Co.) ที่มีราคาถูกลง Authenticity and Trust (No Over Claim): ใช้เวลาเป็นปีในการออกสินค้าใหม่ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคว่าสินค้ามีการวิจัยและพัฒนาอย่างจริงจัง ไม่ใช่การโอ้อวดสรรพคุณเกินจริง Quality is Key to Create Community: คุณภาพของสินค้าที่ใช้จริง (เช่น เคสแมวถูกทิ้งที่เป็นโรคผิวหนัง กลับมาขนฟูแข็งแรงหลังทาน Pramy) คือสิ่งที่สร้าง Community และเป็นหลักฐานที่ทรงพลังที่สุดในการพาแบรนด์ไปสู่ตลาดโลก ทาง Jobcadu ได้มีโอกาสเข้าฟัง 6 session ที่น่าสนใจ ซึ่งล้วนถ่ายทอดประสบการณ์ตรงจากผู้นำธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่แบรนด์ขนมท้องถิ่นจนถึงสินค้าระดับไลฟ์สไตล์และเทคโนโลยี ความรู้ที่ได้รับไม่เพียงสะท้อนแนวคิดการ “โตไว” แต่ยังตอกย้ำว่า การเติบโตทางธุรกิจต้องมาคู่กับความเข้าใจตลาด ความจริงใจกับลูกค้า และการสร้างทีมที่แข็งแรง ขอบคุณทาง ScaleFast ที่สร้างพื้นที่ดี ๆ ให้ผู้ประกอบการไทยได้มาแลกเปลี่ยน เรียนรู้ และต่อยอดธุรกิจร่วมกันอย่างเข้มข้นและสร้างสรรค์