รู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตที่วนลูปเดิมๆ ไหม? งานที่เคยรักกลับกลายเป็นภาระที่แบกไว้ทุกวัน เหนื่อยใจกับปัญหาเดิมๆ ที่แก้ไม่ตก ลองมาหาทางออกด้วยกัน ด้วย 8 พอดแคสต์ที่จะช่วยให้คุณกลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง
🔹 พอดแคสต์เรื่อง 1: หมดแรงใจจะไปต่อ? 5 วิธีพักผ่อนเมื่อจิตใจเหนื่อย
พอดแคสต์เกี่ยวกับการจัดการชีวิตในช่วงที่รู้สึกเครียดและเหนื่อยล้า โดยแนะนำวิธีที่ช่วยให้รู้สึกควบคุมชีวิตได้มากขึ้น
1. สังเกตอาการของความเครียด: เช่น ไม่อยากตื่นเช้า รู้สึกหงุดหงิดกับเรื่องเล็กๆ หรือรู้สึกว่าภาระหน้าที่มากเกินไปและนอนไม่หลับ
2. เริ่มด้วยการ “Brain Dump”: เขียนทุกอย่างที่อยู่ในหัวลงมาเป็นรายการ จากนั้นเลือกสิ่งสำคัญที่สุด 3 อย่างที่ต้องทำ แล้วโฟกัสกับมัน สิ่งที่เหลือให้จัดการทีหลัง
3. จัดการสิ่งแวดล้อม: จัดบ้านหรือพื้นที่ทำงานให้เป็นระเบียบ เรียบง่ายและสงบ เพื่อให้จิตใจรู้สึกผ่อนคลาย
4. สร้าง Mini Routines: ตั้งกิจวัตรเล็กๆ ที่ทำได้ทุกวัน เช่น นั่งสมาธิ 5 นาที หรือยืดเหยียดร่างกายสั้นๆ เพื่อสร้างความสมดุล
5. แบ่งเวลาทำงานเป็นช่วงๆ: ทำงานอย่างมีโฟกัสเป็นช่วงเวลา เช่น ทำงาน 90 นาที พักสั้นๆ แล้วทำต่อ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดความเครียด
6. Recharge ตัวเองก่อนแบตหมด: หาวิธีชาร์จพลังเช่น การออกกำลังกาย พักผ่อน หรือทำสิ่งที่ชอบ เพื่อป้องกันการเหนื่อยล้าจนเกินไป
ทั้งหมดนี้เป็นวิธีค่อยๆ ปรับปรุงชีวิตให้ดีขึ้น และช่วยให้เรารู้สึกควบคุมและสงบมากขึ้น
🔹 พอดแคสต์เรื่อง 2: เป็นคนสู้งาน แต่งานสู้กลับ! รับมืออย่างไรดี?
เกี่ยวกับเมื่อเจองานที่สู้เรากลับจนรู้สึกเหนื่อยล้าและท่วมท้น มันไม่เพียงแค่ว่างานยากขึ้น แต่บางครั้งงานเหล่านั้นทับถมเข้ามาช่วงที่เรามีปัญหาชีวิตส่วนตัว เช่น ความสัมพันธ์พังทลายหรือความกังวลอื่น ๆ การเพิ่มเวลาและพลังงานอาจจะไม่ใช่ทางออกเสมอไป เพราะหากปล่อยให้เป็นเช่นนั้น สุขภาพกายและใจของเราจะเสื่อมลง
เริ่มต้นด้วยการตามหาต้นเหตุของความล้า บางทีไม่ใช่เพราะงานเยอะ แต่เพราะมีบางส่วนของงานที่เราไม่ถนัดหรือไม่ชอบ ซึ่งทำให้รู้สึกเครียดตั้งแต่เริ่ม นอกจากนี้ การขีดเส้นแบ่งเวลาระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัวชัดเจนจะช่วยให้เราพักผ่อนอย่างเต็มที่ และมีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น
ต้องรับมือกับความเป็นเพอร์เฟกชันนิสต์ในตัวเอง ความสมบูรณ์แบบไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นเสมอ บางครั้งการทำงานออกมา “ดีพอ” ก็เพียงพอแล้ว สำรวจดูว่าเราคิดไปเองหรือไม่ว่าต้องทำงานคนเดียว เพราะเชื่อว่าคนอื่นทำไม่ได้ดีพอ การกระจายงานช่วยลดความกังวล และเปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้เรียนรู้
สุดท้าย การดูแลสุขภาพทั้งกายและใจอย่างสม่ำเสมอ ช่วยลดความเครียด การนอนหลับเพียงพอ ออกกำลังกาย และใช้เวลาอยู่กับสิ่งที่ทำให้เราผ่อนคลาย จะทำให้เรามีความพร้อมในการเผชิญกับงานที่ท้าทาย
🔹 พอดแคสต์เรื่อง 3: รู้สึกผิดเมื่อหยุดงาน? 5 วิธีพักผ่อนให้เต็มที่ในวันหยุด
เกี่ยวกับการหยุดทำงานและรู้สึกผิดเมื่อไม่ได้ทำงานเป็นประเด็นที่หลายคนเผชิญ โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่การทำงานเข้ามาครอบงำชีวิตเกือบตลอดเวลา บางคนอาจรู้สึกผิดทันทีเมื่อไม่ได้ทำงาน หรือหยุดพัก โดยอาจเกิดจากความกดดันทางเศรษฐกิจหรือความคาดหวังจากการทำงานหนัก
หลายครั้งเมื่อเราพักผ่อนหรือหยุดทำงาน ความรู้สึกผิดกลับเข้ามาครอบงำจิตใจ ทำให้การพักผ่อนไม่เต็มที่ และส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งทางกายและจิตใจ การแก้ไขปัญหานี้ต้องเริ่มจากการตระหนักถึงความสำคัญของการพักผ่อนอย่างแท้จริง และทำให้เกิดความสมดุลระหว่างงานและชีวิต
ควรเริ่มต้นด้วยการตั้งขอบเขตระหว่างงานและเวลาพักผ่อนให้ชัดเจน รวมถึงการฝึกที่จะไม่รู้สึกผิดเมื่อหยุดพัก หลายคนตกอยู่ในวงจรของการทำงานหนักเกินไป จนไม่สามารถผ่อนคลายได้แม้ในเวลาว่าง การจัดลำดับความสำคัญและสำรวจความรู้สึกของตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการล้าเรื้อรัง
สุดท้ายการพักผ่อนที่ดีจะช่วยเติมพลังงานให้กลับมาใหม่ ทำให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้น จึงควรจัดการกับความรู้สึกผิดอย่างมีเหตุผล และให้ความสำคัญกับการพักผ่อนเทียบเท่ากับการทำงาน
🔹 พอดแคสต์เรื่อง 4: สรุปหนังสือ “Move!” ขยับสักนิดชีวิตก็ดีกว่าเดิมได้
หนังสือ Move พูดถึงการทำงานของสมองและร่างกาย โดยเน้นว่าเราไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ใช้ชีวิตอยู่เฉยๆ ตลอดเวลา ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันที่คนส่วนใหญ่ใช้เวลา 70-80% ของวันในการนั่งเฉยหรืออยู่นิ่ง โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีทำให้การเคลื่อนไหวลดน้อยลง เช่น การสั่งอาหารออนไลน์หรือการสื่อสารผ่านแอปต่างๆ
ผู้เขียนเปรียบเทียบพฤติกรรมการเคลื่อนไหวในปัจจุบันกับในอดีต โดยชี้ให้เห็นว่าในอดีตมนุษย์ต้องออกไปล่าสัตว์หรือทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อเอาชีวิตรอด แต่ในปัจจุบันเราใช้เวลาเฉยๆ มากขึ้น ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพ ทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน และปัญหาทางจิตใจ เช่น ภาวะซึมเศร้า ความเครียด และสมาธิสั้น
หนังสือยังระบุว่าการออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวเพียงแค่วันละ 30 นาทีไม่เพียงพอ ต้องมีการเคลื่อนไหวตลอดทั้งวัน เช่น การเดินไปทำงาน การทำกิจกรรมต่างๆ ที่ทำให้ร่างกายได้ขยับเขยื้อน โดยมีตัวอย่างจากนักวิทยาศาสตร์ เช่น Charles Darwin ที่เคยกล่าวถึงความสำคัญของการเดินเพื่อกระตุ้นความคิดและสมอง
นอกจากนี้ ผู้เขียนยังยกตัวอย่างกรณีของ Marcus God ที่เคยประสบปัญหาซึมเศร้า แต่การออกกำลังกายช่วยให้เขาฟื้นตัวและมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น ผู้เขียนชี้ให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวไม่เพียงแต่ทำให้ร่างกายแข็งแรง แต่ยังมีผลต่อสุขภาพจิตและการคิดสร้างสรรค์
ในที่สุด หนังสือเสนอแนวทางในการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต เช่น การลุกขึ้นขยับตัวทุก 30 นาที การเดิน การทำงานที่ยืน และการสร้างสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นการเคลื่อนไหว โดยระบุว่าการเคลื่อนไหวควรเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่เป็นสิ่งที่ทำในเวลาว่าง เพื่อให้เรามีชีวิตที่มีความสุขทั้งร่างกายและจิตใจ
🔹 พอดแคสต์เรื่อง 5: บอกลาความสัมพันธ์ Toxic ด้วยรักดีๆ ที่มอบให้ตัว
พูดคุยเกี่ยวกับความรัก โดยเฉพาะเรื่องการเริ่มต้นจากการรักตัวเอง ซึ่งเป็นบทเรียนจากหนังสือ The Perks of Being a Wallflower เราอาจสงสัยว่าทำไมเราถึงเจอแต่ความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือคนรัก หลายคนอาจมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นโชคชะตาหรือกรรม แต่จริงๆ แล้วมันอาจเกิดจากการที่เราไม่เคยตั้งคำถามว่าทำไมเราถึงต้องทนอยู่กับความสัมพันธ์แบบนี้
หนังสือ The Perks of Being a Wallflower ตั้งคำถามที่ท้าทายว่า “ทำไมฉันและคนที่ฉันรักถึงเลือกที่จะทำกับเราเหมือนกับเราไม่มีค่า?” ซึ่งชี้ให้เห็นว่าบ่อยครั้งเราอาจยอมรับความรักที่ไม่คู่ควรกับตัวเอง เพราะเรามีความคิดว่าเราควรค่ากับความรักแบบไหน
การเติบโตในครอบครัวและสภาพแวดล้อมที่เราอยู่มีผลต่อวิธีที่เรามองความรัก ถ้าเราโตมาในครอบครัวที่อบอุ่น เราจะรักคนอื่นด้วยความอบอุ่น แต่ถ้าเราโตมาในสภาพแวดล้อมที่มีความรุนแรงหรือการด่าทอ เราอาจเข้าใจว่าความรักคือการทำร้ายหรือไม่สนใจความรู้สึกของกันและกัน
หนังสือยังบอกถึงความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ ซึ่งมีสัญญาณหลายประการ เช่น การต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้คนอื่นพอใจ การไม่ใส่ใจความรู้สึกของตัวเอง การถูกทำร้ายทางจิตใจหรือร่างกาย และการรู้สึกแย่ตลอดเวลา หากเรารู้สึกว่าเรามีสัญญาณเหล่านี้ อาจถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องถอยห่าง
แม้จะเติบโตในครอบครัวที่มีความรักน้อยหรือมีความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ เราก็สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีได้ โดยการเริ่มจากการรักตัวเอง เราต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราคู่ควรกับความรักที่ดีหรือไม่ และพยายามทำความเข้าใจว่าเราต้องการอะไรจากความสัมพันธ์
สิ่งที่สำคัญคือการรับรู้สถานการณ์ที่เราอยู่ และเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดเมื่อสิ้นสุดความสัมพันธ์นั้น เราต้องให้การให้อภัยกับตัวเองและคนในอดีต ทำให้เราเยียวยาบาดแผลและดูแลสุขภาพจิตและร่างกายของเรา
สุดท้าย การเรียนรู้ที่จะรักตัวเองเป็นขั้นตอนสำคัญ เช่น การเลิกต่อว่าตัวเอง มองหาสิ่งดีๆ ในตัวเอง และรู้จักคุณค่าของตัวเอง การฝึกฝนเหล่านี้จะช่วยให้เราเปิดใจรับความรักที่ดีในอนาคต และออกจากวังวนของความสัมพันธ์ที่เป็นพิษได้
การรักตัวเองไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากเราตั้งใจและลงมือทำ ความรักที่ดีจะมาถึงเราในที่สุด
🔹 พอดแคสต์เรื่อง 6: ออกแบบชีวิตให้มีความสุข ผ่าน 4 แกนสำคัญ
คนที่รู้สึกสับสนในชีวิต ไม่แน่ใจว่าจะไปทางไหน และเริ่มรู้สึกถึงความไม่แน่นอนของเวลา ชีวิตผ่านไปไวขึ้น ทำให้คิดถึงเรื่องที่เคยดูไกลตัวอย่างความตายมากขึ้น หลายคนเริ่มกังวลเพราะเศรษฐกิจไม่ดีและโลกเปลี่ยนแปลงเร็ว จนไม่รู้จะปรับตัวยังไง บวกกับความเหลื่อมล้ำและความไม่แน่นอนที่มากขึ้น
มีแนวคิด 4 แบบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
1. โลกที่ยังมีความเหลื่อมล้ำ แต่คนก็ยังอยู่ร่วมกันได้ แม้จะมีการปะทะกันบ้าง
2. โลกที่ความเหลื่อมล้ำชัดเจนมากขึ้น มีการแยกชนชั้นอย่างชัดเจน เช่นในซีรีส์ที่คนรวยอยู่บนฟ้า ส่วนคนทั่วไปอยู่บนพื้น
3. ความเหลื่อมล้ำหนักมากจนคนทนไม่ไหว เกิดความวุ่นวายหรือสงคราม
4. ความเหลื่อมล้ำลดลงเพราะการใช้เทคโนโลยีและกฎหมายเพื่อกระจายทรัพยากรให้เท่าเทียม
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งสำคัญคือการออกแบบชีวิตให้มีความสุข มี 4 ปัจจัยที่ต้องโฟกัส
1. เงิน – เงินเป็นสิ่งจำเป็น ช่วยแก้ปัญหาและทำให้เราสามารถเดินตามความฝันได้ ต้องระมัดระวังการใช้จ่ายและลงทุนอย่างมีสติ
2. อำนาจในการควบคุมชีวิต – การควบคุมสิ่งต่างๆ รอบตัวทำให้เรามีความสุข แต่ต้องมีสมดุล ไม่ให้การแสวงหาความควบคุมมากเกินไป
3. ความสัมพันธ์ – ความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบตัวเป็นสิ่งที่ทำให้มีความสุข ต้องลงทุนเวลาและความจริงใจในการสร้างความสัมพันธ์
4. สุขภาพ – สุขภาพกายและจิตเป็นสิ่งสำคัญ การออกกำลังกาย นอนพักผ่อน และการใช้ชีวิตอย่างสมดุลส่งผลต่อความสุข ไม่ใช่แค่ตัวเอง แต่คนรอบข้างด้วย
🔹 พอดแคสต์เรื่อง 7: 6 บทเรียนเรื่องการบริหารเวลาจากหนังสือ At Your Best
หนังสือ At Your Best ของ Carey Nieuwhof เป็นแนวทางที่มุ่งช่วยผู้อ่านจัดการเวลา พลังงาน และลำดับความสำคัญในชีวิต เพื่อให้ตนเองสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การใช้ชีวิตส่วนตัว หรือการรักษาสมดุลระหว่างชีวิตและงาน หนังสือเริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามที่น่าสนใจว่า ทุกคนเคยจินตนาการถึงชีวิตที่สมบูรณ์แบบบ้างหรือไม่—เช่น การมีชีวิตที่งานเลิกตรงเวลา มีเงินพอใช้ ได้ออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพดี มีเวลาให้ครอบครัว หรือจัดการชีวิตได้ลงตัวทุกด้าน
ในความเป็นจริง ชีวิตของคนส่วนใหญ่มักไม่เป็นไปตามที่จินตนาการนั้น ความท้าทายในการสร้างสมดุลระหว่างความฝันและความเป็นจริง อาทิ งานที่ทำให้เหนื่อยล้าจนไม่มีแรงออกกำลังกาย ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เช่น การผ่อนบ้านผ่อนรถที่ทำให้เราหมดพลัง จนไม่สามารถติดตามความฝันได้เต็มที่ ทำให้หนังสือเล่มนี้พยายามเสนอวิธีการในการพัฒนาตนเอง เพื่อให้สามารถเป็นเวอร์ชันที่ดีที่สุดได้โดยไม่ต้องเปรียบเทียบกับผู้อื่น
หนังสือแบ่งบทเรียนสำคัญออกเป็น 6 หัวข้อหลัก
1. การรู้จักกับกุญแจสำคัญ 3 ดอกเพื่อความสำเร็จ
Carey Nieuwhof ชี้ให้เห็นว่าการบริหารเวลาเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ เพราะเวลาของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ความสำคัญอยู่ที่การบริหาร “สมาธิ” (Focus), “พลังงาน” (Energy) และ “ลำดับความสำคัญ” (Priority) เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงสุด
• สมาธิ: เวลาที่เราสามารถโฟกัสได้มากที่สุดมีอยู่ไม่มาก การใช้เวลาสมาธิที่มีไปกับงานที่ไม่สำคัญ จะเป็นการเสียโอกาสในการทำสิ่งที่มีคุณค่าจริง ๆ
• พลังงาน: ไม่ใช่ว่าเราจะมีพลังงานเต็มที่ทั้งวัน จะมีช่วงเวลาที่เรามีพลังงานมากที่สุดเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น การใช้พลังงานให้เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ
• ลำดับความสำคัญ: สิ่งที่คนทำงานประสบความสำเร็จทำได้ คือการเลือกทำงานที่สำคัญที่สุดให้เสร็จก่อน ไม่ใช่ทำทุกอย่างให้เสร็จทั้งหมด
2. การจัดการช่วงเวลาตามระดับพลังงานและสมาธิ
ผู้เขียนแนะนำให้แบ่งช่วงเวลาของวันออกเป็น 3 ช่วงคือ:
• ช่วงเวลาสีเขียว💚: ช่วงที่เรามีพลังงาน สมาธิ และอารมณ์ดีที่สุด (ประมาณ 3-5 ชั่วโมงต่อวัน) ควรใช้ช่วงนี้ทำงานที่มีความสำคัญสูงสุด
• ช่วงเวลาสีเหลือง💛: ช่วงที่พลังงานลดลง แต่ยังสามารถทำงานได้ดีพอสมควร งานที่ไม่ต้องใช้พลังงานมากแต่ยังต้องการความสนใจสามารถทำได้ในช่วงนี้
• ช่วงเวลาสีแดง❤️: ช่วงที่เรามีพลังงานและสมาธิน้อยที่สุด ควรใช้ช่วงนี้สำหรับงานที่ไม่ซับซ้อน เช่น การตอบอีเมล์ หรือการจัดการงานบ้าน
3. การจับคู่งานกับช่วงเวลาที่เหมาะสม
หนังสือแนะนำว่าควรนำงานที่ต้องใช้สมาธิและพลังงานสูงไปทำในช่วงเวลาสีเขียว เช่น การทำงานสร้างสรรค์ การวางแผนงานใหญ่ หรือการตัดสินใจสำคัญ ส่วนช่วงเวลาสีเหลืองควรใช้กับงานที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น หรืองานที่มีความซับซ้อนปานกลาง และช่วงสีแดงสำหรับงานรูทีน
4. การรักษาลำดับความสำคัญด้วยการลดสิ่งรบกวน
ในยุคดิจิทัล การถูกรบกวนจากเทคโนโลยีเป็นเรื่องปกติ และเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการทำงานให้มีประสิทธิภาพ Nieuwhof ชี้ว่าผู้คนเฉลี่ยเช็คโทรศัพท์มือถือถึง 2,617 ครั้งต่อวัน ดังนั้น การปิดเสียงแจ้งเตือนหรือไม่เอามือถือเข้าไปในพื้นที่ทำงานในบางช่วงจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างมาก
5. การรู้จักปฏิเสธอย่างมีศิลปะ
การปฏิเสธเป็นสิ่งจำเป็นหากต้องการรักษาลำดับความสำคัญของตัวเอง ผู้เขียนเล่าถึงประสบการณ์ที่วันว่างที่ไม่มีประชุมกลับกลายเป็นวันที่ต้องเสียเวลาไปกับคำขอจากเพื่อนร่วมงานหรือลูกค้า การปฏิเสธคำขอที่ไม่เร่งด่วนหรือสำคัญที่สุด จึงเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝน และจำเป็นต้องปฏิบัติเพื่อรักษาเวลาสำหรับงานสำคัญ
6. การยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบในชีวิต
สุดท้าย หนังสือชี้ให้เห็นว่าชีวิตจริงไม่เคยเป็นไปตามแผนเสมอ การยอมรับว่าในบางวันเราจะทำได้เพียง 60-70% ของเป้าหมายที่ตั้งไว้ และการเข้าใจว่าปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ เช่น ปัญหาครอบครัว การเงิน หรือสุขภาพ จะเกิดขึ้นบ่อย ๆ เป็นสิ่งที่เราควรยอมรับและเดินหน้าต่อไป นี่คือธรรมชาติของชีวิต
🔹 พอดแคสต์เรื่อง 8: ชีวิตดีขึ้นด้วย 40 นิสัยเล็กๆ ที่ทำได้เลยวันนี้
บทความจากMedium ซึ่งง่ายและนำไปใช้ได้ทันที บทความนี้น่าสนใจมาก มันช่วยให้เราเริ่มมองสิ่งต่างๆ ในชีวิตได้เปลี่ยนไปจริงๆ เขียนโดยโทมัส ออฟปอง ชื่อว่า “40 Short Habits That Solve Life’s Most Common Problems” หรือ 40 นิสัยง่ายๆ ที่จะช่วยแก้ปัญหาชีวิตเกือบทุกอย่าง ข้อแรกที่ผู้เขียนพูดถึงคือ การแก้ปัญหาเริ่มจากการเปลี่ยนมุมมอง ซึ่งเป็นกุญแจสู่การเรียนรู้และเติบโตในชีวิต
1. เริ่มจากสมอง: การเปลี่ยนมุมมองจะช่วยให้คุณเรียนรู้และเติบโต เช่น เมื่อหิว มองว่าเป็นโอกาสให้ร่างกายเข้าสู่กระบวนการ autophagy แทนที่จะรู้สึกโมโหหิว
2. เรียนรู้ทุกวัน: เพื่อเติบโต ควรหาความรู้ใหม่ๆ ทุกวัน ไม่ว่าจะจากหนังสือ, podcast, หรือ newsletters
3. ลำดับความสำคัญ: ก่อนเริ่มงานแต่ละวัน ให้ถามตัวเองว่างานนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของวันนั้นหรือไม่
4. ออกกำลังกายแก้ดาวน์: เมื่อรู้สึกไม่ดี หาทางออกไม่เจอ ให้ลองออกกำลังกาย 20 นาทีเพื่อปรับอารมณ์
5. Solitude walk: การเดินผ่อนคลายจะช่วยเคลียร์สมอง โดยเฉพาะในธรรมชาติ
6. ช่วงพลังงานสูงสุด: ใช้ช่วงเวลาที่พลังงานสูงสุดในแต่ละวันให้คุ้มที่สุด
7. ธรรมชาติช่วยสร้างสรรค์: ถ้าขาดความคิดสร้างสรรค์ ให้ลองทำกิจกรรมในธรรมชาติ เช่น เดินเล่น ปลูกต้นไม้
8. ฟังเพลงเวลาทำงาน: ฟังเพลงขณะทำงาน ถ้ามันช่วยเพิ่มพลังงานได้
9. Stretch exercise: การยืดกล้ามเนื้อระหว่างทำงานช่วยลดความเครียดและป้องกัน office syndrome
10. รูทีนก่อนนอน: มีรูทีนช่วยให้นอนง่ายขึ้น เช่นการนอนตรงเวลา
11. ถ้างานไม่พัฒนา คุยกับเจ้านาย: ถ้างานปัจจุบันไม่ท้าทาย ต้องคิดใหม่ว่าจะเปลี่ยนงานหรือคุยกับเจ้านายเพื่อพัฒนางาน
12. เขียนเพื่อปลดปล่อยความคิด: เมื่อคิดมากเกินไป ให้เขียนความคิดและความกังวลลงใน journal
13. ฟังมากกว่าพูด: ในการสนทนา ให้ฝึกฟังมากกว่าพูดเสมอ
14. ทำงานสำคัญที่สุดก่อน: เมื่อรู้สึกว่างานเยอะ ให้โฟกัสทำงานที่สำคัญที่สุดเพียงสามอย่าง
15. ทำงานยากก่อนในวันที่ยุ่ง: เริ่มวันด้วยการทำงานที่ยากที่สุด จะช่วยลดความกังวลในวันนั้น
16. เตือนสติตนเองเรื่องอีโก้และความโกรธ: คำพูดของ Warren Buffett ที่ว่า “ใช้เวลา 20 ปีในการสร้างชื่อเสียง แต่ 5 นาทีในการทำลาย” ควรนำมาคิดเสมอ
17. เปลี่ยนรูทีนบ้าง: เปลี่ยนรูทีนเดือนละครั้งเพื่อไม่ให้ชีวิตน่าเบื่อ
18. ลดการใช้ Social Media: ลดหรือควบคุมการใช้ Social Media เพื่อมีเวลามากขึ้น
19. สุขภาพดีมาจากการนอน การออกกำลังกาย และอาหาร: โฟกัสกับสามสิ่งนี้เพื่อสุขภาพกายและใจที่ดี
20. เริ่มวางแผนการเกษียณ: หากยังไม่มีแผนเกษียณ ให้เริ่มวางแผนตั้งแต่วันนี้
21. ค้นหาเป้าหมายชีวิต: เขียนสิ่งที่ชอบและไม่ชอบเพื่อค้นหาความปรารถนาและเป้าหมายชีวิต
22. อย่าใช้ชีวิตในโหมด Auto Pilot: คิดทุกวันว่าจะทำอะไรดีขึ้นบ้าง ไม่ทำสิ่งเดิมซ้ำๆ
23. ปฏิเสธให้เป็น: หากไม่ปฏิเสธ คุณจะใช้ชีวิตตามลำดับความสำคัญของคนอื่น ไม่ใช่ของตนเอง
24. สอนเพื่อไม่ลืม: การสอนช่วยให้คุณจดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น
25. ใช้เงินเพื่อความสุขที่แท้จริง: เน้นการใช้เงินเพื่อประสบการณ์มากกว่าซื้อของ
26. เตรียมตัวล่วงหน้าในตอนเช้า: เตรียมเสื้อผ้าและอาหารตั้งแต่คืนก่อนเพื่อลดการตัดสินใจในตอนเช้า
27. Endorphins คือยาแก้ปวด: ออกกำลังกายหรือทำสิ่งที่เพิ่มเอนดอร์ฟิน เช่น ดูละครตลก
28. อาหารเช้าที่ให้พลังงาน: กินอาหารเช้าที่มีโปรตีนและไฟเบอร์ หลีกเลี่ยงน้ำตาลสูง
29. เพิ่มโดพามีน: ฟังเพลงที่ชอบ นอนหลับให้เพียงพอ และหาประสบการณ์ใหม่ๆ
30. ลด Notification: ปิด Notification ที่ไม่จำเป็นเพื่อลดความวุ่นวาย
31. นำเสนอโอกาส: เวลาขออะไรจากใคร ให้นำเสนอว่าเป็นโอกาส ไม่ใช่เพียงการขอ
32. ลดความคาดหวัง: อย่าคาดหวังมาก โดยเฉพาะจากคนอื่น เพราะมันทำให้ไม่มีความสุข
33. คิดทางแก้ปัญหา: เมื่อมีปัญหา คิดหาทางออกแทนที่จะวิตกกังวลกับปัญหาเอง
34. อยู่กับคนที่มีความสัมพันธ์ที่ดี: เวลาที่เครียด ให้อยู่กับคนที่คุณมีความสัมพันธ์ดี เช่น เพื่อนหรือครอบครัว
35. นิสัยเล็กๆ ที่สำคัญ: สิ่งเล็กๆ ที่คุณทำทุกวันเป็นสิ่งสำคัญ ควรระวังนิสัยเหล่านี้
36. ฝึก Small Talk: ฝึกพูดคุยเล็กๆ น้อยๆ เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์
37. วางแผนวันหยุด: วันหยุดควรมีแผน อย่าใช้วันหยุดทั้งหมดไปกับการนอนดูซีรีย์และกินขนม
38. เลือกคนรอบตัวให้ดี: เลือกคนที่คุณอยู่ด้วย เพราะพวกเขาจะส่งผลต่อความสุขของคุณ
39. ระวังการกินเพื่อสุขภาพ: ระวังการกินเพื่อไม่ให้มีปัญหาสุขภาพในระยะยาว
40. ท้าทายตัวเองเสมอ: ตั้ง Challenge ให้ตัวเอง เช่น วิ่งให้เร็วขึ้นหรือมากขึ้น เพื่อให้มีพลังและแรงกระตุ้นในการใช้ชีวิต
ทั้ง 40 ข้อนี้เป็นนิสัยง่ายๆ ที่สามารถนำมาใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้