<h2 style="text-align: left"><img class="resizable-image" src="https://d2rp8rvurt6n5g.cloudfront.net/admin-career-post/images/3d43c5de-52ad-4825-9933-ebdac71432ad/1732525880913869.2751.jpg" style="" draggable="true"></h2><h2 style="text-align: left"><strong>KPI คืออะไร</strong></h2><p style="text-align: left">KPI (Key Performance Indicator) หรือ ตัวชี้วัดประสิทธิภาพ หรือจะอธิบายง่าย ๆ ก็คือ เครื่องมือที่องค์กรใช้ในการประเมินและติดตามผลลัพธ์ของการทำงานของพนักงานหรือบริษัทเพื่อเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ทีมงานทุกส่วนในองค์กรเข้าใจหน้าที่และเป้าหมายของตนเองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น การกำหนด KPI อย่างมีประสิทธิภาพไม่เพียงแต่ช่วยขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เป้าหมายเท่านั้น แต่ยังช่วยประเมินสุขภาพขององค์กรในเชิงกลยุทธ์อีกด้วย</p><h2 style="text-align: left"><strong>ความหมายของ KPI</strong></h2><ul><li><p style="text-align: left"><strong>Key:</strong> ตัวชี้วัดที่เป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จหรือกุญแจที่ช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมาย</p></li><li><p style="text-align: left"><strong>Performance:</strong> ประสิทธิภาพหรือผลลัพธ์ของการทำงานในแต่ละด้าน</p></li><li><p style="text-align: left"><strong>Indicator:</strong> ดัชนีชี้วัดที่ใช้ประเมินผล</p></li></ul><p style="text-align: left"><br></p><h2 style="text-align: left">เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง KPI และ OKR</h2><p style="text-align: left">KPI และ OKR (Objective and Key Results) ต่างก็เป็นเครื่องมือวัดผลที่องค์กรนิยมใช้ แต่มีจุดมุ่งหมายและลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน</p><p style="text-align: left"><strong>วัตถุประสงค์:</strong></p><ul><li><p style="text-align: left"><strong>KPI</strong>: เน้นการวัดผลและปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงาน เพื่อช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมายระยะยาว</p></li><li><p style="text-align: left"><strong>OKR</strong>: มุ่งเน้นเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงและท้าทาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแรงจูงใจและผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว</p></li></ul><p style="text-align: left"><strong>การกำหนดเป้าหมาย:</strong></p><ul><li><p style="text-align: left"><strong>KPI</strong>: ใช้แนวทาง "Top-Down" คือ ผู้บริหารกำหนดตัวชี้วัดและส่งต่อไปยังพนักงาน</p></li><li><p style="text-align: left"><strong>OKR</strong>: ใช้ได้ทั้งแนวทาง "Top-Down" และ "Bottom-Up" เปิดโอกาสให้พนักงานมีส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมาย</p></li></ul><p style="text-align: left"><strong>ค่าตอบแทน:</strong></p><ul><li><p style="text-align: left"><strong>KPI</strong>: มักใช้ในการประเมินเพื่อการปรับเงินเดือน โบนัส หรือรางวัล</p></li><li><p style="text-align: left"><strong>OKR</strong>: ไม่ควรเกี่ยวข้องกับค่าตอบแทนโดยตรง เพราะอาจทำให้พนักงานไม่กล้าที่จะตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย หรือตั้งเพื่อเซฟ ๆ </p></li></ul><p style="text-align: left"><strong>การติดตามและวัดผล:</strong></p><ul><li><p style="text-align: left"><strong>KPI</strong>: มีการติดตามเป็นรายเดือนหรือรายไตรมาส เพื่อประเมินความคืบหน้า</p></li><li><p style="text-align: left"><strong>OKR</strong>: มีการติดตามผลอย่างยืดหยุ่นตามระยะเวลาของเป้าหมาย</p></li></ul><p style="text-align: left"><br></p><h2 style="text-align: left">ประเภทของ KPI</h2><p style="text-align: left">KPI สามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายและบทบาทของแต่ละส่วนในองค์กร ดังนี้</p><h3 style="text-align: left">1. KPI เชิงกลยุทธ์ (Strategic)</h3><p style="text-align: left">KPI ประเภทนี้เน้นการวัดผลที่ส่งผลต่อภาพรวมขององค์กร ใช้เพื่อติดตามเป้าหมายระดับสูงที่สำคัญ เช่น การเติบโตของรายได้หรือการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด</p><p style="text-align: left"><strong>ตัวอย่าง KPI เชิงกลยุทธ์:</strong></p><ul><li><p style="text-align: left">ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI)</p></li><li><p style="text-align: left">รายได้รวม (Revenue)</p></li><li><p style="text-align: left">ส่วนแบ่งตลาด (Market Share)</p></li></ul><h3 style="text-align: left">2. KPI เชิงปฏิบัติการ (Operational)</h3><p style="text-align: left">KPI ประเภทนี้เน้นการวัดผลในระยะสั้น โดยมุ่งเน้นที่กระบวนการทำงานหรือประสิทธิภาพในการดำเนินงาน</p><p style="text-align: left"><strong>ตัวอย่าง KPI เชิงปฏิบัติการ:</strong></p><ul><li><p style="text-align: left">ยอดขายต่อภูมิภาค</p></li><li><p style="text-align: left">ต้นทุนต่อการได้มาของลูกค้า (Cost per Acquisition)</p></li><li><p style="text-align: left">ระยะเวลาเฉลี่ยในการจัดส่งสินค้า</p></li></ul><h3 style="text-align: left">3. KPI สำหรับหน่วยงานเฉพาะทาง (Functional Unit)</h3><p style="text-align: left">KPI เหล่านี้ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของแต่ละแผนก เช่น การเงิน การตลาด หรือไอที</p><p style="text-align: left"><strong>ตัวอย่าง KPI สำหรับหน่วยงานเฉพาะทาง:</strong></p><ul><li><p style="text-align: left">ฝ่ายการเงิน: กำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin), ผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (Return on Assets)</p></li><li><p style="text-align: left">ฝ่ายไอที: เวลาแก้ไขปัญหา (Time to Resolution), ช่วงเวลาที่ระบบพร้อมใช้งานเฉลี่ย (Average Uptime)</p></li></ul><h3 style="text-align: left">4. ตัวชี้วัดล่วงหน้าและย้อนหลัง (Leading vs Lagging Indicators)</h3><ul><li><p style="text-align: left"><strong>Leading Indicators:</strong> ตัวชี้วัดที่ช่วยคาดการณ์ผลลัพธ์ในอนาคต เช่น จำนวนลูกค้าใหม่ที่ติดต่อเข้ามา</p></li><li><p style="text-align: left"><strong>Lagging Indicators:</strong> ตัวชี้วัดที่ใช้วัดผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นแล้ว เช่น รายได้ประจำปี</p></li></ul><p style="text-align: left"><br></p><h2 style="text-align: left">วิธีพัฒนา KPI อย่างมีประสิทธิภาพ</h2><p style="text-align: left">การพัฒนา KPI อย่างถูกต้องเริ่มต้นจากการเข้าใจเป้าหมายขององค์กร และสร้างตัวชี้วัดที่สามารถสะท้อนความสำเร็จได้อย่างแท้จริง การกำหนด KPI ควรเป็นไปตามหลักการ SMART (Specific, Measurable, Attainable, Realistic, Time-Bound) เพื่อให้สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง</p><h2 style="text-align: left">แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการพัฒนา KPI</h2><ul><li><p style="text-align: left"><strong>ผูก KPI กับเป้าหมายธุรกิจ:</strong> โดยการเลือกตัวชี้วัดที่สอดคล้องกับเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ขององค์กร</p></li><li><p style="text-align: left"><strong>ทำให้ KPI ชัดเจน:</strong> สื่อสารให้พนักงานเข้าใจเป้าหมายและตัวชี้วัด เพื่อให้ทุกคนเดินไปในทิศทางเดียวกัน</p></li><li><p style="text-align: left"><strong>ติดตามและปรับปรุง:</strong> ตรวจสอบความเหมาะสมของ KPI อย่างสม่ำเสมอ และปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง</p></li><li><p style="text-align: left"><strong>โฟกัสที่คุณภาพมากกว่าปริมาณ:</strong> อย่าวัดทุกสิ่งที่ทำได้ แต่ควรเลือกเฉพาะตัวชี้วัดที่มีผลกระทบสูงสุดต่อองค์กร</p></li></ul><h2 style="text-align: left">ตัวอย่างการใช้งาน KPI ในองค์กร</h2><p style="text-align: left">สมมติว่าบริษัทต้องการเพิ่มยอดขายในไตรมาสหน้า ทีมงานสามารถกำหนด KPI ที่เกี่ยวข้องได้ เช่น</p><ol><li><p style="text-align: left">เพิ่มยอดขาย 10% ภายในไตรมาสถัดไป</p></li><li><p style="text-align: left">เพิ่มจำนวนลูกค้าใหม่ 20 รายต่อเดือน</p></li><li><p style="text-align: left">ลดต้นทุนต่อการได้ลูกค้าลง 5%</p></li></ol><p style="text-align: left">เมื่อมี KPI ที่ชัดเจน ทีมงานจะสามารถแบ่งหน้าที่ วางแผน และติดตามผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p><p style="text-align: left"></p><p style="text-align: left">เห็นได้ว่า KPI เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถวางแผน ติดตามผล และปรับปรุงกลยุทธ์เพื่อบรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกใช้ KPI ที่เหมาะสม ไม่เพียงช่วยให้องค์กรมองเห็นจุดแข็งและจุดอ่อนของตนเอง แต่ยังช่วยสร้างความร่วมมือภายในทีมงานให้ก้าวไปในทิศทางเดียวกันอย่างมั่นคงนั่นเอง สำหรับใครคนไหนที่สนใจอ่านบทความต่าง ๆ ที่น่าสนใจ ก็สามารถติดตามบทความเพิ่มเติมได้ <a target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="editor-link" href="https://jobcadu.com/th/careers">เส้นทางอาชีพจาก Jobcadu</a></p><p style="text-align: left"><br></p><p style="text-align: left"><br></p><p style="text-align: left"><br></p><p style="text-align: left"><br></p>