
Let go of shame, and you'll unlock greater power | Steve Harvey
Steve Harvey shares key lessons on success, dream big, work hard, and seek help from others. Learn how networking, persistence, and knowing your worth can unlock your true potential!
สรุปเนื้อหาสดจากเวทีดีเบตสุดเข้มข้นในงาน Bitkub Summit 2024 ภายใต้หัวข้อ "Cash vs Stock vs Real Estate Investments เปิดแผนที่ขุมทรัพย์การลงทุนแห่งอนาคต" เพื่อให้คนไทยได้รับชมความรู้ด้านสินทรัพย์ แง่มุมและตกผลึกด้วยตนเองจากประสบการณ์ของตัวจริงในการลงทุน โดยวันนี้ทางทีม Jobcadu ขอสรุปสาระสำคัญความเห็นต่าง ข้อเท็จจริงและจุดเหมือนของ Speaker แต่ละท่าน โดยขอละความมันส์ ความสนุก อารมณ์ก่อนและหลังเกมไว้ยูทูปช่องหลักของ Bitkub Exchange
------------------------------------------
ก่อนเริ่มช่วงดีเบต คุณ CK และคุณหนุ่ยกล่าวชมความกล้าของดร.โสภณที่ตอบรับคำเชิญ
โดยเจ้าตัวกล่าวว่าต้องการนำเสนอมุมมองที่แตกต่างในงานที่คาดว่าคนกว่า 99% ค่อนข้างเอียงไปทางการลงทุนในหุ้นและคริปโตฯ
- ดร.โสภณ มองว่าทำธุรกิจที่ตัวเองสนใจ น่าจะมีความสุขมากกว่าการนั่งมองกราฟ ขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างการเทรดหุ้น หรือคริปโต
- ดร.โสภณนำเสนอว่า การเป็นลูกจ้างก็สามารถมีความสุขได้เหมือนกัน หลายคนอยากมีอิสรภาพทางการเงิน การหวัง Easy money อาจทำให้เราใจร้อน และเผชิญกับความเสี่ยงและโอกาสที่จะล้มเหลวสูงขึ้น
- เขาหยิบยกผลสำรวจมาอ้างอิงว่าคนเล่นบิทคอยน์ 70% มองว่าตัวเองล้มเหลวในตลาดลงทุน 20% เสมอตัว และ 10% สามารถเอาชนะตลาด
- หลายคนยอมเสี่ยงเพราะมองว่าตัวเองไม่มีอะไรสูญเสีย อยากรู้สึกทันสมัย ยิ่งมีกูรูมาแนะนำ ยิ่งทำให้เราฮึกเหิมอยากลงทุน
เขามองว่า "ค่อย ๆ สะสมทุน" และ "รอคอยโอกาส" อย่าไปลงทุนโฉ่งฉ่างอาจไม่ใช่สิ่งที่นำไปสู่ความสำเร็จ
- การลงทุนในอสังหา ฯ สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดี มีแต้มต่อและสร้างแบรนด์ดิ้งของตัวเองได้
- เขายังบอกอีกว่า การลงทุนในอสังหาฯ ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากทุนสูง สามารถเริ่มจากการศึกษา เรียนรู้ตลาดก่อน หรือเป็นนายหน้าอสังหา ฯ ธุรกิจรีโนเวท ทำอพาร์ทเม้นต์ หรือหากอยากลงทุน สามารถเลือกจากกองทุน REIT หรือโทเค่น
"ผมลงทุนในสิ่งที่ตัวเองถนัด แต่ผมเป็นพ่อค้าที่คอยมองโอกาสตลอดเวลา" คุณดิวกล่าว
- คุณดิวเคยเล่นคริปโต ฯ ยอมรับว่าหากเข้าถูกจังหวะมีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงกว่า โดยเฉพาะคนทุนน้อย แต่เมื่อเทียบข้อดีและข้อเสีย เขามองว่าหุ้นยังสามารถดูปัจจัยพื้นฐาน การประกอบกิจการ
- เขาไม่ปฏิเสธอสังหา ฯ
- คุณดิว เห็นด้วยกับคุณ CK ว่า "คนรวยไม่ถือเงินสด" แต่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับ "เงินสดคือหนี้"
โดยคนรวยมักเก็บเงินสดไว้รอตักตวงโอกาส
- คุณดิวแชร์ว่าเขาโชคดีที่ได้พาร์ทเนอร์จากต่างประเทศในการทำธุรกิจฟาร์มปลาคาร์พ จากจุดแข็งที่เขามีวินัยและทำงานหนัก
- เมื่อเขาได้เงินปันผลก้อนนึงจากธุรกิจ เขานำเงินก้อนกว่า 30 ล้านบาทไปลงทุนซื้ออพาร์ทเม้นที่ติดมหาวิทยาลัยเพื่อปล่อยเช่า อีกทั้งเขาไม่มีความรู้เรื่องหุ้น
- เมื่อบริหารไปพักนึง ได้กระแสเงินสดจากค่าเช่า และ re-invest ซื้อตึก จนมีมากกว่า 1,000 units เขาเริ่มมองช่องทางอื่นที่มาหักลบข้อเสียของการต้องดีลกับปัญหาเรื่องคน การดูแลบริหารอพาร์ทเม้น
- เขาเริ่มมองถึงการจัดพอร์ทโฟลิโอการลงทุน ขายอสังหาฯ ออกครึ่งนึง แล้วไปลงทุนหาหุ้นปันผล แต่เขาย้ำว่าจุดแข็งของเขาตอนนั้นคือมีกระแสเงินสดที่ดี สามารถรอได้ มองผลตอบแทนที่ 5-7% ไม่จำเป็นต้องเทรดรายวันและไม่อยากเสียเงินต้น
- จนสุดท้ายเขาตกผลึกได้ว่า ลงทุนในหุ้นนั้นสบาย ไม่ต้องวุ่นวายกับคนเหมือนธุรกิจปล่อยเช่าอพาร์ทเม้น
- CK เริ่มจากแปรญัตติโดยอธิบายความหมายของเงินในทางบัญชี คือ Cash (เงินที่อยู่ในธนาคาร) กับ Cash Equivalent (เงินที่อยู่ในตราสารหนี้ของอเมริกา)
- ถ้าคุณลงทุนกับตราสารหนี้สหรัฐ คุณจะไม่เสียเงินต้น และได้ดอกเบี้ยอยู่ที่ 4.75% เป็นโอกาสที่ดีมาก
- ถ้าไม่นับ Bitcoin ผู้ชนะคือหุ้น 10 ปีที่ผ่านมา S&P โตอยู่ที่ประมาณ 500% และ NASDAQ อยู่ที่ 800%
- ขณะที่อสังหาริมทรัพย์ CK บอกว่า Landscape นั้นเปลี่ยนไปหลังจากปี 2008 โดยเขาชี้ให้เห็นถึง 1 ข้อเสีย และ 1 เทรนด์ที่กำลังเกิดขึ้น นั่นคือ อสังหาริมทรัพย์นั้นมีความคล่องตัวน้อย และคนรุ่นใหม่เปลี่ยนวิถีชีวิต
- คุณ CK ชวนคิดว่า พ่อแม่ของเราส่วนใหญ่มีบ้าน ขณะที่เราชอบอยู่ในเมือง ถ้าหากว่าวันนึงพ่อแม่ของเราเสียชีวิตไป เราจะกลับไปอยู่บ้านนั้นไหม
- CK มองว่าเทรนด์ในอีก 50 ปีคือเราจะมีบ้านร้างจำนวนมาก ซัพพลายของบ้าน(มือสอง)จะเพิ่มขึ้น ขณะที่ดีแมนด์หรือความต้องการจะลดลง โดยเขาได้หยิบกรณีที่เกิดขึ้นแล้วในญี่ปุ่น ซึ่งข้อเสียคือมันขายไม่ได้หากไม่มีผู้ซื้อ
- ตรงกันข้ามกับหุ้น ที่มี market maker ที่สร้าง Liquidity ตลอดเวลา ทำให้เราได้อิสระ สามารถ Take loss และ profit ได้คล่องตัว
- บ้านเป็นหนี้สิน เนื่องจากตอนซื้อเงินผ่อน บ้านเป็นทรัพย์สินของธนาคาร หากตกงาน โดน AI disrupt เราอาจไม่สามารถผ่อนบ้านได้ และต้องขายทิ้ง
- หนี้ที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่อเมริกา และค่าใช้จ่ายและหนี้ของรัฐมาจากการออกพันธบัตร และทุก ๆ ปีรัฐบาลมี Budget deficit หรือค่าใช้จ่ายที่มากกว่าการจัดหารายได้ของรัฐ ยิ่งทำให้ภาระการจ่ายดอกเบี้ยให้กับผู้ถือพันธบัตรสูงขึ้น เงินสดที่เราถืออยู่นั้นจึง represent หนี้และความน่าเชื่อถือของรัฐ หากรัฐไม่สามารถจ่ายภาระดอกเบี้ย ความเชื่อมั่นจะหดหาย เงินสกุลนั้นจะไม่มูลค่าเหมือนกรณีที่อาร์เจนติน่า เป็นต้น
- การที่ดร.โสภณบอกว่า Warren Buffet ถือเงินสดนั้น จริง ๆ แล้ว CK บอกว่าเขาถือ Cash Equivalent ซึ่งก็คือตราสารหนี้ หรือพันธบัตร 10 ปีของอเมริกา
- เงินเฟ้อที่ไทยจริง ๆ ไม่ได้สูงขนาดนั้น โดยถัวเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 0.6%
- บ้านว่างที่ญี่ปุ่นมีอยู่กว่า 8 ล้านหน่วย แต่ไม่สามารถรื้อได้เนื่องจากภาษีแพง แต่มีการสร้างบ้านใหม่เกือบ 1 ล้านหน่วยทุกปี
- เขายังแย้งว่า บ้านไม่ใช่หนี้สิน เพราะชื่อบนโฉนดเป็นของเรา สามารถนำไปปล่อยเช่า หากเราซื้อแล้วผ่อนก็เหมือนเช่าตัวเองอยู่ที่ 6-7% ตาม market range และอาจได้ ROI หากราคาบ้านเพิ่มขึ้น เขากล่าวอ้างตัวเลขจากธนาคารแห่งประเทศไทยว่าดัชนีราคาบ้านและที่ดินยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
- เขาแย้งว่า ดร.โสภณ อาจลืมคิดเรื่องดอกเบี้ย ซื้อหรือเช่า อยู่ที่ความจำเป็นในตอนนั้น หากมีเงินดาวน์มากกว่า 50% มีงานที่มั่นคง มั่นใจว่าไม่ย้ายจากตรงนี้ และพร้อมก็สามารถลงทุนได้ แต่หากเป็นเด็กจบใหม่ อาจมีการเปลี่ยนงาน บ้านจะกลายเป็นห่วงได้
- การเล่นอสังหา หากคุณเป็นคนมีเงิน สามารถเก็งที่ในเมือง แต่ที่ไกล ๆ นั้น ในไทยมีข้อเสียเนื่องจากมีที่เยอะ เก็งได้ยาก รวมทั้งชุมชนหรือถนนอาจโตไปคนละทางกับที่ที่เราไปเก็ง
- สินทรัพย์ที่เขาแนะนำให้ดูมี 2 อย่างในสถานการณ์โลกปัจจุบันคือ ทองคำ กับหุ้น จากสงครามและเทรนด์ใหญ่
- คุณ CK เล่นหุ้นตั้งแต่อายุ 14 มีประสบการณ์ ความเจ็บปวดและความสำเร็จในตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่เขาเสนอว่านาทีนี้ควรลงทุนในหนี้ เนื่องจาก 10 ปีก่อน ตราสารหนี้มีอัตราตอบแทนอยู่ใกล้ 0 ขณะที่ตอนนี้อยู่ที่ 4.75% แต่ที่หุ้นทุกวันนี้ขึ้นมันคือจังหวะของ S-Curve ใหม่ที่เรียกว่า AI เพียงแต่ว่า ในหุ้นกลุ่มนางฟ้าขณะนี้นอกจาก NVIDIA ยังไม่มีบริษัทใดที่สามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำได้จาก AI มันจึงมีลักษณะเหมือน Bubble
- ต่อไปรายได้ของ Google จาก Search Engine อาจได้รับผลกระทบจากการเข้ามา Generative AI ที่คนไม่ต้องเข้าไปค้นหาข้อมูลจาก Google อีกต่อไป
- ยิ่งทำให้เขามองว่า Safe Heaven จริง ๆ คือหนี้ของรัฐและหนี้ของธนาคาร
- เขาไม่ถือหุ้นเลย
- ที่ผ่านมาเขาค่อนข้างต่อต้าน Bitcoin แต่ก็พูดว่าไม่ปิดกั้นในอนาคต
- ราคาของที่ดินและบ้านของกรุงเทพโต 10% ต่อปี ภูเก็ต 7% หากมีสงคราม ดร.ไม่แน่ใจว่า Bitcoin จะยังใช้ได้ไหม แต่จากประสบการณ์ส่วนตัว ตอนที่เขมรแตกในช่วงสงครามเย็น พวกเขาเอาทองมาแลกข้าวที่ชายแดน ทองสามารถถูกแลกเปลี่ยนในยามจำเป็น
- CK บอกว่า การชักชวนให้คนรุ่นใหม่ซื้อบ้านนั้นไม่ดี
- ยกตัวอย่างจากจีนที่กำลังมีปัญหาวิกฤติจากการสร้างบ้านและคอนโดจำนวนมาก
- สำหรับเขา อสังหาริมทรัพย์มีหลายเกรด
Class 1: Single Family Home หรือบ้าน คอนโด นั้นไม่ดี เพราะบ้านไม่สร้างเงินให้กับเรา ไม่มีคนซื้อ เพราะคนในประเทศไม่มีคนซื้อแล้ว โดยยกตัวอย่างจากนโยบายของอดีตนายกฯ เราต้องดู Market Rate จากค่าเช่า ยิ่งสร้างขึ้น ราคาจะคงที่ การซื้อบ้านจะทำให้เรากลัว ไม่มีอิสระในการตัดสินใจและเสพติดเงินเดือน หากมีความฝันที่ไม่อยากเป็นพนักงานเงินเดือน ไม่ควรซื้อบ้าน ค่าใช้จ่ายที่สูงที่สุดของบ้านคือค่าเสียโอกาส
Class 2: Multi-Family อย่างอพาร์ทเม้นท์ เนื่องจากสร้างกระแสเงินสดให้เรา
Class 3: อสังหาฯ ที่ดีที่สุด คือที่ดินเกษตรกรรม เนื่องจากประเทศมีทรัพยากรที่จำกัด 2 อย่าง คือประชากรและที่ดิน โอกาสที่ดีที่สุดคือที่ดินเกษตรกร ไม่ใช่การสร้างบ้านและการซื้อบ้าน
- เขาย้ำว่า เขาไม่ได้ห้ามซื้อบ้าน แต่อย่ารีบซื้อ ซื้อตอนพร้อมดังที่คุณดิวบอก
- คุณดิวยังคง Neutral ต่อการเลือกเลือกสินทรัพย์ เพราะสำหรับเขา เขาต้องการสร้าง Passive Income และการลงทุน เขามองว่าคุณไม่มีวันมีอิสระทางการเงินจริง ๆ หากตอนนอนหลับไม่มีแต้มต่อที่สร้างกระแสเงินสดเข้ากระเป๋าคุณได้ เนื่องจากคนเรามีชั่วโมงการทำงานจำกัด 8-12 ชม
ถ้าคุณสามารถหาเงินตอน work day หรือ weekend คุณชนะ คุณดิวกล่าว
- Bitcoin เขาขอไม่ออกความเห็น
- ดร.โสภณ แย้งกลับว่า การซื้อบ้าน ไม่ใช่ว่าปล่อยผ่อนยาว ๆ 30 ปี ควรจะรีบปิดให้เร็วที่สุดเพื่อขยายไปหาลงทุนทำอย่างอื่นต่อ
- ขณะที่ในไทยไม่มีปัญหาขาดแคลนที่อยู่อาศัยเหมือนประเทศกำลังพัฒนา จีนมีบ้านร้าง 50 ล้านหน่วย ญี่ปุ่น 8-9 ล้านหน่วย จริงๆ สถานการณ์ในไทยไม่ได้แย่ ปีนี้ Developer ผลิตที่อยู่อาศัยออกมาใหม่ 60,000 กว่าหน่วย
- ถ้าไม่มีคนเช่า เราต้องถัวเฉลี่ยคิดเป็น Occupancy rate ไม่ใช่คิดแค่ 0% หรือ 100% แบบ Binary
- ดร.โสภณให้คำแนะนำเกี่ยวกับการทำการเกษตร นั้นไม่ดีเนื่องจากหากคุณไม่รู้วิธีดูที่ดิน และวิธีการทำการเกษตร อาจจะจมไปเลย
- เขาหยิบอ้างข้อมูลของผู้ลงทุนใน Bitcoin ว่ามีเพียง 0.03% ของผู้ลงทุนที่ ถือ Bitcoin เกินจำนวนกว่า 50% อาจสามารถกำหนดราคาขึ้นลงได้ มีคนประสบความสำเร็จแค่ 10% สามารถลองเล่นเป็นประสบการณ์ ตามแฟชั่น แต่ในระยะยาวเขามองว่าไปประกอบอาชีพที่สร้างสรรค์ อาจถูกจริตคุณมากกว่า
- คุณ CK เสนอว่า การที่ดร.โสภณกล่าวหาบิทคอยน์ โดยเฉพาะการเป็นเครื่องมือของอาชกร การฟอกเงิน เขามองว่าผู้ร้ายจริง ๆ คือเงินสด การทุจริต คอรัปชั่น การโกงนั้นใช้เงินสดซึ่งไม่สามารถจับมือใครดมได้ ร้านค้าสามารถใช้หนีภาษี เนื่องจาก track ไม่ได้
- คุณ CK พูดถึงการที่โลกเราเปลี่ยนเร็วมาก ๆ ขณะที่วิธีเก่า ๆ อาจจะยังใช้ได้อยู่แต่คนรุ่นใหม่ควรลองศึกษาวิธีใหม่ ๆ ที่เร็วกว่า เพราะเราอาจเป็นคนที่ถูกรั้งท้ายได้
- ขณะที่ดร.โสภณในวัย 66 ปีแนะนำคนรุ่นใหม่ว่า ต้องพยายามศึกษาเองจริง ๆ จุดอ่อนบางครั้งคือเชื่อเมนเทอร์ ใช้วิจารณญาณดี ๆ ค้นคว้าด้วยตัวเราเอง
จุดเหมือนในคำแนะนำ
ดูเหมือนว่า speaker ทั้ง 3 ท่านจะมีความเห็นในสินทรัพย์ที่ต่างกันออกไป แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาดูเหมือนจะเห็นตรงกันคือ "การลงทุนเพื่อสร้างกระแสเงินสด" ส่วนจะเป็นสินทรัพย์ประเภทใด ความเสี่ยงขนาดไหน ผู้ลงทุนควรศึกษาด้วยตนเอง
ขอบคุณทาง Bitkub ที่จัดงานในรูปแบบดีเบตที่ช่วยให้คนไทยได้เข้าถึงแง่มุมต่าง ๆ ในด้านการลงทุนของแต่ละสินทรัพย์
No table of contents found for this career.