Logo
  • Pro Profile
  • Jobs
  • Career
    Career Pathway
    Growth
    Education
    Inspiration
    Personality
    Jobs & Industries
    Job Search
    Resume & Portfolio
    Salary
    Well-being
  • Education
    Online Courses
    Masters Programs
  • Resume Builder
  • Corporate Users



  • Jobcadu Logo

    Best career platform for job search, recruitment, career assessment & education

    10,000+

    Jobs

    Jobs Functions

    Administration & Office

    Marketing

    Customer Service

    Information Technology (IT)

    Accounting & Finance

    Human Resources & People

    Production & Supply Chain

    Engineering

    For Job Seekers

    Jobs

    Resume Builder

    Education Resources

    Resume Resources

    For Corporate Users

    Post Jobs

    Pricing

    Resources

    About Us

    Terms of Use

    Privacy Policy


    © 2025 Jobcadu. All rights reserved

    3 ทักษะที่ควรมีในมุมมองคุณท็อป Bitkub

    Growth
    1. Home

    2. Careers

    3. 3 ทักษะที่ควรมีในมุมมองคุณท็อป Bitkub

    3 ทักษะที่ควรมีในมุมมองคุณท็อป Bitkub

    Posted January 8, 2024

    Career Path

    Skills
    Development
    Topp Jirayut
    ทักษะสำคัญ
    Career Guidance Video

    3 ทักษะที่ควรมีในมุมมองคุณท็อป Bitkub

    Watch this video to learn more about this career path

    Career Path Description

    ท็อป จิรายุส ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Bitkub แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย พูดถึง 3 ทักษะสำคัญที่ควรมีในอนาคต ดังนี้


    1.ความสามารถในการปรับตัว (Adaptability Quotient - AQ)

    โลกเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ผู้คนจำเป็นต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และลืมความเชื่อเก่า ๆ AQ สำคัญกว่า IQ หรือ EQ


    2.ความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์กับเครื่องจักร

    เพราะการเปลี่ยนเเปลงเกิดขึ้นในทุกยุคสมัย จึงจำเป็นต้องมีการยอมรับที่จะให้เทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามา เช่น AI


    3.ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ (Human to Human relationship)

    การเข้าใจคน ไม่ว่าคุณจะทำงานในอุตสาหกรรมใด เราก็หลีกเลี่ยงคนไม่ได้ โดยเฉพาะในตำเเหน่งผู้นำ นอกจากจะกระตุ้นคนเเล้วยังต้องให้เเรงบันดาลใจกับคนด้วย ดังนั้น Communication, Presentation, เเละ Negotiation skill จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปกี่ยุคสมัยเราก็ยังจำเป็นต้องมี Skillset พวกนี้


    Related Skills & Areas
    Skills
    Development
    Topp Jirayut
    ทักษะสำคัญ


    Related Careers
    Thumbnail for Interpersonal Skill คืออะไร? ทำไมทักษะนี้ถึงช่วยให้เราสามารถประสบความสำเร็จในอาชีพการงานมากขึ้น?
    Growth

    Interpersonal Skill คืออะไร? ทำไมทักษะนี้ถึงช่วยให้เราสามารถประสบความสำเร็จในอาชีพการงานมากขึ้น?

    เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคนถึงสื่อสารเก่ง เข้ากับคนอื่นได้ง่าย และประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่าคนทั่วไป? คำตอบอยู่ที่ Interpersonal Skill หรือ ทักษะระหว่างบุคคล ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ทั้งในด้านการทำงานและชีวิตส่วนตัว ซึ่ง Jobcadu จะพาทุกคนเจาะลึกทักษะนี้เพื่อนำมาพัฒนาตัวเอง จะมีอะไรบ้างมาดูกันเลย! Interpersonal Skill คืออะไร? Interpersonal Skill หรือ ทักษะระหว่างบุคคล คือความสามารถในการสื่อสารและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นการพูด ฟัง เข้าใจความรู้สึกของคนรอบข้าง หรือการทำงานร่วมกันอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่าง 6 ทักษะย่อยๆ ได้ดังนี้ 1.การฟังอย่างตั้งใจ (Active Listening) ตั้งใจฟังคู่สนทนาโดยที่ไม่ขัดจังหวะหรือพูดสวนขณะที่เพื่อนร่วมงานกำลังพูดอยู่ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราสนใจฟัง และทำความเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูดจริงๆ นอกจากนี้ การมีทักษะการฟังผู้อื่นได้ดี จะช่วยลดความเข้าใจผิด และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นอีกด้วย 2.การทำงานเป็นทีม (Teamwork) สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นให้บรรลุเป้าหมายได้ เข้าใจและเคารพความคิดเห็นของเพื่อนร่วมทีม ไม่ตัดสินใครไปก่อน และเมื่อเวลาที่เจอปัญหาในงาน สามารถช่วยกันหาทางออกกับคนในทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3.ภาวะผู้นำ (Leadership) มีความสามารถในการเป็นผู้นำของทีม ตัดสินใจ และแก้ปัญหาได้อย่างรอบคอบ นอกจากนี้ยังสามารถสร้างบันดาลใจให้ผู้อื่น ช่วยให้ทีมสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถชี้แนะ ดึงศักยภาพและจุดแข็งของคนในทีมเอาออกมาใช้ให้ได้มากที่สุด 4.ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) มีความเข้าใจและรับรู้ถึงความรู้สึกของผู้อื่น จะช่วยให้เราสามารถสื่อสารและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงานได้ยิ่งขึ้น หรือบางครั้งลองชวนคนในทีมคุย ถามถึงปัญหาหรือข้อสงสัยที่เขากำลังติดขัด เพื่อให้เขาเล่าหรือระบายสู่เราฟัง ทำให้เขารู้สึกสบายใจและผ่อนคลายที่จะสนทนากับเรามากขึ้น 5.การแก้ไขความขัดแย้ง (Conflict Resolution) ทักษะนี้สามารถจัดการข้อขัดแย้งได้โดยที่ไม่ใช้อารมณ์ มุ่งเน้นที่การหาทางออกร่วมกันที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย และใช้คำพูดที่ประนีประนอม ไม่แสดงอำนาจโดยการกดดันหรือหยาบคายใส่คนในทีมเพื่อขู่ให้กลัว เพราะนอกจากปัญหาจะไม่ถูกแก้แล้ว เราอาจจะไม่ได้รับความไว้วางใจจากเพื่อนร่วมงานอีกต่อไป รวมถึงอาจก่อให้เกิดสถานการณ์ที่น่าอึดอัดในอนาคต 6.ความสามารถในการเจรจาต่อรอง (Negotiation) ใช้เหตุผลและทักษะการสื่อสารเพื่อหาข้อตกลงร่วมกัน ทำให้ทุกฝ่ายพอใจและลดปัญหาความขัดแย้งในที่ทำงาน แม้จะสนิทกับเพื่อนร่วมงาน แต่บางเรื่องในการทำงานควรมีการเจรจาข้อตกลงกันที่ชัดเจน ไม่ให้เกิดสถานการณ์ที่ถูกเอาเปรียบ ถือเป็นหนึ่งปัจจัยในการรักษาความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนร่วมงานหรือลูกค้าในระยะยาว วิธีพัฒนา Interpersonal Skill ในที่ทำงาน ฝึกการฟังเพื่อจับใจความ: ทุกครั้งที่ได้พูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน พยายามจับใจความสิ่งที่เขาต้องการสื่อ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราได้ฟังที่เขาพูดอยู่จริงๆ เมื่อผู้พูดเห็นว่าเรากำลังตั้งใจฟังในสิ่งที่กำลังพูดอยู่ เราก็จะได้รับความไว้วางใจจากอีกฝ่ายมากขึ้น ฝึกสื่อสารให้ชัดเจนและตรงประเด็น: ใช้คำพูดที่เข้าใจง่าย กระชับ และสุภาพ เพื่อลดความเข้าใจผิดในการรับสารของผู้ฟัง ฝึกเห็นอกเห็นใจเพื่อนร่วมงาน: พยายามเข้าใจความรู้สึกและมุมมองของเพื่อนร่วมงาน เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดี ความไว้วางใจในการทำงาน และเพื่อเสริมความน่าเชื่อถือให้ตัวเองด้วย จัดการความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์: ใช้เหตุผลในการพูดคุย หาทางออกที่เป็นกลาง และหลีกเลี่ยงการใช้อารมณ์ นอกจากนี้ยังเป็นการแสดงออกถึงความเป็นมืออาชีพในการทำงานและการมีวุฒิภาวะทางอารมณ์สูง ทำให้เพื่อนร่วมงานเชื่อถือในตัวเรามากขึ้น กล้าขอและรับฟังฟีดแบค: เปิดใจรับคำแนะนำจากเพื่อนร่วมงาน เพื่อนำไปปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น เพราะบางข้อควรปรับปรุงในตัวเอง ตัวเรามักมองไม่เห็น ต้องอาศัยผู้อื่นช่วยประเมินและแนะนำด้วยเช่นกัน ฝึกความมั่นใจและการแสดงออกอย่างเหมาะสม: กล้าพูดความคิดเห็นของตัวเองอย่างสุภาพและเคารพผู้อื่น เพื่อแสดงจุดยืนของตัวเองโดยที่ไม่ได้ข่มขู่หรือลดทอนคุณค่าของผู้อื่น เรียนรู้และพัฒนาตัวเองเสมอ : เข้าร่วมอบรม อ่านหนังสือ หรือดูวิดีโอเกี่ยวกับทักษะการสื่อสารและการทำงานร่วมกับผู้อื่น เพื่อเติม Input ให้ตัวเองได้แนวคิดหรือความรู้ใหม่ๆในการมาพัฒนาตัวเองสู่เวอร์ชั่นที่ดีขึ้น หากชอบบทความเกี่ยวกับทักษะการพัฒนาตัวเองในด้านต่างๆ รวมถึงค้นหางานที่ใช่และเหมาะกับตัวเอง สามารถเข้ามาศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ Jobcadu แหล่งรวมทักษะ โอกาส และงานคุณภาพต่างๆ ได้ในทุกช่องทาง!

    Interpersonal skills
    Skills
    ทักษะสำคัญ
    Mar 31, 2025
    1 min
    Thumbnail for มารู้จักกับ CAT Tool เครื่องมือแปลภาษาสำหรับนักแปล
    Growth

    มารู้จักกับ CAT Tool เครื่องมือแปลภาษาสำหรับนักแปล

    CAT Tools คืออะไร? CAT Tool (Computer-Assisted Translation Tool) คือซอฟต์แวร์ที่ช่วยนักแปลทำงานได้สะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย CAT Tool ไม่ใช่โปรแกรมแปลภาษาอัตโนมัติแบบ Google Translate แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยจัดเก็บและจัดการข้อความที่แปลแล้ว เพื่อให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ช่วยลดเวลาทำงานและทำให้การแปลมีความสม่ำเสมอมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการแปลซ้ำ ๆ และช่วยให้งานแปลมีคุณภาพที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง CAT Tools ทำงานโดยใช้หลักการของหน่วยความจำการแปล (Translation Memory - TM) ซึ่งช่วยให้เราสามารถบันทึกคำแปลที่เคยใช้แล้ว และนำกลับมาใช้ใหม่เมื่อมีประโยคหรือข้อความที่คล้ายกันในการแปลครั้งต่อไป นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์อื่น ๆ เช่น การจัดการคำศัพท์ (Terminology Management) การตรวจสอบคุณภาพการแปล (Quality Assurance - QA) และการทำงานร่วมกันแบบออนไลน์ ทำไมต้องใช้ CAT Tools? การใช้ CAT Tool มีข้อดีหลายประการที่ช่วยให้การแปลมีประสิทธิภาพมากขึ้นและลดความซับซ้อนในการทำงาน ดังนี้: ช่วยประหยัดเวลา เนื่องจากสามารถนำข้อความที่เคยแปลแล้วมาใช้ซ้ำได้ ทำให้ไม่ต้องแปลประโยคเดิมซ้ำหลายครั้ง เพิ่มความแม่นยำ ในการใช้คำศัพท์และสำนวน เพราะมีระบบหน่วยความจำการแปล (TM) ที่ช่วยให้การแปลสอดคล้องกันตลอดทั้งเอกสาร รองรับไฟล์หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Word, Excel, PowerPoint, PDF และ HTML ทำให้เราสามารถทำงานกับไฟล์ประเภทต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น ช่วยทำงานเป็นทีมได้ง่ายขึ้น ด้วยฟีเจอร์การแชร์ฐานข้อมูลคำแปลและการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ ทำให้ทีมงานสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยจัดการโครงการแปล โดยมีเครื่องมือช่วยติดตามความคืบหน้า แบ่งส่วนงาน และกำหนดระยะเวลาส่งมอบงานอย่างเป็นระบบ ลดข้อผิดพลาดในการแปล ด้วยฟีเจอร์ตรวจสอบคุณภาพ (QA) ที่ช่วยแจ้งเตือนเมื่อมีปัญหาด้านการแปล เช่น การแปลที่ไม่สอดคล้องกัน การสะกดคำผิด หรือการใช้คำที่ไม่ถูกต้อง CAT Tools เสียเงินมั้ย? มีตัวไหนบ้าง? CAT Tools มีทั้งแบบเสียเงินและแบบฟรี ขึ้นอยู่กับความต้องการและงบประมาณของเรา ตัวอย่าง CAT Tools แบบเสียเงิน: SDL Trados Studio – หนึ่งในเครื่องมือยอดนิยมสำหรับนักแปลมืออาชีพ รองรับฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น การจัดการคำศัพท์และการทำงานร่วมกันแบบออนไลน์ memoQ – ใช้งานง่าย มีอินเทอร์เฟซที่เป็นมิตรกับผู้ใช้ และมีฟีเจอร์ช่วยให้การแปลรวดเร็วขึ้น Wordfast – มีทั้งเวอร์ชันเดสก์ท็อปและออนไลน์ รองรับไฟล์หลายรูปแบบ และสามารถทำงานร่วมกับ TM ได้อย่างมีประสิทธิภาพ Déjà Vu – เป็น CAT Tool ที่มีระบบช่วยให้การแปลมีความแม่นยำมากขึ้น ด้วยระบบการค้นหาข้อความและการจัดการหน่วยความจำที่ดี ตัวอย่าง CAT Tools ฟรี: OmegaT – เป็นโอเพ่นซอร์ส ใช้งานได้ฟรี และรองรับหลายแพลตฟอร์ม MateCat – เครื่องมือแปลออนไลน์ที่ไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ ใช้งานฟรีและรองรับไฟล์หลายประเภท Smartcat – ผสมผสานระหว่าง CAT Tool และระบบแปลอัตโนมัติ ใช้งานได้ฟรีและรองรับการทำงานร่วมกันแบบออนไลน์ CAT Tool เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักแปลที่ช่วยให้การแปลมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และแม่นยำมากขึ้น ด้วยระบบหน่วยความจำการแปล การจัดการคำศัพท์ และฟีเจอร์การตรวจสอบคุณภาพการแปล ทำให้งานแปลมีความสอดคล้องและลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น เราสามารถเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับความต้องการของเรา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือแบบฟรีหรือเสียเงิน หากเราต้องการพัฒนาคุณภาพงานแปลและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน CAT Tool เป็นเครื่องมือที่ควรมีติดตัวอย่างแน่นอน นอกจากนั้นเรายังมีบทความที่น่าสนใจอื่น ๆ อีกมากมาย สามารถติดตามเราได้ที่ Career Portal

    Jan 30, 2025
    1 min
    Thumbnail for รวมแหล่งเรียนรู้ Prompt Engineering: เขียน Prompt ChatGPT สร้างคำสั่ง AI ฉบับสมบูรณ์ที่สุดในไทย
    Growth

    รวมแหล่งเรียนรู้ Prompt Engineering: เขียน Prompt ChatGPT สร้างคำสั่ง AI ฉบับสมบูรณ์ที่สุดในไทย

    แหล่งเรียนรู้สำหรับการเขียน Promp บน ChatGPT, Claude, Gemini และ AI ที่ดีที่สุด มีให้เลือกศึกษาทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ (+ท้ายบทความมี 6 คอร์สฟรี พร้อมลิงก์!) Article บทความภาษาไทยคู่มือการเขียน Prompt : Prompting ChatGPT 1. บทความ DataRockie - Prompt Engineering 101 คู่มือพื้นฐานการเขียน Prompt สำหรับใช้งาน ChatGPT และ Generative AI 2. บทความ Skooldio - 8 งานที่ช่วยได้ด้วย ChatGPT Prompts ตัวอย่างไอเดียและ Use Cases การใช้งาน ChatGPT Prompts ในสายงานต่าง ๆ 3. Ultimate Python - การใช้งาน ChatGPT Prompting อธิบายการใช้งาน ChatGPT พร้อมแนวทางการปรับแต่ง Prompt 4. Framework ในการเขียน Prompt อธิบายการใช้เขียน Prompt โดยใช้ framework บน Claude พร้อมแนวทางการปรับแต่ง Prompt ให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ 5. บทความ New Zenler - ChatGPT Prompts สำหรับการตลาด การประยุกต์ใช้ Prompt ในงานด้านการตลาดและการโฆษณา พร้อม Prompt คำสั่งภาษาไทยกว่า 30 แบบ บทความภาษาอังกฤษ: ChatGPT Prompting Techniques 1. Prompt Engineering - OpenAI คู่มือจาก OpenAI ทีมผู้พัฒนา ChatGPT สำหรับการออกแบบและเขียน Prompt 2. Prompt Engineering Guide แนะนำเทคนิคขั้นสูงสำหรับการสร้าง Prompt ที่มีประสิทธิภาพ 3. Real World Prompting - Claude (GitHub Repository) ตำราการ Prompt สุดล้ำ จาก Anthropic ทีมผู้พัฒนาโมเดล Claude และตัวอย่างการสร้าง Prompt ใช้งานจริงในสถานการณ์ต่าง ๆ 4. 5 เทคนิคพิสูจน์แล้วสำหรับการเขียน Prompt โดย Mike Taylor วิดีโอภาษาไทย: Prompting ChatGPT อย่างมืออาชีพ สอนวิธีเขียน Prompt ที่ดี ให้ ChatGPT ช่วยคุณทำงานได้จริง! Prompt Engineering Basics วิดีโอสอนพื้นฐานการสร้าง Prompt ที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น Live Prompt Engineering 101 Upskil @Weekend Prompt Engineering Techniques เทคนิคการสร้าง Prompt ขั้นสูงในภาษาไทย เทคนิคการ Prompt และการใช้งาน CHAT GPT AI ศาสตร์ กับ Skooldio 'AI ศาสตร์' รายการจาก Skooldio ที่พาทุกคนเรียนรู้ศาสตร์และศิลป์ของการใช้ AI วิดีโอภาษาอังกฤษ: ChatGPT Prompting Guide Prompt Engineering Overview บทนำเกี่ยวกับการสร้าง Prompt อย่างมีประสิทธิภาพ Crash Course on ChatGPT for Beginners วิดีโอแนะนำพื้นฐานสำหรับผู้เริ่มต้นใช้งาน ChatGPT คอร์สเรียนภาษาไทย: Prompt Engineering สำหรับ ChatGPT Skooldio - Getting Started with AI and ChatGPT คอร์สเริ่มต้นการใช้งาน AI และ ChatGPT สำหรับงานธุรกิจ SkillLane - ChatGPT Prompt Engineer คอร์สแนะนำการใช้งาน ChatGPT สำหรับสร้าง Prompt ในงานต่าง ๆ คอร์สเรียนภาษาอังกฤษ: Prompting ChatGPT อย่างมีประสิทธิภาพ ChatGPT for Everyone (ฟรี) คอร์สเรียนฟรีสำหรับการสร้าง Prompt ขั้นพื้นฐาน Prompt Engineering Specialization - Coursera คอร์สเรียนระดับกลางสำหรับการใช้งาน Prompt Generative AI: Prompt Engineering Basics - Coursera คอร์สสำหรับเรียนรู้ Generative AI และ Prompting คอร์สเรียนอื่น ๆ Learn ChatGPT by DataCamp (ฟรี) - คลิกที่นี่ Learn How to Use ChatGPT - Codecademy (ฟรี) - คลิกที่นี่ The Complete Prompt Engineering for AI Bootcamp - Udemy - คลิกที่นี่ ChatGPT Complete Guide: Learn Generative AI, ChatGPT & More - คลิกที่นี่ AI Python for Beginners - DeepLearning.AI (ฟรี) - คลิกที่นี่ บทความนี้รวบรวมแหล่งเรียนรู้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นบทความ วิดีโอ หรือคอร์สเรียน ทั้งฟรีและพรีเมียม เพื่อช่วยให้คุณพัฒนาทักษะการสร้าง Prompt สำหรับโมเดลภาษาอย่าง ChatGPT และอื่น ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ อย่าลืมแชร์บทความนี้เก็บไว้เพื่อใช้งานในอนาคต!

    ChatGPT
    Prompting
    Prompt Engineering
    Dec 3, 2024
    2 min
    Thumbnail for เทคนิคทำคอนเทนต์ให้ปัง กับคุณ "ภัทร" โปรดิวเซอร์เเละครีเอเตอร์แห่ง GoodDay!
    Growth

    เทคนิคทำคอนเทนต์ให้ปัง กับคุณ "ภัทร" โปรดิวเซอร์เเละครีเอเตอร์แห่ง GoodDay!

    ภัทร โปรดิวเซอร์และผู้สร้างสรรค์คอนเทนต์ที่มีบทบาทสำคัญในช่อง Good Day Official โดยดูแลการผลิตรายการและคอนเทนต์ออนไลน์หลายรูปแบบ ภัทรเริ่มต้นจากการทำงานในสายครีเอทีฟที่ผสมผสานไอเดียใหม่ ๆ กับการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ ปัจจุบันเขายังเป็นผู้นำทีมในการคิดและพัฒนารายการใหม่ ๆ เพื่อให้ตอบโจทย์ทั้งเทรนด์ในปัจจุบันและอนาคต Q: คุณภัทรทำหน้าที่อะไรบ้างในบริษัท? ภัทร: สวัสดีครับ ผมเป็นโปรดิวเซอร์และดูแลการผลิตรายการให้กับบริษัทในเครือ ช่อง Good Day Official ครับ หน้าที่ของผมนอกจากดูแลรายการแล้ว ผมยังรับหน้าที่ควบคุมการทำงานต่าง ๆ ในบริษัท และดูแลทีมงานที่ทำงานหน้ากล้องด้วยครับ ตอนนี้กำลังดูแลรายการใหม่ ๆ หลายรายการ รวมถึงการทำคอนเทนต์ออนไลน์อีกหลายอย่าง Q: การทำงานในช่วงโควิดเป็นอย่างไรบ้าง? ภัทร: ในช่วงโควิดเราปรับตัวทำงานจากที่บ้านครับ และมันเป็นโอกาสที่ดีที่ทำให้เกิดไอเดียใหม่ ๆ จากการประชุมออนไลน์ ตอนนั้นเราต้องคิดไอเดียในการทำรายการจากบ้าน ซึ่งหลายครั้งการพูดคุยกันแบบทีมใหญ่ก็ทำให้เกิดไอเดียที่สนุกและแปลกใหม่มากขึ้น การทำงานแบบนี้ช่วยให้เราเรียนรู้ว่าการสื่อสารกันมากขึ้นสำคัญอย่างไร Q: มีเทคนิคอะไรที่ช่วยให้คิดงานได้ดีแม้จะอยู่ในสภาวะที่ท้าทาย? ภัทร: สิ่งที่ผมใช้คือการเปิดรับไอเดียจากทุกคนครับ เมื่อเราพูดคุยและแชร์ประสบการณ์กันมากขึ้น เราจะเห็นมุมมองใหม่ ๆ และได้ไอเดียที่ผสมผสานกัน ผมยังชอบดู YouTube เยอะ ๆ แล้วนำไอเดียกลับมาปรับใช้กับงานตัวเอง การผสมคอนเทนต์แบบ 1+1 คือเอาสิ่งดีจากหลายอย่างมารวมกันจนเกิดคอนเทนต์ใหม่ที่ดีกว่าเดิม Q: คุณมีช่วงเวลาที่เครียดกับการทำงานไหม? ภัทร: ผมไม่ค่อยเครียดเรื่องงานมากนักครับ เวลาผมคิดงานไม่ออก ผมก็จะพยายามผ่อนคลาย เช่น หยุดพักแล้วไปทำอย่างอื่น เมื่อกลับมาผมก็จะมีความคิดใหม่ ๆ เข้ามา การไม่เก็บความเครียดไว้นานช่วยให้ผมทำงานได้อย่างต่อเนื่อง Q: คุณคิดว่าอนาคตของการทำคอนเทนต์จะเป็นอย่างไร? ภัทร: การทำคอนเทนต์จะไม่หยุดนิ่งครับ เราต้องคิดและปรับตัวอยู่ตลอดเวลา อย่างในอนาคต เมื่อประเทศเปิดหลังโควิด คนทำคอนเทนต์ออนไลน์ต้องพร้อมที่จะสร้างสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ การเตรียมตัวและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์เป็นสิ่งสำคัญ โดยรวมแล้ว การทำงานในยุคนี้คือการปรับตัวอยู่เสมอครับ ไม่ว่าจะเป็นช่วงวิกฤติหรือหลังจากนั้น สิ่งสำคัญคือการเปิดรับไอเดียใหม่ ๆ และไม่หยุดนิ่งในการพัฒนางานของตัวเอง การสื่อสารและการทำงานร่วมกันเป็นทีมช่วยให้เราสร้างคอนเทนต์ที่ดียิ่งขึ้น ผมเชื่อว่าถ้าเราเปิดใจเรียนรู้และพัฒนา เราจะสามารถก้าวข้ามทุกความท้าทายไปได้ครับ

    Content creator
    Content Creation
    คอนเทนต์ครีเอเตอร์
    Nov 7, 2024
    1 min
    Thumbnail for AI Agent คืออะไร? ตัวแทนอัจฉริยะที่ตัดสินใจแทนมนุษย์
    Growth

    AI Agent คืออะไร? ตัวแทนอัจฉริยะที่ตัดสินใจแทนมนุษย์

    AI Agent คือโปรแกรมซอฟต์แวร์ที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ ทำงานอัตโนมัติโดยไม่ต้องพึ่งพามนุษย์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในธุรกิจต่างๆ เช่น การบริการลูกค้า การวิเคราะห์ข้อมูล และการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ ไม่กี่วันที่แล้ว Google พึ่งมีข่าวว่าจะตั้งโครงการใหม่ภายใต้ชื่อ Project Jarvis ซึ่งเป็นโปรเจคที่สร้างขึ้นเพื่อ “Automate everyday, Web-based tasks” ซึ่งน่าจะทำงานในเบื้องต้นได้ 3 อย่าง คือ การค้นหาข้อมูลอัจฉริยะ ซื้อของออนไลน์ และจองไฟลท์การบิน ทั้งหมดนี้ด้วย Computer Agent เองภายในเวลาไม่กี่วินาที โดยไม่ต้องผ่านคน - เพื่อเตรียมสู้รบปรบมือกับ Use Case ใหม่ ๆ จากค่ายเจ้าของโมเดล AI ดัง ๆ อย่าง Microsoft, Anthropic และมีข่าวลือว่า OpenAI ก็กำลังจะเตรียมเข้ามาสู้ในสมรภูมิ Layer นี้เช่นกัน แนวคิดการมี Agent นั้นพัฒนาจากโมเดลที่เรียกว่า LAM หรือ Large Action Model ซึ่งแตกต่างจาก LLM โดยจะเน้นไปที่การเข้าใจกระบวนการ และซับซ้อนมากกว่าการเข้าใจบริบทและสร้างข้อความ AI Agent คือหนึ่งในเทคโนโลยีบน Application Layer ที่อาจเป็นตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้ โดย AI Agent คือระบบอัตโนมัติที่สามารถรับรู้สิ่งแวดล้อม ทำการตัดสินใจ และดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ ในบทความนี้ เราจะมาดูกันว่า AI Agent คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร และมีแนวโน้มที่จะมาแทน Prompt Engineer หรือ Software-as-a-Service (SaaS) ได้หรือไม่ ก่อนอื่นเรามากลับมาคุยกันเรื่อง AI ในมุมของนักธุรกิจก่อน "AI คือเทคโนโลยีที่พัฒนาไปเรื่อย ๆ โดยที่คำจำกัดความของ AI เปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการและอีโก้ของมนุษย์" Roelof Botha ผู้บริหารกองทุนที่ Sequoia Capital บริษัทร่วมลงทุนชั้นนำที่ลงทุนใน Google Nvidia และบริษัทชื่อดังอื่น ๆ ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก มองว่าความก้าวหน้าใน AI ช่วยให้คนในวงการธุรกิจใช้เทคโนโลยีได้ง่ายขึ้นและเชื่อว่าต้นทุนการประมวลผลที่ลดลงจะทำให้การใช้ AI ในอนาคตอาจมีต้นทุนใกล้ศูนย์ เทคโนโลยีกับการทำธุรกิจ? เทคโนโลยีที่มอบประโยชน์ให้เจ้าของธุรกิจ ผู้ใช้งานและส่งมอบคุณค่าให้ลูกค้าได้ดีที่สุด มีแนวโน้มที่จะเป็นที่ต้องการ มีมูลค่าและความต้องการที่จะจ่ายที่สูงขึ้น ดังนั้นหากเทคโนโลยีอย่าง AI Agent ที่เป็นเครื่องมือใหม่ชนิดหนึ่ง เสมือนมีเลขามานั่งทำงานบางอย่างแทนเรา เร็วกว่าการเขียน Prompt หรือการใช้ซอฟท์แวร์ที่มี UX/UI ดี ๆ มันก็จะเข้ามาทดแทนเครื่องมือที่ไม่เป็นที่ช้ากว่า ไม่สบายเท่าเหล่านี้ อาจเหมือนที่โทรศัพท์เข้ามาทดแทนโทรเลข รถยนต์เข้ามาแทนรถม้า AI Agent คืออะไร? การใช้งาน ประโยชน์ และการเปรียบเทียบกับเทคโนโลยีอื่น ๆ ในยุค AI ที่มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว AI Agent กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและมอบประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้มากขึ้น แต่ AI Agent แตกต่างจาก Automation Tools และ SaaS with AI Integration อย่างไร? บทความนี้จะอธิบายถึงความหมายของ AI Agent ประโยชน์ของการใช้งาน พร้อมตัวอย่าง Use Case และการเปรียบเทียบกับเทคโนโลยีอื่น ๆ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น AI Agent คืออะไร? 🤖 AI Agent คือระบบซอฟต์แวร์ที่มีความสามารถในการรับรู้และประมวลผลข้อมูลจากสิ่งแวดล้อม สามารถตัดสินใจและดำเนินการโดยอัตโนมัติ AI Agent มีความสามารถที่พิเศษในการเรียนรู้และปรับตัวจากข้อมูลใหม่ ๆ ผ่านเทคโนโลยี Machine Learning และ Deep Learning ทำให้ AI Agent สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพและปรับเปลี่ยนการตอบสนองให้เหมาะสมกับบริบทได้ AI Agent มีการทำงานใน 3 ขั้นตอนหลัก: Perception (การรับรู้): การเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลจากสิ่งแวดล้อม เช่น ข้อมูลการใช้งานจากผู้ใช้ Decision-Making (การตัดสินใจ): การประมวลผลข้อมูลเพื่อเลือกการตอบสนองที่เหมาะสม Action Execution (การดำเนินการ): การทำงานตามที่ตัดสินใจ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ตัวอย่างการใช้งาน (Use Case) ของ AI Agent 🌟 การใช้งานของ AI Agent ครอบคลุมในหลายอุตสาหกรรม โดยมีการปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความสะดวกสบายแก่ผู้ใช้ปลายทาง: 1. การบริการลูกค้า (Customer Service) AI Agent เช่น Chatbot สามารถตอบคำถามทั่วไปของลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง สามารถป้อนคำสั่งให้ระบบสามารถทำงานต่อโดยไม่ต้องรอเจ้าหน้าที่ ทำให้ธุรกิจสามารถให้บริการลูกค้าได้ทันที เพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายในการให้บริการ 2. การวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน (Financial Analysis) AI Agent สามารถวิเคราะห์ข้อมูลตลาด คาดการณ์แนวโน้ม และให้คำแนะนำการลงทุนที่แม่นยำมากขึ้น ช่วยให้ผู้ใช้มีข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจในตลาดที่ซับซ้อน 3. การศึกษาและการเรียนรู้ส่วนบุคคล (Personalized Learning) AI Agent สามารถสร้างแผนการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละคน ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ตรงกับความต้องการและระดับทักษะที่แตกต่างกัน โดยรับข้อมูลจากทักษะ และเนื้อหาบนระบบการเรียนรู้ 4. การจองและการซื้อตั๋ว (Booking and Reservations) AI Agent สามารถช่วยจองโรงแรม จองไฟลท์ และซื้อตั๋วได้อัตโนมัติในไม่กี่วินาที ช่วยให้ผู้ใช้ประหยัดเวลาและสะดวกสบายมากขึ้น ประโยชน์ของ AI Agent ต่อ End User 🎯 AI Agent มอบประโยชน์มากมายให้กับผู้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของประสิทธิภาพ ความสะดวกสบาย และการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับผู้ใช้รายบุคคล: เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยช่วยลดภาระงานที่ซ้ำซ้อน ทำให้ผู้ใช้สามารถทำงานที่สำคัญขึ้นได้ เช่น Chatbot ตอบคำถามลูกค้าโดยไม่ต้องรอพนักงาน การตัดสินใจที่มีข้อมูลรองรับ AI Agent วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้คำแนะนำที่เหมาะสมและแม่นยำ เช่น การแนะนำสินค้าที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ การปรับแต่งการใช้งานเฉพาะบุคคล AI Agent จดจำการใช้งานและปรับบริการให้เหมาะสมกับผู้ใช้แต่ละคน เช่น แนะนำเนื้อหาที่ตรงกับความสนใจ การให้บริการแบบทันทีทันใด AI Agent สามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง เช่น การจองห้องพักออนไลน์ทันที เปรียบเทียบ AI Agent กับ Automation Tools และ SaaS with AI Integration ⚖️ เพื่อให้เห็นความแตกต่างของ AI Agent กับเทคโนโลยีอื่น ๆ นี่คือการเปรียบเทียบในแต่ละด้าน: 1. Automation Tools (เช่น RPA - Robotic Process Automation) ลักษณะการทำงาน: Automation Tools เช่น RPA ใช้ในการจัดการงานที่เป็นกิจวัตรซ้ำ ๆ โดยการตั้งกฎการทำงานชัดเจน ไม่สามารถปรับตัวหรือตัดสินใจในสถานการณ์ใหม่ ๆ ได้ Use Case: เหมาะสำหรับงานที่ไม่ซับซ้อน เช่น การคีย์ข้อมูล การจัดการใบเสร็จ ข้อดี: ใช้งานง่ายและประหยัดค่าใช้จ่าย ข้อจำกัด: ขาดความสามารถในการเรียนรู้และการปรับตัว 2. SaaS with AI Integration ลักษณะการทำงาน: SaaS (Software as a Service) with AI Integration คือซอฟต์แวร์ที่มีการฝังฟีเจอร์ AI มาให้ผู้ใช้ใช้งานได้ทันที เช่น การแนะนำสินค้า การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก Use Case: เหมาะสำหรับระบบที่มีผู้ใช้หลากหลาย เช่น ระบบ CRM ที่ช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า ข้อดี: มีความยืดหยุ่นและง่ายต่อการใช้งานในระดับองค์กร ข้อจำกัด: ฟีเจอร์ AI มักถูกจำกัดในขอบเขตการทำงานของ SaaS เช่นการวิเคราะห์การขาย ซึ่งต่างจาก AI Agent ที่สามารถตอบสนองแบบเรียลไทม์และปรับตัวได้ 3. AI Agent ลักษณะการทำงาน: AI Agent มีความสามารถในการตัดสินใจและทำงานโดยอัตโนมัติ ทั้งยังสามารถเรียนรู้และปรับปรุงตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง Use Case: เหมาะสำหรับงานที่ต้องการการตัดสินใจที่ซับซ้อน เช่น การวิเคราะห์การลงทุน การบริการลูกค้า 24 ชั่วโมง ข้อดี: มีความสามารถในการปรับตัวสูง เรียนรู้ได้จากข้อมูลใหม่ และให้บริการเฉพาะบุคคลได้ ข้อจำกัด: ต้องการการพัฒนาทางเทคโนโลยีและทรัพยากรสูงกว่าระบบอื่น ๆ นักออกแบบผลิตภัณฑ์ วิศกรซอฟท์แวร์จะสามารถสร้างให้ง่ายต่อผู้ใช้งาน ขณะที่ต้นทุนในการประมวลผลจะต่ำลงทำให้ ฟีเจอร์เหล่านี้เป็นไปได้ในมุมมองนักธุรกิจในอนาคตอันใกล้ ศักยภาพในการทำงานร่วมกัน แม้ AI Agent อาจไม่สามารถแทนที่ Prompt Engineering ได้ แต่สามารถช่วยให้การทำ Prompt Engineering มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในอนาคต Prediction : ในอนาคต AI Agent จะมี baseline ในการให้บริการลูกค้า ขณะที่การเขียน Prompt เพื่อ Customize ความต้องการจะเป็นส่วนขยายของผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เหมือนการตั้งค่าเสียงนาฬิกาปลุกในโทรศัพท์ อนาคตของ AI Agent และตำแหน่งงานที่อาจเกิดขึ้น จากความต้องการและความน่าดึงดูดในการใช้ AI Agent เพื่อสร้างประสบการณ์ของลูกค้าอย่างล้ำสมัย คาดการณ์ว่าตำแหน่งงานเหล่านี้จะเกิดขึ้นเพื่อพัฒนา AI Agent ต่อไป AI Trainer Role: ฝึกฝนและปรับแต่ง AI agents สำหรับงานเฉพาะโดยใช้ข้อมูลที่มีการติดป้ายกำกับ (labeled data) เพื่อกำหนดพฤติกรรมและปรับพารามิเตอร์ Skills: การทำหมายเหตุข้อมูล (data annotation), ความรู้พื้นฐานด้าน Machine Learning, ความรู้เฉพาะด้าน (domain-specific knowledge) AI Ethics Specialist Role: ดูแลให้ AI agents ทำงานอย่างมีจริยธรรมและรับผิดชอบ โดยจัดการกับปัญหาต่าง ๆ เช่น อคติ ความเป็นธรรม และความโปร่งใส Skills: ความรู้ในกรอบจริยธรรม (ethical frameworks), กฎหมายความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (data privacy laws), การวางนโยบาย (policy-making) Prompt Engineer Role: ออกแบบและปรับแต่ง prompt เพื่อให้ได้คำตอบที่ต้องการจาก AI language models หรือ conversational agents Skills: ความคิดสร้างสรรค์ (creativity), การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (language processing), และความเข้าใจในพฤติกรรมของโมเดล AI AI Compliance Officer Role: ควบคุมการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้าน AI ให้มั่นใจว่าการทำงานเป็นไปตามกฎหมายและมาตรฐาน Skills: ความรู้ด้านกฎระเบียบ (regulatory knowledge), การประเมินความเสี่ยง (risk assessment), การจัดการการปฏิบัติตามข้อกำหนด (compliance management) Human-AI Interaction Designer Role: สร้างการปฏิสัมพันธ์ที่ราบรื่นระหว่างมนุษย์และ AI agents โดยเน้นที่ประสบการณ์ของผู้ใช้และการตอบสนองของเอเจนต์ Skills: การออกแบบ UX/UI, จิตวิทยา (psychology), การออกแบบการสื่อสาร (communication design) ความท้าทายและอนาคตของ AI Agent การพัฒนา AI Agent ไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แต่ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลได้ อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายบางประการในการใช้ AI Agent เช่น การประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อน การจัดการความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัยของข้อมูล ในอนาคต AI Agent อาจจะมีบทบาทในการแทนที่บางส่วนของ Prompt Engineering หรือการตั้งค่าระบบ AI ใน Large Language Models (LLM) หรือแม้กระทั่งการเปลี่ยนแปลงการทำงานในแอปพลิเคชันดั้งเดิม AI Agent อาจเข้ามาเป็นผู้ช่วยที่อัจฉริยะและมีความยืดหยุ่นในการให้บริการลูกค้าในทุก ๆ ด้าน สรุป AI Agent เป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพสูงในการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงาน เพิ่มประสิทธิภาพ และช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ขณะที่ Automation Tools และ SaaS with AI Integration ก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน การเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับลักษณะของงานและความต้องการของผู้ใช้ หากคุณต้องการเทคโนโลยีที่สามารถปรับตัวเองได้และให้บริการได้ในแบบที่เหมาะสม AI Agent คือทางเลือกที่เหมาะสม

    SaaS
    Human Agent
    Google Jarvis
    Nov 1, 2024
    3 min
    Thumbnail for How to สรุปเเบบเด็กชีวะโอลิมปิก ที่จะทำให้คุณจำได้นานกว่าที่คิด!
    Growth

    How to สรุปเเบบเด็กชีวะโอลิมปิก ที่จะทำให้คุณจำได้นานกว่าที่คิด!

    หลักการทำสรุปที่มีประสิทธิภาพตามที่พี่เอ็มแนะนำ มีจุดเน้นอยู่ที่การทำสรุปที่กระชับและเน้นประโยชน์จริงมากกว่าความสวยงาม ความสำคัญของการสรุปไม่ได้อยู่ที่การทำให้ดูดีด้วยไฮไลท์หรือการจัดหน้า แต่คือการทำให้เนื้อหาอ่านง่ายและสามารถทบทวนได้อย่างรวดเร็วในช่วงเวลาจำกัด เช่น 1 ชั่วโมง ก่อนสอบสำคัญ การทำสรุปคือการ “ซื้อเวลา” ในอนาคต เมื่อเรากลับมาอ่าน เราจะเข้าใจได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาในการอ่านเนื้อหาจากหนังสือใหม่ทั้งหมด 🎯 หลักการและประโยชน์ในการทำสรุป 1.ความกระชับและเน้นสาระสำคัญ: การทำสรุปที่ดีไม่ใช่การลอกหนังสือทั้งหมดลงมาใหม่ แต่เป็นการย่อเฉพาะประเด็นสำคัญ เช่น หากหนังสือมีเนื้อหาหน้าครึ่ง เราอาจสรุปเหลือเพียง 2-3 บรรทัด หากย่อเกินไปและเข้าใจไม่ได้ ให้ค่อยปรับความละเอียดตามที่เหมาะสม 2.ทำให้สรุปตอบโจทย์การอ่านซ้ำได้เร็ว: สรุปที่ดีควรอ่านจบและเข้าใจได้ภายในเวลาสั้น ๆ เช่น 5 นาที ก่อนสอบ หรือหากมีเวลาเตรียมสอบเพียง 1-2 วัน การมีสรุปที่กระชับจะช่วยให้เราทบทวนเนื้อหาทั้งหมดได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง 3.การลงทุนเวลาในการทำสรุป: แม้ว่าการทำสรุปในช่วงแรกอาจใช้เวลา 15 ชั่วโมง แต่ถือเป็นการลงทุนระยะยาว เพราะเมื่อเราทำสรุปเอง จะช่วยให้เราไม่ต้องเสียเวลาอ่านหนังสือทั้งเล่มซ้ำ ๆ ในอนาคต หากต้องการทบทวน เราจะสามารถใช้เวลาอ่านสรุปนี้แค่ 1 ชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว 4.การใช้สรุปในการสอบแข่งขัน: พี่เอ็มชี้ให้เห็นว่าการทำสรุปจะช่วยให้พร้อมสอบแข่งขันชีวะภายใน 2-3 วัน เพราะเด็กในค่ายแข่งขันมักมีสรุปของตัวเอง ที่เขียนแบบเน้นเนื้อหา ไม่มีภาพสวยหรือสีสัน แต่เน้นที่ความเข้าใจและประเด็นสำคัญ เมื่ออ่านสรุปที่ตัวเองทำจะเข้าใจได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาไปอ่านหนังสือใหม่ 5.ปรับปรุงสรุปจากการทำโจทย์: ยิ่งทำโจทย์มากเท่าไหร่ จะยิ่งรู้ว่าจุดไหนสำคัญหรือมีโอกาสออกสอบ สรุปที่ดีจึงต้องอ้างอิงจากประสบการณ์ในการทำโจทย์ที่ผ่านมา โดยประเด็นไหนที่ออกสอบบ่อยควรนำมาไว้ในสรุป เช่น พวกเด็กโอลิมปิกหรือเด็กค่าย จะมีการปรับสรุปจากการฝึกทำโจทย์จริงเสมอ ทำให้สรุปของพวกเขาครอบคลุมเนื้อหาที่สำคัญอย่างครบถ้วน 6.ไม่ยึดติดกับ “ความสวยงาม” ของสรุป: สรุปที่ดีไม่จำเป็นต้องมีการจัดหน้า การวาดรูป หรือการไฮไลท์สวย ๆ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเนื้อหาที่ทำให้เราเข้าใจและพร้อมสอบ การเน้นสวยงามอาจทำให้เสียเวลาเกินความจำเป็น ควรเน้นที่ประโยชน์การอ่านทบทวนมากกว่า 7.แก้ไข Mindset ว่าการอ่านจบในเวลาสั้นเป็นเพียงภาพลวงตา: การอ่านหนังสือจบไม่ได้แปลว่าเราพร้อมสอบทันที เพราะเราอาจจำไม่ได้ว่าควรโฟกัสที่จุดไหน แต่สรุปที่เราลงทุนเวลาทำไว้แล้วจะเป็นตัวช่วยให้เราอ่านเข้าใจและทบทวนได้ในเวลาที่จำกัด ดังนั้นควรมองว่าเวลาที่ใช้ในการทำสรุปเป็นการ “ซื้อเวลา” ให้กับตัวเองในอนาคต พี่เอ็มย้ำว่าการทำสรุปที่ดีต้องผ่านกระบวนการลองผิดลองถูก สรุปอาจไม่ได้ดีตั้งแต่แรก แต่การทำซ้ำหลายครั้งจะทำให้เราเก่งขึ้น และรู้ว่าจุดไหนควรสรุป จุดไหนไม่จำเป็น การทำสรุปจะทำให้เรารู้จักวางแผนและบริหารเวลาทบทวนได้ดี ทำให้พร้อมสอบทุกครั้ง

    จดสรุป
    พัฒนาตัวเอง
    เคล็ดลับ
    Oct 31, 2024
    1 min
    Thumbnail for ศิลปะการพูดแบบ TED Talks: เคล็ดลับการเล่าเรื่องที่โดนใจผู้ฟัง
    Growth

    ศิลปะการพูดแบบ TED Talks: เคล็ดลับการเล่าเรื่องที่โดนใจผู้ฟัง

    ปัจจุบัน การสื่อสารเป็นทักษะสำคัญที่ทุกผู้บริหารให้ความสนใจ โดยเฉพาะในช่วงที่องค์กรต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลังการระบาดของ COVID-19 หลายบริษัทมีการปรับตัวทั้งการเลย์ออฟพนักงาน การทำงานจากบ้าน หรือแม้กระทั่งการควบรวมกิจการ ซึ่งทำให้การสื่อสารภายในองค์กร (Internal Communication) กลายเป็นหัวใจสำคัญในการรักษาขวัญกำลังใจของทีม ในขณะเดียวกัน การสื่อสารภายนอก (External Communication) ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะในยุค “New Normal” ที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ผู้บริหารต้องหาวิธีในการเล่าเรื่อง (Storytelling) ที่สามารถนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จได้ วันนี้เรามีโอกาสได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ คือ “พิริยะ กุลกาญจนาชีวิน” ผู้ก่อตั้ง Glow Story และ License Holder ของ TEDxBangkok Q: ทำไมการสื่อสารจึงสำคัญต่อผู้บริหารและองค์กรในปัจจุบัน? พิ: การสื่อสารเป็นทักษะสำคัญสำหรับผู้บริหาร เนื่องจากช่วงนี้หลายองค์กรมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากหลังการระบาดของโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นการเลิกจ้าง การทำงานจากที่บ้าน หรือการควบรวมกิจการ ทำให้การสื่อสารภายในองค์กร (Internal Communication) มีความสำคัญอย่างยิ่ง นอกจากนี้ การสื่อสารภายนอก (External Communication) ก็สำคัญเช่นกัน เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป ผู้บริหารต้องใช้การเล่าเรื่อง (Storytelling) เพื่อบรรลุเป้าหมาย Q: อะไรคือ PVP และทำไมจึงเป็นแนวคิดสำคัญในการสื่อสารขององค์กร? พิ: PVP หมายถึง 3 ปัจจัยสำคัญในการวัดผลขององค์กร ได้แก่ 1. Profit: กำไรหรือรายได้ขององค์กร ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ช่วยให้องค์กรอยู่รอด 2. Value: คุณค่าและเป้าหมายที่องค์กรมอบให้กับสังคม เช่น การสนับสนุนการศึกษา หรือการสร้างผลกระทบเชิงบวกในด้านสิ่งแวดล้อม 3. People: การพัฒนาศักยภาพของคนในองค์กร ให้พนักงานได้เรียนรู้และเติบโต การตั้งเป้าหมายด้าน PVP จะช่วยให้องค์กรสามารถสื่อสารได้อย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพ Q: องค์ประกอบสำคัญของการสื่อสารที่ดีคืออะไร? พิ: การสื่อสารที่ดีประกอบด้วยหลัก KFC: 1. Key Message: สารหลักที่ต้องการสื่อ ต้องเป็นประโยคที่ชัดเจนและจำได้ง่าย 2. Find Your Story: การเล่าเรื่องที่มีแก่นชัดเจน เป็นเหมือนกระดูกสันหลังของเรื่อง 3. Call to Action: การกระตุ้นให้ผู้ฟังลงมือทำตามที่ต้องการหลังจากการสื่อสาร Q: ปัญหาที่พบในการประชุมคืออะไร? พิ: ปัญหาที่พบบ่อยคือเมื่อมีการเสนอความคิดเห็นในที่ประชุม บางครั้งจะมีคนแสดงอาการไม่พอใจ หรือพูดว่าไม่ดี ทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่สร้างสรรค์ และอาจทำให้บรรยากาศในที่ประชุมไม่ดี Q: การจัดการปัญหาในสถานการณ์แบบนี้ควรทำอย่างไร? พิ: ควรจัดการโดยการแยกคนที่มีความขัดแย้งออกมาพูดคุยเป็นรายบุคคล เพื่อทำความเข้าใจและช่วยให้แต่ละคนเห็นว่าทุกคนมาด้วยเจตนาดีเพื่อทำให้งานออกมาดี Q: สิ่งที่ควรทำในฐานะผู้นำคืออะไร? พิ: ผู้นำควรหาจุดแข็งและความตั้งใจที่ดีของแต่ละคน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและให้คำชมอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งจะช่วยให้ทีมมีพลังบวกและรับรู้ว่าตนเองมีคุณค่า Q: การใช้คำติหรือ Feedback ที่ดีควรเป็นอย่างไร? พิ: ควรเริ่มด้วยคำชมในส่วนที่ทำได้ดี ก่อนที่จะให้คำแนะนำหรือเสนอแนวทางการพัฒนาเพิ่มเติม นอกจากนี้ควรให้คำแนะนำอย่างละเอียดเพื่อช่วยให้เห็นแนวทางแก้ไขที่ชัดเจน Q: ความสำคัญของการรับฟัง Feedback จากทุกคนคืออะไร? พิ: การรับฟัง Feedback จากทุกคนในทีมไม่ว่าจะเป็นคนที่มีตำแหน่งเล็กหรือใหญ่ จะช่วยให้ได้มุมมองใหม่ๆ ที่อาจนำไปสู่การปรับปรุงที่มีประสิทธิภาพในองค์กร Q: องค์กรควรเปลี่ยนจาก Top-Down ไปสู่ Bottom-Up อย่างไร? พิ: การให้พื้นที่และการสนับสนุนให้พนักงานระดับล่างแสดงความคิดเห็น และแบ่งปันประสบการณ์ที่มีค่า จะช่วยให้องค์กรพัฒนาไปในทิศทางที่ดีและสร้างการมีส่วนร่วมที่แท้จริง Q: การนำเสนอของคุณในองค์กรเปรียบเสมือนอะไร? พิ: หากเปรียบเทียบ ผมมองว่าเหมือนเรือชูชีพที่ทุกคนในองค์กรต้องพายไปในทิศทางเดียวกัน ผมอาจเป็นคนคอยดูแลความเรียบร้อย ตรวจสอบว่าสิ่งต่าง ๆ เป็นไปตามแผน และช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ให้แน่ใจว่าเรือจะไม่หลงทาง Q: คุณได้เรียนรู้อะไรจากการช่วยให้พนักงานค้นพบศักยภาพของตัวเอง? พิ: การตั้งคำถามอย่างตรงจุดทำให้พนักงานเริ่มเห็นคุณค่าของตัวเองชัดขึ้น ผมจำได้ว่ามีครั้งหนึ่งในการจัดเวิร์กช็อป พนักงานฝ่ายบัญชีผู้เงียบขรึมและไม่ค่อยพูดจากับใคร คิดว่าตัวเองเป็นเพียงคนทำงานเบื้องหลัง แต่เมื่อเขาได้ใช้เทคนิคการเปรียบเทียบตัวเองกับกองหลังในทีมฟุตบอล ทำให้เขาตระหนักว่าหน้าที่ของเขามีความสำคัญต่อองค์กรพอ ๆ กับการทำประตูของกองหน้า มุมมองนี้เปลี่ยนวิธีที่เขามองตัวเองและการทำงานอย่างสิ้นเชิง Q: คุณแก้ไขปัญหาในองค์กรช่วงวิกฤติโควิดอย่างไร? พิ: ช่วงวิกฤติ ผมใช้วิธีการเปิดเผยความอ่อนแอของตัวเอง ผมยอมรับกับทีมว่า “ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเราจะผ่านเรื่องนี้ไปได้อย่างไร” สิ่งนี้ทำให้ทีมเริ่มร่วมมือกันแก้ปัญหา มันไม่ใช่การหาคำตอบคนเดียว แต่เป็นการตั้งคำถามร่วมกัน และจากนั้นไอเดียและโปรเจกต์ใหม่ ๆ ก็เกิดขึ้นอย่างมากมาย Q: วิธีการประชุมของคุณเปลี่ยนไปอย่างไร? พิ: ผมได้แยกการประชุมออกเป็นสองโหมด: โหมดระดมความคิด (Ideate) และโหมดคัดกรองไอเดีย (Critique) การแยกสองโหมดนี้ออกจากกันทำให้ไอเดียใหม่ ๆ ไม่ถูกปิดกั้นตั้งแต่ต้น และยังช่วยให้ทุกคนสามารถฟุ้งเต็มที่ก่อนที่จะมาทบทวนและปรับปรุงกันในภายหลัง Q: คุณคิดว่าผู้นำควรทำอย่างไรในช่วงวิกฤติ? พิ: ผู้นำในช่วงวิกฤติต้องไม่กลัวที่จะเปิดเผยความไม่รู้ของตนเอง และไม่จำเป็นต้องมีคำตอบสำหรับทุกอย่าง แต่ควรตั้งคำถามที่ถูกต้องและสร้างบรรยากาศที่ทุกคนรู้สึกว่าพวกเขามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา Q: ลูกน้องควรสื่อสารกับหัวหน้างานอย่างไร? พิ: ลูกน้องควรเข้าใจสไตล์การทำงานของหัวหน้า เช่น หัวหน้าชอบการสื่อสารแบบตรงๆ หรือเน้นข้อมูลเชิงลึก ควรจัดลำดับความสำคัญในการทำงานให้ชัดเจน บอกหัวหน้าได้ว่าเรื่องไหนต้องรีบแก้ และเรื่องไหนจัดการได้เอง การสื่อสารแบบนี้ช่วยลดภาระการตัดสินใจของหัวหน้าและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกัน Q: ผู้นำควรทำอย่างไรเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์กร? พิ: การเปลี่ยนแปลงในองค์กรต้องเป็นกระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไป การดีดนิ้วเพียงครั้งเดียวไม่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ได้ ผู้นำควรสนับสนุนทีมให้เติบโตและพัฒนาตัวเอง ค่อยๆ สร้างการเปลี่ยนแปลงด้วยความเข้าใจและให้เวลา

    เทคนิคการพูดที่ดี
    การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ
    TheStandard
    Oct 30, 2024
    1 min
    Thumbnail for เทคนิคเขียนเปิดอีเมลเเบบมืออาชีพ!
    Growth

    เทคนิคเขียนเปิดอีเมลเเบบมืออาชีพ!

    การเขียนอีเมลเป็นหนึ่งในทักษะสำคัญที่หลายคนมักพบปัญหา โดยเฉพาะการเริ่มต้นเขียนให้ดูเป็นมิตรหรือเป็นทางการตามความเหมาะสมของสถานการณ์ ในบทความนี้ เราจะสรุปวิธีการเขียนอีเมลอย่างเป็นขั้นตอน ตั้งแต่การทักทาย การเปิดเนื้อหา ไปจนถึงการปิดท้าย เพื่อช่วยให้คุณสามารถเขียนอีเมลได้อย่างมืออาชีพ และสื่อสารได้ชัดเจน พาร์ท 1: การทักทายในอีเมล (Email Greetings) การเริ่มต้นอีเมลด้วยการทักทายที่เหมาะสมจะเป็นการตั้งโทนให้กับการสื่อสารทั้งหมด ซึ่งควรพิจารณาตามบริบทของความสัมพันธ์ระหว่างผู้ส่งและผู้รับ การทักทายแบบไม่เป็นทางการ (Informal Greetings): ในกรณีที่เรารู้จักกับผู้รับอีเมลในระดับหนึ่ง และบรรยากาศของอีเมลไม่ต้องการความเป็นทางการมาก สามารถใช้คำทักทายทั่วไป เช่น “Hello” หรือ “Hi” ตามด้วยชื่อของผู้รับได้ เช่น “Hi Jane,” หรือ “Hello John,” การใช้ทักทายแบบนี้ทำให้อีเมลดูเป็นมิตรและเข้าถึงง่าย แต่ต้องระวังว่าผู้รับนั้นสนิทหรือคุ้นเคยกับเรามากแค่ไหน การใช้คำทักทายนี้จะเหมาะสมกับคนที่เรารู้จักและมีปฏิสัมพันธ์มาแล้วในระดับหนึ่ง การทักทายแบบกึ่งทางการ (Semi-formal Greetings): ถ้าเราต้องการให้ดูสุภาพ แต่ไม่ต้องถึงกับทางการมากเกินไป สามารถใช้ “Dear” ตามด้วยชื่อจริง เช่น “Dear James,” การทักทายแบบนี้เหมาะสมสำหรับอีเมลที่ต้องการความเป็นมืออาชีพ แต่ยังคงเป็นมิตร ไม่ได้แข็งกร้าวเกินไป การทักทายแบบทางการ (Formal Greetings): ในสถานการณ์ที่ผู้รับเป็นคนที่เราไม่คุ้นเคย หรือเป็นการส่งอีเมลถึงบุคคลที่ต้องการความเคารพ เช่น ลูกค้าใหม่ หรือหัวหน้า การใช้ “Dear Mr./Ms.” ตามด้วยนามสกุล เช่น “Dear Mr. Smith,” จะช่วยสร้างความเป็นทางการและแสดงความเคารพต่อผู้รับ การใช้คำทักทายนี้ยังเหมาะกับกรณีที่เราไม่แน่ใจว่าผู้รับคือใครในองค์กร เช่น การส่งอีเมลไปยังกลุ่มคน หรือบุคคลที่ไม่ระบุตัวตน พาร์ท 2: การเริ่มต้นอีเมล (Opening an Email) หลังจากทักทาย การเกริ่นนำก่อนเข้าเนื้อหาหลักของอีเมลเป็นสิ่งสำคัญ เพราะช่วยให้ผู้รับรู้สึกว่าเราสนใจและเคารพในตัวเขา ไม่ได้ตรงเข้าสู่ประเด็นโดยทันที การเกริ่นนำทั่วไป (General Opening): ประโยคเปิดที่ใช้กันทั่วไปคือการแสดงความห่วงใยและการทักทายที่เป็นมิตร เช่น “I hope this email finds you well” หรือ “I hope you’re doing well.” ประโยคเหล่านี้ช่วยสร้างบรรยากาศเชิงบวก และเป็นการทักทายที่สุภาพ ไม่ว่าคุณจะคุยกับใครก็ใช้ได้ การเกริ่นนำเฉพาะเจาะจง (Personalized Opening): หากคุณรู้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้รับ เช่นว่าเขาเพิ่งกลับจากการเดินทางหรือมีเรื่องสำคัญในชีวิตส่วนตัว คุณสามารถปรับการเกริ่นนำให้มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น เช่น “I hope you had a great trip to Tokyo” หรือ “I hope you’re enjoying your new role.” การแสดงให้เห็นว่าเรารับรู้และใส่ใจในชีวิตของผู้รับจะทำให้อีเมลดูเป็นมิตรและเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น การเกริ่นนำในบริบทที่เป็นทางการ (Formal Opening): ในกรณีที่อีเมลมีความเป็นทางการมาก หรือเป็นการสื่อสารในบริบทที่จริงจัง อาจจะไม่จำเป็นต้องมีการเกริ่นนำที่เป็นมิตรหรือสุภาพมากนัก แต่ยังคงใช้ประโยคที่ดูเป็นมืออาชีพ เช่น “I am writing to inform you about…” เพื่อเข้าสู่เนื้อหาหลักอย่างตรงไปตรงมา พาร์ท 3: การขอบคุณ (Thank You Notes) การแสดงความขอบคุณเป็นองค์ประกอบที่ทำให้อีเมลมีความเป็นบวกและสร้างความรู้สึกดีต่อการสื่อสาร การขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ (Thanking for Assistance): หากผู้รับได้ช่วยเหลือเราในบางสิ่ง การขอบคุณเป็นสิ่งที่ควรทำ เช่น “Thank you for your help with the project” หรือ “Thank you for your support.” การใส่คำขอบคุณทำให้ผู้รับรู้สึกว่าเราชื่นชมในความช่วยเหลือของเขา และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น การขอบคุณสำหรับการติดต่อ (Thanking for Communication): หากผู้รับได้ติดต่อเรามา หรือให้ข้อมูลบางอย่าง เราสามารถแสดงความขอบคุณได้ เช่น “Thank you for reaching out” หรือ “Thank you for your prompt reply.” นอกจากจะช่วยสร้างบรรยากาศที่เป็นบวกแล้ว ยังแสดงให้เห็นว่าเรารับรู้และให้คุณค่ากับการติดต่อของผู้รับ พาร์ท 4: การปรับตามสถานการณ์ (Contextual Adjustments) การเขียนอีเมลไม่ใช่ว่าจะใช้รูปแบบเดิมได้ทุกครั้ง แต่ควรพิจารณาจากบริบทของการสื่อสาร การปรับการทักทายตามความสัมพันธ์ (Adjusting Greetings Based on Relationship): หากเราเขียนอีเมลถึงคนที่เรารู้จักดี สามารถใช้การทักทายที่เป็นมิตรและไม่เป็นทางการมาก แต่ถ้าเป็นคนที่เราไม่คุ้นเคย การใช้คำทักทายที่เป็นทางการจะเหมาะสมกว่า การปรับเนื้อหาให้สอดคล้องกับประเด็นที่ต้องการสื่อ (Aligning the Tone with the Subject Matter): ถ้าอีเมลมีเนื้อหาเชิงบวกและสบายๆ สามารถใช้การทักทายที่สุภาพและมีความเป็นมิตรได้ แต่หากเนื้อหาอีเมลเป็นเรื่องซีเรียสหรือจริงจัง ควรเลี่ยงการใช้การทักทายที่ดูสดใสเกินไป เพื่อให้สอดคล้องกับเนื้อหา พาร์ท 5: การปิดท้ายอีเมล (Closing) การปิดท้ายอีเมลเป็นอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญ โดยเฉพาะในกรณีที่เราต้องการให้ผู้รับตอบกลับ หรือดำเนินการต่อ การปิดท้ายที่สุภาพ (Polite Closing): การปิดท้ายอีเมลด้วยประโยคที่สุภาพ เช่น “I look forward to hearing from you” หรือ “Thank you for your time” แสดงให้เห็นว่าเรารอคอยการตอบกลับและขอบคุณผู้รับที่สละเวลาในการอ่านและตอบกลับ การปิดท้ายที่เน้นความร่วมมือ (Collaborative Closing): หากเป็นการเขียนอีเมลที่เน้นการทำงานร่วมกัน การปิดท้ายด้วยคำขอบคุณและความยินดีที่จะได้ร่วมมือ เช่น “I look forward to working with you on this project” หรือ “I appreciate your cooperation” จะช่วยสร้างความรู้สึกที่ดีต่อการทำงานร่วมกัน การเขียนอีเมลที่ดีไม่เพียงแค่เน้นที่เนื้อหาสาระเท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงถึงวิธีการทักทายและปิดท้ายที่สุภาพและเหมาะสม การใช้ภาษาที่เป็นมิตรและการแสดงความขอบคุณเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้อีเมลของเราดูเป็นมืออาชีพและสร้างความสัมพันธ์ที่ดี

    Email
    การเขียนอีเมล
    อีเมล
    Oct 21, 2024
    2 min
    Thumbnail for How to พูดอย่างมั่นใจ สไลต์นักเรียน Harvard
    Growth

    How to พูดอย่างมั่นใจ สไลต์นักเรียน Harvard

    การพูดให้น่าสนใจและมีประสิทธิภาพนั้น มีกฎสำคัญอยู่ 3 ข้อ ซึ่งก็คือ 1.7% มาจากเนื้อหา (Content) - เนื้อหาที่ดีต้องตรงใจกับผู้ฟัง ถ้าคอนเทนต์ไม่เชื่อมโยงกับผู้ฟัง แม้ว่าจะดีแค่ไหนก็ไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ได้มาก เน้นว่าควรสื่อสารในแบบที่ผู้ฟังเข้าใจง่ายและตรงใจเขา 2.38% มาจากเสียง (Voice) - การใช้เสียงมีส่วนสำคัญในการสร้างความน่าสนใจ เช่น การเปลี่ยนระดับเสียง, โทน, และจังหวะเพื่อเพิ่มอารมณ์ให้ผู้ฟังเข้าใจและรู้สึกกับสิ่งที่เราสื่อสาร การใส่จังหวะหยุดหรือ “Pause” ก็มีความสำคัญในการช่วยให้ผู้ฟังมีเวลาคิดตาม 3.55% มาจากภาษากาย (Body Language) - การใช้ภาษากาย เช่น การสบตา การใช้มือ และการแสดงออกทางใบหน้า จะช่วยเสริมให้การพูดมีพลังและเข้าถึงผู้ฟังมากขึ้น การผสมผสานทั้งสามอย่างนี้ช่วยให้การพูดมีประสิทธิภาพ สื่อสารได้ครบถ้วน และสร้างความประทับใจ

    พัฒนาตัวเอง
    Soft Skills
    การใช้เสียง
    Oct 17, 2024
    1 min
    Thumbnail for คนขี้เกียจเค้าอ่านหนังสือกันยังไง (Encoding Study Method)
    Growth

    คนขี้เกียจเค้าอ่านหนังสือกันยังไง (Encoding Study Method)

    ปัญหาของการท่องจำเพื่อสอบคือหลายคนไม่ชอบการท่องจำเพราะรู้สึกว่ามันไร้เหตุผลและไม่สร้างความเข้าใจจริงๆ ในเนื้อหาที่เรียน การท่องจำแบบนี้มักเน้นการนั่งท่องจำข้อมูลเป็นเวลานานๆ ซึ่งไม่มีประสิทธิภาพในการเรียนรู้ระยะยาว โดยคลิปนี้มีเทคนี้การจำที่มีประสิทธิภาพมาฝาก เทคนิคการจำที่มีประสิทธิภาพ: The Encoding Method เทคนิคนี้ช่วยให้เราเข้าใจและจำข้อมูลได้ง่ายขึ้น โดยเน้นการประมวลผลข้อมูลมากกว่าการท่องจำแบบผิวเผิน ความจำของเรามี 3 ระดับ 1. Short-term memory: ความจำระยะสั้น จำข้อมูลชั่วคราว เช่น จำชุดตัวเลขโดยไม่ประมวลผล 2. Working memory: ความจำระดับปฏิบัติการ เอาข้อมูลมาประมวลผลและทำความเข้าใจ เช่น มองว่าชุดตัวเลขมีความหมาย 3. Long-term memory: ความจำระยะยาว ข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลซ้ำๆ จะถูกบันทึกใน long-term memory ทำให้จำได้นาน เทคนิคการเรียนที่ดีจะช่วยเปลี่ยนข้อมูลใน working memory ให้กลายเป็น long-term memory Active Recall และ Encoding Method Active Recall: วิธีหนึ่งที่ใช้การทดสอบตนเองซ้ำๆ เช่น การใช้แฟลชการ์ดเพื่อจำคำตอบ Encoding Method: มุ่งเน้นที่การทำความเข้าใจและประยุกต์ใช้ข้อมูลแทนที่จะจำข้อมูลเพียงอย่างเดียว เช่น แทนที่จะจำว่าโครงสร้างหัวใจเป็นอย่างไร เราจะเข้าใจการทำงานของหัวใจและระบบไหลเวียนเลือดด้วย การแบ่งประเภทของการเรียนรู้: Shallow และ Deep Encoding Shallow Encoding: การจำแบบผิวเผิน เช่น จำโครงสร้างหรือการออกเสียงของคำโดยไม่เข้าใจความหมายลึกซึ้ง Deep Encoding: การทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง โดยการตั้งคำถามเกี่ยวกับความหมายและหน้าที่ของสิ่งที่เรียนรู้ ซึ่งจะช่วยให้จำได้นานและมีประสิทธิภาพ Higher Order Learning และ Bloom’s Taxonomy เทคนิคการเรียนที่มีประสิทธิภาพที่สุดควรเน้นการวิเคราะห์และประยุกต์ใช้ความรู้ (อยู่ในระดับสูงของพีระมิด Bloom’s Taxonomy) ไม่ใช่แค่การจำเพื่อสอบ การเรียนรู้ที่มีความหมาย (Meaningful Learning) จะเกิดขึ้นเมื่อเรานำความรู้ใหม่ไปเชื่อมโยงกับความรู้เก่าหรือประสบการณ์ส่วนตัว ซึ่งจะทำให้เราจำข้อมูลได้ดียิ่งขึ้น หลักการ 3 ประการของการเรียนรู้แบบ Meaningful Learning 1. Elaboration: การเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้ที่มีอยู่แล้ว 2. Distinctiveness: การเปรียบเทียบหัวข้อที่ตรงกันข้ามกัน เพื่อเข้าใจความแตกต่าง 3. Personal Experience: การเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับประสบการณ์ชีวิตของเรา การเรียนที่มีประสิทธิภาพไม่ควรแค่ท่องจำ แต่ควรทำความเข้าใจและประยุกต์ใช้เนื้อหาผ่านเทคนิคเช่น The Encoding Method โดยใช้การอธิบาย วิเคราะห์ และเชื่อมโยงข้อมูลอย่างลึกซึ้ง

    Productivity
    Learning
    Tips and Tricks
    Sep 20, 2024
    1 min