Logo
  • Pro Profile
  • Jobs
  • Career
    Career Pathway
    Growth
    Education
    Inspiration
    Personality
    Jobs & Industries
    Job Search
    Resume & Portfolio
    Salary
    Well-being
  • Education
    Online Courses
    Masters Programs
  • Resume Builder
  • Corporate Users



  • Jobcadu Logo

    Best career platform for job search, recruitment, career assessment & education

    10,000+

    Jobs

    Jobs Functions

    Administration & Office

    Marketing

    Customer Service

    Information Technology (IT)

    Accounting & Finance

    Human Resources & People

    Production & Supply Chain

    Engineering

    For Job Seekers

    Jobs

    Resume Builder

    Education Resources

    Resume Resources

    For Corporate Users

    Post Jobs

    Pricing

    Resources

    About Us

    Terms of Use

    Privacy Policy


    © 2025 Jobcadu. All rights reserved

    พนักงานรัฐวิสาหกิจคืออะไร ทำไมหลาย ๆ คนเชียร์อยากให้เป็น Jobcadu มีคำตอบ

    Career Pathway
    1. Home

    2. Careers

    3. พนักงานรัฐวิสาหกิจคืออะไร ทำไมหลาย ๆ คนเชียร์อยากให้เป็น Jobcadu มีคำตอบ

    พนักงานรัฐวิสาหกิจคืออะไร ทำไมหลาย ๆ คนเชียร์อยากให้เป็น Jobcadu มีคำตอบ

    Posted November 11, 2024

    Career Path

    พนักงานรัฐวิสาหกิจ
    รัฐวิสาหกิจ
    เงินเดือนรัฐวิสาหกิจ
    สวัสดิการพนักงานรัฐวิสาหกิจ
    พนักงานรัฐวิสาหกิจคืออะไร ทำไมหลาย ๆ คนเชียร์อยากให้เป็น Jobcadu มีคำตอบ
    Career Path Description


    พนักงานรัฐวิสาหกิจ (State-Owned Enterprise Employee) หรือพนักงานที่ทำงานในองค์กรที่มีรัฐเป็นเจ้าของหรือควบคุม บทบาทสำคัญของพนักงานรัฐวิสาหกิจคือการให้บริการและสนับสนุนสังคมในด้านต่างๆ เช่น การขนส่ง การสาธารณสุข พลังงาน และการเงิน โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อประโยชน์สาธารณะ ไม่ได้เน้นกำไรเหมือนกับบริษัทเอกชน นอกจากนั้นวันนี้เราจะพามาไขข้อสงสัยเกี่ยวกับรายได้ โบนัส รวมถึงความมั่นคงของงานนี้กัน


    พนักงานรัฐวิสาหกิจ คืออาชีพอะไร?

    พนักงานรัฐวิสาหกิจ คือ บุคลากรที่ปฏิบัติงานในองค์กรของรัฐหรือที่รัฐมีส่วนเป็นเจ้าของอย่างน้อย 51% หรือรัฐผสมเอกชนนั่นเอง ซึ่งองค์กรเหล่านี้จัดตั้งขึ้นเพื่อให้บริการที่สำคัญแก่ประชาชน ซึ่งพนักงานกลุ่มนี้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนโยบายของรัฐและการให้บริการสาธารณะที่มีคุณภาพ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศในหลากหลายด้าน โดยมีหลายองค์กรที่เราคุ้นเคย ก็คือ การไฟฟ้า การประปา ธนาคารต่าง ๆ นั่นเอง โดยองค์กรเหล่านี้จะรับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนที่มาจากงบประมาณแผ่นดิน


    ตัวอย่างองค์กรรัฐวิสาหกิจในประเทศไทย

    ในประเทศไทย รัฐวิสาหกิจแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามหน้าที่เป็นหลัก โดยแต่ละประเภทมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย ซึ่งประกอบด้วย:


    • การขนส่ง: เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย การท่าอากาศยานไทย ที่ให้บริการด้านการขนส่งเพื่อเชื่อมโยงทุกพื้นที่ในประเทศ
    • พลังงาน: เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการประปานครหลวง ที่ให้บริการด้านสาธารณูปโภคเพื่อความสะดวกและความปลอดภัยของประชาชน
    • การเงิน: เช่น ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย ที่ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายและปลอดภัย
    • สาธารณสุข: เช่น องค์การเภสัชกรรม ที่ช่วยผลิตและจำหน่ายยาราคาถูกและมีคุณภาพ


    ความสำคัญขององค์กรรัฐวิสาหกิจ

    องค์กรรัฐวิสาหกิจ (State-Owned Enterprises: SOEs) เป็นหน่วยงานทางเศรษฐกิจที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาประเทศในหลายมิติ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของชาติ รัฐวิสาหกิจไม่เพียงแต่ทำหน้าที่ในฐานะผู้ให้บริการสาธารณะที่สำคัญ แต่ยังเป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการดำเนินนโยบายเพื่อประโยชน์ส่วนรวมอย่างมีประสิทธิภาพ

    1. บทบาททางเศรษฐกิจ

    องค์กรรัฐวิสาหกิจมีส่วนสำคัญในระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภาคส่วนที่ต้องการการลงทุนสูงหรือมีความเสี่ยง เช่น โครงสร้างพื้นฐาน การพลังงาน และการคมนาคม การดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจช่วยสร้างเสถียรภาพและกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจผ่านการลงทุนในโครงการสำคัญ นอกจากนี้ รัฐวิสาหกิจยังเป็นแหล่งรายได้ของรัฐบาลผ่านการจ่ายเงินปันผลและภาษี

    2. การให้บริการสาธารณะ

    องค์กรรัฐวิสาหกิจมุ่งเน้นการให้บริการสาธารณะที่ครอบคลุมและเป็นธรรม เช่น การจัดการไฟฟ้า น้ำประปา การขนส่งมวลชน และการสื่อสารโทรคมนาคม การให้บริการเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมถึงการสร้างโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรและบริการที่จำเป็น

    3. การสนับสนุนการพัฒนาสังคม

    รัฐวิสาหกิจเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญของรัฐบาลในการขับเคลื่อนนโยบายสังคม เช่น การสร้างงาน การลดความเหลื่อมล้ำ และการพัฒนาชุมชนในพื้นที่ห่างไกล ตัวอย่างเช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีบทบาทในการขยายระบบไฟฟ้าให้ครอบคลุมพื้นที่ชนบท เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น

    4. การสร้างความมั่นคงของชาติ

    ในด้านความมั่นคง รัฐวิสาหกิจมีบทบาทสำคัญในการจัดการทรัพยากรที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของประเทศ เช่น การจัดหาพลังงาน การป้องกันภัยพิบัติ และการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติในระยะยาว

    5. การสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืน

    องค์กรรัฐวิสาหกิจสามารถเป็นตัวอย่างที่ดีในการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยนำแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนมาปรับใช้ในกระบวนการทำงาน เช่น การลงทุนในพลังงานหมุนเวียน การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการส่งเสริมการบริโภคที่ยั่งยืน


    บทบาทของรัฐวิสาหกิจแบบสั้น ๆ

    • เพื่อดำเนินกิจการที่ต้องใช้ความร่วมมือของรัฐ
    • เพื่อหารายได้แก่รัฐโดยใช้เอกชนเป็นส่วนร่วม
    • เพื่อดำเนินกิจการที่มีความสำคัญ ที่คอยอุดรอยโหว่ของรัฐที่ยังไม่ครอบคลุม
    • เพื่อประกอบกิจการที่เป็นเครื่องมือสนองนโยบายเพื่อช่วยเหลือในการครองชีพหรือส่งเสริมอาชีพของประชาชนเป็นส่วนใหญ่
    • เพื่อประกอบกิจการเพื่อสาธารณประโยชน์
    • เพื่อป้องกันการผูกขาดของบริการสาธารณูปโภค



    เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ มั่นคงไหม เงินเดือนเท่าไหร่?

    เงินเดือนและความมั่นคงของพนักงานรัฐวิสาหกิจ: พนักงานรัฐวิสาหกิจมักได้รับเงินเดือนที่ดี (สูงกว่างานข้าราชการโดยเฉลี่ย) และมีเสถียรภาพกว่าบริษัทเอกชนในบางตำแหน่ง ถึงแม้ว่าอัตราเริ่มต้นอาจไม่สูงเท่าบางอาชีพในภาคเอกชน แต่พนักงานรัฐวิสาหกิจมีโอกาสได้รับการขึ้นเงินเดือนตามระยะเวลา และสามารถคาดหวังถึงการเลื่อนขั้นงานที่มั่นคงได้


    "ชีวิตการทำงานตั้งแต่ 22 ปี  

    เริ่มต้น

    ข้าราชการเงินเดือน 15,000 บาท

    รัฐวิสาหกิจ 18,000 บาท


    อายุ 30 ปี

    ข้าราชการจะได้เงินเดือน 28,000 บาท

    รัฐวิสาหกิจจะได้เงินเดือน 36,330 บาท+โบนัส 5 เดือน


    อายุ 40 ปี

    ข้าราชการ =45,000 บาท ประจำตำแหน่ง 10,000 บาท=55,000 บาท

    รัฐวิสาหกิจจะได้เงินเดือน 62,900 บาท+โบนัส 5 เดือน"

    อ้างอิง


    เงินเดือนส่วนใหญ่สูงกว่าข้าราชการในจำนวนปีการทำงานที่เท่ากันโดยเฉลี่ย มีโบนัสบ้างเหมือนเอกชน แต่การขึ้นเงินเดือนอาจไม่สูงเท่าการทำงานในบริษัท รวมถึงการย้ายงานอาจทำได้ยากกว่า ไม่มีเงินบำนาญ เนื่องจากมีระบบประกันสังคม และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ


    สวัสดิการ: พนักงานรัฐวิสาหกิจมักได้รับสวัสดิการที่ดีเยี่ยม เช่น บำเหน็จบำนาญ การประกันสุขภาพ สวัสดิการสำหรับครอบครัว และอื่น ๆ ที่ช่วยเสริมความมั่นคงในระยะยาว ทั้งนี้ยังมีสิทธิประโยชน์ในการกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำที่รัฐจัดไว้ให้อีกด้วย ทำให้พนักงานรัฐวิสาหกิจมีฐานะการเงินที่มั่นคงยิ่งขึ้น


    สวัสดิการที่พนักงานรัฐวิสาหกิจได้รับประกอบด้วย:

    • ประกันสุขภาพ และการรักษาพยาบาล
    • บำเหน็จบำนาญ หรือกองทุนเกษียณอายุที่ช่วยให้มีรายได้หลังเกษียณ
    • สิทธิในการลาพักร้อน ที่เพียงพอต่อการฟื้นฟูสุขภาพและทำกิจกรรมส่วนตัว
    • สวัสดิการเพื่อครอบครัว เช่น การศึกษาสำหรับบุตรและเงินช่วยเหลือครอบครัว
    • ดอกเบี้ยกู้ยืมต่ำ ซึ่งช่วยให้พนักงานมีการเงินที่มั่นคงในระยะยาว

    เห็นได้ว่าสวัสดิการส่วนใหญ่อาจสูสีกับข้าราชการ โดยเฉพาะสวัสดิการค่าการรักษาพยาบาลขณะเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งก็อยู่กับตำแหน่งอีกด้วย


    พนักงานรัฐวิสาหกิจมีบำเหน็จหรือบำนาญไหม

    เงินบำนาญที่แต่ละคนได้รับนั้นไม่เท่ากัน เนื่องจากขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ประเภทของงานที่ทำ ระยะเวลาในการทำงาน และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายบำนาญของแต่ละหน่วยงาน ข้าราชการมักมีเงินบำนาญที่แน่นอนและมั่นคงกว่า เนื่องจากมีระบบบำนาญของรัฐรองรับ ส่วนพนักงานบริษัทเอกชนหรือแรงงานทั่วไปจะได้รับเงินบำนาญจากกองทุนประกันสังคม ซึ่งจำนวนเงินจะขึ้นอยู่กับเงินเดือนและระยะเวลาที่ส่งเงินสมทบเข้ากองทุน ทำให้เงินบำนาญที่ได้รับในแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกันไปตามเงื่อนไขที่กำหนด


    ข้าราชการ vs พนักงานรัฐวิสาหกิจ vs พนักงานบริษัทเอกชน:


    ข้าราชการ: ข้าราชการมีความมั่นคงสูง เนื่องจากได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายและมีสิทธิ์เกษียณอายุพร้อมบำเหน็จบำนาญ ขณะที่พนักงานรัฐวิสาหกิจมีความมั่นคงปานกลาง แต่ได้รับสวัสดิการดีและสามารถรักษาความสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวได้

    พนักงานรัฐวิสาหกิจ: พนักงานรัฐวิสาหกิจทำงานในองค์กรที่รัฐถือหุ้น จึงมีความยืดหยุ่นและอิสระในการดำเนินงานมากกว่าข้าราชการ ขณะที่ข้าราชการปฏิบัติงานในหน่วยงานรัฐโดยตรงและมักมีกฎระเบียบที่เข้มงวดกว่า

    พนักงานบริษัทเอกชน: บริษัทเอกชนมุ่งเน้นผลกำไรและความเติบโตขององค์กร ทำให้มีโอกาสเติบโตในสายอาชีพสูงกว่า ขณะที่พนักงานรัฐวิสาหกิจมีความมั่นคงสูงกว่าและได้รับสวัสดิการที่ดี แต่มีโอกาสเติบโตน้อยกว่าบริษัทเอกชน


    หลังจากที่อ่านจบแล้ว รู้สึกว่าพนักงานรัฐวิสาหกิจคือผู้ที่ทำงานในองค์กรของรัฐโดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนสังคมมากกว่าการแสวงหากำไร การทำงานในรัฐวิสาหกิจมีความมั่นคงและมีสวัสดิการที่ดี ทำให้เป็นอาชีพที่หลายคนมองหาโดยเฉพาะในยุคที่การทำงานในบริษัทเอกชนอาจมีความเสี่ยงสูง กดดัน และไม่มั่นคง แต่อย่างไรก็ตามเราก็สามารถหางานที่เหมาะกับเราได้ง่าย ๆ ที่ Jobcadu


    Related Skills & Areas
    พนักงานรัฐวิสาหกิจ
    รัฐวิสาหกิจ
    เงินเดือนรัฐวิสาหกิจ
    สวัสดิการพนักงานรัฐวิสาหกิจ


    Related Careers
    Thumbnail for วิธีเลือกงานที่เหมาะสมและค้นหาอาชีพที่ใช่สำหรับคุณ
    Career Pathway

    วิธีเลือกงานที่เหมาะสมและค้นหาอาชีพที่ใช่สำหรับคุณ

    การเลือกเส้นทางอาชีพที่เหมาะสมเป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดที่เราสามารถทำได้ เพื่อความพึงพอใจทั้งในด้านชีวิตส่วนตัวและด้านอาชีพ บทความนี้จะช่วยให้เราได้สะท้อนตัวตนถึงความชอบ จุดแข็ง และเป้าหมาย เพื่อให้มีข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจในชีวิต ที่สอดคล้องกับความฝันและความต้องการของเรา 1.ค้นหาว่าสิ่งที่เราชอบและไม่ชอบคืออะไร ลองตั้งคำถามเพื่อหาสิ่งที่ตัวเองชอบ เช่น เราชอบทำงานที่เกี่ยวข้องกับตัวเลข คำพูด หรือกราฟิกหรือไม่? ชอบทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีระเบียบ หรือทำงานในที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงและมีการพบปะพูดคุยกับผู้คนมากกว่า? การเลือกงานที่ตรงกับความชอบของเราเป็นสิ่งสำคัญ ควรหลีกเลี่ยงงานที่มีเนื้องานที่เราไม่ชอบทำเเม้จะได้เงินเดือนสูง เพราะถ้าเราาไม่มีความสุขหรือความพึงพอใจในงานนั้นๆ เราก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จในระยะยาวได้ ในขณะเดียวกัน งานที่มีรายได้น้อยอาจนำมาซึ่งความสุข หากตรงกับความสนใจและค่านิยมของเรา ตัวอย่าง: หากไม่ชอบทำงานที่เกี่ยวกับตัวเลข ควรหลีกเลี่ยงงานด้านบัญชี และลองสำรวจงานในด้านการตลาดหรือการออกแบบที่เน้นความคิดสร้างสรรค์แทน 2.ทำความเข้าใจกับบุคลิกของตัวเอง ให้สำรวจว่าตัวเองเป็นคนที่เป็น introvert หรือ extrovert? ชอบวิเคราะห์หรือชอบความสร้างสรรค์? การทำแบบทดสอบบุคลิกภาพเช่น MBTI หรือ CliftonStrengths จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มบุคคลิกภาพที่เข้ากับเรา เช่น หากเราเป็น extrovert ที่ชอบการติดต่อสื่อสารกับคนอื่น อาชีพในด้านการขายอาจเหมาะกับเรา การเลือกงานให้ตรงกับบุคลิกจะช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จและความพึงพอใจในงาน ตัวอย่าง: หากเราเป็น introvert ที่ชอบทำงานคนเดียว อาจเหมาะกับตำแหน่งนักพัฒนาซอฟต์แวร์หรือนักวิจัย ในขณะที่ extrovert อาจจะเก่งในด้านการประชาสัมพันธ์หรือการวางแผนกิจกรรม 3.ใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของตัวเอง เราเก่งอะไร ลองมองย้อนกลับไปยังความสำเร็จที่ผ่านมา รับฟังคำติชมจากผู้อื่น และดูว่าเราประสบความสำเร็จในด้านใด ไม่ว่าจะเป็นการเป็นผู้นำ ความสามารถในการจัดการ หรือความสามารถในการทำงานภายใต้ความกดดัน งานที่ใช้จุดแข็งเหล่านี้จะช่วยให้เราโดดเด่นและประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น ตัวอย่าง: หากคุณได้รับคำชมเรื่องความสามารถในการจัดการ คุณอาจจะเหมาะกับตำแหน่งผู้จัดการโครงการที่ต้องการความละเอียดรอบคอบ 4.กำหนดเป้าหมายเรื่องเงินเดือน การได้รับรางวัลทางการเงินนั้นสำคัญ แต่ต้องพิจารณาถึงเป้าหมายทางการเงินระยะสั้นและระยะยาวควบคู่ไปกับความสำคัญในด้านอื่นๆของชีวิต การทำวิจัยในเส้นทางอาชีพที่ตรงกับความคาดหวังด้านรายได้และโอกาสในการเติบโตในอนาคตจะช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น หากบางอาชีพหรืออุตสาหกรรมไม่ตรงกับความต้องการในเรื่องเงินเดือน เราอาจต้องลองพิจารณาหาตัวเลือกอื่นๆ ตัวอย่าง: หากตั้งเป้าหมายที่จะมีรายได้สูงในวงการเทคโนโลยี เราอาจต้องพิจารณาอาชีพด้านนักวิทยาศาสตร์เชิงข้อมูล หรือ วิศวกรที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี ที่ได้รับค่าตอบแทนสูง 5.ประเมินข้อแลกเปลี่ยนที่เเลกกับการเสียสละ งานที่มีเงินเดือนสูงมักมีต้องมีข้อแลกเปลี่ยน เช่น เวลาทำงานที่ยาวนาน เกิดความเครียดสูง หรือการเสียสมดุลในชีวิตจากการทำงาน เราต้องตัดสินใจว่าพร้อมที่จะเสียสละอะไรเพื่อแลกกับเงินเดือนที่สูง ในบางกรณี อาชีพบางประเภทอาจจะมีการทำงานในเวลาสั้นลงแต่สมดุลชีวิตดีขึ้น ตัวอย่าง: งานในด้านการธนาคารเพื่อการลงทุนอาจมีเงินเดือนสูงแต่ต้องทำงานมากถึง 80 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ขณะที่งานในด้านการศึกษาอาจให้สมดุลชีวิตการทำงานที่ดีกว่า 6.คิดถึงการเป็นผู้ประกอบการ เราเคยคิดที่จะเป็นผู้ประกอบการหรือไม่? หากคำตอบคือใช่ ควรเปรียบเทียบความมั่นคงจากเงินเดือนกับความท้าทายในการดำเนินธุรกิจของตัวเอง การเป็นผู้ประกอบการสามารถมอบอิสระและความพึงพอใจ แต่ก็มีความเสี่ยงและความไม่แน่นอน การเปรียบเทียบทางเลือกในการทำงานกับเส้นทางการเป็นผู้ประกอบการจะช่วยให้เห็นความชัดเจนในเป้าหมายระยะยาว ตัวอย่าง: หากต้องการความเป็นอิสระและมีวิสัยทัศน์ที่แข็งแกร่ง การเริ่มต้นธุรกิจในด้านการตลาดดิจิทัลอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าการทำงานในตำแหน่งการตลาดในบริษัทใหญ่ 7.กำหนดเป้าหมายของตัวเอง เราอยากบรรลุอะไรในเส้นทางอาชีพ? การตั้งเป้าหมายแบบ SMART (Specific, Measurable, Achievable, Relevant, Time-based) ช่วยให้การหางานของเรามีทิศทางที่ชัดเจนมากขึ้น เเนะนำให้ตั้งเป้าหมายเล็กๆในแต่ละวันเพื่อปรับการกระทำของเราให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ระยะยาว ตัวอย่าง: เป้าหมายอย่าง "การเป็นผู้นำทีมภายในสามปี" จะช่วยให้เรามีทิศทางที่ชัดเจนและสามารถวัดผลได้ 8.ค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรหรือตำแหน่งงานที่อยากทำ การค้นคว้าาตำแหน่งงาน บริษัท และอุตสาหกรรมที่เราสนใจเป็นสิ่งสำคัญ ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติในการทำงาน วัฒนธรรมองค์กร และโอกาสในการเติบโตจากแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น LinkedIn, Glassdoor และเว็บไซต์ของบริษัท การใช้เวลาศึกษาอย่างละเอียดจะช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น ตัวอย่าง: ใช้ LinkedIn เพื่อเชื่อมต่อกับบุคลากรมืออาชีพในตำแหน่งที่สนใจและถามถึงเส้นทางอาชีพและอุปสรรคที่พวกเขาเจอ 9.ตัดสินใจและเดินหน้าต่อไป ถึงแม้ว่าจะทำการค้นคว้าอย่างละเอียดแล้ว ความไม่แน่นอนก็ยังคงมีอยู่ หากยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับทางอาชีพ ลองตัดสินใจอย่างดีที่สุดและลองเริ่มต้นทำงานในสายงานนั้นๆ ชีวิตคือการเดินทาง และประสบการณ์ทุกขั้นตอนจะช่วยให้เราเติบโต การทดลองทำงานในทางเลือกต่างๆจะทำให้เราได้เรียนรู้ ปรับเปลี่ยน และตัดสินใจได้ดีขึ้น ตัวอย่าง: หากยังไม่แน่ใจระหว่างการทำงานในด้านการตลาดหรือการขาย ให้ลองทำงานในตำแหน่งเริ่มต้นในสาขาที่สนใจก่อน เพื่อสำรวจว่ามันเหมาะกับเราหรือไม่ 10.ทดลองในโลกความเป็นจริง ติดต่อผู้คนในตำแหน่งที่เราสนใจ ถามพวกเขาเกี่ยวกับงานประจำวัน ความท้าทาย และสิ่งที่พวกเขาชอบหรือไม่ชอบเกี่ยวกับงานเหล่านั้น การพูดคุยเหล่านี้จะช่วยให้ข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจเกี่ยวกับอาชีพของเรา ตัวอย่าง: ลองไปดูงานหรือเข้าร่วมงานอีเว้นท์ เพื่อไปสัมผัสประสบการณ์จริงจากคนที่ทำงานในตำแหน่งที่เราสนใจ การหางานและทางอาชีพที่เหมาะสม เป็นการตัดสินใจที่เป็นเรื่องเฉพาะบุคคลมากๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำความเข้าใจเกี่ยวกับความชอบ จุดแข็ง และเป้าหมายของตัวเอง และพร้อมที่จะเรียนรู้และปรับตัว จะเป็นตัวช่วยให้สามารถเดินทางไปสู่เส้นทางอาชีพที่เติมเต็มความฝันของตนเองได้อย่างมั่นใจ สามารถเข้ามาศึกษาเกี่ยวกับข้อมูลหรือวิธีการในการพัฒนาตัวเองเพิ่มเติม ได้ที่ Jobcadu แพลตฟอร์มของเราจะช่วยคุณสำรวจตัวเลือกอาชีพที่เหมาะสม เชื่อมโยงคุณกับข้อมูลในอุตสาหกรรมที่คุณสนใจ และทำให้การตัดสินใจของคุณเป็นไปได้อย่างมั่นใจในทุกๆก้าวที่คุณเดิน และจะพาคุณไปสู่การหางานที่มีความหมายและเติมเต็มชีวิตของคุณ

    career advancement
    careerpath
    งานที่ใช่
    Feb 6, 2025
    1 min
    Thumbnail for รักหมา รักแมว เท่านั้นไม่พอ รวม 10 อาชีพที่เหมาะสำหรับคนรักสัตว์
    Career Pathway

    รักหมา รักแมว เท่านั้นไม่พอ รวม 10 อาชีพที่เหมาะสำหรับคนรักสัตว์

    สำหรับใคร ๆ ที่เป็นทาสสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นหมา แมว หรือว่าสัตว์อื่น ๆ สิ่งเหล่านี้ก็สามารถเป็นแรงผลักดันที่จะทำให้เราประกอบอาชีพนี้ได้อย่างยาวนาน แต่บางทีหลายคนอาจจะคิดไม่ออกว่ามีอาชีพอะไรบ้าง สัตว์แพทย์อย่างเดียวเท่านั้นหรือเปล่า วันนี้เราจะพามารู้จักกับสายอาชีพอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับสัตว์หรือทำงานใกล้ชิดกัน รวม 10 อาชีพที่เหมาะสำหรับคนรักสัตว์ 1 . สัตวแพทย์ (Veterinarian) สัตวแพทย์ คืออาชีพแรกที่หลายคนนึกถึงเมื่อพูดถึงการทำงานกับสัตว์ เพราะเป็นอาชีพที่ต้องมีการศึกษาทางการแพทย์อย่างลึกซึ้งและทำการรักษาสัตว์เลี้ยงทั้งในแง่ของการป้องกันโรค การรักษา และการผ่าตัด สำหรับในไทย สัตวแพทย์ยังคงมีความต้องการสูง โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่ที่มีคลินิกสัตว์และโรงพยาบาลสัตว์จำนวนมาก ปัจจัยที่ทำให้สัตวแพทย์ได้รับความนิยมในไทย: การเลี้ยงสัตว์ในเมืองไทยเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ มีการเลี้ยงสัตว์เพื่อความบันเทิงและการคุ้มครองมากขึ้น เช่น สุนัขพันธุ์พิเศษ คลินิกสัตว์และโรงพยาบาลสัตว์เริ่มขยายตัวอย่างรวดเร็วในประเทศไทย 2.เจ้าหน้าที่เทคนิคการสัตวแพทย์ (Veterinary Technician) เจ้าหน้าที่เทคนิคการสัตวแพทย์หรือ Veterinary Technician เป็นอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการช่วยสัตวแพทย์ในการรักษาสัตว์ โดยจะช่วยในขั้นตอนต่าง ๆ เช่น การตรวจวินิจฉัยเกี่ยวกับโรค การให้การรักษาเบื้องต้น และการทำความสะอาดสถานที่ทำงานในคลินิกและต่าง ๆ 3. ผู้ดูแลสัตว์ (Pet Caregiver) อาชีพนี้เหมาะสำหรับคนที่รักการดูแลสัตว์ในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เจ้าของสัตว์ไม่สามารถดูแลเองได้ เช่น การ พาเดินเล่น หรือ อาบน้ำ ให้กับสัตว์เลี้ยง รวมถึงสัตว์เลี้ยงป่วยที่เจ้าของไม่มีเวลาดูแล โดยคนที่ประกอบอาชีพนี้ก็จะมาทำหน้าที่ตรงนี้นั่นเอง 4. นักสัตววิทยา (Zoologist) อาชีพนี้เป็นอาชีพที่มาจากนักวิทยาศาสตร์ที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับสัตว์โดยเฉพาะ ซึ่งเกป็นอาชีพที่ทุกสวนสัตว์ต้องมีเลยก็ว่าได้ 5. นักเพาะพันธุ์สัตว์ (Animal Breeder) นักเพาะพันธุ์สัตว์ก็มีหลายสาย เช่น สัตว์น้ำ สัตว์ป่า สัตว์เลื้อยคลาน และอื่น ๆ ซึ่งคนเหล่านี้ก็จะทำงานในศูนย์วิจัยต่าง ๆ รวมถึงตามชนบทที่การเข้าถึงเรื่องปศุสัตว์ยังไม่ดีอีกด้วย 6. ผู้ดูแลสวนสัตว์ (Zookeeper) สวนสัตว์ เป็นสถานที่ที่หลายคนอยากไปเยี่ยมชม และหากคุณเป็นคนที่รักการทำงานกับสัตว์ในสภาพแวดล้อมธรรมชาติ อาชีพ ผู้ดูแลสวนสัตว์ หรือ เจ้าหน้าที่สวนสัตว์ คือทางเลือกที่ดี ซึ่งก็อาจจะไม่ต้องจบสายตรงก็ได้ แต่บางที่ก็พิจารณาจากแพชชั่น หรือความรู้ เพราะต้องดูแลสัตว์ในสวนสัตว์และทำให้พวกมันมีความสุขในที่อยู่อาศัย อย่างพี่เลี้ยงหมูเด้ง เป็นต้น 7. เปิดโรงแรมสัตว์เลี้ยง (Pet Hotel Manager) การเปิด โรงแรมสัตว์เลี้ยง เพื่อดูแลสัตว์ต่าง ๆ ขณะที่เจ้าของไม่อยู่ ไม่ว่าจะเป็น หมา แมว หนู หรือสัตว์ต่าง ๆ เป็นอาชีพที่กำลังได้รับความนิยม โดยมีการดูแลสัตว์อย่างมืออาชีพ และยังช่วยให้เจ้าของสัตว์มั่นใจในความปลอดภัยของสัตว์เลี้ยง 8. ช่างตัดขนสัตว์ (Pet Groomer) ช่างตัดขนสัตว์ เป็นอาชีพที่คุณจะต้องดูแลสัตว์เลี้ยงให้ดูดีและสะอาด ด้วยการตัดขน อาบน้ำ และดูแลสุขภาพผิวหนังของสัตว์เลี้ยง และยังได้ทำงานร่วมกับน้อง ๆ อีกด้วย 9. พนักงานขาย เมื่ออุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงเติบโตขึ้น ธุรกิจอาหาร ของเล่น และอุปกรณ์สัตว์ก็ขยายตัวตามไป ทำให้ตำแหน่งพนักงานขายสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงเป็นที่ต้องการสูง อาชีพนี้เหมาะสำหรับคนรักสัตว์ เพราะต้องมีความรู้เกี่ยวกับสัตว์แต่ละชนิด แนะนำผลิตภัณฑ์ได้อย่างเหมาะสม และมีทักษะการสื่อสารและบริการลูกค้าที่ดี 10. พนักงานผลิต / ควบคุมคุณภาพ / โรงงาน อุตสาหกรรมอาหารสัตว์เป็นธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ตำแหน่งงานด้านการผลิต ควบคุมคุณภาพ และโรงงานเป็นที่ต้องการสูงในตลาดแรงงาน หน้าที่ของกลุ่มอาชีพเหล่านี้ครอบคลุมตั้งแต่การตรวจสอบสต๊อกวัตถุดิบ ดูแลความสะอาดของเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิต ตรวจสอบคุณภาพอาหารสัตว์ให้เป็นไปตามมาตรฐาน รวมถึงวิเคราะห์และจัดทำรายงานเพื่อพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เห็นได้ว่าเทรนด์การเลี้ยงสัตว์ค่อนข้างมาแรงมาก ๆ พอเทรนด์มาแรงมาก ๆ อาชีพก็ถูกแตกออกเป็ยยิบย่อยอีกมากมาย หากใครที่รักสัตว์มาก ๆ การประกอบอาชีพเหล่านี้ก็น่าสนใจและเป็นแรงบันดาลใจให้คนหลาย ๆ คนอีกด้วย

    Jan 31, 2025
    1 min
    Thumbnail for โอน้อยออกใครโสดตกนรก อาชีพผู้เข้าแข่งขันในรายการ Single’s Inferno 4 ส่วนใหญ่เป็นสายศิลป์?
    Career Pathway

    โอน้อยออกใครโสดตกนรก อาชีพผู้เข้าแข่งขันในรายการ Single’s Inferno 4 ส่วนใหญ่เป็นสายศิลป์?

    Single’s Inferno 4 🔥 หรือ โอน้อยออก ใครโสดตกนรก กลับมาแล้วในปี 2025! รายการเรียลลิตี้โชว์หาคู่จากเกาหลีที่หลายคนรอคอย โดยในซีซั่นนี้ มีทั้งหมด 12 ตอน ออกอากาศทุก วันอังคาร เวลา 15:00 น. บน Netflix ⏳ 💡 นอกจากเรื่องรักดราม่าสุดเข้มข้นและโมเมนต์ฟินจิกหมอน หนึ่งในไฮไลต์ที่หลายคนให้ความสนใจคือ อาชีพของผู้เข้าแข่งขัน มาดูกันว่าแต่ละคนทำงานในสายงานอะไรบ้าง! [บทความนี้มีสปอยอาชีพของผู้เข้าแข่งขัน] ตารางออกอากาศของ Single’s Inferno 4 (2025) 📌 Single’s Inferno 4 มาวันไหนบ้าง? รายการออกอากาศ ทุกวันอังคาร เวลา 15.00 น. แต่ละสัปดาห์มี 2 ตอน ยกเว้นสัปดาห์แรกที่มี 4 ตอน! ตอนสุดท้าย (EP 12) ออกอากาศวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2025 รู้จักอาชีพของผู้เข้าแข่งขัน Single’s Inferno 4 🏝️ ประเภทนางแบบ โมเดลและอาชีพบนสื่อ Lee Si-an (ลี ชีอัน) – อดีตนักกีฬาว่ายน้ำ, นางแบบ และเคยเข้าร่วมรายการ Produce 48 ติดตาม IG อีชีอัน : youseeany Kim A-rin (คิม อาริน) – นางแบบและยูทูบเบอร์ ติดตาม IG คิม อาริน : arinkimarin Kim Hye-jin (คิม ฮเยจิน) – นางงาม Miss Korea Jin 2020 ติดตาม IG คิม ฮเยจิน : 07_27___ Jang Theo (จาง แทโอ หรือ Theo) – นักแสดง ติดตาม IG จาง แทโอ : tachyonproject Yuk Jun-seo (ยุก จุนซอ) – อดีตทหาร UDT, นักแสดงและศิลปินวาดรูป ติดตาม IG ยุก จุนซอ : 6dory Kim Min-seol (คิม มินซอล) – ผู้ประกาศข่าวกีฬา ติดตาม IG คิม มินซอล : kimminseoll Chung You-jin (จอง ยูจิน) – นักเต้นร่วมสมัยและนักศึกษาที่ Ewha Womans University ติดตาม IG จอง ยูจิน : youjini1225 Kim Tae-hwan (คิม แทฮวาน) – ดีเจ, โมเดล และเจ้าของคลับ ติดตาม IG คิม แทฮวาน : kimtaehwan.kimmtae Bae Ji-yeon (แพ จียอน) – ดีไซเนอร์ด้านพื้นที่ (Spatial Designer) และอินฟลูเอนเซอร์สายฟิตเนส ติดตาม IG แพ จียอน : bxxyon Kook Dong-ho (กุก ดงโฮ) – นักบัญชีและสอบบัญชีรับอนุญาต (CPA) ติดตาม IG กุก ดงโฮ : donghokook Kim Jeong-su (คิม จองซู) – เจ้าของร้านกาแฟ ติดตาม IG คิม จองซู : justsoo_it An Jong-hoon (อัน จองฮุน) – เจ้าของร้านอาหาร ติดตาม IG อัน จองฮุน : jh_128_ Park Hae-lin (พัค แฮลิน) – นักศึกษาสาขาภาพยนตร์ที่มหาวิทยาลัยเซจง ติดตาม IG พัค แฮลิน : qkrgofls 📢 สรุป: ทำไม Single’s Inferno 4 ถึงน่าติดตาม? ✨ ตามหาความรักภายใน 10 วัน, เกมเชิงจิตวิทยา หรือเพื่อชื่อเสียง? 💼 อาชีพที่หลากหลาย แปลกใหม่ หรือจำเจ? บุคลิกและลักษณะนิสัยของผู้เข้าแข่งขันในแต่ละอาชีพ 🎬 ดราม่าเข้มข้น และเซอร์ไพรส์ที่คาดไม่ถึง คุณอยากมีอาชีพแบบไหน? ค้นหาเส้นทางอาชีพที่เหมาะกับคุณผ่าน Jobcadu! 🚀

    single inferno
    single inferno มาวันไหน
    single inferno ig
    Jan 30, 2025
    2 min
    Thumbnail for 7 อุตสาหกรรมและอาชีพในไทยที่น่าจับตามองในปี 2025
    Career Pathway

    7 อุตสาหกรรมและอาชีพในไทยที่น่าจับตามองในปี 2025

    ผ่านมาเพียงไม่กี่วันในปี 2025 โลกแห่งธุรกิจก็เริ่มส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้ง! Deepseek บริษัทเทคโนโลยีจากเอเชียสามารถพัฒนาโมเดล AI ที่เทียบชั้นกับผู้เล่นรายใหญ่อย่าง OpenAI ได้ ด้วยทรัพยากรที่น้อยกว่า อันเป็นตัวอย่างชัดเจนว่าในโลกอนาคต บริษัทจากในประเทศฝั่งตะวันออกโดยเฉพาะจีนสามารถเร่งการพัฒนาและแข่งขันได้อย่างเข้มข้น ขณะเดียวกัน ปัญหาโลกร้อนอย่างไฟป่าที่ลอสแองเจลิส หรือความต้องการทางด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของรัฐ ทำให้เห็นว่าโอกาสสำหรับการเปลี่ยนแปลงและพัฒนากำลังรอผู้ที่พร้อมจะลงมือ ถ้าคุณอยากเล่นเกมและหางานในยุคนี้ สิ่งสำคัญคือการมองหา "อุตสาหกรรมที่มีอนาคต" และมีความยืดหยุ่นทางด้านทักษะ ซึ่งจะช่วยให้สามารถหางานที่เติมเต็มทั้งความมั่นคงทางอาชีพ และความหมายในชีวิต นี่คือ 7 อุตสาหกรรมที่ต้องจับตามองในปี 2025! เตรียมตัวให้พร้อม 1. Artificial Intelligence (AI) และ Machine Learning (ML) คุณจะเป็นผู้ใช้งานหรือเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่พัฒนา AI ให้กับบริษัทและผู้บริโภค AI และ ML กำลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในทุกภาคส่วน ตั้งแต่ Healthcare, Finance ไปจนถึง Logistics บริษัทต่างๆ ทั่วโลกลงทุนกับเทคโนโลยีนี้เพื่อช่วยให้ผลิตภัณฑ์ดีขึ้น รวดเร็วขึ้น และตอบโจทย์ผู้บริโภค ตัวอย่างงานใน AI/ML AI Engineer: ผู้พัฒนาอัลกอริธึมที่ช่วยแก้ปัญหาซับซ้อน Data Scientist: นักคิดเบื้องหลังข้อมูลที่กลายมาเป็นกลยุทธ์สำคัญ AI Product Manager: คนที่ช่วยสร้างความเชื่อมโยงระหว่างเทคโนโลยีและความต้องการของผู้ใช้ ทำไมถึงน่าสนใจ? AI เป็น"เครื่องมือ" และพลังที่ช่วยเราพัฒนาผลิตภัณฑ์ ลดต้นทุนทางด้านเวลา และสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ 2. Clean Energy และ Sustainability ทรัมป์ไม่สนใจปัญหาโลกร้อน ยังสนับสนุนพลังงานเก่า แต่จีนคือผู้นำทางด้านพลังงานสะอาด การเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานสะอาดไม่ใช่แค่ "เทรนด์" แต่มันคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับอนาคตอย่างน้อยก็สำหรับประเทศอย่างจีน ตัวอย่างงานใน Clean Energy Sustainability Analyst: วิเคราะห์ว่าองค์กรของคุณใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ Renewable Energy Technician: ผู้เชี่ยวชาญด้านแผงโซลาร์และกังหันลม Climate Change Consultant: นักวางแผนเชิงกลยุทธ์ที่ช่วยให้ธุรกิจยั่งยืน ทำไมถึงน่าสนใจ? พลังงานสะอาดคือรากฐานของอนาคต 3. Healthcare Technology ประชากรผู้สูงอายุและความต้องการในการดูแลรักษา เมื่อโลกและประเทศไทยต้องรับมือกับจำนวนประชากรผู้สูงอายุและค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของรัฐที่สูงขึ้น เทคโนโลยีและบุคลากรจึงมีความจำเป็นเพื่อรับมือปัญหาในรูปแบบใหม่ ตัวอย่างงานใหม่ ๆ ใน Healthcare Tech Telehealth Specialist: ผู้ช่วยเชื่อมต่อแพทย์และผู้ป่วยผ่านเทคโนโลยี Biotech Data Analyst: นักวิจัยที่ช่วยสร้างยารักษาโรคที่แม่นยำ Health AI Engineer: นักพัฒนา AI เพื่อการวินิจฉัยที่รวดเร็ว ตัวอย่างงานใน Healthcare ที่ยังเป็นที่ต้องการจำนวนมาก Nurse พยาบาล ผู้ดูแลผู้สูงอายุ ทำไมถึงน่าสนใจ? ในประเทศที่กำลังเผชิญกับปัญหาสังคมสูงวัย การพัฒนาระบบที่ที่ช่วยให้คนหลายล้านคนเข้าถึงการรักษาเป็นสิ่งที่จำเป็น 4. Cybersecurity โลกดิจิทัลที่ปลอดภัยคือภารกิจขององค์กร เมื่อภัยคุกคามทางไซเบอร์เพิ่มขึ้น งานด้าน Cybersecurity จึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกธุรกิจและรัฐบาล เราได้เห็นธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศนโยบายใหม่ที่ธนาคารต้องรับผิดชอบความเสียหายจากการถูกหลอกลวงจาก Call Center ข้อมูลส่วนตัวและเบอร์โทรซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องถูกปกป้องอย่างเข้มงวด ขณะเดียวกันมูลค่าความเสียหายจากการถูกแฮ็คของบริษัทก็มีแนวโน้มสูงขึ้นเนื่องจากข้อมูลธุรกิจเริ่มไปอยู่บน Cloud มากขึ้น ตัวอย่างงานใน Cybersecurity Cybersecurity Analyst: ป้องกันและรับมือกับการโจมตีทางไซเบอร์ Ethical Hacker: ทดสอบระบบเพื่อหาช่องโหว่ Cloud Security Specialist: ผู้ดูแลความปลอดภัยของข้อมูลในระบบคลาวด์ ทำไมถึงน่าสนใจ? ด้วยมูลค่าความเสียหายจากการโจมตีทางไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้น อุตสาหกรรมนี้จึงมีความต้องการในตลาด ใบประกาศนียบัตรทางด้านความปลอดภัยไซเบอร์ถูกจัดว่าเป็นหนึ่งใน Certificate ที่มีคุณค่าสูงที่สุดในปีนี้ 5. Advanced Manufacturing และ Robotics ในไทยอาจยังไม่มีข้อมูลหรือเจองานและบริษัทที่เชี่ยวชาญในด้านนี้ อนาคตของโรงงานอัจฉริยะและหุ่นยนต์ เทคโนโลยีอย่าง 3D Printing และหุ่นยนต์ได้เริ่มขึ้นแล้ว เหมือนที่โรงงานของ Tesla เริ่มมีหุ่น Humanoid ช่วยทำงาน ตัวอย่างงานใน Advanced Manufacturing Robotics Engineer: พัฒนาหุ่นยนต์สำหรับโรงงาน 3D Printing Specialist: ใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างสินค้าใหม่ๆ 6. Human-Centered Careers (อาชีพสาย Soft Skills) สิ่งที่ยังมีแต่มนุษย์ที่มอบให้กันได้ ในยุค AI บางอย่างไม่อาจถูกแทนที่ เช่น ความคิดสร้างสรรค์และการเข้าใจอารมณ์ ตัวอย่างงานในสาย Soft Skills Customer Success Manager: สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า Mental Health Counselor: สนับสนุนสุขภาพจิตของผู้คน Event Manager: วางแผนงานสำคัญเพื่อสร้างความประทับใจ Content Creator: ผู้ผลิตคอนเท้นต์ที่สร้างความเพลิดเพลินบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ทำไมถึงน่าสนใจ? อาชีพเหล่านี้ช่วยให้คุณเชื่อมโยงและสร้างผลเชิงบวกให้กับผู้คน 7. Government Tech เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นจากความต้องการในการปฏิรูปภาครัฐบนพื้นฐานของเทคโนโลยี เช่น e-Government และ Smart Cities บทสรุป: เลือกเส้นทางที่ใช่ในปี 2025 อุตสาหกรรมเหล่านี้ คุณมีโอกาสเป็นผู้บุกเบิกและมีส่วนร่วม สำรวจตัวเลือกเหล่านี้ร่วมกับ Jobcadu และเริ่มต้นสร้างอนาคตของคุณได้แล้ววันนี้!

    Popular roles
    Jan 29, 2025
    1 min
    Thumbnail for ชอบภาษา ทำอาชีพอะไรดี? มัดรวม 10 อาชีพสำหรับคนรักภาษา
    Career Pathway

    ชอบภาษา ทำอาชีพอะไรดี? มัดรวม 10 อาชีพสำหรับคนรักภาษา

    หากคุณเป็นคนที่ชอบเรียนภาษาแต่ไม่รู้จะประกอบอาชีพอะไรดี ต้องบอกเลยว่าโลกของอาชีพที่เกี่ยวข้องกับภาษานั้นมีมากมายกว่าที่คิด ไม่ได้มีแค่อาชีพนักแปลหรือล่ามเท่านั้น วันนี้ Jobcadu จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ 10 อาชีพที่ต้องใช้ทักษะด้านภาษา พร้อมทั้งข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับอาชีพนั้น ๆ รวมถึงฐานเงินเดือน และทักษะที่จำเป็นสำหรับคนที่รักภาษาเพื่อนำไปประกอบอาชีพ ซึ่งจะมีอาชีพอะไรบ้าง ไปดูกัน 10 อาชีพ สำหรับคนรักภาษา 1. นักแปลภาษา คือผู้ที่มีหน้าที่แปลงข้อความหรือเนื้อหาจากภาษาหนึ่งไปสู่อีกภาษาหนึ่ง โดยต้องคำนึงถึงความถูกต้องของข้อมูลและความลื่นไหลของภาษา งานแปลครอบคลุมทั้งเอกสาร หนังสือ นิยาย หรือบทความวิชาการต่าง ๆ เงินเดือนเฉลี่ย: ประมาณ 35,000 บาท (ขึ้นอยู่กับภาษาและประสบการณ์ เช่น ภาษาญี่ปุ่นหรือเยอรมันมักได้ค่าตอบแทนสูงกว่า รวมถึงจำนวนของงานเเปลที่รับ) อาชีพที่เกี่ยวข้อง: นักแปลหนังสือ, นักแปลนิยาย, นักแปลเอกสาร, หรือนักแปลซับไตเติ้ลในภาพยนตร์และซีรีส์ 2. ล่าม เป็นผู้ถ่ายทอดการสื่อสารแบบเรียลไทม์ระหว่างบุคคลหรือกลุ่มคนที่พูดต่างภาษากัน งานนี้ต้องการทักษะด้านการฟัง พูด และการปรับตัวอย่างรวดเร็ว เงินเดือนเฉลี่ย: ประมาณ 50,000 บาท อาชีพที่เกี่ยวข้อง: ล่ามประจำบริษัท, ล่ามงานประชุม, ล่ามศาล 3.แอร์โฮสเตส/สจ๊วต เป็นอาชีพที่ต้องใช้ภาษาในการสื่อสารกับผู้โดยสารจากทั่วโลก แอร์โฮสเตสและสจ๊วต จึงเป็นอีกหนึ่งอาชีพยอดฮิตของคนรักภาษาเเละรักงานบริการ เงินเดือนเฉลี่ย: 40,000 – 80,000 บาท (ขึ้นอยู่กับสายการบิน) อาชีพที่เกี่ยวข้อง: ฝ่ายบริการลูกค้าในสายการบิน 4. ครูสอนภาษา/ติวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ ญี่ปุ่น หรือภาษาอื่น ๆ คืออาชีพที่มอบความรู้ให้กับผู้เรียน และเป็นที่ต้องการในทุกช่วงเวลา เงินเดือนเฉลี่ย: 20,000 – 40,000 บาท หรือสูงกว่าสำหรับครูที่ทำงานในโรงเรียนนานาชาติ อาชีพที่เกี่ยวข้อง: ครูสอนพิเศษ, ครูสอนออนไลน์, ผู้ช่วยครูชาวต่างชาติ 5. ไกด์นำเที่ยว/มัคคุเทศก์ เป็นอาชีพที่ต้องอาศัยทักษะภาษาและการสื่อสารเพื่อแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวแก่ชาวต่างชาติ เงินเดือนเฉลี่ย: รายได้ขึ้นอยู่กับทัวร์และทิป (เฉลี่ยอยู่ที่ 30,000 – 50,000 บาทต่อเดือน) อาชีพที่เกี่ยวข้อง: ผู้จัดการทัวร์, พนักงานต้อนรับโรงแรม 6. นักเขียน/บรรณาธิการภาษา สำหรับคนที่รักการเขียน การทำงานเป็น นักเขียนหรือบรรณาธิการภาษา ช่วยให้คุณได้ใช้ทักษะภาษาสร้างสรรค์ผลงานที่หลากหลาย รวมถึงสามารถค้นหาข้อมูล ค้นคว้าได้หลายภาษา เงินเดือนเฉลี่ย: เริ่มต้น 20,000 – 40,000 บาท อาชีพที่เกี่ยวข้อง: Content writer, นักพิสูจน์อักษร 7. นักการตลาดดิจิทัล (Digital Marketer) การตลาดออนไลน์ต้องการ นักการตลาดดิจิทัล ที่มีความสามารถด้านวิเคราะห์พฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งหากทำงานในบริษัทต่างชาติ หรือต้องติดต่อสื่อสารกับลูกค้าที่เป็นต่างชาติ ความสามารถในการใช้ภาษาก็เป็นทักษะสำคัญที่อาชีพนี้ต้องมี เงินเดือนเฉลี่ย: เริ่มต้น 20,000 บาท อาชีพที่เกี่ยวข้อง: คอนเทนต์มาร์เก็ตติ้ง 8. เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริการลูกค้า (Customer Service) อาชีพนี้ต้องการการใช้ภาษาเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าจากหลากหลายประเทศ เงินเดือนเฉลี่ย: ประมาณ 20,000 – 50,000 บาท อาชีพที่เกี่ยวข้อง: Call Center ฝ่ายดูแลลูกค้า 9. ผู้พัฒนาคอร์สเรียนภาษาออนไลน์ หากคุณชอบสอนและมีความคิดสร้างสรรค์ การพัฒนาคอร์สเรียนภาษาออนไลน์ อาจเป็นอาชีพที่เหมาะสำหรับคุณ เงินเดือนเฉลี่ย: รายได้ขึ้นอยู่กับยอดขายคอร์ส (เฉลี่ย 30,000 บาทขึ้นไป) อาชีพที่เกี่ยวข้อง: YouTuber สายการศึกษา หรือ Tiktoker สร้างคอนเทนต์ภาษา (รายได้ขึ้นอยู่กับยอด Engagement หรือรายได้จากสปอนเซอร์) 10. ผู้ประสานงานต่างประเทศ (International Coordinator) ต้องการทักษะด้านภาษาในการติดต่อและเจรจาธุรกิจระหว่างองค์กรจากประเทศต่าง ๆ เงินเดือนเฉลี่ย: 40,000 – 60,000 บาท อาชีพที่เกี่ยวข้อง: ผู้จัดการฝ่ายส่งออก อยากประกอบอาชีพสายภาษา ต้องจบสายภาษาหรือเรียนต่อต่างประเทศไหม? ไม่จำเป็นต้องจบสายภาษาโดยตรงหรือต่างประเทศเสมอไป แต่คุณควรมีทักษะภาษาในระดับที่เพียงพอต่อการใช้งาน รวมถึงการอ่านเงื่อนไขของบริษัทอย่างละเอียดว่าคุณสมบัติของเราเพียงพอต่อการทำงานที่บริษัทนั้นๆหรือไม่ หรือหากสนใจอยากเรียนต่อต่างประเทศ ก็สามารถเข้าไปดูเพิ่มเติมได้ที่ Master Portal ทักษะภาษาเพิ่มเติมที่ควรมี ลงคอร์สเรียนภาษาเพิ่มเติม เช่น English Speaking Complete by Udemy, Chinese for Beginners by Coursela หรือคอร์สอื่นๆที่น่าสนใจ สามารถเข้าไปดูเพิ่มเติมได้เลยที่ Education Portal ฝึกภาษาเพิ่มเติมหลาย ๆ ภาษา เช่น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น หรือ เยอรมัน พัฒนาทักษะการเขียนและการพูดผ่านการอ่านหนังสือ ดูหนังต่างประเทศ ดูคลิปยูทูบเพิ่มเติม ใช้เเพลตฟอร์มฝึกภาษา เช่น Duolingo, BCC Learning English, TED Talks หรือฝึกสนทนากับเจ้าของภาษา หากคุณกำลังมองหาโอกาสในสายอาชีพที่เกี่ยวข้องกับภาษา สามารถเข้าไปสมัครงานได้ที่ Job Portal ซึ่งมีงานที่เกี่ยวข้องกับภาษาที่หลากหลายรออยู่

    อาชีพสายภาษา
    career advancement
    อาชีพ
    Jan 28, 2025
    2 min
    Thumbnail for 9 เคล็ด(ไม่)ลับในการหาคนที่กำลังมองหางาน
    Career Pathway

    9 เคล็ด(ไม่)ลับในการหาคนที่กำลังมองหางาน

    ในยุคที่การแข่งขันในแวดวง HR อย่างดุเดือด การต้องหาพนักงานที่เหมาะสักคนจึงเป็นเรื่องยาก เพราะ การมีพนักงานที่ใช่ ที่สามารถทำงานร่วมกับองค์กรได้เป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในการหาคนสมัครงานแล้ว แต่ในขณะเดียวกัน การหาคนที่เหมาะสมกับตำแหน่งงานกลับเป็นเรื่องท้าทาย โดยเฉพาะในตลาดแรงงานที่มีทั้งความต้องการแรงงานสูงและการขาดแคลนทักษะเฉพาะทาง หลายองค์กรต้องใช้เวลานานในกระบวนการสรรหาบุคลากร แต่ได้ผู้สมัครที่ไม่ตรงความต้องการ ส่งผลต่อเป้าหมายขององค์กร และอาจกระทบต่อเป้าหมายระยะยาวของบริษัท หากเรามีกลยุทธ์ในการเข้าถึงคนที่กำลังมองหางานได้อย่างถูกวิธี จะช่วยประหยัดเวลา เพิ่มคุณภาพของผู้สมัคร และสร้างความมั่นใจในทีมงานที่เหมาะสมกับองค์กรได้ ความสำคัญของการหาคนที่กำลังมองหางาน การค้นหาสมัครที่กำลังมองหางานช่วยเพิ่มความได้เปรียบในกระบวนการจ้างงานในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็น: ลดระยะเวลาการจ้างงาน: การพบผู้สมัครที่เหมาะสมตั้งแต่ต้นช่วยให้เราไม่ต้องเสียเวลาไปกับการกรองคนที่ไม่ตรงกับตำแหน่ง เข้ามาแล้วก็ออก เปิดการมองเห็นของตำแหน่งงาน: เมื่อเราขยายการค้นหาไปยังช่องทางที่หลากหลาย จะช่วยให้ตำแหน่งงานของเราได้รับความสนใจมากขึ้น คนเห็นเยอะขึ้น และมีโอกาสที่คนจะสมัครเยอะขึ้น เพิ่มโอกาสในการได้คนเก่ง: ยิ่งเราขยายฐานของผู้สมัคร ยิ่งมีโอกาสได้ผู้ที่มีศักยภาพสูงและเหมาะสมกับตำแหน่ง 9 วิธีหาคนที่กำลังมองหางาน 1. ใช้คีย์เวิร์ดในการหาคนทำงาน แพลตฟอร์มที่คนหางานหรือคนทำงานใช้กันอย่าง เช่น LinkedIn เป็นช่องทางที่เหมาะสำหรับค้นหาผู้สมัครที่กำลังเปิดรับโอกาสใหม่ เราสามารถใช้คีย์เวิร์ดเพื่อเรียกคนหรือดึงดูดคงามสนใจ เช่น “Open to work” หรือ “เปิดรับสมัคร” เพื่อค้นหาโปรไฟล์ของผู้สมัครในสายงานที่ต้องการ นอกจากนี้ยังสามารถส่งข้อความโดยตรงเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับผู้สมัครได้ทันที เพื่อที่ทำความรู้จักผู้สมัครให้อยากมาทำงานกับเรา 2. ดีลตรงกับมหาวิทยาลัย สำหรับตำแหน่งเด็กจบใหม่ หรือรับคนที่ไม่มีประสบการณ์ การประสานงานกับมหาวิทยาลัยหรืออาจารย์ก็เป็นโอกาสที่ดีในการเจอกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีไฟ มีความตั้งใจ เราอาจจัดกิจกรรมแนะแนวอาชีพหรือแจกเอกสารข้อมูลเกี่ยวกับโอกาสในองค์กร เพื่อสร้างความประทับใจให้กับผู้สมัครตั้งแต่ต้น 3. จัดกิจกรรมจ้างงานแบบกลุ่ม (Hiring Event) การจัด Job Fair หรือ Hiring Event เป็นโอกาสในการพบปะผู้สมัครหลายคนในครั้งเดียว เราสามารถพูดคุย สัมภาษณ์เบื้องต้น และประเมินความเหมาะสมของผู้สมัครได้ในทันที 4. ทำงานร่วมกับบริษัทจัดหางาน (Recruiter) หากว่าเรากำลังมองหาผู้สมัครที่มีคุณสมบัติพิเศษหรือตำแหน่งที่ยากจะเติมเต็ม การใช้บริการของบริษัทจัดหางานจะช่วยประหยัดเวลาและเพิ่มความแม่นยำในกระบวนการสรรหา อีกทั้งยังไม่ต้องลงไปคุยกับผู้สมัครเอง รอสัมภาษณ์ได้เลย 5. Refer จากพนักงานในองค์กร การใช้ Referral Program หรือให้พนักงานแนะนำเพื่อนหรือคนรู้จักที่เหมาะสมเข้ามาสมัครงาน ช่วยลดความเสี่ยงในการได้คนที่ไม่ตรงกับวัฒนธรรมองค์กร ทั้งยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในทีมงาน นอกจากนั้นก็ยังช่วยคัดกรองความเสี่ยงที่คนที่จะเข้ามาแล้วออกก่อน เพราะไม่มีเพื่อน 6. ใช้เครือข่ายในกลุ่มอุตสาหกรรม (Trade Groups) การเข้าร่วมสมาคมวิชาชีพหรือชุมชนในสายงานเฉพาะช่วยให้เราเข้าถึงคนที่มีทักษะและประสบการณ์ตรงกับที่องค์กรต้องการ เช่น กลุ่มคนที่ทำงานสาย Data เหมือนกัน ก็จะช่วยให้หาคนในสายงานนั้นง่ายยิ่งขึ้น 7. สรรหาผ่านโซเชียลมีเดีย การใช้ Facebook, Instagram หรือ Twitter ในการโพสต์ตำแหน่งงานไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มการเข้าถึงผู้สมัครที่มีความสนใจ แต่ยังช่วยสร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชนออนไลน์ที่ติดตามบริษัทของเรา นอกจากนั้นตาม Facebook group ก็เป็นหนึ่งในช่องทางการหาผู้สมัครได้อย่างมากมาย เช่น กลุ่มหางานการตลาด กลุ่มหางานวิศวะ และอื่น ๆ 8. เพิ่มหน้า “Careers” ในเว็บไซต์ การมีหน้า “Careers” ในเว็บไซต์ของบริษัทช่วยให้ผู้ที่สนใจสามารถตรวจสอบตำแหน่งงานที่เปิดรับ รวมถึงเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรมองค์กร เป้าหมาย และวิสัยทัศน์ของเรา 9. โพสต์ประกาศงานในช่องทางเฉพาะกลุ่ม การใช้แพลตฟอร์มหางานเฉพาะทาง เช่น Jobcadu ช่วยให้เราเข้าถึงกลุ่มผู้สมัครที่มีคุณสมบัติเฉพาะ ทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสในการค้นหาคนที่เหมาะสมกับตำแหน่ง เคล็ดลับเพิ่มเติมสำหรับการสรรหาบุคลากร ศึกษาตลาดแรงงาน: การรู้ว่าคนในสายงานของเรากำลังมองหาอะไร เช่น ค่าตอบแทน สวัสดิการ หรือโอกาสเติบโต จะช่วยให้เราสร้างข้อเสนอที่น่าสนใจ ปรับปรุงข้อความประกาศงาน: ใช้ข้อความที่สื่อถึงจุดเด่นขององค์กรและเน้นถึงประโยชน์ที่ผู้สมัครจะได้รับ สร้างภาพลักษณ์นายจ้างที่น่าดึงดูด: การพัฒนาแบรนด์ขององค์กรให้เป็นที่รู้จักในฐานะนายจ้างที่ดี จะช่วยดึงดูดผู้สมัครที่มีศักยภาพ การสรรหาคนที่ใช่ในยุคปัจจุบันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ด้วยการปรับใช้ 10 วิธีที่กล่าวมา เราสามารถเพิ่มโอกาสในการได้ผู้สมัครที่เหมาะสม และลดระยะเวลาในกระบวนการจ้างงาน หากต้องการแพลตฟอร์มหางานที่ช่วยให้ทุกขั้นตอนสะดวกและมีประสิทธิภาพ Jobcadu คือตัวเลือกที่ตอบโจทย์ที่สุด เรามีฐานข้อมูลผู้สมัครที่หลากหลายและฟีเจอร์ช่วยคัดกรองอย่างมืออาชีพ มาร่วมสร้างทีมที่แข็งแกร่งและพาองค์กรของเราเติบโตไปอีกขั้นกับ Jobcadu!

    Dec 16, 2024
    1 min
    Thumbnail for มาทำความรู้จักอาชีพวิศวกรเคมีกัน! (Chemical Engineer at Thaioil)
    Career Pathway

    มาทำความรู้จักอาชีพวิศวกรเคมีกัน! (Chemical Engineer at Thaioil)

    สำรวจบทบาทของวิศวกรเคมีที่ทำงานในไทยออยล์ บริษัทปิโตรเคมีชั้นนำของประเทศไทย พร้อมทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับการทำงาน ชีวิตประจำวัน และโอกาสในอาชีพที่บริษัทไทยออยล์ 1.ภาพรวมของไทยออยล์และหน่วย LABIX • ไทยออยล์: บริษัทปิโตรเคมีขนาดใหญ่ที่เชี่ยวชาญในด้านการกลั่นน้ำมันและผลิตสารเคมีที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น ผงซักฟอกและน้ำมันหล่อลื่น • หน่วย LABIX: หน่วยย่อยที่เน้นผลิตสารตั้งต้นที่ใช้ในผงซักฟอก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการขยายธุรกิจของไทยออยล์ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี 2.วันทำงานของวิศวกรเคมี • กิจวัตรประจำวัน: วิศวกรเริ่มต้นวันด้วยการตรวจสอบพารามิเตอร์ต่าง ๆ ในห้องควบคุมและตรวจเช็คกระบวนการผลิต • ห้องควบคุม: ห้องที่ติดตั้งจอมอนิเตอร์จำนวนมากซึ่งวิศวกรอย่างคุณแก็ปใช้ในการติดตามการผลิตและปรับปรุงกระบวนการตามข้อมูลที่ได้รับ • ความท้าทาย: วิศวกรอาจต้องปรับการทำงานตามสภาพแวดล้อม เช่น อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงเนื่องจากสภาพอากาศ 3.บทบาทและหน้าที่ของผู้ปฏิบัติงานต่าง ๆ • วิศวกรเคมี: บริหารจัดการและควบคุมการผลิตสารเคมีต่าง ๆ เช่น สารตั้งต้นสำหรับผงซักฟอก • ผู้ปฏิบัติงานภายนอก: ช่างเทคนิคที่มักมีพื้นฐานจากสถาบันอาชีวะ คอยดูแลอุปกรณ์และกระบวนการในสถานที่ผลิต 4.ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการผลิตสารเคมี • กระบวนการ: อธิบายกระบวนการ เช่น การกลั่น และการผลิตวัตถุดิบพื้นฐานสำหรับน้ำมันหล่อลื่นและผงซักฟอก • การบำรุงรักษาและความปลอดภัย: วิศวกรบางครั้งต้องปีนขึ้นโครงสร้างสูงถึง 80 เมตรเพื่อตรวจสอบอุปกรณ์ และมาตรการความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากวัสดุที่จัดการมีความไวไฟสูง 5.การศึกษาและเส้นทางการฝึกอบรมสำหรับวิศวกร • พื้นฐานการศึกษา: โดยทั่วไปจำเป็นต้องมีพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะวิชาเคมีและคณิตศาสตร์ และต้องจบปริญญาตรีวิศวกรรมเคมี หลักสูตรในมหาวิทยาลัย: • ปีที่ 1: วิชาทั่วไป (ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา) • ปีที่ 2: วิชาวิศวกรรมขั้นต้น • ปีที่ 3: วิชาเฉพาะทาง เช่น กลศาสตร์ของไหล และการถ่ายเทความร้อน • ปีที่ 4: โครงการปิดหลักสูตรที่รวมทักษะทั้งหมดที่ได้เรียนมา 6.โอกาสในอาชีพและความต้องการแรงงาน • บทบาทหลากหลาย: ผู้จบการศึกษาสามารถเข้าสู่อาชีพที่หลากหลายมากกว่าการเป็นวิศวกรเคมี เช่น การพัฒนาธุรกิจหรือเศรษฐศาสตร์การกลั่น • การเติบโต: ไทยออยล์มีการรับสมัครวิศวกรใหม่อย่างสม่ำเสมอและสนับสนุนการพัฒนาอาชีพ โดยมีความต้องการเพิ่มขึ้นจากโครงการขนาดใหญ่ที่ดำเนินอยู่ 7.สวัสดิการและโปรแกรมดูแลพนักงานที่ไทยออยล์ • สุขภาพและความปลอดภัย: สวัสดิการด้านการแพทย์ที่ครอบคลุม100% รวมถึงการรับรักษาในโรงพยาบาลเอกชน • โปรแกรมส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดี: มีโปรแกรมสนับสนุนด้านสุขภาพกาย จิตใจ และการเงินสำหรับพนักงาน • การพัฒนาอาชีพ: ไทยออยล์สนับสนุนการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และมีทุนการศึกษาสำหรับการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น ____________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________ Explore the role of a chemical engineer working at Thai Oil, a leading petrochemical company in Thailand. Learn about their work, daily life, and career opportunities at Thai Oil. 1.Thaioil and LABIX Overview • Thaioil: A large petrochemical company specializing in refining oil and creating chemicals used in products like detergents and lubricants. • LABIX Division: Focuses on producing materials used in detergents, highlighting Thaioil’s diversification in the petrochemical industry. 2.A Day in the Life of a Chemical Engineer • Routine: Engineers start the day by inspecting various parameters in the control room and checking the production process. • Control Room: Equipped with numerous monitors, this is where engineers like Mr. Gap oversee production flows and make adjustments based on data. • Challenges: Engineers may need to adjust operations in response to external factors, such as changes in temperature due to weather. 3.Roles and Responsibilities of Different Operators • Chemical Engineers: Manage and oversee the production of chemical components like detergent precursors. • Outside Operators: Technicians, often with vocational backgrounds, who monitor and manage on-ground equipment and processes at the plant. 4.Chemical Production Insights • Processes: Gap explains processes like distillation and the production of base materials for lubricants and detergents. • Maintenance and Safety: Engineers sometimes need to climb structures up to 80 meters to inspect equipment, and safety measures are critical due to the flammable nature of materials handled. 5.Education and Training Pathways for Engineers • Academic Background: Typically requires a strong foundation in sciences, especially chemistry and math, and a bachelor’s degree in Chemical Engineering. University Curriculum: • First Year: General subjects (physics, chemistry, biology). • Second Year: Introductory engineering courses. • Third Year: Specialized courses in fluid mechanics and heat transfer. • Fourth Year: Capstone projects that integrate all skills learned. 6.Career Opportunities and Job Demand • Diverse Roles: Graduates can pursue roles beyond chemical engineering, such as business development or refinery economics. • Growth: Thaioil regularly recruits engineers and offers career development, with a projected increase in demand due to ongoing projects. 7.Employee Benefits and Welfare Programs at Thaioil • Health and Safety: Comprehensive medical benefits, including private hospital coverage. • Well-being Initiatives: Programs supporting physical, mental, and financial health for employees. • Career Development: Thaioil encourages continuous growth and offers scholarships for advanced studies.

    เลือกอาชีพ
    Engineering
    Career
    Nov 22, 2024
    3 min
    Thumbnail for เส้นทางสู่อาชีพ Financial Analyst: สมัครงานอย่างไรเมื่อไม่มีประสบการณ์? (How to Land a Financial Analyst Job with No Experience?)
    Career Pathway

    เส้นทางสู่อาชีพ Financial Analyst: สมัครงานอย่างไรเมื่อไม่มีประสบการณ์? (How to Land a Financial Analyst Job with No Experience?)

    การเริ่มต้นการทำงานในสายการเงินอาจจะรู้สึกว่ายาก โดยเฉพาะเมื่อทุกงานที่ดูเหมือนจะต้องการประสบการณ์ที่เรายังไม่มี แต่ไม่ต้องห่วงกังวล ยังมีวิธีที่จะทำให้ไปถึงเป้าหมายได้! ไกด์ไลน์นี้จะพาไปทีละขั้นตอนเพื่อให้เรากลายเป็นผู้สมัครที่โดดเด่นและได้งานนักวิเคราะห์การเงิน แม้จะยังเป็นมือใหม่ในสายงานนี้ ตั้งแต่การใช้คอนเนคชัน การพัฒนาทักษะ ไปจนถึงการเตรียมตัวสำหรับสัมภาษณ์ ที่จะทำให้เราเรียนรู้วิธีที่จะแสดงให้เห็นว่าเราพร้อมแล้วสำหรับงานนี้ มาดูไปพร้อมกันว่าเราจะเริ่มต้นสายงานการเงินได้ยังไง แม้ว่าจะไม่มีประสบการณ์เลย 1.เข้าใจความท้าทายเมื่อไม่มีประสบการณ์ หลายคนเจอปัญหาว่าจะเข้าทำงานเป็นนักวิเคราะห์การเงินโดยไม่มีประสบการณ์ได้ยังไง ซึ่งงานที่ต้องการประสบการณ์มันเหมือนจะไม่เปิดโอกาสให้มือใหม่ วิดีโอนี้มีคำแนะนำในการรับมือกับปัญหานี้ 2.ใช้คอนเนคชัน คอนเนคชันส่วนตัว: ลองคุยกับเพื่อน ครอบครัว หรือคนรู้จักที่อยู่ในวงการการเงินหรือธุรกิจ บอกเป้าหมายการทำงานของเรา เผื่ออาจได้ข้อมูลหรือคำแนะนำดี ๆ ขยายเครือข่าย: ลองคุยกับคนที่เราไม่ได้คุยบ่อยๆ เพราะโอกาสดี ๆ อาจมาจากคนที่เราไม่คาดคิด การพูดคุยกับคนที่ทำงานในสายการเงินหรือธุรกิจอาจช่วยให้เข้าใจงานนี้มากขึ้น 3.กลยุทธ์ในการหางาน เว็บไซต์ของบริษัทโดยตรง: ลิสต์รายชื่อบริษัทในสายการเงินไว้อย่างน้อย 50 บริษัท เข้าไปดูหน้า Careers ของแต่ละบริษัทแล้วสมัครเลย โดยเฉพาะบริษัทขนาดเล็กที่คนสมัครน้อยกว่า มองในระยะยาว: เริ่มจากบริษัทเล็ก ๆ ก่อนเพื่อเก็บประสบการณ์ เป็นการเตรียมตัวไปต่อในบริษัทใหญ่ในอนาคต 4.ใช้ LinkedIn ในการหางาน ประกาศรับสมัครงาน: หลายบริษัทโพสต์ตำแหน่งงานบน LinkedIn ลองสมัคร โดยเฉพาะบริษัทเล็กที่อาจมีคู่แข่งน้อยกว่า ติดต่อโดยตรง: ค้นหานักวิเคราะห์ในบริษัทที่อยากทำงานด้วยแล้วทักไปถามข้อมูล เช่น เส้นทางอาชีพและความท้าทายของเขา เพื่อให้เห็นภาพงานนี้ชัดเจนขึ้นและเตรียมพร้อมก่อนสัมภาษณ์ 5.เข้าใจบทบาทและเตรียมตัวสัมภาษณ์ หน้าที่ของงาน: รู้ว่าหน้าที่ของนักวิเคราะห์การเงินทำอะไรบ้างในแต่ละวัน จะช่วยเราเวลาสัมภาษณ์ เพราะการรู้รายละเอียดงานแสดงว่าเราเตรียมตัวมาดี ความรู้ในอุตสาหกรรม: รู้ทันแนวโน้มและความท้าทายในสายงาน เช่น ในการเงินควรอัปเดตเรื่องกฎระเบียบใหม่ ๆ เพื่อให้สัมภาษณ์มีมุมมองในเชิงกว้างมากขึ้น 6.เพิ่มพูนความรู้ทางเทคนิค คำถามด้านเทคนิค: เตรียมตัวเรื่องพื้นฐานการเงิน เช่น โมเดลการประเมินมูลค่า (เช่น DCF) แม้จะไม่มีประสบการณ์ตรงก็เตรียมได้ คอร์สเรียนออนไลน์: คอร์สออนไลน์ (เช่น Coursera) ช่วยให้เรามีพื้นฐานเรื่องการเงิน การลงทุน ซึ่งแสดงถึงความตั้งใจในการเรียนรู้ 7.แสดงทักษะที่ใช้ได้หลากหลาย ดึงทักษะจากประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง: หากเคยทำงานที่ต้องใช้ทักษะละเอียดรอบคอบ การจัดการข้อมูล หรือการแก้ปัญหาอย่างมีเหตุผล ให้เน้นในสัมภาษณ์ เช่น ถ้าต้องละเอียดรอบคอบอาจยกตัวอย่างความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้ 8.แสดงการเตรียมตัวที่ลึกซึ้งและคิดวิเคราะห์ ความรู้เกี่ยวกับตลาด: ถ้าเข้าใจแนวโน้มใหญ่ ๆ ที่ส่งผลต่อธุรกิจ นำมาพูดในสัมภาษณ์ด้วยเพื่อแสดงว่าเรามีความคิดเชิงวิเคราะห์ การคิดอย่างเป็นระบบ: ผู้จ้างมักชอบคนที่อธิบายกระบวนการคิดได้ชัดเจน เพราะมันแสดงถึงความคิดวิเคราะห์ 9.ทำให้ตัวเองโดดเด่นขึ้น ความรู้ทางเทคนิคจากคอร์ส: การเรียนคอร์สการเงินที่มีโครงสร้างสามารถเพิ่มทักษะและแสดงความมุ่งมั่นของเรา สร้างแบรนด์ตัวเองใน LinkedIn: นอกจากการสมัครงาน การโพสต์ความคิดเห็นหรือข้อมูลที่เกี่ยวกับแนวโน้มในสายงานการเงินก็จะทำให้เราเป็นที่สนใจและแสดงถึงความรู้ในสายงานนี้ _________________________________________________________________________________________________________________________________________________ Starting a career in finance can feel tough—especially when every job seems to require experience you don’t have yet. But don’t worry; there are ways to make it happen! This guide will walk you through simple steps to get noticed and land your first financial analyst job, even if you’re new to the field. From using your network to building the right skills and preparing for interviews, you’ll learn how to stand out and prove you’re ready for the role. Let’s jump in and explore how you can kick-start your finance career, no experience required. 1.Understanding the Challenge of No Experience Many find it hard to break into financial analyst roles without relevant work experience, creating a cycle where roles requiring experience are inaccessible to newcomers. The video addresses this “catch-22” and suggests strategies to navigate it. 2.Utilize Your Network Personal Connections: The speaker recommends reaching out to friends, family, and acquaintances in the finance or corporate sectors. Informing them of your career goals increases your chances of finding indirect leads or even mentorship. Extended Networking: It’s beneficial to connect with people you may not speak to regularly, as opportunities often come from unexpected places. Conversations with those in financial or commercial roles can provide insights into daily responsibilities and expectations. 3.Targeted Job Search Strategies Direct Company Websites: Create a list of top firms in the finance sector, ideally 50 or more. Visit each company’s career page to apply directly, especially to smaller firms that attract fewer applicants and are more accessible to those without experience. Long-Term Approach: Working at a smaller firm is valuable for gaining initial experience, which can serve as a stepping stone for larger roles in the future. 4.Leveraging LinkedIn for Job Search Job Postings: Many companies, large and small, post job openings on LinkedIn. The speaker suggests using the platform to apply, particularly to smaller firms where competition might be lower. Direct Outreach: Search for current analysts or senior analysts in desired companies and reach out. Ask for insights into their role, career path, and challenges rather than direct job leads, which can offer you a realistic view of the position and make you better prepared for interviews. 5.Gaining Role Insight and Preparing for Interviews Job Responsibilities: Understanding what a financial analyst does day-to-day helps when communicating with hiring managers. During an interview, knowing the job details signals that you’ve done your research and are aware of role expectations. Industry Knowledge: Be informed about the industry trends and challenges of the firm you’re applying to. For example, in finance, staying updated on regulatory changes is crucial. Discussing these insights during interviews shows you’re tuned into the larger market landscape. 6.Improving Technical Competence Technical Questions: Familiarize yourself with finance basics like valuation models (e.g., discounted cash flow), commonly expected of financial analysts. You can prepare for these even without direct work experience. Online Learning Resources: Online courses (like those on Coursera) offer accessible ways to build a foundation in financial markets, investment theory, and finance basics. Taking such courses demonstrates a proactive approach to learning and adds credibility in interviews. 7.Highlighting Transferable Skills Drawing on Related Experience: If you’ve held a role requiring skills like attention to detail, data handling, or logical problem-solving, emphasize these in interviews. For example, if attention to detail was crucial in your past work, explain the potential consequences of mistakes to underscore your professional responsibility. 8.Showing In-Depth Preparation and Critical Thinking Market Awareness: If you understand how broader trends, like consumer behavior shifts, impact a business, bring it up in interviews. Discussing specific scenarios and offering logical reasoning behind your perspective can impress interviewers. Logical Approach: Employers often appreciate candidates who can walk them through a structured thought process, even if they’re making predictions rather than sharing concrete experience. This demonstrates your analytical mindset, which is a valued trait in financial analysis. 9.Taking Extra Steps to Stand Out Technical Knowledge via Courses: Beyond free resources, structured finance courses can further sharpen your skills. These also show that you’re committed to learning about the field. Personal Branding on LinkedIn: Besides applying for jobs, posting insights or opinions on industry trends on LinkedIn can enhance your visibility and showcase your understanding of the field.

    การวิเคราะห์การเงิน
    Career planning
    career guidance
    Nov 19, 2024
    4 min
    Thumbnail for  อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) คืออาชีพอะไร ทำไมมาแรงในกลุ่ม Gen Z
    Career Pathway

    อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) คืออาชีพอะไร ทำไมมาแรงในกลุ่ม Gen Z

    Influencer คือ อินฟลูเอนเซอร์ เป็นคนที่มีอิทธิพลในโลกออนไลน์ ที่สามารถชี้แนะ แนะนำ ให้บุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งตัดสินใจทำบางสิ่ง เช่น ซื้อสินค้า อ่านบทความ ด้วยเหตุผลอะไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง ความรู้ ตำแหน่งงาน โดยส่วนมาก Influencer จะมีอิทธิพลบน Social Media เช่น Facebook Lemon8 Youtube X Tiktok และ Instagram โดยอินฟลูเอนเซอร์นั้นจะมีฐานผู้ติดตามและเป็นที่รู้จักจำนวนมาก โดยอินฟลูเอนเซอร์จะทำให้ฐานผู้ติดตามคล้อยตามด้วยการสร้างสรรค์คอนเทนต์เพื่อโน้มน้าวใจหรือดึงดูดใจให้คล้อยตาม โดยทั่วไป อินฟลูเอนเซอร์แต่ละคนจะเป็นที่รู้จักในเรื่องที่ถูกเฉพาะเจาะจงลงไป หรือที่เรียกว่า Niche Target ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มแฟชั่น การท่องเที่ยว เกม ความงาม การทำอาหาร ฟิตเนส หรือความสนใจอื่นๆ โดยอินฟลูเอนเซอร์จะสร้างเนื้อหาในรูปแบบต่าง ๆ สำหรับกลุ่ม Target ของเขาที่สนใจในเรื่องนั้น ๆ Influencer ทำหน้าที่อะไร หน้าที่หลัก ๆ ของอินฟลูเอนเซอร์นั้นคือการเพิ่มการรับรู้ของแบรนด์นั้น ๆ โดยแบ่งเส้นทางของการแทรกซึมสินค้าหรือบริการให้เข้าไปในใจของลูกค้าดังนี้ ต้องรู้จักกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ เพราะอินฟลูเอนเซอร์คือคนที่สื่อสารระหว่างแบรนด์กับลูกค้า จึงต้องทำความเข้าใจอันดับแรกว่าคนที่จะซื้อสินค้าคือใคร กลุ่มไหน Generation ไหน อายุเท่าไหร่ และคนกลุ่มนั้นกำลังสนใจอะไร เพื่อวางแผนการสร้างคอนเทนต์เพื่อตอบโจทย์และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างดีเยี่ยม ทำความรู้จักกับสินค้า การทำความรู้จักสินค้าไม่เพียงแค่รู้ว่าสินค้าชื่ออะไร เอาไว้ทำอะไร แต่สามารถวิเคราะห์ถึงคุณค่าของแบรนด์ด้วยการค้นหาอย่างพิถีพิถันและลึกซึ้ง เพื่อดึงจุดเด่นที่คู่แข่งไม่มีและนำไปสื่อสารให้ตรงใจกับลูกค้าและแข่งกับคู่แข่งได้ เป็นสะพานระหว่างสินค้าและแบรนด์ อย่างที่ทุกคนรู้กันว่าอินฟลูเอ็นเซอร์นั้นมีฐานผู้ติดตามจำนวนหนึ่ง เพราะฉะนั้นอินฟลูเอนเเซอร์ก็สามารถสร้าง Awareness ให้กับแบรนด์ได้อย่างง่ายดาย เพราะมีฐานผู้ติดตามที่สนใจในเรื่องนั้น ๆ อยู่แล้ว ผ่านการสร้างคอนเทนต์ในรูปแบบต่าง ๆ สร้างคอนเทนต์เพื่อโปรโมตสินค้า หนึ่งหน้าที่ที่เป็นหัวใจสำคัญของการสร้าง Awareness คือการสร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ ให้โดนใจกับกลุ่มลูกค้าในสไตล์ของแต่ละคน เช่น วิดิโอ บทความ podcast story หรือ Post โดยแต่ละรูปแบบของคอนเทนต์ก็ต้องนำเสนออย่างถูกรูปแบบ เพื่อให้คอนเทนต์นั้นมีประสิทธิภาพมากที่สุด เป็นตัวแทนของสินค้านั้น ๆ - พอคอนเทนต์โดนใจ ลูกค้าก็จดจำเราคู่กับสินค้านั้น ๆ เพราะฉะนั้นต้องรักษาและส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้ เหมือนกับที่เราจำได้ว่าดาราคนนี้เป็น Brand Ambrassador ของสินค้าชิ้นนี้ Influencer, Content Creator และ Youtuber แตกต่างกันอย่างไร ทุกวันนี้คำว่า Influencer, Content Creator และ Youtuber มักถูกใช้สลับกันไปมาในปัจจุบัน แต่จริงๆ แล้วแต่ละคำมีความหมายและขอบเขตที่แตกต่างกัน นั่นก็คือ Influencer : คือคนที่มีความสามารถในการโน้มน้าวหรือส่งผลกระทบต่อความคิดเห็นหรือพฤติกรรมของผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ติดตามของตนเองบนโซเชียลมีเดีย Content Creator : คือที่ผลิตเนื้อหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอ บทความ ภาพ หรืออื่นๆ เพื่อเผยแพร่ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น โซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชัน ผู้สร้างสรรค์เนื้อหาอาจมีเป้าหมายเพื่อสร้างความบันเทิง สร้างแรงบันดาลใจ ให้ความรู้ หรือเพื่อโปรโมทสินค้าและบริการ Youtuber: หมายถึงผู้ที่สร้างและเผยแพร่วิดีโอผ่านแพลตฟอร์ม YouTube โดยเฉพาะ ผู้สร้างวิดีโอเหล่านี้อาจมีเนื้อหาหลากหลาย เช่น เกม รีวิว สอนทำอาหาร เที่ยว หรือพูดคุยทั่วไป Influencer มีกี่ประเภท Mega-Influencers (ผู้ติดตาม 1,000,000 คนขึ้นไป) อินฟลูเอนเซอร์กลุ่มนี้เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงและฐานแฟนคลับจำนวนมาก เช่น ดารา นักร้อง นักกีฬา ซึ่งมีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียมากกว่า 1 ล้านคน พวกเขามักมีความสามารถในการสร้างสรรค์คอนเทนต์อย่างมืออาชีพ อีกทั้งยังมีไลฟ์สไตล์ที่ชัดเจนและโดดเด่น Macro-Influencers / Key Opinion Leaders (ผู้ติดตาม 100,000 – 1,000,000 คน) อินฟลูเอนเซอร์ประเภทนี้จะมีศักยภาพในการสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเข้าถึงได้ง่ายกว่า Mega Influencers เหมาะสำหรับแบรนด์ที่มีงบประมาณสูง หรือแบรนด์ขนาดกลางที่ต้องการเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้มากยิ่งขึ้น Micro-Influencers (ผู้ติดตาม 10,000 – 100,000 คน) อินฟลูเอนเซอร์กลุ่มนี้มักเป็นผู้ที่มีความสนใจเฉพาะด้านหรือมีความรู้เฉพาะทาง ทำให้มีผู้ติดตามที่สนใจในเรื่องเดียวกัน อินฟลูเอนเซอร์ประเภทนี้จะมีความสามารถในการสร้างความผูกพันเข้ากับผู้ติดตาม เพราะมีการนำเสนอคอนเทนต์อย่างเป็นกันเอง เหมาะสำหรับแบรนด์ขนาดกลางที่มีฐานลูกค้าอยู่แล้วและต้องการสร้างความมีส่วนร่วม (Engagement) ในงบประมาณที่พอดี Nano-Influencers (ผู้ติดตาม 1,000 – 10,000 คน) เป็นคนทั่วไปที่มีชื่อเสียงเฉพาะกลุ่มในหมู่เพื่อนหรือคนรู้จัก พวกเขาสามารถเข้าถึงผู้ติดตามได้อย่างใกล้ชิด ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นการบอกต่อเพื่อน ๆ มากกว่าการโฆษณา ทำให้กลุ่มนี้มีความน่าเชื่อถือและความจริงใจมาก เหมาะสำหรับแบรนด์ที่มีงบประมาณจำกัด และต้องการเจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะเจาะจงผ่านการบอกต่อ Influencer ได้เงินยังไง การเป็น Influencer มีโอกาสในการสร้างรายได้จากหลายแหล่ง หลายรูปแบบ และจากหลากหลายแพลตฟอร์ม ทั้งนี้รายได้ของ Influencer สามารถมาจากหลากหลายวิธี ดังนี้: 1. การรับสปอนเซอร์และโฆษณา รายได้หลักของ Influencer มาจากการรับสปอนเซอร์จากแบรนด์ต่าง ๆ ที่ต้องการโปรโมตสินค้าและบริการให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านตัว Influencer โดยแบรนด์จะจ่ายเงินเพื่อให้ Influencer โฆษณาสินค้าหรือบริการ ซึ่งอาจจะเป็นในรูปแบบของโพสต์ภาพ วิดีโอ หรือสตอรี่บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Instagram, TikTok หรือ YouTube ค่าตอบแทนจะขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ติดตามและการใช้เวลาของผู้ติดตามบนเนื้อหานั้น ๆ 2. การทำ Affiliate Marketing Influencer สามารถสร้างรายได้ผ่านระบบ Affiliate โดยการแนะนำสินค้าหรือบริการพร้อมลิงก์ Affiliate ซึ่งจะได้รับค่าคอมมิชชันเมื่อมีคนกดลิงก์แล้วสั่งซื้อสินค้า หลายแพลตฟอร์ม เช่น Shopee, Lazada และ Amazon มีระบบ Affiliate ให้ Influencer ใช้หารายได้ได้ง่าย และบางครั้งจะได้รับค่าคอมมิชชันต่าง ๆ อีกด้วย 3. การขายสินค้าและบริการของตนเอง Influencer หลายคนสร้างรายได้ด้วยการเปิดร้านค้าออนไลน์หรือขายสินค้าที่พวกเขาผลิตเอง โดยอาศัยชื่อเสียงและฐานแฟนคลับที่ติดตามอยู่ ซึ่งอาจเป็นสินค้าที่ตรงกับกลุ่มผู้ติดตาม เช่น เสื้อผ้า เครื่องสำอาง อาหารเสริม หรือแม้แต่บริการให้คำปรึกษาเฉพาะด้าน ทั้งนี้แพลตฟอร์มอย่าง Instagram และ Facebook ก็มีระบบการขายสินค้าให้ใช้ได้ง่าย ทำอย่างไรถึงจะได้เป็น Influencer การเป็น Influencer ในยุคดิจิทัลนี้สามารถเป็นได้ทั้งงานอดิเรกและอาชีพหลัก และยังเป็นช่องทางในการสร้างชื่อเสียงและรายได้ที่น่าสนใจ ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่าทำอย่างไรถึงจะสามารถก้าวเข้าสู่วงการ Influencer ได้สำเร็จ มาดูกันว่าต้องทำยังไงบ้าง 1. เลือกความสนใจและกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน การเลือกหัวข้อที่ตนเองสนใจและเชี่ยวชาญเป็นสิ่งแรกที่สำคัญมาก จะสามารถสร้างเนื้อหาที่เป็นเอกลักษณ์ในสไตล์ของตนเองได้ เช่น การทำอาหาร การแต่งหน้า แฟชั่น ท่องเที่ยว หรือแม้แต่เรื่องการเงิน การศึกษา การเป็นที่ปรึกษาในการเลือกอาชีพ โดยเลือกจากสิ่งที่ชอบและมีความรู้ แล้วกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนว่าอยากจะเข้าถึงใคร เช่น กลุ่มวัยรุ่น คนทำงาน หรือครอบครัว เป็นต้น 2. พัฒนาสไตล์และเสียงของตนเอง การมีสไตล์เฉพาะตัวและการสื่อสารที่แตกต่างจากคนอื่นจะช่วยให้ผู้คนจดจำเราได้ง่าย ควรหาวิธีการนำเสนอที่ตรงกับตัวตนและไม่เหมือนใคร เช่น ใช้ภาษาที่เป็นธรรมชาติ หรือมีวิธีเล่าเรื่องที่สนุกสนาน นอกจากนี้ควรให้ความสำคัญกับโทนสี การจัดองค์ประกอบภาพ และการใช้ฟอนต์ที่เป็นเอกลักษณ์ เพื่อสร้างเอกลักษณ์ให้กับแบรนด์ของเราเอง 3. การสื่อสารกับผู้ติดตามอย่างใกล้ชิด การตอบกลับคอมเมนต์ การตอบข้อความโดยตรง หรือการทำกิจกรรมแบบ Interactive เช่น Q&A บน Instagram Story จะทำให้ผู้ติดตามรู้สึกใกล้ชิดและมีความสัมพันธ์กับช่องของเรามากขึ้น ซึ่งการมีส่วนร่วมกับผู้ติดตามเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้พวกเขารู้สึกผูกพันและกลับมาชมคอนเทนต์อย่างต่อเนื่อง 4. ทำงานร่วมกับ Influencer หรือแบรนด์อื่น ๆ การทำงานร่วมกับ Influencer คนอื่นหรือแบรนด์ที่เกี่ยวข้องจะช่วยเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มคนใหม่ ๆ การทำ Collaboration ไม่เพียงช่วยให้ได้วิธีการทำงานจาก Influencer ที่มีประสบการณ์ แต่ยังเพิ่มโอกาสให้ผู้ติดตามเห็นเราในบริบทใหม่ ๆ และอาจช่วยให้เราได้รับการติดตามมากขึ้น เพราะได้ฐานแฟนคลับที่มากขึ้นนั่นเอง 5. สม่ำเสมอและอดทน การเป็น Influencer ที่ประสบความสำเร็จต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอ ไม่ใช่เพียงแค่สร้างคอนเทนต์ครั้งเดียวแล้วจะมีผู้ติดตามมากมายในทันที ต้องผลิตเนื้อหาต่อเนื่องและปรับปรุงพัฒนาตัวเองเสมอ อีกทั้งต้องอดทนกับคำวิจารณ์และอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นระหว่างทาง การสร้างความเชื่อถือในกลุ่มผู้ติดตามต้องใช้เวลาและความทุ่มเทมากเลยทีเดียว เป็นอย่างไรกันบ้างกับวิธีการเป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่ประสบความสำเร็จ สำหรับคนไหนที่กำลังมองหางานคุณภาพ จากบริษัทชั้นนำในไทยและต่างประเทศ อย่าลืมฝากเรซูเม่ไว้ที่ Jobcadu ล่ะ เพราะเรารวบรวมบริษัทชั้นนำที่ใช่สำหรับคุณมาไว้ให้หมดแล้ว

    Content creator
    Influencer
    Nov 9, 2024
    2 min
    Thumbnail for  9 อาชีพมาแรงใน 2025 เป็นที่ต้องการในอนาคตสุด ๆ จะมีอาชีพ อะไรบ้างมาดู | Jobcadu
    Career Pathway

    9 อาชีพมาแรงใน 2025 เป็นที่ต้องการในอนาคตสุด ๆ จะมีอาชีพ อะไรบ้างมาดู | Jobcadu

    ใคร ๆ ก็อยากทำอาชีพในฝัน แต่บางอาชีพอาจมีตำแหน่งไม่เพียงพอหรือมีล้นเกินไปในแต่ละแวดวงอุตสาหกรรม เพราะการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของความต้องการในทักษะด้านอาชีพในอนาคต บทความนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ 9 อาชีพที่มาแรงและเป็นที่ต้องการในอนาคต ซึ่งไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงานในปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคตอีกด้วย จะมีอาชีพอะไรบ้าง มาดูกัน 9 อาชีพมาแรงที่เป็นที่ต้องการในอนาคต 1. พยาบาล (Nurse) พยาบาลเป็นอาชีพที่มีบทบาทสำคัญในการให้บริการทางการแพทย์ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพในชุมชน ซึ่งมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะในบางพื้นที่การเข้าถึงแพทย์และสาธารณสุขยังคงมีข้อจำกัด นี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้อนาคตอาชีพพยาบาลยังเป็นที่จำเป็น 2. Data Scientist (นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล) ในยุคที่ข้อมูลมีความสำคัญมากขึ้นทุกวัน การทำงานในสายงาน Data Scientist กำลังได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลมีบทบาทในการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่เป็นประโยชน์สำหรับการตัดสินใจของในธุรกิจหรือองค์กร ด้วยการใช้ทักษะทางเทคนิคและการวิเคราะห์ 3. Security Analyst (นักวิเคราะห์ข้อมูลความปลอดภัย) การรักษาความปลอดภัยของข้อมูลหรือ Data ในยุคดิจิทัลเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง นักวิเคราะห์ความปลอดภัยสารสนเทศมีหน้าที่ในการตรวจสอบระบบและป้องกันภัยคุกคามต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากแฮกเกอร์และภัยคุกคามออนไลน์อื่น ๆ เพื่อเป็นการป้องกันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อาชีพนี้จึงเป็นอาชีพที่มาแรงเช่นกัน 4. นักวิจัยคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ (Computer and Information Research Scientists) การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ก่อให้เกิดความต้องการในด้านการวิจัยและพัฒนา นักวิจัยคอมพิวเตอร์และสารสนเทศจะทำงานในการสร้างเทคโนโลยีใหม่ ๆ และพัฒนาวิธีการใหม่ ๆ ในการจัดการข้อมูลและแก้ไขปัญหาทางด้านคอมพิวเตอร์ 5. นักคณิตศาสตร์ประกันภัย (Actuary) นักคณิตศาสตร์ประกันภัยหรือ Actuary จะวิเคราะห์ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนเพื่อช่วยในการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับประกันภัยและการเงิน โดยการใช้คณิตศาสตร์ สถิติ และการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ 6. ผู้ตรวจสอบบัญชี (Audit) ผู้ตรวจสอบการเงินมีหน้าที่ในการตรวจสอบและตรวจสอบบัญชีขององค์กรต่าง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการทุจริตหรือการละเมิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเงิน โดยเฉพาะในช่วงที่ธุรกิจต่าง ๆ มีความซับซ้อนมากขึ้น นักตรวจสอบการเงินจึงเป็นตำแหน่งที่จำเป็นสำหรับองค์กร และยิ่งองค์กรใหญ่ ๆ ก็ต้องมีเยอะเช่นกัน (เงินเดือนเยอะด้วยนะ) 7. Veterinarian (สัตวแพทย์) สัตวแพทย์มีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพของสัตว์ โดยเฉพาะในโลกที่มีการเลี้ยงสัตว์และการเกษตรที่เติบโตขึ้น ความต้องการสัตวแพทย์จึงยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะในพื้นที่ชนบทหรือเมือง รวมถึงเทรนด์สมัยนี้คนรักในการเลี้ยงสัตว์มากขึ้น หากเติบโตไปสายอื่น ๆ เช่น สัตว์ Exotic ก็จะได้เงินดีเช่นกัน 8. นักแก้ไขการพูด (Speech-Language pathologist) นักบำบัดการพูดและการสื่อสารทำหน้าที่ช่วยเหลือ วินิจฉัยความผิดปกติของการสื่อความหมายทางภาษาและการพูด ของคนที่มีปัญหาในการพูด การฟัง หรือการสื่อสารบำบัดรักษา เพื่อแก้ไขและฟื้นฟูสมรรถภาพความผิดปกติ ซึ่งอาชีพนี้ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก แต่ก็มีตำแหน่งนี้จริง ๆ นะและกำลังเป็นที่ต้องการในหลาย ๆ ประเทศ 9. Software Developer (นักพัฒนาซอฟต์แวร์) นักพัฒนาซอฟต์แวร์เป็นหนึ่งในอาชีพที่มีความต้องการสูงที่สุดในโลกดิจิทัล ตั้งแต่การพัฒนาแอปพลิเคชันมือถือ เว็บไซต์ ไปจนถึงซอฟต์แวร์สำหรับธุรกิจต่าง ๆ การเติบโตในอาชีพนี้ยังคงมีแนวโน้มที่ดีและยังเป็นหนึ่งอาชีพในวงการไอทีที่เป็นที่ต้องการมาก ๆ อีกด้วย การเติบโตของอาชีพเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะเป็นโอกาสสำหรับการสร้างรายได้ที่มั่นคง แต่ยังสะท้อนถึงแนวโน้มการพัฒนาในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี การดูแลสุขภาพ หรือการบริหารจัดการทางการเงิน ในอนาคตอาชีพเหล่านี้จะยังคงเป็นที่ต้องการและมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศได้อย่างต่อเนื่อง สำหรับคนไหนที่กำลังมองหางานคุณภาพ จากบริษัทชั้นนำในไทยและต่างประเทศ อย่าลืมฝากเรซูเม่ไว้ที่ Jobcadu ล่ะ เพราะเรารวบรวมบริษัทชั้นนำที่ใช่สำหรับคุณมาไว้ให้หมดแล้ว

    Veterinarian
    Actuary
    Security Analyst
    Nov 6, 2024
    1 min